Transcript for:
ชีวิตและความทุกข์ของพระปตาจาราเทรี

วิชาอนุพุทธประวัติ ธรรมศึกษาชั้นโธ ฉบับประปรุง พุทธศักราช 2560 พระปตาจาราเทรี เอาล่ะ มากันครบแล้วใช่ไหม ครูจะได้เล่าเรื่องของพี่สุเนียรูปต่อไปให้ฟัง ค่ะ ทุกคนดูภาพนี้กันเลยครับ โอ้โห พิกษุนีรูปนี้สวยมากๆเลยค่ะ พิกษุนีท่านนี้เหรอครับ ที่คุณครูบอกว่าชีวิตท่านมีแต่เรื่องหนักๆ จนเสียสติไปเลย ใช่แล้วพิกษุนีท่านนี้คือพระปตาจาราเทรี แล้วประวัติท่านเป็นยังไงคะ เล่าเลยค่ะคุณครูหนูอยากฟังแล้ว แหม่ใจร้อนจริงๆ พระปัตตาจาราเทรี เป็นธิดาของเศรษฐี ชาวเมืองสาวัฒนฐี เป็นหญิงมีความงดงามมาก ปิดามานดาธนุธนอมห่วงใหญ่ ให้อยู่บนประสาทชั้น 7 เพื่อป้องกันการคบหากับชายหนุ่ม โห ขนาดนั้นเลยเหรอคะ เมื่ออายุย่างได้ 16 ปี ได้แอบคบหากับคนรับใช้ในบ้านของตน ต่อมา บิดามารดาของนาง ได้ตกลงยกนางให้เกียรติชายคนหนึ่ง ที่มีชาติสกุลและทรัพย์เสมอกัน เมื่อกล้ายกำหนดวันวิวา นางกับคนรับใช้ผ้ากันหนีออกจากบ้าน ไปใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านตำบลหนึ่ง ซึ่งไม่มีคนรู้จัก ช่วยกันทำมาหากินตามอัตภาพ ได้รับความทุกข์ยาก แสนสาหัส เพราะไม่เคยทำงานหนักมาก่อน ต่อมานางได้ตั้งคัน เมื่อคันแก่ใกล้คลอด จึงชวนสามีกลับไปคลอดบุตรที่บ้านเดิมของตน แต่สามีไม่กล้าไป เพราะกลัวถูกลงโทษ พูดบ่ายเบียง จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่ วันหนึ่ง เมื่อสามีออกไปทำงานนอกบ้าน นางได้สั่งเพื่อนบ้านให้บอกสามีว่า นางกลับไปบ้านเกิด แล้วก็ออกเดินทางไปตามลำพัง พอสามีกลับมา ทราบความนั้นจากเพื่อนบ้าน จึงรีบออกติดตามไปทันที ได้พบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไร นางก็ไม่ยอมกลับ ท่านใดนั้น นางเจ็บท้องจะคลอด จึงพากันเข้าไปใต้ร่มไม้ริมทาง นางคลอดบุตรด้วยความยากลำบาก สองสามีภรรยาปรึกษากันว่า ธุระที่ไปยังเรือนของบิดามันดานั้นสำเร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร จึงพากันกลับเรือนของตน อยู่ร่วมกันต่อไป ต่อมาไม่นานนัก นางตั้งคัน เป็นครั้งที่สอง เมื่อคันแก่ใกล้คลอด จึงชวนสามีกลับไปคลอดบุตร ที่บ้านเดิมของตนอีก แต่สามีไม่กล้าพากลับไปเช่นเดิม นางจึงอุ้มลูกคนแรกหนีออกจากบ้านไป แม้สามีจะตามมาทันชักชวนให้กลับ ก็ไม่ยอมกลับ จึงเดินทางไปด้วยกัน ไปได้ไม่ไกลนัก เกิดลมพายุพัดอย่างแรง และฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกันนั้น นางก็เจ็บท้องใกล้จะคลอดขึ้นมาอีก จึงพากันแวะลงข้างทาง ฝ่ายสามีไปหากิ่งไม้มาทำที่กำบังลมและฝน แต่เคราะห์ร้าย ถูกงูพิษกัดตาย ใกล้จอมปลวก นางทราบกันมากกว่า และกลับไปที่นี่ ทั้งเจ็บท้อง ทั้งหนาวเย็น ลมฝนก็ยังคงตกลงมาอย่างหนัก สามีก็หายไปไม่กลับมา ในที่สุด นางก็คลอดบุตรคนที่สอง อย่างน่าเวทนา โถ น่าสงสารจังเลย บุตรของนางทั้งสองคน ทนกําลังลมและฝนไม่ไหว ต่างก็ร้องไห้กัน เสียงดังลั่น แข้งกับลมฝน นางนําบุตรทั้งสองมาอยู่ใต้อก ใช้มือและเข่ายั่นพื้นดิน เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกทั้ง ทั้งสองเปียกฝนได้รับทุกขเวทนาอย่างหนัก เมื่อฟ้าสางสามียังไม่กลับมา จึงอุ้มบุตรคนเล็กเพิ่งคลอดใหม่ จุงบุตรคนโตออกตามหาสามี เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวก เสียใจร้องไห้รำพันว่า สามีตายก็เพราะตนเป็นต้นเหตุ คิดว่าเมื่อสามีตายแล้ว เราก็ขาดที่พึ่ง จะกลับไปบ้านก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจไปหาบีดามานดาของตน ที่เมืองสาวัตถี อุ่มบุตรคนเล็กและจูงบุตรคนโต เดินทางไปด้วยสภาพน่าสงสารยิ่งนัก คลั้นมาถึงฝั่งแม่น้ำอาจิระวดี เห็นน้ำเต็มฝั่ง เนื่องจากฝนตกหนักตลอดคืน นางไม่สามารถจะนำบุตร ข้ามแม่น้ำไปพร้อมกันได้ จึงสั่งให้บุตรคนโตรออยู่บนฝั่งนี้ แล้วอุ่มบุตรคนเล็กข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อถึงฝั่งแล้วได้นำใบไม้มาปูรองพื้นให้บุตรคนเล็กนอน แล้วกลับไปรับบุตรคนโตเดินข้ามน้ำ พะวงหน้าพะวงหลังหันกลับมาดูบุตรคนเล็กด้วยความห่วงใหญ่ ขณะถึงกลางแม่น้ำเยียวตัวหนึ่งบินวนไปมายูบนอากาศเห็นเด็กน้อย มีลักษณะเหมือนชิ้นเนื้อ จึงบินโฉบลงมา เฉี่ยวเอาเด็กน้อยไป นางตกใจสุดขีด ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่โบกมือร้องไล่เหี่ยว เหี่ยวพาลูกน้อยของนางหายไป ส่วนบุตรคนโต ยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่โบกมือทั้งสอง ตะโกนร้องอยู่กลางแม่น้ำ เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงวิ่งลงไปในแม่น้ำ ด้วยความไร้เดี่ยงสา ถูกกระแสน้ำ พัดพาจมหายไปต่อหน้าต่อตา เมื่อสิ้นสามีและบุตรทั้งสองแล้ว นางจึงเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านบิดามันดาเพียงลำพัง ทั้งหิวกระหาย ทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ เศร้าสูกเสียใจสุดประมาณ เดินบนลำพึงลำพันไปว่า บุตรคนหนึ่งของเรา ถูกเยี่ยวเฉียวไป อีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีก็ตายในป่าเปลี่ยว น่าสงสารท่านจริงๆนะคะ สูญเสียทั้งลูกทั้งสามี แต่ท่านยังเหลือครอบครัวเดิมบ้านเสดที่ของท่านอีกนี่นะ คงไม่แย่ขนาดนั้นหรอก เรื่องราวยังไม่จบนะ ท่านยังเจออะไรมากกว่านี้อีก ฮะ มากกว่านี้อีกหรอคะ แค่เนี้ยผมก็ว่าแย่มากแล้วนะครับเนี้ย ใช่แล้วมีแย่กว่านี้อีก ถ้าอยากรู้ต้องติดตามตอนต่อไป ว้าวคุณครูแย่งเบิกบานผู้ซะงั้น