สองเรื่องมันค่อนข้างเยอะอยู่ ก็ ห้าโมงแล้วตามเวลาเริ่มเลยก็ได้ครับ มันดูย้อนต่างได้ ค่ะ งั้นก็เดี๋ยวจะเริ่มก่อนในส่วนของธุรานะคะ ก็จะเป็น เรียกว่าเรื่องของ แคลนเซอร์ เดี๋ยว อ่า จะพูดเรื่องของ แคลนเซอร์ ก่อนแล้วเดี๋ยวน้องเขามาต่อเรื่องของ นะคะ เอาล่ะ วันนี้ก็จะ อ่า พูดดัง ดังที่โชว์ไปนะคะ ก็คือ อ่า ตัว ค่ะ ก็คือเป็น อ่า เจอเป็นอันดับที่ 5 เป็นสาเหตุการตายอันดับที่ 3 ส่วนใหญ่เจอมากในทางเอเชียตะวันออกบ้านเรา ก็คือเกาหลีกับญี่ปุ่น แล้วก็จะเจอในเพศชายมากกว่าเพศหญิง แล้วก็ตัวของ Anatomy คือ มันเริ่มตั้งแต่ตรงบริเวณของ ETJ ไปสิ้นสุดที่ Pinolast แล้วก็หลัก Vessel ก็คือจะเป็นตัวของ Celiac Axis ถ้าเป็น Labgattic ก็จะ Subtly ในส่วนบริเวณของ Labgattic ก็จะเป็นตัวของ Upper Part ของ Stomach แล้วถ้า Labgattic ก็จะเป็น Lower Part ของ Stomach ส่วนตัวของลิมโนด มันก็จะดรีเนตไปที่ในส่วนของ Regional Limb Node เดี๋ยวจะพูดอีกทีว่า D1, D2, D3 คืออะไรบ้าง แล้วก็ถ้าเป็น Lower Esophageal มันก็จะไปดรีเนตไปในส่วน Interhoracic Limb Node หรือเป็น Virtual Node แล้วก็จะมีในส่วนของตัว Hepatodural Ligaments พวกนี้ก็คือจะเป็นเวลาทำได้ก็อาจจะเป็นตัวของ Sister Mary Joseph Node ตัวของ Pathology กับ Tumor Biology ตัว Gattic Cancer ส่วนมาก 95% จะเป็น Adenocarcinoma สาเหตุตัว Thistopathology อื่นๆ ก็จะเจอได้เหมือนกัน แต่ว่าอาจจะแรร์ ก็จะเป็นพวก Sacramas Adenocarcinoma Casinoid หรือว่าเป็นกลุ่มของ Glymphoma ที่ Associate กับตัว H.Pelola ถ้าตามแบ่ง Histopathology ค่ะ เขาก็จะแบ่งตามของเดิมของเป็นของ Law-Rent Classification ในปี 1965 ค่ะ ก็จะแบ่งเป็น Intestinal Type, Diffuse Type แล้วก็ Intermediate Type ค่ะ ถ้า Intestinal Type เนี่ย ส่วนใหญ่ก็คือจะเป็นลักษณะของ Well-Differentiated ค่ะ เจอเยอะสุดประมาณ 54% ซึ่งจะค่อนข้าง Pornosite ดีกว่าตัวของ Diffuse Type ค่ะ เจอในคนไข้อายุเยอะ แล้วก็ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ลักษณะก็จะเป็น Gandula และสัมพันธ์กับ H. pylori ลักษณะที่จะดีสเทียร์ก็จะเป็น intestinal metapleasure ส่วน Deep Fever Field Type จะเจอในคนไข้อายุน้อย ถึงมากเป็นผู้หญิง และลักษณะอาจจะไปโขมและเห็นลักษณะเป็นรายนาฬินพลาสติก้า และตัวพาโถกก็จะเห็นผ่านว่า อาจจะมีเรื่องของ Signetine Cell Formation ตัวนี้ก็จะสัมพันธ์กับการล็อสของ Ecathirine หรือว่าตัวของ CDH1 ยีนนะคะ อีกส่วนหนึ่งก็คือจะเป็น Intermediate Type ก็จะเป็น Heteromalycinanthromer ซึ่งพอเขาเอามาตอนหลังเขาก็จะมาแบ่งแบบกรุ๊ป มันก็จะมีแยกย่อยประเภทมากขึ้นไปตามของ WHO classification ถ้า Interstinal Type ก็จะเจอเป็นลักษณะแปปปุอรี่ ทิบูล่า มิวซีนัส แต่ถ้าอ่านว่าเป็น Signet Dynselcacinoma ก็จะเป็น Diffuse Type แต่ว่า Intermediate จะเป็น Adrenosaccharum macrosaccharum macrosต่าง แล้วก็ปัจจุบันเราก็จะมีการนำข้อมูลของตัวของโมเลกูล่าไปสับไทยเข้ามาประกอบในการใช้มากขึ้น ซึ่งพวกนี้ในอนาคตก็อาจจะเป็นตัวเลือกสำหรับในการใช้ยาต่างๆ เช่นพวกฮาเก็ต เทศเทอร์ปีหรือหรืออิมูนอเทอร์ปี ถ้าจะต้องให้จำได้ก็อาจจะจำเป็น CEMG ก็คือเริ่มตั้งแต่ EGJ แล้วก็ต้องเรียน Fundus Body แล้วก็ต้อง Pyrolas 5 ตัวของ C ก็คือ โคโมโซมอล อันนี้ก็คือจะเจอได้เยอะที่สุดประมาณ 49% และส่วนอันนี้ก็จะเป็น Intestinal Histology จะอยู่ใน Variance ของส่วน EGJ ก็จะสัมพันธ์กับตัวของ TP50T Mutation ฮ่าๆ ว้าว E คือ EBV จะอยู่ใน range ส่วนของ fundus บอดี้ ก็เจอประมาณ 8% ค่ะ ส่วนข้าไปย้อมมาแล้วเจอ EBV อ่านว่าเจอ EBV เนี่ย ก็ตัวนี้คือมันจะบอกตัว response ที่ดีต่อการใช้พวก PDR1 หรือ PDR2 ค่ะ ก็คืออาจจะมีข้อมูลว่า ถ้าเราใช้ immunotherapy มันก็อาจจะดู response ได้ดีค่ะ ถัดมาก็จะเป็นตัวของ MSI ค่ะ นี่ก็จะเจอในความค่าย อายุเยอะนิดนึง และก็ associate กับตัวเรื่องของ hypermethylation กับ TP50T และพวกนี้อาจจะเจอว่ามีเรื่องของ MLH1 silencing ซึ่ง treatment มันจะเป็นตัวเหมือนบอกว่า ตัว treatment response มันจะไม่ค่อย response ต่อ adjuvant chemotherapy สักเท่าไหร่ ส่วนสุดท้ายก็คือ Genomic Stable ตัวนี้คือจะเป็นตัวของ Diffuse histology อันนี้ก็คือจะสำคัญกับตัว CDH1 ก็จะพวกที่สุด แล้วเขาก็มาทำตัวของ TCGA ก็เมื่อกี้ที่พูดไป 4 อย่าง ส่วนก็จะมาดูในของ Histopatology ในของทางเอเชียเหมือนกันคือ ACRG เขาก็จะแบ่งเป็น 4 กลุ่มเหมือนกันแต่ว่าจัด Classified ออกมาคล้ายๆกัน ก็คือเป็น MSI กับ MSSGC ถ้าหากว่าตัวที่สัมพันธ์กับตัวของ EBV ก็จะเป็น MSS แล้วก็ TP-52 Positive Glycolic Cancer เดี๋ยวอันนี้ค่อยไปดูรายละเอียดเอง แต่ว่าหลักๆเราก็จะใช้ตามของทาง TCGA อ่ะค่ะ อันนี้ก็เป็นตัวของ Prognosis อ่ะค่ะ ตามของ Molecular Subtile ว่าตัวไหนดีที่สุด ถ้าดีที่สุดก็คือตัวของ ABV อ่ะค่ะ ซึ่ง Prognosis ก็จะดีที่สุด ส่วนตัวที่ Prognosis ยากที่สุดก็คือเส้นสีเขียวนะคะ ก็คือตัวของ Genomic Stable ส่วน Pathogenesis ก็คือจะแบ่งเป็น 2 สาเหตุหลัก ก็คือ 1 ก็คือเกิดจากตัวของผู้ป่วยเอง ที่ว่าอาจจะมีเรื่องของ Yin-Arthroletion ในคนไข้ Western กับ Eastern ตัวของ Yin-Arthroletion ก็จะแตกต่างไป หรือว่าการที่คนไข้มีพวก APC Mutation, P50T Mutation ก็อาจจะทำให้เกิดลักษณะของตัว Normal Epidemia เปลี่ยนเปลี่ยนเปลี่ยนเป็น Metaplegia จนนำไปสู่การเกิดเป็น Gattic Cancer ในที่สุด ส่วนตัวของสาเหตุ ถัดไปก็คือจาก Environment เช่น การเกิด H.Pylori Infection, Hysol, Consumption, Smoking ก็ทำให้เกิดลักษณะการเปลี่ยนแปลงของ Histopathology ก็กลายเป็น Anemone carcinoma ได้ Restrictor ก็คืออย่างที่พูดไป ถ้าตัว H.Pylori ก็จะสำคัญกับตัวของ Intestinal Type แล้วก็อันนี้ก็คือเป็นพวก Acquired Factor ค่ะ พวก EBV Infection, Radiation หรือประวัติคนไข้ที่เคย Treat ด้วยเรื่องของ Myeloma, Myelinforma มาก่อน พวกนี้ก็ทำให้เกิด Gattic Cancer ได้ ส่วน Endogenous ค่ะ ก็คือตัวของ Hereditary อันนี้ก็อาจจะอบสอบได้บ่อยค่ะ ก็คงพวกตัวของ Hereditary Diffuse Gattic Cancer ค่ะ ก็คือตัวที่สำคัญกับตัว CDH1 Mutation อ่ะค่ะ อันนี้ก็ต้องไปซักประวัติ Genetic ในคนไข้ที่ Present ด้วยยัง แล้วมาด้วยเรื่องของ Gattic Cancer หรือว่าจะเป็นพวก Familial Intestinal Gattic Cancer Lynch Syndrome ก็ทำให้เกิดตัวของ Gattic Cancer ได้เหมือนกันประมาณ 1-13% พอร์ตเจเกอร์ก็ประมาณ 29% แล้วก็ Familial ตัวของ FAP ก็เกิดได้เช่นกันจน Life Remedy ก็จะสำคัญกับตัวของ TP-FOOC 50 T-Mutation เป็นสาเหตุทำให้เกิด Gapic Cancer ได้ Precursal Lesion มีปัจจัยกระตุ้นทำให้ Pathology มุกเปียด ทำให้เกิด Adhemocharsis Noma ชัวร์ชาติเจอได้ในทางเอเชีย หรือคนอ้วนทำให้เกิด Refractor หนึ่ง อันนี้ก็คือ เดี๋ยวอาจจะไปดูรายละเอียด เดี๋ยวพูดหลักๆอันข้างบนนะคะ ก็คือตัวของ CDH1G นะคะ Helidradiated Glycotic Cancer ซึ่งจะเป็นตัวของลักษณะถ่ายทอดแบบ Autosomal Dominant นะคะ เพราะเช่นแบบคำไข้อายุน้อย เช่นอายุสัก 17 ปีอยู่ในแบบพรีเซนต์ด้วยเรื่องของ Glycotic Cancer อย่างนี้ค่ะ อาจจะต้องซับประวัติในครอบครัวว่ามีหรือเปล่า หากว่ามีประวัติสงสัยก็ต้องตรวจค้นไข้เป็น Gen-Light Testing นะคะ หากว่าเขามีการ Carry นี้ แล้วก็อาจจะต้องไปตรวจญาติอีกครั้งนึง มีหรือเปล่าค่ะ มีค่ะ เขาก็มี recommendation ให้ทำ prophylactic portal gastrectomy อันเนี้ย คนแค่อายุสิบแปดถึงสี่สิบปีค่ะ ที่แคลรี่ยีนนี้ค่ะ แต่ว่าหากหากว่าไม่ทําเขาก็แนะนําว่า อาจจะต้อง screening บ่อยค่ะ เป็น upper endoscope ทุกหกถึงสิบสองเดือนค่ะ ส่วนพวกกลิ้นหรือว่าพวกแฟปอะไรอย่างเงี้ยก็ อันนี้เดี๋ยวไปดู ก็อาจจะเกิดได้ประมาณแบบสิบถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ อันนี้ก็คือ ที่พูดไปก็คือตัวของ Hereditary Glycatic Cancer ค่ะ แล้วก็อาจจะต้องระวังนิดนึงว่าเวลาเขาเข้าคนไข้มา Present ด้วยเรื่องของ ที่เป็นแบบ Carry ของยีน CDH1 ยีน พวกนี้ก็คืออาจจะทำให้เกิดเป็น Develop เรื่องของ Lobular Breast Cancer ด้วยนะคะ ก็อาจจะต้องตรวจร่างกาย ถ้าเป็นในผู้หญิงก็ต้องตรวจเตานมด้วยค่ะ อันนี้เขาจะถามว่าต้องตรวจเมื่อไหร่ CDH1 ยีน ก็คือในคนไข้ที่แบบมี Confirm ว่าเป็น Difficult Glycatic Cancer ในครอบครัวอย่างน้อย 2 คน หรือว่า Present ตั้งแต่ก่อน อายุ 50 ปี หรือว่ามีประวัติเป็น Diffuse Gaptic Cancer ร่วมกับ Louvara Breast Cancer ที่อายุก่อน 70 ปี พวกนี้เราต้องไปตรวจดูว่าคนไข้อาจจะต้องส่งไปพบหมอทางเจเนติกส์ทีนึง อันนี้เอามาให้ดูว่า สาเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิด GAT-B-Cancer ได้ ส่วนใหญ่หลักๆก็จะเจอแบค 5 กับ TP-50T ที่เป็น Autosomal Dominant Left Feminine ก็ Associate กับตัว TP-50T แล้วก็แบค 5 ก็ทำให้ Develop GAT-B-Cancer ได้เหมือนกัน ส่วน Primalignat Leachate นะคะ อันนี้ก็คือเป็น Hystopology ที่มันมีการเปลี่ยนแปลงไปและ Develop ทำให้เกิดตัวของ Adenocarcinoma ค่ะ แล้วก็ลักษณะอันนึงก็คือตัวของ Menatria Metapaceae ค่ะ ก็อาจจะสกบพละและอาจจะเห็นเป็นลักษณะของ Gattic Foll เกิดจาก Excessive Milkast Production นะคะ แล้วก็มี Protein Loss ไป ทุกอย่างนี้ก็คือมีโอกาสเกิดเป็น Adenocarcinoma ของ Gattic ได้เยอะค่ะ คนไข้จะมาพรีเซ็นต์ด้วยอะไรบ้าง ก็คือประมาณสี่ถึงสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ คนไข้ก็จะไม่มีอาการนะคะ เราว่าอาจจะประมาณยี่ห้าเปอร์เซ็นต์เป็น เป็น อาจารย์ค่ะ อาการบางอย่างก็อาจจะเว้ย อาจจะมีแบบเรื่องของ แล้วก็ตามตําแหน่งที่คนไข้เป็นนะคะ เช่นแบบ อ่า ถ้าเป็น อ่า ทีนี้ก็มาในส่วนของการทำ staging ล่าสุดก็จะเป็นเวอร์ชั่น 5 ของปี 2011 ถ้าเป็น T1 ก็จะ Invert ในส่วนของ Laminar Propeller T2 ก็คือ Invert ในส่วนของ Muscular Lipoprpia T3 ก็เป็น Subxirrhosa ถ้า T4 ก็คือจะเป็น Subxirrhosa กับ Isolopyrrhythronium ถ้าเป็น T4a ก็จะเป็น Xerrhosa ถ้าเป็น Adjacent Organ Structure ก็จะเป็น T4b ส่วน Lipnode ถ้าว่ามา N0 ก็คือไม่มี Lipnode Enrollment เลย 1 ก็คือจะเป็น 1-2 ลิมโนต N2 ก็คือ 3-6 ลิมโนต มากกว่า 7 ลิมโนตขึ้นไปก็จะเป็น N3 ซึ่ง staging ก็จะมีทั้งแบบ clinical pathological staging และ post neoadjuvant ซึ่งก็จะเห็นว่าคนไข้ถ้าเป็น stage 3 พอ 3-4 อย่าง 3 ที่ พอ 5 years survival คนไข้ก็เหลือให้ประมาณ 9% การ Workup ตอนแรกก็ต้องทรัพย์ประวัติตัวร่างกาย แล้วก็ Recommendation ก็คือให้ทำเป็น Upper GI กับ ตัวของ Biopsy ค่ะ แล้วก็อาจจะพิจารณาเรื่องของ CHASCT ส่วน PET เนี่ยก็คือจะพิจารณาในคนไข้ที่ไม่มีเรื่องของ Evidence ก็คือถ้าไม่มี Evidence ของ M1 แต่ว่า Clinical Suspected อ่ะค่ะ ก็จะแนะนำให้ทำ PET Scan ค่ะ แล้วก็ Workup Lab พวก Routine แล้วก็อาจจะมีการทำ EUS อันนี้ก็จะดูเรื่องของ T กับ End Staging ได้ดีค่ะ แล้วก็จะมีการพิจารณาพวก Endoscopic Resection เดี๋ยวอันนี้จะพูดตามไทยหลังอีกทีนึงนะคะ หลัก สำคัญก็คือเป็นความคิดตรวจร่างกายแล้วก็ Power Up Endoscopic Resection สโคป เพื่อให้ได้แอบกรอบว่าเป็นยังไง แล้วก็เช็ค CT Staging ค่ะ แล้วก็การส่ง ก็อาจจะต้องประเมินเรื่องของโมทิชชั่นของมนต์ไข้ แล้วก็ Advice ให้เขา Smoking Cessation ค่ะ ส่วนข้างล่างมันจะเป็นในกลุ่มของ Advanced Deseal ค่ะ อันนี้ก็คือการ Pre-Treatment Staging ก็คือ Endoscope ก็เป็นเบสเมทอร์ดของการ Diagnosis ของ Gaptic Cancer ค่ะ ก็ต้องสโคปไป แล้วก็ตัวของ EUS เนี่ย ก็คือจะช่วยประเมินในเรื่องของ T กับ N-State ค่ะ ก็คือจะช่วยได้ประมาณ 57-50% นะคะ CT ก็แนะนำให้ทำเป็น Triple-Face CT ของ Domain Chase แล้วก็ Pelvic และ Pelvic ฮะ แต่ MRI ไม่ได้ Recommend ให้ทำ Routine ค่ะ Pest เราก็ต้องระวังนิดนึงค่ะ ในส่วนของคนไข้ที่เป็นพวก Deep Field หรือ Musenat Tumor Type อันนี้ก็คือตัวของกุศมันจะปัจจัยมันจะน้อยค่ะ แล้วก็ตัว Pest มันก็อาจจะ Low FDG Uptake ได้ ก็อาจจะไม่เห็นหรือว่า Fall Negative ไปได้ค่ะ แต่ว่าก็ถ้าหากว่าสงสัย มีคิดข้อสงสัยเลยนะคะ เรื่องประมูลของเราแบบว่า มี Metastatic หรือเปล่า อาจจะพิจารณาทำเป็นหลายๆ ค่ะ ส่วนเขาก็จะ recommend ให้ทำตัวของ Lab ได้แอบกับฮิลิตรเดียว Cypology ค่ะ for Detect เรื่องของ Alcohol Metastatic ค่ะ การ Treatment ก็แบ่งเป็น 3 Zone นะคะ ก็คือทางฝั่งอเมริกาเนี่ย ก็จะเป็นตัวของ Thipet Therapy เป็นหลัก แต่ว่าถ้าทางยุโรปก็จะให้เป็นตัวของ Polyopthecmo แต่ถ้าทางเอเชียเราก็จะ Recommend ให้ทำเป็น D2 Gattectomy แล้วก็ Adjuvant Chemotherapy เลยค่ะ ถ้าหากว่าคนไข้ออกมาก็คือถ้าคนไข้ที่เป็น Early Stage เช่นเป็น TIS หรือ T1A อันนี้ก็คือถ้าต้องมาประเมินว่าคนไข้เป็น surgical candidate ไหม ถ้าหากว่า non-surgical candidate ก็อาจจะพิจารณาทำเนื้อ Endosacral Cropic Dissection แต่ถ้าคนไข้ฟิตดีก็อาจจะทำเป็น Endosacral Cropic Dissection หรือเป็น Surgery ก็ได้ แต่ถ้า Locally Advanced ก็ต้องมาดูว่าเป็น Stage ไหน ถ้าเป็น Clinical T2 ขึ้นไป อันนี้ก็อาจจะใน NCCN เขาก็ recommend เป็น Cat 1 recommendation ให้ทำ Permanent of Chemotherapy ค่ะ แล้วก็อันนี้ก็คือตัวของ Treatment ของ Local Light Disease นะคะ ก็คือในคนไข้ที่เป็น Stage 1 Disease นะคะ ก็คือ Surgery Approach ก็จะมีการทำเป็น Endoscopic Glycemic Spiraling Resection Limited Glycemic Resection หรือทำ Glycemic Glycemic Defectomics นะคะ ก็จะเป็น Classification ตามสมทาง Japanese ค่ะ ว่าเป็นไทยแบบไหน เป็น Flat Thai หรือว่า Superficial Depth Thai หรือ Excavated Thai ค่ะ อันนี้ก็คือจะเป็นการทำ Endoscopic resection ในคนไข้ Early Glycemic Cancer เขาจะแนะนำให้ทำในไหนบ้าง ก็คือทำในคนไข้ที่เป็น Small lesion มีโฟคัลโนดูลน้อยกว่าเท่ากับ 2 เซนติเซนติเซนติค แล้วก็ลักษณะต้องเป็น Well to Moderate Dip แล้วก็ตัว DC ต้องไม่เกิน Superficial Mucosa หรือไม่เกิน T2 แล้วก็ LVI ต้อง Negative ถึงจะพิจารณาให้ทำ ก็มันยังไม่มี Data ค่ะ ว่าการทำตัวของ EMR กับ Open Surgery ว่าอันไหนมันดีกว่าการที่จะเป็น RCT มี RCT ยังไม่มี RCT รองรับค่ะ การทำถัดไปก็คือเป็นการทำ Limited Surgical Resection ก็อันนี้ก็คือ Pigeon's Lymph Deferred ในคนไข้ที่ก้อนอาจจะใหญ่มานิดนึงค่ะ ก็คือน้อยกว่า 3 เซนติเซนติเซน เป็น Intra-Mucosal Tumor ที่เป็นลักษณะแบบ Non-Alzer แล้วก็อันนี้ถ้าเป็นทำวิธีนี้ก็ไม่จำเป็นที่ต้องไปละริมโน้ตค่ะ ก็คือโรคมันจะยังน้อยค่ะ ก็อาจจะทำเป็น Limited Surgical Resection ก็ได้ค่ะ ส่วน Gatectomy ค่ะ ก็ Gatectomy คือ อันนี้ก็คือ Gatectomy with D1 ก็จะทำในคนไข้ที่อาจจะ หมายถึงว่าไม่สามารถทำเป็น Endoscopic resection ได้ หรือว่าไม่สามารถทำ Limited surgical resection ได้ค่ะ แล้วก็คนไข้ที่มีเรื่องของ Intramucosal Tumor ร่วมกับเป็น Poor histologic differentiation ค่ะ ก็คือที่มีข้อห้ามในการทำ Endoscopic resection เนี่ย แต่ว่า Tumor น้อยๆ อันนี้ก็อาจจะต้องแนะนำให้มาทำเป็น Gatectomy กับ D1 resection ค่ะ ถัดไ���อันนี้ที่จะมีวิธีเทปเปเปอร์เข้ามาค่อนข้างเยอะ ก็คือจะเป็นในคนไข้ที่เป็นสเตรส 2-3 Gattic adenocarcinoma ก็ปกติอันดับแรกก็ต้องมาประเมินก่อนว่าคนไข้มีฤทธิ์ฟิตไหม สำหรับการ Receptable ถ้าคนไข้ฟิตดีก็คือมาดูก่อนว่า Reaction ถ้าเป็นประวัติ T1B นี่ก็คือแนะนำให้คนไข้ไปทำ Affluent Surgery เลย แต่ถ้าเป็น Clinical T2 ขึ้นไปอันนี้หรือว่าแบบอันนี้ อันนี้ก็แนะนำให้ทำเป็นออกเกมโอเทอร์ปีก่อน ซึ่งของโลของเซอร์เจอร์รี่ที่จะพูดถึงทีมแมทออปชั่น ก็คือ 1.เซอร์เจอร์รี่ ก็คือเป็นแกรทิกโปมี ทำร่วมกับ D1 D2 ดิสเซคชั่น อันที่ 2.การให้ซิสามิกเทอร์ปี อันที่ 3.ก็คือโลของเรื่องของเรดิโอเทอร์ปี แล้วก็อันที่สุดท้ายก็คือเรื่องของโลของการทำ CCRT นะคะ สะโหก็จะมีประมาณนี้ค่ะ ก็คนไข้ที่เป็นแกรทิกแคนเซอร์ อันนี้ของเอสโมนะคะ แนะนำว่าในคนไข้ที่เป็น T1N0 อันนี้ก็คือไปอาจจะทำเรื่องของ Limited resection หรือ EMR นะคะ แต่ถ้าคนไข้ที่เป็น T1 มากกว่า T1N0 ขึ้นไปอันนี้ก็ต้องมาดูว่าก็คืออาจจะพิจารณาไป Surgery ไปได้เลย หรือว่าอาจจะต้องมาให้ตัวของ Peri-Op Treatment ก่อนนะคะ แล้วก็อันนี้เป็นของ Japanese ค่ะ Japanese เนี่ยเขาจะแนะนำให้ทำ Gatectomy D2 ตั้งแต่คนไข้ที่มี Clinical Staging ตั้งแต่ CT1 N-Positive ไปเลยค่ะ แล้วก็หรือว่า CT2-4 แต่ว่า N อาจจะบวกลบค่ะ ก็อันนี้ก็ต้องทำเป็น Recommend At least D2 Resection ค่ะ Certical Management ที่ระหว่าง ก็คือ คนไข้ต้องได้ R0 ดีเซ็กชั่น แล้วก็คือ เราก็จะได้ดีเซ็กตัวเรื่องของ Lip node ผลิตต้นเหนียว Surface แล้วก็ Restore เรื่องของ Gatotentinal continuity ตัวของ F10 ของ nodal resection อันนี้ก็คือ D1 D2 D3 ว่าต่างกันยังไง ถ้า D1 มันก็จะตัดตั้งแต่สเตชั่น 1 ถึงสเตชั่น 6 ก็คือจะตั้งแต่ส่วนของ Perlite Glattic Limb Node แล้วก็ถ้าหากว่า D2 มันจะไปถึงประมาณสเตชั่น 12 ก็คือตรงตัวของ Sprenic เป็น Sprenic Artery แล้วก็ Sprenic Thyrum แต่ว่าถ้าเป็น D3 จะ Inverse เป็นถึงในส่วนของ Perlite ที่กินโน้นกับพอท้าเฮปปะติส ก็เดี๋ยวจะพูดว่ามันต่างกันยังไง แล้วมันมีประโยชน์จริง ไหม ก็คือเขาเริ่มทำตั้งแต่ MRC ไทย ปี 1199 ในของ UK ตอนแรกก็คือเอาเอ็นมาทั้งหมด 400 คนมา Randomize แต่ว่าการทำ D1 กับ D2 แล้วดูเรื่องของ Survival Benefit เพราะว่ามันไม่ได้ Survival Benefit ก็คือ มี Mobility กับ Mortality ค่อนข้างเยอะ ก็ตามไปที่ 5 ปี คนไข้ D2 ได้ประมาณ 33 ปี แล้วก็ D1 ก็ประมาณ 35% นะคะ ก็ดูไม่ต่างกันนะคะ จากนั้นเขาก็เลยมาทำให้มันดีขึ้นในของ Dutch Tide ปี 2004 นะคะ ก็คือเอา Japanese Surgeon นะคะ ที่ได้รับผ่านการ Training แล้วค่ะ ก็เอามาทำเป็น Gattic D2 เหมือนกันนะคะ แต่ว่าก็ยังพบว่าคนไข้ที่ทำตัวของ D2 ค่ะ เหมือนมี Higher Mobility กับ Mortality เมื่อเทียบกับการทำกับ เมื่อเทียบกับการทำ D1 resection ยังไม่ได้ survival benefit แต่พอตามไปที่ 15 ปีของ Dash Thai กลายเป็นว่าเขาก็ดูแลว่าคนไข้ที่เขาได้ทำ D2 resection การเกิด Local recurrence กับน้อยกว่าการทำ D1 ก็คือ 12% กับ 22% Regional recurrence ก็น้อยกว่า แล้วก็จริงๆ พอไปตามว่าคนไข้เขาเสียชีวิตจากอะไร ก็คือ คนไข้ที่ได้ทำตัวของ D2 resection Gattic cancer related death กลับน้อยกว่าคนไข้ที่ได้ทำ D1 ก็คือคนไข้ที่ทำ D2 Gattic cancer related death ประมาณ 37% แต่ใน D1 ประมาณ 48% เขาก็เลยบอกว่า จริงๆ ถ้าทำตัวของ D2 resection ได้ดีๆ แล้วก็บาป ถ้าทำได้ดีก็ควรจะทำตัว D2 resection มากกว่า เพราะว่า Local recurrence ก็น้อยกว่า Regional risk recurrence ก็น้อยกว่า แต่ว่าอาจจะต้องคอนโทรลเรื่องของ Surgical Mobility กับ Mortality ค่ะ แต่ว่าพอการศึกษาถัดไปเขาก็ศึกษาเรื่องของว่า การทำ DT มันมี Benefit ไหม จริงๆ ทำ DT ไม่ได้ทั้งตัวของ D2 กับ DT ค่ะ ไม่ได้ตัวของ PFS กับ OS Benefit แต่การทำ DT มี surgical complications มากกว่าการทำ D2 ปัจจุบันถ้า recommendation ในของ East Asia เขาก็จะแนะนำให้ทำเป็น catectomy บวก D2 ดิมโนต D-section แต่ทางยุโรปมันยังเป็น questionable อยู่ ก็เป็น just แค่ว่า recommend ให้ทำ D2 D-section ใน Western Country ถัดไปก็คือข้อมูลมันก็จะมาก่อน ก็คือคนไข้ก็ส่วนใหญ่ก็คือจะได้ไปผ่าตัดก่อน แล้วจากนั้นก็คือท้ายก็จะออกมาเป็นตัวเรื่องของ Adjuvant Chemotherapy ก่อนนะคะที่ออกมาก่อน แล้วก็จะมีการ Surgery แล้วก็จากนั้นก็คือไปตามด้วยเรื่องของ CCRT ค่ะ ก็ปกติก็ต้องมาดูว่าคนไข้ที่ยังไม่เคยได้รับเคโม แล้วเขาไปผ่าตัดถ้าเป็น R0D Section ถ้าเป็นแค่ T1 Pathological Staging ออกมาเป็น PT1 หรือ N0 ก็อาจจะแนะนำให้ Surveillance นะคะ ก็ถ้าเป็น Stage 1 น่ะเยอะเฉยๆ แต่ถ้าตั้งแต่ Stage เป็น PT2 หรือ N0 ขึ้นไป ก็อาจจะเริ่มมีโลของการให้ Seismic Tickness แล้วค่ะ เดี๋ยวก็มาดูว่ามีอะไรบ้าง ส่วนถ้าเป็น R1 หรือ R2 Resection นะคะ ก็จะมีโลของการแนะนำให้ทำเป็น Chemoradiation นะคะ ส่วนอันนี้ก็คล้ายๆ กันนะคะในคนไข้ที่ได้รับพีออฟมาก่อนนะคะ ถ้าเป็น R0 D-section แต่ว่าถ้าหากว่าโน้ต Negative ก็อาจจะ Observe Antibody และถ้าโน้ต Positive ก็อาจจะพิจารณาเรื่องของ Systemic Treatment ค่ะ Hazurvans Chemotherapy มีอะไรบ้าง เขาก็มีข้อมูลของ Doug Data ของเมตานาลายซีดออกมาก่อนในปี 2010 เขาก็ศึกษาในเอาเมตานาลายซีดรวบรวมประมาณทั้ง 31 คลาย คนไข้ส่วนใหญ่ก็คือได้เคโมเบสออนเป็นฟัวโรยูลาซิล ก็เพราะว่าตามไปที่ 5 ปีคนไข้ที่ได้เคโมเทอราปี เพิ่มตัวของ Overall Survival Benefit ประมาณ 5% จากเดิม 49% เพิ่มไปเป็น 55% จากนั้นก็คือมีทายของญี่ปุ่นออกมาเป็น SCTSGC อันนี้ก็คือเขาเอาคนไข้ที่เป็น R0 D-section ได้ทําเป็น D2D-section ประมาณ 94% นะคะ เอ็นทั้งหมดพันคนในสเตส 2-3 มีค่าหนึ่งให้เป็น S1 80-100 mg. sq. เป็น 4 Wig On 2 Wig Off ทั้งหมดรวมทั้งหมดประมาณ 1 ปี แล้วก็เทียบกับค่า Observe ก็คือเจอเจอดีที่เฉย แล้วก็มา Observe เพราะว่า Positive ทั้ง Fire OS แล้วก็ Fire RFS ก็ได้ Benefit แต่ว่าคนไข้ก็อาจจะมีเรื่องของ Side Effect เรื่องของ Anorexia ประมาณ 30% Nosia 19% แล้วก็ Diarrhea ประมาณ 16% ก็อาจจะต้อง จริง ตอนนั้นก็เลยมาเป็น S1 ก็เลยมาเป็น Effective Adjuvant Treatment ในคนไข้ทาง East Asia ค่ะ ถัดมาเขาก็ทำในของทาง South Korea, China, Taiwan ก็คือ Classic Thai คล้ายๆ กันกับท้ายแรกค่ะ ก็คือเป็นคนไข้ที่ทำ Certical D2 resection สเตส 2-3 แล้วก็ 3A3B Gaptic Cancer ค่ะ ก็เอ็นทั้งหมดประมาณพันคนค่ะ หนึ่งมาให้ C-Log ค่ะ ทั้งหมด 6 เดือน แล้วก็อีกครั้งหนึ่งค่ะ Observe ค่ะ อันนี้ก็ Positive ทั้งจริงๆ Primary Endpoint เป็น DHS ที่ 3 ปีก่อนค่ะ แล้วก็ตามไปที่ 5 ปี ก็คือ Positive ทั้งที่ 3 ปีแล้วก็ 5 ปีค่ะ ก็ดูการให้ C-Log เป็น Adjuvant Treatment ก็รายดูจะได้ Benefit นะคะ Side Effect ก็มีนวงตัว Pemia ประมาณ 22% นะคะ อันนี้ก็คือเขาก็เป็น Recommendation ในคนไข้ที่เป็น หลังจากที่ทาง GATectomy มีข้อมูลว่า เรื่องของการให้เป็น Adjuvant Treatment ตามของ Classic Thai นะคะ แล้วก็จากนั้นก็คือมีการศึกษาของ Jack Crow Study อันนี้เขาก็ อ่า เมื่อกี้ที่บอกว่าทําใน ACTHGC แล้ว S1 เป็น Standard ทาง East Asia แล้ว ก็เลยมาอยากเพิ่มเคโมเอาเป็นสองตัวอย่างเงี้ยค่ะว่า อ่า เอาคนไข้เป็น อ่า สเตสสูงขึ้นมาหน่อย สเตสสาม Gaptic Cancer ที่แบบทํา D2 resection นะคะ ก็มา อ่า ให้เป็น S1 กับ Docetaxel ค่ะ อ่า ร่วมกับ เอ่อ ที่เปรียบเทียบกับเป็น S1 Aloe นะคะ ก็คือให้ ให้ไป ประมาณหนึ่งปีเหมือนกันนะคะ อันนี้ ทายนี้จริงจริงก็คือ Positive RFS นะคะ ทาย คนไข้ที่ได้ S1 บอกโดย C-Taxel ค่ะ ที่ RFS เนี่ย ได้หกสิบห้าเปอร์เซ็นต์นะคะ สัญญาณที่ได้ S1 เนี่ย ก็คือแค่ 49% แต่ว่ามันเหมือนต้อง take materminate early เพราะว่าตัวของ เรื่องของ side effect อ่ะค่ะ ที่จะมีค่อนข้างเยอะอ่ะค่ะ เกรด 3 เกรด 4 ตัวของ Leuco-Pinnear ประมาณ 70-80% เลยอ่ะค่ะ ก็ปัจจุบันก็ไม่มีใครให้เยอะทาง S1 โดซี่อ่ะค่ะ เพราะว่า side effect ที่ค่อนข้างเยอะอ่ะค่ะ อันนี้ก็เป็น summary time คือตามอาจจะไปดูเองได้ ก็คือ ACTS, GC, TS1 ทั้งหมดก็ต้องกินประมาณ 1 ปีค่ะ ถ้าเป็น classic study ก็คือให้อัจจุแบนเป็น Z-log อันนี้ก็ positive time เหมือนกันค่ะ ก็ประมาณ 6 เดือน แต่ถ้าแจ๊คโค้ดก็ต้องคุยกับคนไข้ดีค่ะ เรื่องของ side effect ของคนไข้ค่ะ แล้วก็ meta-analysis ที่พูดไป เดี๋ยวอาทิตย์จะอยู่ในส่วนของ RT นะคะ หลังจากผ่าตัดแล้ว ก็มีว่า เราแอด RT เข้าไปร่วมกับเคโมมันจะดีกว่าไหม ก็มีการศึกษาหน้าในเรื่องเป็น Prisorvac หรือว่า Intergroup 1-116 ใน USA ก็คือเอาคนไข้ที่เป็น D-Straight 1-4 ของ Gapdic Cancer เอนนี้เอน เอนประมาณ 500 คน ก็ขาหนึ่ง เซอร์เจอร์รี่เสร็จมา Observe แต่อีกข้างหนึ่งก็คือเอาคนไข้มาให้เป็น KMO เป็นแบบ 5FU ค่ะ 1 ไซเคิลแล้วก็จากนั้นก็คือเป็นแบบ CCRT แล้วก็ 5FU ตามหลักค่ะ Primary End Point ก็เป็น OS ค่ะ ก็จะต้อง จริงๆ คลายนี้คือ Positive OS กับ RFS ค่ะ แต่ว่าต้องระวังนิดนึงว่าต้องไปดูเบสไลน์ของคนไข้ค่ะ ก็คือคนไข้ในคลายนี้ค่ะ คนไข้ได้ทำ Less Than D1 Deception ถึง 54% ค่ะ คนไข้ได้ทำ D2 แค่ 10% ค่ะ คือข้อมูลมันจะค่อนข้าง represent ในกลุ่มคนไข้ที่ ได้ทำ Less Than D1 ถึง 54% ค่ะ เพราะฉะนั้นคลายนี้ไม่แน่ใจว่าที่มัน Positive เพราะว่ามันยังไม่อริเวตเรื่องของการ Surgery ค่ะ แต่ว่า Side Effect ก็ค่อนข้างเยอะค่ะ ประมาณหนึ่งเปอร์เซ็นต์ แล้วก็เกรดสังเกตประมาณเจ็ดสิบสามเปอร์เซ็นต์นะคะ แล้วก็ประมาณสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์คนไข้ต้อง ค่ะ แล้วก็ถัดมาก็มี Artist ของตัวของ South Korea ในปี 2011 อ่ะค่ะ อันนี้ก็คือคนไข้ทั้งหมดต้องได้ทำเป็น D2 Dissection อ่ะค่ะ แล้วก็เอาคนไข้อาศุนย์ Dissection Gatectomy Stage 1-4 ก็จริงๆก็จากไปกับทายสวะเมื่อกี้เลย แต่ว่าอันนี้เขาเอาแค่คนไข้ที่ทำ D2 เท่านั้นเข้ามาค่ะ ซึ่งทายนี้ออกมาค่ะ ก็คือเขามาให้เป็นตัวของ Caves เป็น Adjuvant Chemotherapy เทียบกับตัวของ CCRT ก็คือเป็น KFWRT ก็เพราะว่าไทยนี้ก็คือ ภายในรินพร้อมเป็น DFS มัน Negative นะคะ แต่ว่ามัน Positive แค่คนไข้ที่ริมโน้ต Positive ค่ะ ก็เขาก็เลยเหมือนมันก็เลยดูว่า พอเขาทำ D2 resection นะคะ การแบบเหมือน RT ประโยชน์มันก็ดู benefit มันก็ไม่ชัดเจน เหมือนท้ายแรกที่เป็น positive นะคะ จริงๆ ก็อาจจะต้อง แล้วเขาก็เลยมีตามมาต่อค่ะ ที่ประมาณ 7 ปีค่ะ ในของท้าย Artist นี้ค่ะ ก็เหมือนสุดท้ายเหมือนท้าย มันก็เกือบจะ negative ไปทั้งคู่ค่ะ ลิมโน้ตที่ positive ก็เกือบคล่อมแล้วเหมือนกันนะคะ ก็อาจจะต้อง เขาก็ยัง pressure เรื่องของการ CCRT ในคนไข้ Adjuvant ที่จะเป็น Adjuvant CCRT ในคนไข้ทำ Gattectomy ค่ะ แล้วก็จากนั้นก็คือมีทายของตัวของ ออกมาก็เขาก็เห็นว่าการอ่าทายแรกค่ะที่ว่าให้ CCRT ได้ก็เลยว่าจะเพิ่มเป็น ตามอ่าทายของ นะคะที่อ่าที่ที่ให้เป็น แล้วก็อ่าแล้วก็จากนั้นก็คือมาด้วยแล้วก็อีซีเอฟอีกสองรอบค่ะก็อันนี้ก็คือเพราะว่าไม่ได้ไม่ ทั้งโอเอสแล้วก็ดีเอฟเอสนะคะก็ต้องไป แล้วก็จากนั้นก็คือเป็นอามาตร์ในส่วนของอาทิตย์ทูลค่ะ อาทิตย์ทูลเขาก็เอาคนไข้เป็นสเตส 2 กับ 3 กราปติก อดีโน คาซิโนมา อาสุรีริสเซคชั่น D2 ริสเซคชั่น ก็คือคล้ายกัน แล้วก็ขาหนึ่งก็คือให้เป็นแอจุแวนส์ S1 นะคะ แป็กไซเคิลค่ะ แล้วก็อีกขาที่สองเนี่ย เขาทำเป็น 3 อาร์มนะคะ ก็คือให้อันนี้เป็นให้ซ็อก และที่ 3 ให้ซอกกับ RT เพราะว่าคนไข้ที่ได้ Advanc ซอกกับ RT ก็ดูจะได้โปรลองตัวของ DFS แต่ว่าการ Additional เรื่องของ Radiotherapy ร่วมกับ Chemo ก็ไม่ได้ลด Rate ของ Decalent หลังจากทำ Gattic D2 สักเท่าไหร่ อันนี้ก็เป็นสรุป summary ของคนไข้เรื่องของ Chemo radiation ที่ Positive ก็จะมีเรื่องของ Intergroup ที่ Positive แต่ว่ามันเป็นข้อมูลของคนไข้ Less Than D1 ค่ะ แต่ว่าพอมาเป็น Artist ใน Korea ก็จะ Positive ดูมี Benefit ให้ในคนไข้ที่ Note Positive ค่ะ จากนั้นก็จะเป็นยุควิราชของเรื่องของ Pre-op Treatment นะคะ Pre-op Treatment ก็เริ่มมาจากตรงของ Magic Tri นะคะ ที่ก็คือเอาคนไข้มาให้เป็นตัวของเคโมก่อนก็คือ ECF แล้วก็ Surgery แล้วก็ ECF อีก 3 ไซเคิลค่ะ เทียมกับ Surgery Alone ค่ะ ในคนไข้ที่เป็น Stage 2-3 ค่ะ Performance 0-1 ค่ะ ก็ Primary End Point เนี่ยก็คือเป็น Overall Survival ค่ะ ก็เพราะว่าคนไข้ที่ได้ Pre-op Chemo นะคะ ก็คือ Improve ทั้ง ตัวของ OS แล้วก็ PFS เมื่อเทียบกับการ Surgery Alone ตัวของ Overall Survivor ค่ะ คนไข้ที่ได้ Peri-Op Chemo อยู่ที่ 36% Surgery Alone คืออยู่ที่ 26% ฮาสาว Ratio อยู่ที่ประมาณ 0.75 แล้วก็คนไข้ในกลุ่มนี้ค่ะ ก็คือได้ทำ D2 Resection ประมาณ 40% อันนี้จากนั้นก็เลยกลายมา ETF ก็เลยกลายมาเป็น Standard แล้วก็จากนั้นก็มีในของ French หรือ Accord Study Accord07 ที่คนอ่าวคนไข้ Grafted Cancer ประมาณ 25% แล้วก็เป็น Lower Esophageal ประมาณ 65% เป็นคนไข้ Stage 2-3 ก็มาเทียบ อันนี้เขาเคโมจะน้อยลงหน่อยค่ะ ก็คือเป็นซีทกับ FU ค่ะ ให้สองถึงสามไซเคิลแล้วก็ไปเซอร์เจอรี่ จากนั้นก็ตามด้วยซีท FU อีกสามถึงสี่ไซเคิลค่ะ แล้วก็คอมแพลกับตัวเซอร์เจอรี่อัลโหลนก็ดูเป็น อัลโหวออสโซเรียวอลเหมือนกันนะคะ อันนี้ก็ แมมนีเต็มเวิร์นเหมือนกันนะคะ ก็ ทั้ง แล้วก็ ค่ะ แล้วก็คนไข้ที่ได้ผลิตอบตัวของ CIPATIN กับ FITE-APO ตัวของ Acid Rejection ก็อยู่ที่ประมาณ 14% นะครับ เที่ยวกับ Surgery อาลิมก็ประมาณ 14% นะครับ แล้วก็จากนั้นก็พอตัวของ ECF ที่ว่าเป็น Standard มาก่อน ตอนแรกที่ Positive ค่ะ เขาก็เอามาทำเทียบเลยกับในคนไข้ที่เป็น Reflectable Adenocarcinoma ของ Esophagus กับ EGJ ค่ะ Clinical T2 ขึ้นไปกับ Note Positive ค่ะ ก็มาให้เป็นตัวของ Fraud ก็คือเอา Dosey Taxel เข้ามา Add เพิ่ม เทียบกับ เป็นฟลอตเรจิเมนต์ ก็คือจะมียาเคมโมเป็นโดซิทักเซล ออสเติมพลาคติน แล้วก็ไฟล์ FU เทียบกับตัวของอันเดิม ก็คือ อีพีรุวิซิน ซิท ไฟล์ FU ก็เทียบกัน แล้วก็คนไข้ก็คือได้ recommendation ให้ทำเป็น D2 resection ตอนแรกเขาทำเป็นเฟส 2 ก่อน ก็คือดูแผลสีอาร์ ก็คือมันแอคชีพแผลสีอาร์ คนไข้ที่ได้ตัวของฟลอตเรจิเมนต์ แผลสีอาร์อยู่ที่ประมาณ 15% เทียบกับ 6% จากนั้นก็คือมาทำเป็นตัวของเฟส เอาล่ะ จับๆ ดีค่ะ ก็คือเป็น Positive ทั้ง Overall Survival กับ DFS ค่ะ ก็คือตัวของฟลอตเนี่ย ก็คือตัวของ Fire Overall Survival อยู่ที่ประมาณ 45% แล้วก็ ECF อยู่ประมาณ 36% จากนั้นก็ แต่ว่า Side Effect คือเพิ่มขึ้นมาตาม เพราะว่าเคโมคือเพิ่มขึ้น ตัว Neutropinia ก็คือประมาณ 51% เทียบกับตัวของ ECF ก็ประมาณ 39% ค่ะ แต่ว่าตอนนี้ก็คือ ถ้าจากข้อมูลดีสุดค่ะ ก็การให้ Peril of Chemotherapy เป็น Fructisimine ก็ดูจะได้ Benefit เยอะที่สุด ถ้าคนไข้ฟิตดีค่ะ อันนี้ก็เป็นสรุป เดี๋ยวไปดูเองได้ครับ ส่วน Arthur Approach ค่ะ ก็คือในคนไข้ก็คือวิธีอื่นๆ ค่ะ เขาก็เอาอันนี้ของ Crytic Study ค่ะ เขาก็เอาก็คล้ายๆ กันก็คือมาเป็น Peri-Op Chemo ก่อน เป็น ECF Surgery แต่ว่าอันนี้หลังผ่าตัดเขามีการแอด RT เข้ามาค่ะ ก็คือเอามาเทียบกันว่า เราได้ให้ RT เข้าไปในคนไข้หลัง Surgery แล้ว ในคนไข้ที่เป็น resectable stage 1 ถึง stage 4a ใน Grafted cancer ประมาณ 83% ซึ่งคนไข้ได้ทำส่วนใหญ่เป็นทำเป็น D1 resection ประมาณ 79% แล้วก็มี R0 resection ประมาณ 80% แต่ก็เพราะว่าเขาดู primary endpoint เป็น overall survival มันก็ดูไม่ใช่ benefit ทั้งคู่ ทั้ง OHS แล้วก็ PFS ก็คือ ก็แสดงว่าการแอด RT ในคนไข้มันก็ดูไม่ได้เบนฟิตค่ะ ก็ถัดไปก็คือเป็นไทยของโพเรียค่ะ จริงๆอันนี้ออกมาในปีนี้ค่ะ ก็เป็นโพรดิกี้ของทางเกาหลีค่ะ ก็คือเขาเอาคนไข้มาให้เป็น DOS DOS ก็จะเหมือนกับฟลอตทางเอเชียค่ะ ก็คือเป็น DOSI-Taxel แล้วก็ตัวของ S1 นะคะ กับ OxyLipatin ก็คือจะเปลี่ยนจาก FIFU ก็เป็น S1 แล้วก็มา Surgery จากนั้นเขามาให้เป็น Adjuvant เป็น S1 ต่ออีก 8 Cycle ค่ะ เทียบกับอีกขาหนึ่งคือไม่มีการให้ตัว Peri-Op Chemo คือเป็น Surgery Alone แล้วก็ตามด้วย Adjuvant S1 ว่าเป็นยังไง อันท่านี้ก็คือการให้ พอว่า primary endpoint เป็นตัวของ PFA มันก็ได้ benefit อยู่ แต่ว่าตัวของพีริม เรื่องของ overall survival ตอนที่ cut point ยัง recoup ได้แค่ประมาณ 17% ก็อาจจะต้องตามต่อไปว่ามันจะได้ benefit ไหม ว่าการให้ polyop เข้ามา แล้วก็ตามด้วย surgery แล้วก็มา adjuvant เป็น S1 ว่า overall survival จะ positive หรือเปล่า แล้วก็อันนี้ก็จะเป็นตัวของ Resorpti นะคะ Resorpti นี่ก็เพิ่งออกมานะคะ ตอนแรกเป็นแบบ อ่า พิริมเนียของ Esmogor ก็คือเขาจะทําในทาง น่าจะเป็นที่ประเทศจีนนะคะ ก็คือทําในคนไข้ที่เป็น Locally Advanced Glycotic Cancer ค่ะ แล้วก็ อ่า เป็น T4 N positive ค่ะ อ่า หรือว่า อ่า ก็คือจะเป็น อ่า เนี้ย ก็คือจะดูแบบ HIGH STATE มากกว่า โดยที่ขาเหนือค่ะ เขาก็จะมาให้เป็น เป็นซอก 3 ไซเคิล จากนั้นไปผ่าตัด แล้วก็ตามด้วย Advans Sock อีก 5 ไซเคิล แล้วก็เป็น S-Mind อีกประมาณ 3 ไซเคิล มันจะงงๆ นิดนึง ประมาณทั้งหมด 8 ไซเคิล หลังผ่าตัด แต่ว่าก่อนผ่าตัดก็คือให้เคโมไปก่อน ประมาณ 3 ไซเคิล แล้วก็ขาที่ 2 คือเป็น Surgery แล้วตามด้วยซอก เหมือน Classic Study ค่ะ แล้วก็ขาที่ 3 อาร์มซี คือเป็น Surgery แล้วตามด้วยตัวของซีล็อต แล้วก็อันนี้เขาก็จะเทสว่าคนไข้ที่ให้ตัวของ Perlite of Chemo ค่ะ แล้วก็เทียบกับ เหมือนจริงๆเขาก็จะเอาเหมือนมาเทียบอะค่ะ ระหว่าง Perlite of Chemo กับ Adjuvant Chemo ว่าอันไหนมันดูดีกว่ากัน ก็คือเขาเทส Superiority ค่ะ แต่ว่าเขาก็อยากรู้ด้วยว่าขาแบบถ้าเป็น S1 กับ Oxalate Pactin อย่างงี้ค่ะ เทียบกับตัวของ C-Log มันไม่ได้ร่อยไปกว่ากันนะ ก็คือทำเป็น 2 คำถามค่ะ Panmeri Endpoint เขาก็ดูเป็นตัวของ DFS ค่ะ ก็พบว่าคนไข้ที่ได้ Peri-Op Chemotherapy ตามด้วยการ Surgery ค่ะ ก็ดูว่าจะได้ตัวของ DFS ค่ะ มัน Positive DFS ค่ะ แล้วก็เมื่อเทียบกับคนไข้ที่เป็น Post-Op C-Lock อย่างเดียวค่ะ แล้วก็เพราะว่าตอนนี้ก็คือมันไม่เคยมีทายเทียบเลยว่า Peri-Op กับเป็น Adjuvant แบบ เอ่อ หมายถึง Polyop กับ Postop อ่า Treatment อ่ะค่ะ อันไหนมันดีกว่ากัน ก็ทางนี้มันจะ มันจะเอามาตอบคําถามเราในเรื่องว่า การให้ Polyop มันแลดูจะได้ดี เอ่ย เอ่ย บน ค่ะ แล้วก็ตัวของการให้ เอ่ย ซ็อก แลกิมเมนต์ กับซีล็อก ในเป็น Adjuvant อ่ะค่ะ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่ค่ะ ส่วน Side Effect ก็ อ่า ก็ อ่า ดูแบบ Compatible ค่ะ ไม่ได้ต่างกันค่ะ ก็ส่วน HER2 จริงๆ ก็กำลังจะออกมาเหมือนไปเปิดดูมันยังมีทายของ P-TUGGA ก็คือเขาจะให้ในคนไข้ที่เป็น HER2 โพสิทีฟ ก็คือให้ฟอสแล้วก็ให้ HER2 ทานทู ก็สคริมมาร์มันเขาตีพิมพ์ใน ESCO ปี 2020 เป็น Phase 2 Study ค่ะ ก็คือขาหนึ่งก็คือคนไข้เอาคนไข้ เป็น CT2 แล้วก็ N ที่เป็น HER2 โพสิทธิพเท่านั้น N ประมาณ 81 ลาย แล้วก็ ECOG ต้องแบบ 0-2 แล้วก็ขาหนึ่งให้เป็น FLOG REGIMENT ก็คือ FLOG SURGERY แล้วก็ FLOG 4 CYCLE อีกขาหนึ่งก็คือให้เป็น FLOG บน 4 CYCLE แล้วก็ TIME 2 PER 2 แล้วไป SURGERY แล้วก็ตามด้วย Fort กับ Thru Thru Per Thru แล้วก็จากนั้นก็คือให้อีก 9 ไซเคิลเป็นตัวของ Anti-Her2 ก็ Primary Endpoint เขาดูเป็นแผล CR ค่ะ เขาก็อัดชีพตัวของ Primary Endpoint ค่ะ ก็คือ ปลายนี้ก็คือคนไข้ที่ได้ Fort กับ Thru Thru Per Thru เนี่ยเหมือนได้แผล CR ประมาณ 35% เทียบกับคนไข้ที่เป็น Fort Alone ค่ะ ก็คือ 12% แล้วก็ตัวของ DFS กับ OS นะคะ ก็ยัง Not Rich ไงค่ะ ที่ได้ Fort กับ Anti-Her2 ค่ะ อาจจะต้องรอดูต่อไปค่ะว่า ว่า ว่าแบบ มันออกมาเป็นยังไง อันนี้คือลอง ดูแล้วมันยังไม่มี ออกมาค่ะ ตอนนี้ก็คือ ตามที่อัพเดทแรกสุด ก็คือของคนไข้ที่เป็นตัวของ Grafted Cancer ก็คือ ถ้า Prefer ถ้าเป็น Peri-Op Chemo ก็จะเป็นตามข้อมูลของ FOX4 แล้วก็ Other Recommend ก็คือจะเป็นของ Friends Study ที่ให้เป็นตัวของ SysFU ส่วนถ้าหากว่าร่วมของ Low Reaction ก็จะเกี่ยวในคนไข้ที่แบบ R1 หรือ R2 Resurrection ก็จะมีข้อมูลทุก Intergroup ที่ Positive แล้วก็ตัวของ post op chemo ถ้าคนไข้ไปอัฟฟรรณ์ GAD-Bectomy ค่ะ แล้วก็จะมาให้ตัวของ IJUVAN นะคะ เขาก็ recommend เป็นตาม classic study ก็คือให้เป็น ตัวของ CAPE-ORG ค่ะ เป็นแค่ recommendation ส่วน follow up ค่ะ ก็ถ้าเป็น TIS ก็ follow up ส่วนใหญ่ก็คือ หลักๆ ก็คือในคนไข้ ที่ตามช่วงแรก 3-6 เดือน เป็นระยะเวลาประมาณ 1-2 ปีแรก จากนั้นก็ 6-12 เดือน ประมาณ 3-5 ปี แล้วก็อาจจะมีการทำ CT Chase อัพโดรนี่ ก็คือ As Indicated แต่ว่าถ้าหากเป็นสเตรสที่เป็นสเตรส 2-3 อันนี้อาจจะทำบ่อย ก็อาจจะทำที่ทุก 6-12 เดือน เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปีแรก จากนั้นก็ Annually ประมาณ 5 ปีที่จะต่าง แต่ว่าเวลา Follow-up ก็คือประมาณ 3-6 เดือนในช่วง 2 ปีแรก แล้วจากนั้นก็ถูกถึง 12 เดือนที่ช่วง 3-5 ปี ก็ถ้ามี นะคะ ก็ต้องไป ได้ไหมค่ะ ถ้าได้อยู่ก็ หรือถ้าอันก็เดี๋ยวให้น้อง ต่อค่ะ ก็ของเรื่องของ ก็หมดเท่านี้ค่ะ จบของเวลาสิบห้านาที คําถามอะไรไหมค่ะ น้ำหยุด