โอเค สวัสดีที่มาอีกอาทิตย์ของ CK Podcast ประชาชนเรียกร้องมากๆ ก็เลยขอบคุณที่อุตส่าห์สละเวลามา ผมรู้ว่าเวลาของคุณท็อปมีความข้างมากครับ ขอบคุณมากๆครับ ก็เดี๋ยวผมขอเข้าเรื่องกันนะครับว่า จริงๆ พอดคลาสต์ที่ผมก็อยากให้มันเป็น ผมว่าหลายๆคนเข้าใจชีวิตของคุณท็อป ที่มาที่ไปของคุณท็อปน่ะ แต่วันนี้อยากได้แบบเป็นเน้นเป็นที่ข้อมูลที่ คนฟังสามารถได้เลยกลับไป บอกว่าสามารถใช้กับชีวิตประจำวัน สามารถที่จะ ไปเอาพอดคลาสต์ที่เข้าใจชีวิตหรือการเงินมากขึ้น พอเริ่มต้นเลยคือว่า ถ้าคําถามคือ What is money? เงินคืออะไร คุณท็อปจะตอบ สมมุติถ้ามีเด็กคนนึงถามคุณท็อปว่า What is money? What is this thing called money?
คุณท็อปจะมีคําตอบกับเด็กคนนี้ว่าไงครับ สําหรับผม มันนี่คือสิ่งที่เราสามารถที่จะ Store purchasing power ของเราทุกคนไว้ได้ แล้วเมื่อก่อน ถ้าเราหิวทุกครั้ง จะต้องเอาหมูไปแลก กับเนื้อ Artering System เนี่ย มันก็ไม่เวิร์ค เพราะว่าเราก็ต้องไปหาสิ่งที่มาแลกเปลี่ยนตลอดเวลา แต่พอเรามี invention ที่เรียกว่า Money กันมาเนี่ย มันสามารถที่จะทำให้เรา Store หรือ Delay Purchasing Power ได้ เพื่อที่จะไม่ต้องมาแลกกันทุก Transaction แต่ทีนี้ Money เนี่ยมันก็แบ่งเป็นทั้ง Money แล้วก็ Currency ซึ่งหลายๆคนคงไม่ได้เคย differentiate บางคนก็ใช้สลัก บนใบบนหมาย บางคนก็ใช้ Money วางกว่าคุณมีมันนี่ไหม คุณมีเคอร์เอนซี่ไหม แต่จริงๆมันต่างกัน ที่ผ่านมาถ้าเราศึกษาประปาฏิษฐานเนี่ย เราใช้มันนี่มาตลอดจนถึง 1971 เนี่ย หลังจากนั้นเนี่ยเราเริ่มใช้เคอร์เอนซี่แทน ผมไม่รู้ภาษาไทยแปลว่าอะไร คือมันเหมือนเราใช้เงินจริงๆในอดีตมา 1971-1971 เราเริ่มใช้เป็นคุปองร้านอาหารแทน คุปอง Footstamp ที่สามารถที่จะ Redeem กับมูลค่ากับรัฐบาลในทุกเมื่อ ถ้าใครเคยไปดูในแบงค์ 1 ดอลลาร์ หรือ 100 ดอลลาร์อะไรอย่างนี้ มันจะเขียนว่า This is not money นะ มันเป็นแค่ Promissory Note Promissory Note ที่ Redeem มูลค่ากับทางรัฐบาลในทุกเมื่อ ทีนี้ ถ้าพูดถึง Money ที่ยาวเลย เพราะว่าผมก็เรียนเศรษฐศาสตร์มาด้วย แล้วก็ศึกษาเรื่องปวดศาสตร์การเงินของโลกมาด้วย ทีนี้มันก็รู้ว่า Money มัน evolve ทุก 50 ปีโดยเฉลี่ย ตั้งแต่ Bartering System ที่ผมบอกว่าต้องเอาไก่ไปแลกกับหมูอะไรอย่างนี้ครับ หิวเมื่อไหร่ก็ต้องไปแลกกัน แต่มันไม่มีสิ่งที่มัน Store Value ได้ใช่ไหม เราก็เริ่มคิดค้นเป็น Commodity Based Money ขึ้นมา ที่เมื่อก่อนก็ใช้เปลือกหอยแทนเงิน ที่สามารถที่จะ Store Value ได้ แต่มันก็ต้องมี Property สี่ห้าง ที่มันถึง Classified ว่าเป็น Money ได้ เช่น Fungibility มันมีสี่ห้าง ที่มันถึงจะมี Scarcity ที่มันจะจำกัดจำนวนได้ แล้วก็ขยับเป็น Commodity Based Money มาเป็น Metallic Based ก็เป็นพวก Gold, Silver, Copper, Gold Standard ในยุคนั้น ที่ British เป็นมหาบนาธิ์อยู่ แล้วก็เป็น Britain Wood System ที่มีดอลลาร์มาออกมาแล้ว มาแบ็คด้วยทองคำ ก็ยังมี Metallic Money แบ็คอยู่ข้างหลัง ตั้งตอนหนึ่งอยู่ แล้วค่อยมาลอยตัวจากทองคำใน Post Britain Wood System ตอน 1971 แล้วนี่ก็เรากำลังจะพูดถึงอนาคตที่แบบ ในอนาคตเงินไม่ใช่กระดาษแน่นอน เป็น Digital Money แน่นอน แทนที่จะแบ็คด้วยหินสีเหลือง Gold, Weeds Club จำนวนจำกัด แล้วก็มาแบ็คเป็น Trust ในรัฐบาล อีกหน่อยคนจะ Trust ใน Logic ของเลข Trust ใน Logic ของ Mathematics คือ Digital Currency ซึ่งจริงๆ Key ก็คือมันก็คือต้องเป็น Store of Purchasing Power ที่เราสามารถที่จะ Delay Consumption อะไรได้ และสามารถที่จะมาซื้อได้ในเมื่อที่เราอยากจะใช้จริงๆ ใช่ไหมครับ และอันที่ 2 คือมันต้อง Convenience ที่มันเป็นแบบ Transactional Protocol ที่สามารถที่จะใช้จ่ายสะดวกพกพาสะดวก ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับเงินเนี่ย มันก็จะกระทบชีวิตหลายเรื่องมากเลยนะครับ อย่างผมชอบ Angle ของ ที่เป็น Angle ของพี่หมู่ 6 ปีครับที่เขาทำ ว่าชีวิตต้องมีเรื่องเงิน เรื่อง Career Health เรื่อง Peace of Mind เรื่อง Relationship ถ้าเรื่องเงินกระทบ ถ้าไม่มี Money Management Skill ก็จะกระทบเรื่อง Relationship เรื่องงาน มันก็จะไปหมดใน Angle นี้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่ทุกคนต้องรู้ว่าเงินคืออะไร แล้วก็วิธีการบริหารเงิน วิธีการลงทุน มันคืออะไร Inflation คืออะไร การ Selectorage Money การ Tax ภาษีทางอ้อม ที่มันใช้กันเยอะมากในประธิติการพัฒนา เพราะบางทีเก็บภาษีได้ไม่ 100% ในประธิติการพัฒนา วิธีเก็บภาษีทางอ้อม ก็พูดถึง inflation เนี่ยแหละ It's in the Rajmani ใช่ไหม ในศาสน์ที่เขาเรียกกัน ทำให้ processing power ของเราหายไป ถ้าคนไม่รู้เรื่อง inflation ลงทุนไม่เป็น อยู่เฉยๆ เนี่ย หนักกว่าคนที่ลงทุน สำหรับการปรับตัว หรือผลกระทบต่อชีวิต ที่มันจะกระทบด้านอื่นไปเรื่อยๆ แล้วก็เลยสำคัญมากในเรื่องพวกมี แล้วตัว digitization ของเงิน แน่นอนคือเงินคือ แน่ๆ คือ เรากำลังจะไปสู่ cashless สายตีละ ทุกอย่างมันคือ เราเงิน เราเงิน มันก็มีสองฝั่งนะ มันก็จะมีคนที่บอกว่า ให้รัฐบาล ไม่ได้ให้นั่นเกิดมา แต่มันมันจะมีฝั่งว่า ให้แบบ รัฐบาล ไม่ได้หยุดมันจากการเกิดมา อยากรู้ว่าคุณทอป ถึง ของ ตรงนี้คือยังไงครับ คือเดี๋ยวนี้มันมีเทรนด์ใหม่ที่ ในอนาคต ถ้าแชร์ตามตรงรุ่นพวกเรา เรากำลังจะกลายเป็น Global Citizen กันหมดแล้ว คำว่า Sovereign State Sovernity มัน ไอบอร์เดอร์ ไอคําว่าบอร์เดอร์มันเริ่มจะจะ จางหายไปเรื่อยเรื่อย globalization realization global citizen จริงจริงมันมีเทรนด์ที่ผมคิดว่า มีคนพูดว่ากลัวคนรุ่นหมายใหญ่ประเทศอ่ะ อืม แต่จริงจริงมันเป็นเทรนด์ทั่วโลกน่ะ ทุกคนกําลังจะกลายเป็น global citizen ใช่ตามตรงเราสามารถใช้เงินห้าร้านบาททุกวันนี้ ซื้อสัญชาติได้แล้ว จะเอาอะไรดีครับ สักที่หนึ่ง อืม โดมินิกา กรีนาด้า เดินทางได้ 150 ประเทศ ซื้อ Passport ได้ไปใน 3 เดือน แล้วมีคนรวยคนไหนบ้างที่มีสัญชาติเดียว ถ้าพูดตามความจริง ทุกคนมีหลายสัญชาติกันหมด ซึ่งทุกคนก็เป็น Global Citizen แล้วก็ Hop Around เดือนไหน Weather ดี แบบหนีหนาวจากฝั่ง Europe มาที่ Asia Asia นอนไปฝั่ง Europe มันก็ Hopping Around ไปเรื่อยๆ แล้วคำว่า Sovereign State มันก็เริ่มจางไปเรื่อยๆ ในไหนจะมีเรื่องของ Tax Benefit อีกที่ สร้างเป็น Free Zone แต่ไม่หมดเลย ตอนนี้ทางใต้ของภูถานเปิดเป็น Area ใหม่ที่จะใหญ่กว่าสิงคโปร์ 3 เท่า RSI Free หมดทุกอย่าง Capital Gain Tax, Income Tax, Corporate Personal Income, Corporate Tax ทุกอย่าง Free หมด ให้ 1 ล้าน Citizenship แล้วก็จะมี Area อย่าง Riyadh ที่ Abu Dhabi, Dubai แข่งกับทางของ Saudi Arabia Riyadh ที่ย้ายพวก HQ ของล่าสุดนี้ย้าย Goldman Sachs ไปได้แล้ว เขาก็ยกเลือกภาษี พยายามได้เจ้าแข่งกันเป็นฮับ เป็นฮับกันทั้งหมด Free Zone เขาว่า Border เนี่ย มัน ตอนนี้ทุกธุรกิจเขา Operate เป็นผ่านอินเทอร์เน็ตกันหมดแล้ว Borderless By Nature ของอินเทอร์เน็ตมัน Borderless แล้วก็มี Headquarter อยู่ที่ ที่มัน Tax Benefit ดีที่สุด แล้วคนก็ Hop Around ไม่ได้มีคนไหนบ้าง ส่วนใหญ่ที่ทำธุรกิจตอนนี้ที่อยู่แค่ประเทศเดียว แล้วในอนาคตเนี่ย มันก็จะมีเทรนด์เน็ตที่มันมากกันเรื่อยๆ รุ่นคุณพ่อคุณแม่เราเดินทางไปต่างประเทศกี่ประเทศ รุ่นเราเดินทางไปต่างประเทศกี่ครั้ง รุ่นคุณปู่เราเดินทางไปต่างประเทศกี่ครั้ง ฟรีควันซี่มันถิ่นมากกันเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นมันก็เลยมีคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เรียกว่า Network State อันนี้เป็นฟรอนเทียร์ใหม่เลยที่ใหม่มากๆ ที่ Growth ใหม่เลยของโลกเนี่ยที่นอกจาก Cryptocurrency นะครับผมว่า Longevity แล้วก็ Network State Network State คืออะไรก็คือ อีกหน่อยคนอยู่ที่ไหนก็ได้ เพราะทุกคนเป็น Global Citizen กันหมดแล้ว แต่เขาจะ conform to ideology หนึ่งที่มีความเชื่อเหมือนกัน แล้วก็ form เป็น Digital Sovereign State ขึ้นมา แล้วคนนายจะอยู่ในทุกที่ ล่าสุด Montenegro เข้าใจ Concept นี้ แล้วก็ไปเปิดตั้ง Vitalik ผู้ก่อตั้ง Ethereum ไปก่อตั้งสิ่งที่ก็ Pop-up Village ที่ชื่อว่า Susulu City ที่ Montenegro แล้วคนที่มี ideology เดียวกันก็จะกลายเป็น Citizen ของ รุษรุ ซิตี้ แล้วภาษีจ่ายที่ไหนครับ ภาษี ถ้าได้รายได้จากตรงนี้ ภาษีคือจ่ายรัฐอะไรครับ มันเป็น Free Zone เนี่ยครับ Free Zone แต่ต้องย้ายเข้าไปด้วยแบบ ซึ่งใช่ครับ ใช่ ก็มันจะมี คือมันจะมีเป็น Network State เนี่ย มันจะ form เป็น Digital Community ใช่ไหม เป็น Digital State เลยครับ ที่มี Ideology เหมือนกัน แต่ไม่ได้แปลว่าคุณเกิดไปเป็นไหน ประเทศไหน คุณต้องเป็นคนของประเทศนั้น เข้าใจ ทุกคนสามารถมีมาจากทุกเชื้อชาติด้วยหมด โดยที่เป็นคนมีสิทธิ์ เลือกชะตากรรมตัวเอง เพราะว่าคนเลือกเกิดไม่ได้ครับ Interesting ใช่ไหมครับ แต่เขาเลือกที่จะ conform to ideology อะไรได้ As เขามีสิทธิ์ที่จะ make choices Based บนความเชื่อของเขา เขาเลือกเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคนเนี่ยจะเกิด ประเทศไหนก็ไม่ care แต่มาร่วมกันใน Digital Sovereignty อันนี้ แล้วเขาก็จะต้องมี Physical presence ด้วย Physical presence ตรงเนี่ย เขาจะไปตามพวก Physical free zone ดูบาย อาบูดาบี ภูทาน มอนเทอร์เนกโร ล่าสุดเขาไปเปิดที่มอนเทอร์เนกโรเป็น Pop-up Village ที่ชื่อว่า Susalu City แล้วทุกคนก็สามารถที่จะมีเป็น Physical Present เป็น Physical Competitiveness ของคนที่มี Ideology อย่างนี้ แล้วก็ภาษีก็ฟรีหมด ซึ่งถามว่าอีกหน่อย คนพวกนี้ต้องใช้ Currency อะไร ที่จะเป็น Transaction ของโลกอินเทอร์เน็ตทั้งหมด ก็หนีไปพ้น Decentralized Currency ก็คือ Cryptocurrency โลกของเราเนี่ยขยับขึ้นจาก Centralized ไปเป็น Decentralized มากยิ่งขึ้น เราเห็นได้ชัดเจนของยุคที่ Internet เมื่อก่อน Information มัน sold super Centralized ตอนนี้มันก็ Decentralized หมดแล้ว TCP IP มาใครสร้าง Zoom, Skype, Google Meet อะไรก็สร้างบน TCP IP Protocol ได้หมดใช่ไหมครับ มันเป็น Open Source มันมีคำพูดหนึ่งที่ผมชอบมากเลย เพิ่งกลับมาจาก Summer Davos สองวันที่แล้วที่จีน ตาเหรียญ ก็มี Future Finance Session เขาบอกว่า เขาเริ่มพูดในเวทีเขาเนี่ย บอกว่า เขาพูดอีเมลนะ อีเมล มีใครพูดบ้าง นี่คือ This is my local email, this is my global email มีใครพูด มีแค่แบบ one universal email มัน Global Friction Lesson Instant นี่คืออีเมล แต่พอพูดถึง Payment เนี่ย โอ้โห หยิบกระเป๋าสตางค์มาเนี่ย โอ้โห Union Pay This is my local payment for China Visa Mastercard for Europe Business Union แบบโอ้โห การ์ดเต็ม แค่บัตรเครดิตธนาคารก็เต็มกระเป๋าไปหมด Now let's this เป็น This is my local pay, this is my global pay แต่อีเมลมันไม่ใช่ ซึ่งมันตลกมั้ยที่ พอพูดถึงอีเมลมัน Global ไปหมดแล้วกัน แชร์ข้อมูล มัน Decentralized มันสร้างบน TCP SMTP Protocol ที่มันก็ Decentralized by nature ของมัน แต่พอพูดถึง Physical ที่เป็น Payment เนี่ย ยังเป็นกระดาษอยู่เลย เขาเลิกเขียนจุดหมายกันไม่รู้ยุคไหนแล้ว ส่ง Email กันหมดแล้ว พอไม่ใช้เงินกระดาษไปใช้เงินออนไลน์ เงินออนไลน์ก็ยังเป็น โอเค This is my local payment This is my union pay, this is my whatever Japanese JPCP อะไรของเขาครับ มี Local Global Net มัน Fragmented อะ อีกหน่อยมันก็จะมีเป็น Open Source Payment Infrastructure หัน DCP IP แนวว่าคือ Bitcoin Protocol มี monetary easing ได้ stimulant ได้ ซึ่งมันก็เลยเป็นสิ่งที่รัฐบาล คือในแค่ความมองว่ามันเหมือนกับ เป็นบางอย่างที่ มันขัดกับสิ่งที่รัฐบาลอยากให้มันเป็น ไม่รู้ว่าแบบ ถ้ามุมมองของคุณท็อปเองในอนาคต ผมก็เชื่อนะว่า cryptocurrency is gonna be the future แต่ว่าแบบ จุด compromise สว่าง คนที่บอกว่า ดิจิทัลเคอร์นซี คือ ทุกอย่าง ทุกอย่าง ทุกอย่าง กับรัฐบาลบอกว่า ไม่ ผมต้องการความกัดเงิน ความกัดเงินมันคืออะไรครับ มันจะมี ตอนนี้ก็เห็นการเคลือบนาน ไอสปอต เอทีเอฟ อะไรว่ากันไป แต่ รัฐบาลสามารถรับได้ ความกัดเงินมันอยู่ไหน อันนี้ก็แชร์อินไซค์อําลับเล็กนึงคือ ตอนนี้เฟดอัลฟิร์ส ครับ ต้องเรียกเซ็นทรัลแบงค์ทั่วโลกมาเจอกัน อืม แล้วก็บังคับให้ออก CBDC แหละ อืม แต่ว่าในอนาคตการันตี เราไม่ใช่เงินกระดาษแน่นอน เราใช้เงินดิจิทัล 100% แต่ทีนี้เงินดิจิทัลมันจะมี 3 โฟร์แมตต์ Internet, Intranet, Extranet 3 System Coexist ถ้าจริงๆรัฐบาลไม่ได้ชอบ Free Flow Information เมื่อก่อนเกราะจะออกสื่ออะไรต้องมี License คุมข้อมูลทุกอย่างว่าอันไหนพูดได้อันไหนพูดไม่ได้ นักสือพิมพ์ทุกอย่างครบรัฐบาลหมด ทุกอย่างมันเป็น Regulated Channel หมดเลย ข้อมูลทุกอย่าง แต่พออินเทอร์เน็ตมันมา มันหยุด Decentralization Technology ไม่ได้ Decentralize Technology สุดท้ายคนก็ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ดี เราก็รู้ความจริงอะไรเยอะมากที่เมื่อก่อนโดนเซ็นเซอร์ไว้ แต่อะไรที่มันยังเป็นแบบ Confidential Close System Communication เขาก็ยังใช้อินทราเน็ต แล้วก็ยังใช้อินทราเน็ตที่เป็นคอมพิวเตอร์ชั่นของ Close แล้วก็ Open System Payment เหมือนกันครับ มันก็มี Resistance เหมือนกับอินเทอร์เน็ตแหละ ที่เขาก็ไม่ได้อยากจะเปิดหรอก เอาจริงๆ ในยุคแรก Information ก็อยากจะเป็น Regulated Channel กันหมดแหละ ตอนนี้การ Control มูลค้าก็เป็น Regulated Channel ทั้งหมด ธนาคาร Western Union ที่ต้องขอบายอนุญาต อีกล่อนมันก็จะเป็น 3 ซิสเต็ม CBDC เนี่ยคือ Intranet ที่ทุกแบงค์ชาติจะออกมาแล้วทุกคนเนี่ยจะต้องใช้ผ่าน Intranet ที่เป็น Close System ที่ อ่า แต่มันก็จะมี Open Source Payment Network ที่คนสามารถที่จะสร้าง Application ออนท็อปได้ เหมือนกันที่ Skype มาสร้างบน TCP IP เหมือนกันที่ Hotmail มาสร้างบน SMTP Protocol ใช่ไหมครับ ซึ่งอันเนี่ยมันก็จะเป็น Open System แล้วก็ CBDC จะเป็น Intranet แล้วเราก็จะมีเป็น Regional Payment Integration ที่เรียกว่า Extranet Version ของอาเซียนอีก เพราะตอนนี้อาทิตย์มี Insight ใหม่คือ เดี๋ยวอาเซียนจะรวมกัน มีคำสามารถที่เรียกว่า DEFA Digital Economy Framework Agreement ที่จะเซ็นต์กันเนี่ย เสร็จภายในปีหน้าแล้ว เดี๋ยวเราจะ integrate Arsenian เข้ามาเป็น European Zone เข้าหากันทั้งหมด นี่มันมี 3 อย่างก็คือที่จะเกิดขึ้นคือ Arsenian Single Window ที่สินค้าจะไหลลื่นทั่ว Arsenian ส่งออกแค่ในหน้าปากซอยอะไรอย่างเดียว Free Flow of Goods and Lost Services อันที่ 2 คือ Mobility of Talent ก็ว่ามันจะเกิดเป็น 1 Passport 1 Visa เหมือน Schengen Visa ไอ้ครับ 3 flow of people มันจะเกิด อันที่ 3 นี่เกิดไปแล้วคือ 6 ประเทศ ในอาเซียนมี 10 agreement มี 10 ประเทศ ตอนนี้ 6 ประเทศ integrate เกิดเสร็จแล้ว ที่เรียกว่า regional payment integration จะกลายเป็นเหมือนโอนเงิน prompt pay อ่ะ แต่ทีนี้คือทั่วอาเซียนได้แล้ว ไม่ต้องเสีย 25 บาท ไม่ต้องเสีย 35 บาท ไม่ต้องรอ 2 วัน ไม่ต้องจ่าย 5% ฟรี โอนเงินข้ามประเทศ อันนี้มันก็ instant มันก็จะ evolve ไปเป็นระบบ Extraded version ของ region แต่มันก็ต้องมี CBDC ที่เป็นไทยบาท Central Bank Digital Currency issued by ออกโดย Central Bank of Thailand แล้วมันก็จะมีแบบ Sousalucity ที่เขาใช้เป็นแบบ Open Source Money เลยในอนาคต ก็เป็น Internet of Money, Intranet of Money, Extranet of Money ในอนาคต มันจะเป็น 3 สิสเซ็มที่เขาออกสิทธิ์กัน Makes sense แล้วเมื่อกี้คุณพอพูดถึงตัวการเคลื่อนไหวของคน ของ Talent ที่อาจจะไม่ได้อยู่แค่ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเทศไทยแล้ว สามารถอยู่ทั่วโลกได้เป็น Global Citizen แต่มุมห้องประเทศไทย ถ้าเรามองมุมห้องประเทศไทย เพราะผมก็เพิ่งได้ฟัง Podcasting ของ Donald Trump ที่เขา Join All In Podcast แล้ว Donald Trump บอกว่า ถ้าเขารอบเขาได้เป็น President จริงๆ หนึ่งในนโยบายที่เขาจะออกคือว่า ตอนที่คุณเรียนที่อเมริกา ดิพลโมะของคุณ สมมุติถ้าคุณคือคนต่างชาติ และถ้าคุณเรียนจบใน Top 50 University ของเมริกา มันจะไม่มาแค่ดิพลโมะแค่อย่างเดียว แค่กระดาษแค่อย่างเดียว จนมันจะมาพร้อมกับ Green Card -สิ่งที่เมริกา... อะไรนะครับ? ใช่ อันนี้คือ Night About ที่ตอนนี้ช่องเขาบอกนะ เขาบอกว่านี่คือสิ่งที่เขาอยากทำ เพราะว่า เราต้องให้คนที่เก่งที่สุดอยากจะมาอยู่ในเมริกา ไม่ว่าจะเป็นคนจีน คนไทย อะไรก็แล้วแต่ We have to keep these people Example is NVIDIA Jay Chouh-wong is a Taiwanese person แต่การที่เขาสร้างนิวเวอร์เดียทที่ประเทศอเมริกา ทำให้อเมริกามีบาร์เก็นต์พาวเวอร์กับจีนด้วย So talent is the greatest thing แต่ถ้าบางคนของประเทศไทย ผมแอบกลัวนะ คือถ้าประเทศไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา เขาคิดตรงนี้ได้จริงๆ มันทำให้คนไทยจะคิดทาลันต์ได้ยาก ซึ่งธุรกิจไทย เช่น คุณธอบรับคำผมเอง ก็จะหาทาลันต์ได้ยาก วันนี้ยากอยู่แล้ว ยากขึ้นมาอีก รู้สึกว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ก็เป็นต้อง ก็ต้องเป็นสิ่งที่ประเทศไทยก็ต้องจับตามมองแล้วคุณท็อปมีความรู้สึกยังไงครับ ด้วยเลยครับ อีกหน่อยทาเลนท์นี่คือย่างเงินแบบอาหารสาร อย่างผมอยู่ใน YPO ครับ Dubai Government คือให้ Golden Visa เลย ไม่ได้ลงทุนสักบาทเลย 0 บาท ได้เป็น PR อยู่ 10 ปีได้ฟรี นี่เขาแข่งขันกันขนาดนั้น คือปกติทางประเทศไทยคือคุณต้องลงทุนก่อนนะ ลงทุนในประเทศฉันก่อน ฉันถึงจะให้ Golden Visa หรืออะไร 2 ปี 5 ปี Whatever แต่คุณต้องลงทุนก่อน แต่ดูไบคือใจกว้างกว่า ใจกว้างคือเบ็ดไปเลยว่า ให้คนทุกคนที่เป็น potential ที่เป็นนักลงทุนที่มีเงิน มาประเทศให้ไปเลย คุณไม่ต้องลงทุน เปิดใจ ใจกว้างก่อนคือ คุณไม่ต้องลงทุนสักบาท ผมให้คุณก่อนเลย แล้วเดี๋ยวคุณมา พอให้ citizen ไปแล้วเนี่ย ยังไงคุณก็ต้องมาเยี่ยมดูไบสักครั้งนึง พอเห็นว่า ปลาสีฟรี เริ่มมาลงทุนที่หลัง มันกลายเป็นใจกว้างกว่าเยอะเลย ไปมุมที่แบบเบ็ดไปเลยว่า ทุกคนที่มี potential ฉันให้ ง่ายๆเลย ภูฐานนี่น่ากลัวกว่าคือ ไม่เคยเปิดประเทศเลย Self-sustain มาโดยตลอด เป็น Carbon Negative Country อยู่ประเทศเดียวของโลก อยู่ได้ด้วยตัวเองคนเดียว ตอนนี้กำลังจะเปิดทางใต้ของภูฐาน ทั้งประเทศมีประชากร 700,000 คน แค่ทางใต้อย่างเดียวจะให้ Citizenship 1 ล้านคน Wow มากกว่าประชาชนของเขาทั้งประเทศอีก อยู่ทางใต้ของภูฐาน ผ้าสีฟรีหมดทุกอย่าง อ่า บอกเลยว่า Saudi Arabia มี Thirst อยู่โหยมากต่อการเจอเดินเติบโต ใช่ บ้านเขาปลูกอะไรไม่ได้เลย โอ้โห บอกเลยว่า นี่คือ The New China ที่เขาจะดึงทาเลนท์ ดึงบริษัทที่เปลี่ยนโลกเนี่ย ไปที่นั่นมาหาศาล แต่ประเทศนั้นข้อเสียคือ โอ้โห 50 องศา เคยเห็นในวีดีโอไหมที่เอากระทะทอดไข่ ตอดไข่ แล้วก็ยืดไปนอกกระจกซะ ไข่สุกเลย แบบร้อนมาก คนยังไปอยู่บรูซรอยด์ วิ่งเต็มดูไบย ขนาดมันร้อนขนาดนั้น อยู่ได้แค่ 3 เดือนต่อปี ช่วงปลายปีแค่นั้น นอกนั้น 50 องศา คนยังไปกัน บ้านเราปูเขาสวย ทะเลสวย แต่ไม่มี Policy ที่ใจกว้าง ที่ดึงดุ แล้วเรา Age จริงแล้วนะ ในอาเซียเรา Age จริงอยู่แค่ประเทศเดียว เวียดนามหนุ่มสาวดำเมอเทศ อายุเฉลี่ยของคนฟิลิปปินที่ทำงานอยู่ อยู่ที่ 30 ปี อายุเฉลี่ยของอีโดรีเซียอยู่ที่ 25 ปี ประเทศไทยเนี่ย แก่อยู่ประเทศเดียว แล้วถ้าเราไม่เอา Talent เข้ามา แล้วใครจะทำงานในประเทศไทย มันจะมีเรื่อง Social Contract อีกแม่ง คือถ้าสมมุติเราไม่ให้สัญชาติไทยมากขึ้น Social Contract ตรงที่ว่า ถ้าเรียนเสียดอาสารจะรู้ว่า คนที่ทำงานที่เป็น Working Population กำลังแบกคนที่เด็กๆ Predistribution กับคนที่แก่แล้วก็เสียแล้ว ที่เป็น Retirement Age ไม่ว่าจะเป็น Providence Fund อะไรต่างๆ มันกลายเป็นคนระดับ Working people เนี่ย ที่แบกอยู่ทั้งสองฝั่ง แล้วมันแบกหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ในฝั่งนี้ แล้วถ้าในอนาคตมันสกลูลไปฝั่งของ Aging กันหมดแล้ว แล้วมันจะ Balance ยังไงในเรื่องของ คนทำงานไม่พอ ใช่ไหมครับ มันต้องรีบเปิดด่วน แล้วถ้าผมว่าเมืองไทยเปิดเมื่อไหร่เนี่ย มีวิธีเหมือน Susulu City ว่าไหร่ อ่า EEC เนี่ย เปิดมาเลย Popup Village Network State อะไร มี Ideology อะไร มันมาที่นี่เลย เดี๋ยวเรา facilitate เต็มที่ ใช่ไหมครับ Green Card สู้กับ Donald Trump ไปเลย ฟรีโซน ฟรีภาษีหมดเลย ยังไงเรามีบุคเขาสวย ทะเลสวย อาหารอร่อย คนไนท์ ยังไงก็ชนะทะเลทราย ที่ 50 องศา แค่มี Policy ที่มันต้อง Competitive สำหรับเขาได้ แล้วสมมุติถ้า พวกธนาคต์คุณท็อปก็คือ เรียนต่างประเทศ แล้วตักเสนอเจ้าเจ้าจะกลับมาประเทศไทย ในการสร้างธุรกิจ ถ้าสมมุติว่า นโยบายนั้นไม่เกิดขึ้นจริงๆ อย่างเช่น คุณท็อปไปเรียนได้อังกฤษ แล้วได้ Working Pivot ได้ทุกอย่าง สามารถทำงานที่นั่น สามารถทำสร้างธุรกิจที่นั่น ถ้าย้อมเวลากลับไปคุณท็อป ถามตรงๆ คุณท็อปติกยังจะกลับมาป่ะ ถ้าสามารถที่จะทำนี่นั่นจริงๆ จริงผมยังไงก็กลับมานะครับ เพราะว่ามันภูมิใจกว่าเยอะ ที่ได้กลับมาสร้างอะไรให้กับประเทศ ให้ทิ้งอะไรให้กับประเทศไทย ที่เราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนไทยใช่ไหมครับ แล้วเราก็อยากจะสร้างอะไรให้กับประเทศของเรา แต่มันก็มีท้อบ้างนะ คือถ้า Bitcub ตาม Matrix ที่เรา achieve ได้เนี่ย ถ้าอยู่ที่สหรัฐนี่คือเรา 8 Billion Dollar แล้วเนี่ย คือเราเท่ากับ Coinbase 4 ปีที่แล้ว ทุกอย่าง ทุกช่องนี้เช็คหมดทุกอันเนี่ย จำนวน User base, Revenue, Volume อะไรต่างๆเนี่ย ตอนนั้น Coinbase Valued at 8 Billion เนี่ย ตอนเรามาอยู่ไทยโดน ASEAN Discount จนไม่ถึง 1 Billion ซึ่งมันก็มีข้อน้อยใจตรงนั้น แล้วก็ไม่ค่อยมีใครสนับสรุนต้องผ่าด่าน ผ่าถางหญ้าอะไรเยอะมาก แต่ในฝั่งของที่มันภาคภูมิใจก็คือมัน มันได้สร้าง Noise เยอะมากในวงการการเงินประเทศไทย มันได้สร้างคันแบ่นแปลงให้กับประเทศไทยเยอะมาก แล้วจริงๆผมอยู่อังกฤษมามันก็ไม่ได้น่าอยู่เท่าประเทศไทยนะเอาจริงๆ หลายๆคนคิดว่าอยากจะย้ายประเทศแต่จริงๆผมว่า ประเทศไทยเนี่ยมีอุดมสมบูรณ์หมดทุกๆอย่าง มี Endowment เขาชื่อเรียกว่า Endowment Endowment ที่แบบดีกว่าหลายๆประเทศเยอะมาก แต่อันนี้มันเป็น Endowment Curse Curse อย่างหนึ่งคือประเทศที่อุดมสมบูรณ์เกินไปเนี่ย จะไม่มีความทยศยาณที่จะ survive หรือพัฒนาไปข้างหน้า แต่ประเทศที่ไม่มีอะไรเลยเนี่ย อย่างซิงโกโปร์ หรืออะไรที่แบบ diameter แค่ 10 กิโลเมตร คนมีแค่ 5 ล้านคนทั้งประเทศเนี่ย เขาจะมีความทยศยาณที่จะ innovate ที่จะ survive เพราะว่าเขาไม่มี curse ของความสบายเกินไป ที่มันมีทุกอย่างครบ ในเย็นประทิติหนาวมากๆ ที่ทำงานได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวันพวกนี้ เขาจะไปไกลมากเลยเพราะว่าเขาไม่มี curse ตรงนี้ ซึ่ง ถ้ามองกลับไปได้เนี่ย ที่คริมบอกว่ายังอยาก ถ้าไม่ได้มองเรื่อง wealth นะ ถ้าไม่ได้มองเรื่องความมั่งคั่งส่วนตัว ยังไงก็กลับมาเปิดที่ไทยก็ดีกว่า มันรู้สึกว่าได้สร้างอะไรให้กับประเทศเรา ใช่ไหมครับ สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ คนรุ่นใหม่สมัยนี้เขาชอบบอกว่า ประเทศไทยไม่มีโอกาส ประเทศไทยนี่ ถ้ามองคนรุ่นใหม่ตอนนี้นะ ที่ผมได้ยินมาบ่อยมากๆ นะครับ คือว่า คนรุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น working people มักจะบอกว่าแบบ ประเทศนั้นไม่มีความหวัง ดู 50 ปีที่ผ่านมาคนรวยเป็นเจ้าของบ้านเรา ถ้าอยู่บนอำนาจกุล เนี่ย ธุรกิจที่รวย ธุรกิจแบบมหาเสร็จที 50 คนแรกก็คือคนเดิม 10 ปีผ่านไป 20 ปีผ่านไปก็คนเดิม เป็นคนรุ่นใหม่ในประเทศนี้ไม่มีประโยชน์ ออกต่างประเทศดีกว่า อยากออกต่างประเทศ สำหรับกลุ่มคนที่ยังไม่เคยออกต่างประเทศครับ อยากจะ อาจจะยังไม่รู้ว่า จีนการแห่งขันต่างประเทศมันสูงมาก โอเค ผมชอบ ผม อันนี้คือ ความคิดของผมนะ แต่ผมไม่รู้ว่าคุณทอพเพนดูแล้วหรือเปล่า คือผมว่า ถ้า You want to be a millionaire in US หรือว่า UK or first world country ผมว่ามันยากกว่า ถ้าอยู่ในประเทศไทย สำคัญคิดเห็นว่าคนที่รวยอันดับ Millionaire ที่ประเทศอเมริกานะครับ ฉลาดมาก เก่งมาก คิดนอกกรอบ เพราะว่ากว่าที่เขาถึงจุดนั้น ทุกคนอยากถึงจุดนั้นใช่ป่ะ การอันดับนั้นมันสูงมาก จนมันยากกว่ามาก มันต้องแบบ 1% จริงๆ ถึงตรงนี้ได้ แต่ถ้าคุยกับ Millionaire ที่ประเทศไทย เขาก็จะไม่ได้เป็นคนที่ชลาดมากๆ แต่เขาเป็นคนที่กล้าเริ่มก่อน กล้าทำก่อน กล้าขายก่อน กล้าขายแบบนี้ก่อน กล้าที่จะคิดนอกกรอบแบบนี้ก่อน อาจจะไม่ได้ล้ำมากๆ แต่เขาคือคนเดียวที่วิ่ง ตอนนี้คุณคุณไม่มีใครวิ่งเลย แต่ถ้าคุณอยากเป็นบิลลิเนอร์ สเกลมันไม่พออยู่แล้ว แต่รู้ว่าคุณทอปเห็นด้วยกับตรงนี้ไหม แล้วก็มีอะไรที่จะพูดกับเด็กที่เขาคิดว่า ความสำเร็จมันง่ายกว่า ตอนที่คุณอยู่ต่างประเทศ หรือเท่ากับประเทศไทย แต่จริงๆมันก็ เขาก็ถูกส่วนหนึ่งตรงที่ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ความไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดในโลกเลย ประเทศเป็น ติดอีนิคล ติดท็อปแรงค์ ติดท็อปแรงค์ ความไม่เท่าเทียมกัน แล้วก็จะรันด้วยประเทศเราเนี่ย รันด้วยไม่กี่ บริกแฟมิลี่ เนี่ยครับ สี่ห้าตระกูล ที่รันในในทุกวงการว่าใคร ถ้าใครมา นี้ ตระกูลนี้คุ้มอยู่นะ อืม อย่ามาเหยียบอะไรกันแล้วกัน ใช่ใช่ใช่ แล้วก็ก็ถูกซึ่ง ก็จริง แต่ทีนี้ เรามีโอกาสมากกว่าตรงที่ว่า เราราคาตระกูลเก่าๆ เนี่ย เขาทำ Frontier Technology ไม่เป็น ต้องรู้จักคำว่า Frontier Or Operate บน Frontier ที่เป็นสิ่งใหม่ๆ เพราะเขาคุม Industry เก่า แล้วเขาก็จะรู้ว่าอยากมายุ่ง Industry กันแล้วกันนะ แต่ Industry ใหม่ และโลกตอนนี้เนี่ย มันอยู่ในยุค Set Zero Fourth Industrial Revolution ที่เข้ามา Big Data, 3D Printing, IoT, Internet from the Sky, AR, VR มา Technology, Blockchain สิ่งพวกเนี้ยมันเป็นฟรอนเทียร์ใหม่ทั้งหมดเลย ที่โอโหโอกาสมากกว่าอินเดสตรีเก่าเยอะมาก อืม ที่ตระกูลเก่าเก่าทําไม่เป็น นี่คือโอกาสของคนรุ่นใหม่ทั้งหมดเลย ที่สามารถที่จะไปไปเริ่มธุรกิจแล้วไม่เหยียบเท้าตระกูลเก่า ได้ ใช่ไหมครับ ซึ่งอันเนี้ยอย่างยกตัวอย่างของบิทคาผู้ตามตรงเนี้ย ผมก็บนฟรอนเทียร์ ที่เรียกว่าบล็อกเชน นะครับ ผมก็เกิดมาอันอันอันนี้อาจจะดูภาพว่าไปเรียนต่างประเทศหรืออะไรอย่างเงี้ยจริงจริง สาบานเลยครับ ไม่เคยใช้คุณเงินคุณพ่อคุณแม่สักบาท เปิดมาสองบริษัทไม่เคยของเงินแม่แต่บาทเดียว ไม่เคยใช้เงินในครอบครัวสักบาทเลย เราก็สามารถที่จะมาถึงจุดนี้ได้ เอ่อ คอนเนคชั่นอะไร เราก็ไม่ได้มีคอนเนคชั่นในไทย เพราะว่าเป็นลูกของคนขายเสื้อผ้า เป็นลูกของคนขายเสื้อผ้า ที่ประตูน้ําทั่วไป ไม่ได้เป็นตระกูลอะไร ถ้าไปดูนามสกุลทรัพย์สีสะพา ก็คือ Nobody เลย ไม่ใช่แบบเป็น Blue Blood อย่างที่ทุกคนเข้าใจกันว่า To make it จริงๆ เราก็เป็น Success Case ให้คนเห็นว่า ถ้าเรา Operate บน Frontier เนี่ย เราก็สามารถที่จะ Make it มาในประเทศนี้ได้เหมือนกัน แต่แค่อยากไปทำ Industry เก่าที่ สกูลเก่าก็คุมไว้อยู่ มันจะไป navigate politics อะไรมันค่อนข้างยากมาก นี่มันฝังลากลงไปลึกมากๆ แล้ว ซึ่งประเทศไทยเนี่ย ข้อดีคือ frontier มันเกิดพร้อมกันทั่วโลก ในยุคนี้ ในยุคคนรุ่นใหม่ บล็อกเชนก็เกิดพร้อมกันทั่วโลก AI ก็เกิดพร้อมกันทั่วโลก แต่เมืองไทยการเงินขันยังไงก็น้อยกว่าคนที่ โอ้ยิ่ง advance เท่าไหร่ ประเทศที่ยิ่ง advance เท่าไหร่ ยิ่งมีคนที่ educate มากขึ้นออกนั้น competition ยิ่งมากขึ้นออกนั้น ถ้าผมไปสร้างฟรอนเทียดเทคโนโลยีอย่างบล็อกเชนที่อเมริกาเนี่ย อย่าหวังว่าจะไปชนะ Coinbase ที่เขาเป็น winner takes all ในแม่งของอเมริกา แต่ผมว่าอยู่ไทยผมก็เลยเป็น winner ของไทย กว่าแล้วเป็น Coinbase มันต้องผ่านไม่ โอ้โหไม่รู้กี่เจ้า หรืออย่างที่จีนบอกเลยว่า โอ้โห คัทโทรด กินเลือดกินเนื้อกัน โอ้โหแข่งงานกันแบบ โอ้โหกี่ ก็กี่พันล้านคนเนี่ย กว่าคุณจะเป็นแบบ Alibaba ได้ คุณต้องค่อยๆ ผ่านไม่กี่ศพ ใช่ๆ ใช่ มันสร้าง Lazada ง่ายกว่าเยอะในไทย ที่ไม่ต้องผ่านไปหลายศพมาก ซึ่งไม่ได้แปลว่าง่ายนะ ก็ความจะมาเป็น Bit Club ได้ก็ยาก แต่ถามว่าจะไปเป็น Coinbase ได้ไหม มันก็ยากกว่าเยอะ ซึ่งข้อดีของ Frontier Technology คือมันเกิดพร้อมกันทั่วโลก ทีนี้เราแข่งกับคนที่ไม่ต้องมี educated pool มันน้อยกว่า ในประเทศที่กำลังพัฒนา ประเทศที่พัฒนาแล้ว มงานที่จะ make it มันก็มากกว่า อันนี้ก็เห็นด้วยว่าการที่จะ เป็นมิลลิเนอร์ มูลไทยมิลลิเนอร์ มันง่ายกว่าในเมืองไทยโอกาสมันมากกว่า แต่คุณคี่คือต้องอบริเวณฟรอนเทียร์ อย่าไปอบริเวณอินเดสตรีเก่า ถ้าอินเดสตรีเก่าก็เห็นด้วย คนรุ่นใหม่ว่ามัน family control หมดแล้ว family เก่าๆ control หมดแล้วในไทย ไปทำร้านสะดวกซื้อก็ยากครับ หรือไม่ก็ต้องรอคุณสีเคย์ไปเป็นนายก อ๋อไม่อย่าเลยครับ อย่าเริ่มเทรนด์นะครับ แต่ถ้ามิลลิเนอร์ก็เห็นด้วย ถ้าให้คุณสีเคย์บอกว่า มันไม่มี scale มีแม่งเมืองไทย มันไม่สามารถ achieve scale ได้ ที่จะเป็น billion billion dollar billionaire เพราะว่าการที่จะเป็น billionaire ได้บริษัทคุณต้องเป็นแบบ multi 10 Billion Up Valuation ซึ่งมันน้อยมากที่จะ achieve scale นี้ได้ อย่างเมืองไทยก็มีแค่ถ้า 10 Billion Up ก็มีแค่ธนาคารขึ้นไป ที่อยู่ในต่าหลักทรัพย์ด้วย ซึ่งมันก็ต้องอาจจะอยู่ในไทยได้ แต่คุณต้อง operate แบบอย่าง Thai Union หรืออะไรที่ outside of Thailand คือคุณต้องใช้ไทยแค่เป็น base แต่คุณไม่ได้ market to Thailand มันต้องเหมือนกับ Switzerland ที่มันเล็กเกินไป มันก็เป็นเครื่องของเขาที่แบบ แค่ Service Code ในประเทศมันไม่มี Scale เล็กกว่าไทยอีก เขาก็เลยต้อง Think Global From Day 1 เพราะว่าในสัตว์ใหญ่ก็เลย Projects วิสัยดาชค่อนข้างเยอะ เขาคิด Global ตั้งแต่ Day 1 เมื่อไทยเราดันอยู่ตรงกลางเป็น Curse ที่ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ก็ไม่ได้มี Urge หรือ Thirst ที่จะ Innovate อันนี้หนึ่ง อันที่สองคือเราเป็น Mid-Size ที่แบบ โอเค ไม่ได้เล็กเกินไป Service ในท้ายก็ยังพออยู่รอดธุรกิจ มันก็เลยไม่มี Thirst หรือ Urge ที่จะแบบ เป็น Global from day one มันสวิสเตอร์แลตที่มันเล็กเกินไป ในท่าของการ ถ้าเรา Observe ในประเทศอย่างเดียว มันก็ใหญ่เหมือนกับอเมริกาที่แบบ ฉันคิดแค่ Local ก็พอ 300 ล้านคนก็เป็น Billionaire ได้ แค่เสิร์ฟแค่ตลาดอเมริกาอย่างเดียว มันมันใหญ่มากอยู่แล้ว ไม่ต้องคิด Outside of the US เลย เมืองไทยก็ Stuck in the middle ว่า แค่เสิร์ฟในประเทศอย่างเดียวก็ เป็น Billionaire ไม่ได้ แล้วประเทศมันก็ไม่ได้ใส่เล็กจนต้อง Think Global from day one มันก็เลยกลายเป็น Active ที่ Millionaire ไม่ใช่ Billionaire Level C วันนี้ ที่เราเห็นคือในสภาเขาเถียงกันบ่อยนะว่าตกลงบาทที่อ่อนหรือบาทที่แข็งมันควรเป็นแนวทางของประเทศไทยในอนาคต บางคนก็บอกว่าเฮ้ยถ้าเราโฟกัสที่ท่องเที่ยว บาทต้องอ่อน คนต่างชาติจะได้มาเที่ยวได้ง่าย คนต่างชาติจะได้มาซื้อของในเทศประเทศไทยได้ง่าย จะได้ดูน่าเร็งดูด แต่ถ้าบางคนบอกว่าต้องเมาบาทที่แข็งดิ ถ้าบาทเราไม่แข็ง คนไทยก็กลายเป็นคนจน ในมุมโมงโลกไม่สามารถซื้อของบ้านอื่นได้ ของบ้านอื่นดูแพ้ไว้หมดเลย คุณรู้สำหรับ คุณท้องเป็นผู้กรอบการที่ก็ออฟเตรนในเทศไทยมาเป็น กับ 10 ปีแล้ว 5-6 ปีแล้ว ถึง 10 ปีหรือยังครับ 11 ปีแล้ว รู้สึกว่าแนวทางที่อนาคตกำลังที่จะไปตอนนี้ รวมถึง AI ที่กำลังมา รู้สึกว่าเราควรไปที่ทางไหนครับ เพราะเราเห็น Success Case ทั้งสองฝั่ง อเมริกาที่มี Currency ที่แข็งมาก บุคบ้านอื่น หรือว่าญี่ปุ่นมี Currency อ่อนมาก แต่ว่าไม่ยินผลเลย Export อย่างเดียว แล้วคนของบ้านเขาก็ใช้แต่ของเขา ก็ควรรอดได้เหมือนกัน หรือว่าดึงดูดให้ Investor Warren Buffett มันลงทุนปี 2023 นี่คือโปรมาหาศาล เพราะว่า Low interest rate ซึ่งเลยอยากจะถามว่า รู้สึกว่าบาทที่แข็งหรือบาทที่อ่อน ในมุมมองคุณท็อปเอง อันไหนเหมาะสนใส่ไทยมากกว่าครับ กับรูปของอนาคต แต่สำหรับญี่ปุ่น บอกเลยว่าญี่ปุ่นกับทีนตอนนี้มัน Under Invest มากเลยในตลาด มัน Over Look เข้าไปเยอะ มันก็ได้สำหรับ smart investor เขาก็เลยมองเห็นถึงโอกาส มันไม่ใช่แค่เพราะเย็นอ่อนอย่างเดียวเนี่ย มันมีหลายผัดใจที่ อย่างอย่างล่าสุดตอนนี้ของตลาดหุ้นชีนเนี่ย มันมันมีทั้งเรื่อง geopolitics เข้ามาด้วย อืม ที่สถานทรัฐ ทําให้ขนาดแค่ ETF ที่เป็น basket ของหุ้นชีนทั้งหมดเนี่ย มันยังขึ้นแบบเป็น notification อะไรว่า นี่มัน basket contain sanction product อ่า มันก็ทําให้กองทุนใหญ่ใหญ่ของสถานทรัฐลงทุนไม่ได้แล้ว อืม แล้วยังจริงหุ้นจะขึ้นหรือลง มันไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเงินละย่อย มันขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินของกองทุนเนี่ย institutional money ก็เข้ามาไม่ได้ มันตัดชื่อปุ๊บ มันก็คุณก็ตกอะไร มันมีหลายปัจจัยใช่ไหมครับ ที่ทำให้ smart investor เขามองเห็น อย่างญี่ปุ่นเนี่ย เขามีประหารเรื่อง aging อะไรก็จริง แต่ทุกอย่างมัน so cheap อะ cheap มากๆ ทุกอย่างมัน under interest rate ติดลบ แล้วทุกอย่างมัน deflation แล้วทุกอย่างมันถูกมากๆ ไปเทียบกับ quality ของเขา แล้วก็เขากำลังแค่แห่งประหาร aging population ของเขาแล้ว โดยการเปิดให้ ทาเลนส์เหมือนกัน พูดถึงประหารทาเลนส์เมื่อกี้เนี่ย กำลังจะเข้าไปที่ อืม ญี่ปุ่นเยอะมาก แล้วจะมีเรื่องของ ai fund อะไรอีกใช่ไหมครับ แล้วก็ เรื่องของ immigration เนี่ย เขาทำให้มันง่ายลงเยอะมากเลย ง่ายแบบ อย่างรวดเร็วมากๆ ตอนที่เปิดธุรกิจที่ญี่ปุ่นนี้ง่ายมากๆ มันมีหลายอย่างที่ smart investor ก็มองเห็น แต่ถ้ากลับมาที่เมืองไทยเนี่ย exchange rate เนี่ย มันเป็นปลายเหตุครับ ต้นเหตุจริงๆ คือรากต้องแข็งแรง รากของต้นไม้ต้องแข็งแรง ตอนนี้เนี่ยที่เมืองไทยหนักมากคือ debt to GDP ratio สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ council debt เนี่ย แล้วก็ debt to GDP ratio นี่ควรเรือนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย แล้วก็ Government debt เข้าไปถึงเท่าไหร่ เดทัลเกตุร์ GDP 90% แล้วเกิด 100% นี่อันตรายแล้ว ซึ่งพวกนี้มันคือความเชื่อมั่นหมดเลย มันจะไปทบกับปลาเหตุ คือ currency เนี่ย ว่าจะอ่อนหรือแข็งมันอยู่ที่ความเชื่อมั่นของประเทศด้วย อย่างประเทศไหนครับ ที่มันเกิดสีรังกาเลย ที่แบบ overthrown government เพราะว่า เดทุร์ GDP มันเกินถึง 100% ใช่ไหมครับ ซึ่งสิ่งที่เมืองไทยจะต้องทำ แล้วไปที่ทางดีกว่าโลกนะครับ อย่างแรกคือต้องปรับรากให้แข็งแรง Fix the route ที่เด็ดทุน GDP ต้องลงมาด่วน ดีกว่าเรือนต้องลดมาด่วน ที่เวียนนาวเขาปริตคนที่มี skill set ที่ใน Science and Technology เนี่ย ได้ 500,000 คนต่อปี เด็กนักศึกษานะครับ เมืองไทยที่หลักหมื่นคน เราต้องมี human capital ที่ทำงานเป็นด้วย แล้วอนาคตนอกจาก aging อย่างเดียวไม่พอนะครับ Silver economy ที่เราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเนี่ย เราจะต้องทำให้พนักงานทุกคนปัจจุบัน แล้วก็เด็กที่กำลังจะจบโมง 6 เรียนตรงสายด้วย ไม่ใช่จบแบบ PR นิเทศอะไรกันหมดทุกคน แต่ต้องจบใน Science and Technology ที่มันไปทิศทางเดียวกับโลก พวกนี้มันคือทำให้ลากมันต้องแข็งแรง ในเรื่องของอันที่ 2 ที่จะต้องทำในเรื่องของ Digital 4 อย่าง Digital Green Open Inclusive อันนี้เป็น Strategy ของจีนแล้วก็เวียดนามที่ไปฟังมาที่ดาวบอสที่เพิ่งกลับมา Digital คือ Fourth Industrial Revolution AI, Big Data, 3D Printing, IoT Devices Ethereally from the Sky, AR, VR, MR Technology, Blockchain พวกนี้คือ Frontier Technology ที่มันจะเข้ามาปฏิวัติการทำธุรกิจทั้งหมดเลย เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งหมดเลย เป็น Premium ใหม่ เขาบอกว่า Industry เก่าเนี่ยมัน แต่ข้อดีอย่างหนึ่งคือ ก็ปล่อยให้ Family เก่าๆ อยู่ใน Industry เก่าไป เพราะว่า Premium มันหมดแล้ว มัน Maxed Out ว่า Utility Function มันหมดเกลี้ยงแล้ว มันเป็น Red Ocean หมดแล้ว เราต้องหาหน้าที่ของประเทศต่างๆ บวกกับจีนที่เขากำลังจะทำนี่คือเปิด Blue Ocean Strategy หาตลาดใหม่ สร้าง New Market, Find New Market, Open Up New Opportunity ซึ่งพวกนี้มันคือการ Operate บน Frontier ใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นอย่างที่สองที่เมืองไทยต้องทำกระทรวง Digital ต้องเป็นกระทรวง Grade A ได้แล้ว เมืองไทยไม่ใช่กระทรวงกระเทศตอนนี้ นั่นอันนี้มันคือ Growth Engine มหาศาสตร์ที่จะเอาเงินเข้าประเทศมหาศาสตร์เลย เศรษฐกิจดิจิทัล ตอนนี้เศรษฐกิจดิจิทัลของทีขึ้นไปถึง 44% ของ GDP เขาแล้ว เกือบครึ่งหนึ่งแล้ว GDP ของเขามาจากเศรษฐกิจดิจิทัล เวียดนามล่าสุดเพิ่งประกาศ 2 วันที่แล้วที่ผมเพิ่งกลับมาขึ้นไปถึง 18% แล้ว Digital Economy ของเวียดนาม เมืองไทยเรายังเพิ่งพา Physical Trade อยู่เลย โดยไม่กี่ Family ในเมืองไทย ก็คือออกข้าว ออกมะลิ ยางพาลารถสันดาป มันมีไม่กี่อันที่เรา มันต้อง Physical คือมันต้องจับต้องได้ Physical Trade นี่คือ Activity หลักของ GDP แต่ในความเป็นจริงคือในประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาไม่ได้เพิ่งพา Physical Trade ขนาดนั้นแล้ว เขาเพิ่งพา Digital Trade จับต้องไม่ได้ Digital Economy Service Trade แล้วกันที่สามคือ Digital Service Trade โดยเฉพาะ AI หักดันเรื่อง Digital Service Trade ที่ทุก Software Application ที่เราใช้อยู่ Work day of the world, Trello อะไรต่างๆ มันจะอยู่ background อะ Under the background ไม่ต้องให้คนมานั่งกด copy and paste กด link นู่นตรงนี้ นี่คือ 90% of the corporate jobs ที่มันทำให้เราเป็น robot Ignorance you under the background ซึ่ง Digital Service Trade มันก็จะมามี impact GDP มาอาจารย์ อันที่ 4 คือ Green Trade ปีที่ผ่านมาโลกโต 300% สามเท่าตัวใน Green Trade ครับ มันเคยสิบนี้ พวก Carbon Credit ก็อยู่ใน Green Trade ใช่ไหมครับ พวกนี้มันจะเป็น Activity ใหม่ที่เราต้องปลดล็อกให้กับประเทศไทย ที่มันทำด้วยภาคเอกชนอย่างเดียวก็ไม่ได้ ข้อดีอย่างที่เมืองไทยยังอยู่รอดว่าภาคเอกชนเราแข็งแรงมาก แต่การที่จะ Transition ทางนี้มันต้องไปทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มันก็เลยมีคำว่า PPP Public and Private Partnership ขึ้นมา ใช่ ซึ่งสิ่งที่คุณดอล์ฟพูดมันต้องการ Force ความพยายามจากทั้งสองฝ่าย ทั้ง Public และ Public คือ Public sector แน่นอนต้อง ไม่ควรเป็นคู่แข่งเอง แต่ควรไปทำ สร้างสิ่งออกมาให้ private อยากที่จะทำใช่ไหมครับ แต่รู้ว่า Darwosh ที่ไปเนี่ย มี public sector จากประเทศไทยไปด้วยไหม รู้ว่าที่ Summer Darwosh คือ 0 คนเลยครับ ไม่มีอีก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ ทางนี้จริงจริงนะ เวียดนามนี่คือไปทั้ง คอลโลมอล ทั้ง cabinet เลย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ คุณทอพกำลังพูดถึง 4 trend นี้ แต่วันนี้คุณทอพคือกำลังพูดในฐานะ Private sector พลังเกิดชน ที่คุณท็อปก็รู้อยู่แล้วว่า พักดันแค่คนเดียวมันไม่เห็นพอ คุณท็อปก็มีเสียงใหญ่แล้ว จากอ้าวไปพูดหลายวัยที่ได้ แต่ถ้ามันไม่มีนโยบายในการ พักดัน Green Technology ไม่มีนโยบายในการพักดัน Digital Trade ส่งเสริม Digital Trade เมื่อกี้วิทยาลัยนังเข้าไป มันก็เกิดขึ้นได้ยากมาก ทำไม ทำไมมันถึง อันนี้ผมอาจจะไม่มีคำตอบกันนะครับ แต่ผมอยากถามคุณท็อปว่า วาย วาย ทำไมมันถึงไม่มีฝั่ง Public Sector จากประเทศไทยไปดาวอสเหมือนกับคุณพบ จริงถ้าไปดาวอสใหญ่ วินเทอร์ดาวอส มีไป และในที่สุดก็ไป ผมภูมิใจมาก คุณเสธาที่เด่นมากและพูดได้ดีมากในเวทีของโลก ในโมกราคมที่ผ่านมา ผมว่า คุณเสธาพูดได้ดีที่สุด เมื่อเทปกว่าทุกนายกในอาเซียน ในห้องสินาด้า คือห้องใหญ่ในห้องสินาด้า เป็นครั้งละที่คน ผู้นำอาเซียนคือเข้าห้องใหญ่ มีผู้นำจากเวียดนามเข้าไป พราบินิสเซอร์ของเวียดนาม อ่า อินโดนีเซีย อ่า พิลิปปีน แล้วก็มีไทยแลนด์ อืม คุณเศรษฐาพูดดีสุด อืม ครั้งสุดท้ายที่เราได้ นาย ท่านนายกรได้ไปคือ ยิ่งรัก อืม แล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลยเป็นสิบปี ตัดขาดจากการสื่อสารทางโลกเป็นสิบปี แล้วก็เพิ่งเนี้ยมี มันเศรษฐาได้ไปเป็นตัวแทนประเทศไทย represent asian ก็ดีมากนะครับ แล้วก็มีนองนายกรรมน์รัฐมนตรีไปอีกสองท่าน หมดสาม public figure เราไปสามท่าน แต่ที่ summer divorce เนี่ยไม่มีใครไปเลย มี แต่เวียดนามนี่มาทั้งคอลโลมอล์เลยครับ เวียดนามนี่ทั้ง cabinet เลย แล้วเขาก็มีความคิดกระหายมากเลยที่จะเอา investment เข้าประเทศของเขา อืม ผมคิดว่าผู้นำประเทศเราต้องไปมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยเรื่อยเพื่อจะได้เข้าใจ ว่าโลกกําลังจะเดินไปทางด้านไหน แล้วก็เอาโอกาส ออกโอกาสเข้าประเทศไทยมากขึ้น ถ้าอย่างกับชนไปเยอะขึ้นนะครับ อืม ล่าสุดก็มีน่ะ อ่า เคยแบงค์เป็นสมาชิกปีที่แล้ว ปีนี้ SCB เพิ่งเป็นสมาชิก ครับ ก็มีแบบเป็นแบงค์ใหญ่ใหญ่ อ่า เป็นสมาชิกมากขึ้นเรื่อยเรื่อย แล้วก็ อ่า ไปกับ global leader มากขึ้น แต่ถ้ากลับมาที่ นอกจากกระทรวงดิจิทัลต้องเป็นส่วนเกรดเนี้ย อืม อย่างที่เมืองไทยจะต้องทําต่อคือ อ่า คําว่า Green ต่อไป Digital Green นะครับ อันที่สามเนี้ย ที่นอกจาก Root ต้องแข็งแรง พอ Root แข็งแรงเนี่ย ต้องแก้ไหลทั้ง household debt นี่ครัวเรือน นี่ debt to GDP ratio ประเทศเลยต่างๆ ให้รากมันแข็งแรง Macro Policy ที่มันไม่ tempered growth อันที่สองก็คือ Digital ต้อง กระทรวง Digital ต้องเป็นกระทรวง Grade A หักด้านเรื่องเศรษฐกิจ Digital ครับ Operate บน Frontier เพราะเนี่ยคือ Blue Ocean New Market Opportunity อันที่สามคือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ต้องเป็นกระทรวง Grade A ทั้งคู่ไม่ได้ไปเกรดอีกแล้วทั้งคู่แหละ มันกระทรวงการดิจิทัล มันกระทรวงการทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ใช่เกรดอีกทั้งคู่ในประเทศไหน แต่มันดันเป็นกระทรวงที่จะเอาเงินเข้าประเทศมากที่สุดเลย ในทิศทางของโลก Digital Green Revolution Green เนี่ย Carbon Pricing จะมาละภายในปี 2019 ครับ ที่อีกหน่อยขนาดที่ยังบิตคับเนี่ย เราไม่ได้เป็น Industry Heavy Industry ที่ปล่อยสารอะไรใช่ไหมครับ แต่แค่ผมบินไปที่ดาวออสเนี่ย แค่ฆ่าก็บินเพียงก็ต้องใส่เข้าไปเนี่ย พีเอ็ดเอลของผมแล้ว ใช่ไหมครับ ครับ ครับ ไม่ต้องซื้อ ซื้อ อะไรอย่างเงี้ยครับ อืม แค่สามสี่ ห้าปีเอง ที่มันจะต้องเริ่ม แล้ว พวกเขาเป็น อย่างเงี้ยครับ อีกหน่อย โอ้ ที่ผมน่าตกใจมากคือ ของเวียดนามประกาศชัดเจนนะครับว่า ตอนนี้เวียดนามสามารถที่จะผลิต ไฮควอลิตี้ โลมีเทนไรส์ เป็นครั้งแรกของโลกได้ อืม อีกหน่อยข้าวของบริษัทไทยส่งออกไม่ได้นะ โดนซีแบม ก็คือกําแพงประสี คุณผลิตข้าวแบบทำร้ายโลกใช่ไหม มีเตรียนสูงเนี่ย อิมพอร์ตอบไม่ได้ สี่กรับแซงกชั่น ไม่แซงกชั่นก็ให้เข้าประเทศก็ได้ แต่ภาษีทาริฟท์เนี่ย เท่าตัวสมมุติ แล้วจะไปสู้ข้าวเวียดนามได้ยังไง ที่เป็น Low Methane Rice ก็ผลิตได้ที่แรกของโลกละ หน่อย Physical Traits ของไทยหายไปแล้ว เหลือแค่ยางฟาราเลย ก็จะเข้าหอมมะลิใช่ไหม เพราะฉะนั้น กระทรวงทรัพยากรต้องเป็นกระทรวง Grade A แล้วต้อง รู้ไหมครับ ที่ผมพูดมาเนี่ย บริษัทใหญ่รู้เนี่ย แบบ cptypef ว่าได้เป็นประชุมที่ดาวอสกันครับ แต่ smb ไม่รู้ ไม่มี awareness เรื่องพวกนี้เลย ซึ่ง smb นั้นเป็น 80-90% จีดีปีไทย ที่หวกระดิกแต่หางไม่กระดิกเลยในเรื่องนี้ แล้วผมกลัวว่ามันจะเกิดช็อกในระบบ เพราะมันมี deadline ของมัน สมมุติ คาวัน pricing มา 2 วัน 29 อย่างเงี้ย แล้วทุกคนไม่เคยซ่อมนี้ไฟเลย แล้วมันไฟไหม้เลยอย่างเงี้ย ปรับไม่ทัน มันจะเกลียมเงินหมดทั้ง แทน supply chain นะครับ เพราะฉะนั้นเราต้องเริ่มซ้อมหนีไฟท์ได้แล้ว อีกหน่อยกู้แบงค์ไม่ได้ Green Loan อีกหน่อย Import Export ไม่ได้ อีกหน่อย ESG Fund ถือหุ้นไม่ได้ BlackRock ถือหุ้นไม่ได้ อีกหน่อยเข้าต่าหลักทรัพย์ไม่ได้ มันจะมีการเปลี่ยนกฎ อย่างที่ MBA ที่เมื่อก่อนที่เราเรียน คนที่จะชนะคือคนที่มีคุณภาพของที่ดีที่สุด แล้วก็ถูกที่สุดชนะ ตอนนี้ไม่ใช่ครับ เขียวว่าที่สุดชนะ เปลี่ยน ขายไม่ดูเลย ถ้ามีเขียวขายไม่ได้ ใช่ ของจะดีแค่ไหน จะดูแค่ไหนขายไม่ได้ถ้าไม่เขียว อืม มันกลายเป็นเปลี่ยนกฎ MBA ทั้งหมดเลยอ่ะ ที่เรียนมาทั้งหมดปีคือ ยนต์ทิ้งขยะหมดเลย อืม เปลี่ยน มันเปลี่ยนกฎของโลกธุรกิจใหม่ แปลว่ามันต้องฝุ่นตลบ มันต้องมี clear with the new winner มันต้อง emerge the old winner อาจจะเป็น the biggest loser ก็ได้ แล้วในอนาคตอีกห้าปีอย่างน่ะ เพราะฉะนั้น กระทรวงทรัพยากรต้องรีด แล้วก็ให้เอสมีร์รู้เรื่องพวกนี้ แล้วก็ซ้อมหนีไฟได้แล้วก่อนที่ไฟจะไหม้ คือผมว่าวิธีในการแก้ไขปัญหานี้นะคุณทอบ ผมว่าสิ่งที่มันขาดจริงๆในสาวผม มันคือสื่อมากกว่า คุณภาพสื่อ สื่อมันสำคัญมากเลยนะ แล้วมันก็เป็นอะไรที่ผมรู้สึกว่าเป็นหนึ่งในคัลเจอร์ช็อกของผมนะ ตอนที่ผมกลับมาจากอเมริกา ผมว่าผมทำงานนิวยอร์กอยู่ที่มัน 4 ปี แล้วคอนเวอร์เซชั่นที่ผมมีกับเพื่อนมันคือ อาจจะอยู่ใน Wall Street ด้วยละ เราคุยถึงเรื่องหุ้น เราคุยถึง Interest Rate, Inflation Rate ตอน Presidential Debate กัน ผมเคยอยู่ 3 Presidential Debate อ่ะ ซึ่งคุณภาพของ Discussion ในห้องเรียน กับระหว่างเพื่อนมันก็คือมันมีคุณภาพมากเลยอ่ะ แต่ว่า ในประเทศไทย ผมว่า หนึ่งใน Culture Shock ของผมแหละคือ คนไทย บ้าดรามาก มีเดียนที่คือถ้าเราเห็น มีเดียนที่ไวรัลที่สุด ถูกพูดถึงที่สุด ติดเทรนดิ้งทวิตเตอร์ง่ายที่สุดนะ แน่นอนคือคนนี้ชู้กับคนนู้น คนนี้ก็สิบกับคนนู้น ซึ่งเลยเป็นสีสื่อที่ไม่มีคุณภาพเลย สื่อที่มันพัฒนาชีวิต สื่อที่ไม่ทำให้ประเทศเราก้าวหน้า บางคนอาจจะบอกว่า ไม่ ข่าวการเงินมันน่าเบื่อ แต่มันก็ไม่จริงเสมอไป มันอยู่ที่ว่า CNBCมันสามารถทำให้ข่าวการเงินน่าตื่นเต้น Math Money จิมเคมเมอร์เขาทำน่าตื่นเต้นมาก ใครก็ดูได้ ใช่ไหมครับ ชาติใต้ต่างประเทศ เข้าใจว่าก็เริ่มมาได้ไปในไทยแล้ว ก็น่าตื่นเต้นมาก ทำให้หลายๆคนก็ดูแล้วเข้าถึงกัน จริงๆกันมันไม่ได้เป็นสิ่งที่จับต้องในยาก แน่นอนวันนี้เราอาจจะยังเปลี่ยนสื่อของเราไม่ได้ เรายังไม่สามารถ สื่อๆก็ต้องทำงานตามอะไรที่มันหา visibility ได้มากที่สุด แต่สำหรับกลุ่มคนที่ยังไม่เสพสื่อที่ จำเป็นจริงจริงที่สามารถพัฒนาชีวิตของเขาจริงจริง อ่ะ คุณท็อปมีคําเตรียมในแฮปคนคลิปนี้มั้ย จริงจริงผมอยากจะให้เราเปลี่ยน เรา เปลี่ยนกลุ่มอ่ะ ใครที่จะ ดาราเนี่ย ควรจะมา มากขึ้น อย่างที่ต่างประเทศเขา แบบพวก อีลอท มาส อ่า มา อืม ใช่ไหมครับ ของเรามีแต่ ดารา นักแสดง ซึ่งผมคิดว่ามันควรจะเริ่ม พอเรามีตัวอย่าง Idol ที่เราอยากจะเป็น มันก็จะบีบให้เราอยากจะเป็นเหมือนเขาใช่ไหมครับ ก็จะสร้างกระแสพวกออกการมากขึ้น คนที่จะกล้าที่จะออกมาเปิดบริษัท กล้าสร้างการแบ่นแปลงมากขึ้น โดยเฉพาะ Frontier Technology ที่จะมาเนี่ย ที่พูดมาทั้งหมดทั้ง Set ทั้งหมดเนี่ย Lockchain, Big Data, AI, 3D Printing, IoT Devices อะไรพวกนี้ที่มันจะมาทั้งหมด ผมต้องการคนที่กล้ามากๆ ที่ออกมา คนไทยเก่งเยอะแต่ขาดคนกล้าค่ะ ระบบ การศึกษาที่พูดกันวันนั้นใน Top Talk ก็สอนให้คนคอนฟอร์ม ต้องทำการบ้านต้องห้ามลอกกัน ปิดน้อยที่สุด แต่ Entrepreneur คือมันต้องปิดพลาดเยอะๆ มันตรงเงินค่ามากกว่า มันต้อง Mobilize Talent ทำงานเป็นทีม แท้ได้จะทำคนเดียวห้ามลอกกัน แล้วก็ห้ามแตกตากอีกที่การศึกษาที่ห้ามยกมือ ยกมือเพื่อนเพ่งแรงๆ แล้วเดินเกินไป ใครเดินเกินไปตัดแข้งตัดขา เป็นสังคมที่ขี้ช้า พวกนี้มันต้องเปลี่ยน ต้อง Idolize Entrepreneur ต้องชื่นชมคนที่กล้าทดลอง กล้าที่จะล้มเหลว มันถึงจะเกิด Great Company มากยิ่งขึ้นในเมืองไทย ซึ่งอันนี้ก็ต้องช่วยกัน ผมว่าประเทศจีนหรือที่อื่น ตอนที่เขายังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา เขาก็คงไม่ Idolize พวก Jack Ma อะไรในช่วงแรกๆ แต่ตอนหลังๆ ที่เขา Transition เป็น Advanced Economy เนี่ย กระแสสังคมก็เริ่ม หันมาชอบผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น ไม่จริงเขาเปลี่ยนออกริด้อมของ Tiktok เลยนะ เขาเตาหยิง เตาหยิง คือแบบอะไรที่มันให้ความรู้ออกริด้อมสูงกว่า อะไรที่มันไม่ได้มีความรู้ออกริด้อมต่ำกว่า จริงๆมันเริ่มตั้งแต่ออกริด้อมเลย แต่ I think ในประเทศไทยอย่าง You know อย่าว่าแต่ข้างนอกเลยจริงๆ แค่ผมอยู่กับกลุ่มเพื่อนอยู่กับกลุ่มในออฟฟิศอย่างเงี้ย พวกเขาเห็นได้ชัดเจนว่าแบบ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ สิ่งที่คุณท็อปพูดเมื่อกี้เนี่ย The Green Revolution The 2029 ผมเชื่อว่าวันนี้ทำ survey ได้เลยว่าคนไหนกี่คนที่รู้ ที่ไม่ได้ฟังคุณท็อป กี่คนที่รู้จริงๆ แล้วมันแถมเป็นข้อมูลที่มัน กดทบชีวิตของทุกคนแน่ๆ แต่ถ้าไฟไหม้ทุกวงกาเลย ไม่สอมนีไฟกันเลย แต่ทำไมสิ่งที่ อันนี้ผมก็อยากที่จะรู้นะ ทำไมสิ่งที่เรื่องด่วนขนาดนี้ ทำไมเรา เราต้องรอถึงบ้านมันไฟไหม้จริงจริงหรอ แล้วค่อยมันเป็นกระแสค่อยมันเป็นข่าว มันต้องรอ เราต้องรอให้ผู้เก่าการตายทั้งประเทศเลย ค่อยมาบอกว่า เอาเราต้องทําแล้ว ทําไมเรา ทําไมเรา ทําไมสื่อบ้านเรา ทําไมเรา เรา เราต้องรอถึงจุดนั้นนะครับ That's why I don't understand. แล้วก็เข้าถึงโอกาสนะครับ การที่จะไปไปชมที่ ที่ดาวบอสได้เนี่ย ต้อง 5 billion dollar ขึ้นไปไง ดูไหมครับ SME ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ไป ข้อมูลที่ข้าจะแบ่งกัน คุณท็อปก็พูด คุณท็อปก็เอาข้อมูลนี้จากดาวอล์ฟอส แชร์ให้หลายหลายคนนะ คุณท็อป เอาข้อมูลนี้ไม่เก็บให้กับตัวเอง คุณท็อปไป ขอนการไป ไปทั้งหลายต่างจังหวัด ไปทั้งหลายเวที หลายมหาวัยพยายามปล่อยข้อมูลเนี่ย แต่แค่มัน แค่มันไม่ได้เป็นข่าวหน้าเนี่ยคุณท็อป เออ That's kind of problem that I have มันไม่ได้มีแบบ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ ผมไม่รู้นะ อาจจะมือสองห้างตบไม่ดังก็ได้นะ อาจจะแบบคนไม่เสพก็ได้ I don't know what is the issue but คือท่านรู้สึกว่ามัน เราสามารถแก้ไขปัญหานี้ ได้มั้ย คือเหตุผลที่ผมถามเป็นเพราะว่าผมมีได้คุยกับไทยรัฐ ผมมีคุยกับ e-finance ผมมีคุยกับหลายสื่อนะครับ แล้วหลายสื่อที่เป็นช่อง finance ทางเกียรติ ผมไปไทยรัฐหลายครั้งแล้ว แต่ Nation หลายครั้ง e-finance หลายครั้งแล้ว ผมว่าเขาจะมีสื่อแบบ office สื่อแบบสื่อดาราของเขาใหญ่มาก แล้วสื่อ finance นี่เดียวที่ไม่กี่คน คำถามกับผมก็เลยว่า ทำไมไม่ลองทำคอนเทนต์แบบน่าสนใจมากขึ้น เขาบอกว่าคอนเทนต์แบบนี้คนไทยไม่รู้ คนไทยแบบนี้ข่าวขึ้นมีเดี๋ยวตอนเช้า ข่าวขึ้นมีเดี๋ยว 6 โมงเช้า 7 โมงเช้า ตอนเช้า ระหว่างวันคือไม่มีแล้ว ระหว่างวันคือริฟท์กระแส แบบนี้คนไทยไม่รู้ แต่ว่าคอนเทนต์แบบนี้คนไทยไม่รู้ แต่ว่าคอนเทนต์แบบนี้คนไทยไม่รู้ แต่ว่าคอนเทนต์แบบนี้คนไทยไม่รู้ เขาบอกว่าข่าวพูดนี้คนไทยไม่เซฟ ข่าวพูดนี้มันมันไม่ไฟโล แต่ผมก็บอกมันไม่จริง ถ้าคนไทยไม่สนใจข่าวพูดนี้จริงจริง อ่ะ คอนเด้นผม หลายคลิปมันไม่ไฟโล ผมพูดถึงอ่า ศาสาหรัยเร่งบ่อย พูดถึงพูดถึงการลงทุนตั้งเยอะ มันไม่เห็น มันไม่แปลว่าคนไทยไม่ชอบ คนไทยชอบ มันแค่วิธีของการเล่าเรื่อง ก็เลยอยากจะ อยากจะ อยากอยากให้คุณท็อปลองแชร์ อาจจะเป็นสารพสิทธิ์ที่อาจจะฟังอยู่อ่ะค่ะว่าแบบ หนึ่งคือว่า ถ้า หนึ่งคือความเร่งด่วนของ แอบมีสีที่มีคุณภาพ และสองคือจริงจริง ทําให้สีที่มีคุณภาพที่มันน่าสนใจมันเป็นไปได้ ก็ผมว่าเรามีสองบวกนะครับ ที่ดูอาชีพจะต้องใส่ บวกคอรียากับบวก Road to Play อืม นะครับ ถ้าดูอาชีพของคุณหมอในแพทย์อะไรต่างต่าง เนี่ย เขาจะใส่ บวกคอรียา ตรงที่ว่าเขาก็ต้องกินต้องใช้ เขาก็ต้องมีครอบครัวที่เขาต้องเลี้ยง เขาก็ต้องทําเงินได้เยอะเยอะที่สุด อืม เขาเป็น For Profit Person for profit organization แต่พอพูดถึงนายแพทย์หรือคุณหมอ เขามีหมวกที่สองทั้งทีเลย คือ role to play เขาเอา ethics มาก่อน เขาเอาชีวิตคนมาก่อน คุณค่าของชีวิตคน เอาความโปร่งใสมาก่อน เขาเอาความซื่อสัตว์มาก่อน อันนี้มันคือหมวกที่สองของตัวอาชีพ ถ้าพูดถึง judge judge คือ ภาษาไทยคืออะไร วีภาษาเขาก็ผิดโชว์สองหมวกเหมือนกัน หมวก career เขาก็ต้อง เลี้ยงดูครอบครัวเขา ผู้พิพราศา ก็ต้องกินต้องใช้ ก็ต้องทำเงินอะไรได้มาในสุด เขาก็ต้องเป็น for profit ใช่ไหมครับ แต่เขาก็ต้องมีโหมกที่สอง พอพูดถึงผู้พิพราศาปุ๊บเนี่ย เขามี role to play คุณต้องเป็นคนที่มีความยุติธรรมล่ะ ไม่อย่างนั้นคุณเป็นผู้พิพราศาไม่ได้ เพราะคุณตัดสินชีวิต ตราชีวิตของคนได้เลย เขามี collective responsibility ใน position ของเขา ไม่ว่าจะเป็นตำรวจทหาร คุณหมอ ผู้พิพราศา แต่เพราะว่าเป็น นักธุรกิจ ภาษาภาคภาคภาคภาค ภาษาภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภาคภา ทุก information ที่เข้ามาเรา make ทุก decision ให้ดีที่สุดกับบริษัทของเรา มัน viral นี่ มันกำลังมาอยู่นี่ แต่เราไม่เคย make choices based on identity ของเรา แล้วต้องมี role to play hat ด้วย เพราะอาชีพที่เปลี่ยนโลกได้มากที่สุด ไม่ใช่คุณหมอ อำรวจทหารนะครับ อาชีพนักธุรกิจนั่นแหละ เปลี่ยนโลกได้มากที่สุด แต่ดันใส่แค่โหมกเดียว โหมก career เปิดมาเพื่อทำเงินให้ได้มากที่สุด เรามีแต่ competitive strategy เราไม่เคยมี contributive strategy เลย ผมคิดว่าทั้งสื่อ ทั้งนักธุรกิจหลังจากนี้ต้องใส่ 2 บวก มันถึงจะแฟร์ เพราะทุกอาชีพก็ใส่ 2 บวกกันหมด เขามีทั้ง Career Hat ทั้ง Role to Play Hat ใส่กันหมด 2 บวก มีนักธุรกิจอย่างเดียวที่ใส่แค่ 1 บวกเดียวทำทุกอย่าง จะไม่แคร์ว่าโลกจะเป็นยังไง จะมีโปรเกรสไหม ฉันไม่สน เอาเงินก่อน GDP พูดแต่ GDP พูดถึง Wealth ไม่พูดถึง Well-being ไม่พูดถึง Fairness ไม่พูดถึง Sustainability ไม่พูดถึง Progress ซึ่งผมคิดว่าหลังจากนี้ อย่าเข้าใจผมผิดนะ ไม่ใช่ว่านักธุรกิจต้องหันมาทั้ง Road to Play หมด อาจจะ Devote สัก 10% ไหมของ Overall Resource 90% ยังไป Competitive Strategy อยู่ หรือถ้าเราไม่ดูเรื่อง Productivity, Minimum Means, Rationality เพื่อให้มี Output ที่สุดมากที่สุดเนี่ย ใช่มั้ยครับ เราก็แพ้คู่แข่ง เราก็อยู่ไม่รอดอยู่ดี แต่อาจจะ Devote สัก 90% เรื่อง Output แต่ 10% มาดูฝั่ง Outcome ด้วย แทนที่จะมอง 100% ในเรื่องของ GDP หรือ Wealth หรือ Net Profitability Divorce สัก 10% มาดูเรื่อง Well-Wearing, Sustainability, Fairness มากขึ้น แท้ที่จะโดยโบสถ์ 100% ในฝั่งของ performance เราอาจจะแบ่งสัก 10% มาดูฝั่งของ progress ว่าโลกมันเดินไปทางไหนบ้าง ใช่ไหมครับ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าทั้งสื่อแล้วก็บริษัทที่เป็นปากเอกชนเนี่ย ควรจะต้องใส่ 2 หมู่ได้แล้ว ฝั่งของคนที่กระแส viral อะไรก็คือ competitive strategy แต่อย่างน้อยสัก 10% เนี่ยต้องเลือกมาฝั่งของ contributive ปลายที่มากยิ่งคืน ถ้ามองว่าอันไหนมันมีประโยชน์ต่อสังคม อันไหนที่ควรจะเป็นในฐานะสื่อที่ต้องมี role to play ทุกอาชีพเขามี role to play กันหมด ที่มันไม่ได้มองเรื่อง Monetary หรือเรื่องเงินเป็นหลักอย่างเดียว อีก topic อีกนึงครับ อยากถามคุณท็อปครับ ว่าคุณท็อปเชื่อ Capitalism ว่าครับ Capitalism คุณท็อปชื่อว่า Capitalism is it มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เรารู้ในการพัฒนับ ในการทำให้ประเทศกล้าวหน้าว่ะครับ คือถ้ามองมันก็ ถ้ามองในอดีตที่ผ่านมา มันก็ Effective ในการ Drive Change เฮ้ย ส่วนคนที่อาจจะไม่รู้ว่า Capitalism ภาษาไทยคืออะไรนะ Capitalism ทุนนิยม ทุนนิยม ทุนนิยม โอเค ทุนนิยม ทุนนิยม ซึ่งระบบทุนนิยมเนี่ย มันก็ Proven Effective ในอดีตที่ผ่านมา ในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ เพราะว่ามันมีคำพูดหนึ่งครับที่เขาบอกว่า Morality does not mobilize capital, opportunity does เพราะว่าผมก็อยู่ใน Session หนึ่งที่เขาให้ สแกน QR Code และในห้องนั้นเนี่ย YPO อักษรธุรกิจทั้งหมดเลย อืม อิดโอนีเซีย อืม คุม GDP ประเทศอิดโอนีเซียทั้งหมด สแกนแล้วก็เป็น Anonymous Survey จะลดคุณได้บริษัท A หรือ B บริษัท A คือบริษัทที่ทำลายโลก แต่ได้ return on investment ได้เงินเขากระเป๋ามากขึ้น อืม บริษัท B คือบริษัทที่ไม่ทำลายโลก ลงทุนไปก็ไม่ขาดทุนนะ ได้เงินคือ ได้กําไรเหมือนกัน แต่แค่กําไรน้อยกว่า Option A หนึ่งเปอร์เซ็นต์ Completely Anonymous เลือก A คนส่วนใหญ่เลือก A ขนาดหนึ่งเปอร์เซ็นต์ฉันก็เอา เพราะคนด้วย drive ด้วย greed เนี่ย greed is good Adam Smith ก็พูดมาโดยตลอดว่า นี่คือนาชีวิตของคนนะ ไม่ต้องบอกชื่อ ไม่ต้องบอกนามสกุล ไม่ต้องบอกใคร ฉันเป็นใคร หรืออะไรอย่างเงี้ย completely anonymous ถ้าเธอทำเท่าไหร่เงินในกระเป๋า ฉันเพิ่มขึ้น ฉันเปลี่ยนพฤติกรรม มันก็เลยสรุปว่าเนี่ยคือ Morality หรือความดีความงาม does not mobilize capital เรียกโดยความเป็นจริง opportunity ต่างหากแหละ ที่ mobilize capital เพราะฉะนั้นมันก็เลยมี concept ของสร้างเศรษฐศาสตร์ ที่เรียกว่า carrot and stick approach คือวิธีการจะทำให้ ลามันเดินไปข้างหน้ามี 2 วิธี สมมติคีลาอยู่ อันแรกคือ เอาแครอทผูกเชือก แล้วก็ผูกไม้ แล้วก็หล่อนหน้าปากลา ลามันก็พยายามกินแครอท ก็จะเดินไปข้างหน้านะ หรือวิธีที่ 2 คือ สติกคือ ไม้ตีก้น ลาก็จะไปข้างหน้า พูดง่ายๆ คือ Reward หรือ Punishment Mechanism เพื่อที่จะเปลี่ยน Behavior ของคน แต่อะไรที่เงินในกระเป๋า คุณไม่ลด วิธีกรรมไม่เปลี่ยน แต่อะไรที่เงินในกระเป๋าไม่เพิ่ม วิธีกรรมไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้น ระบบ Capitalism มันเวิร์กที่สุดในฝั่งนี้ ก็เพราะว่า มัน Drive ด้วย Greed มันดราวด้วยเงินในกระเป๋า นี่คือการเป็น Effective Change ในการเปลี่ยนแปลงเงินในกระเป๋า ทำให้พฤติคําของคนเนี่ย เปลี่ยน ทำให้เกิดการพัฒนาขึ้น ไปข้างหน้า นะครับ ซึ่งอาทับสมิทเขาก็พูด ซึ่งเขาเป็น Father of Economists นะครับ นี่อ่ะ Greed is Good มันดราวด้วยความโลภเลยนะ เพื่อเกิดการเป็นแปลงที่มันยังอยู่ในจิต เพราะว่าทุกคนมันโลภ By Nature อ่า ทุกคน Selfish Selfish By Nature คือทุกคนเห็นแก่ตัว เขาจะอยากทําทุกอย่างเพื่อตัวเองเป็นหลัก อ่า ครับ แล้วก็เป็นระบบ Invisible Hand คือปล่อยให้มันเป็น Free Market Mechanism ไป Money Demand Supply มาตัดกันเป็น Free Market เป็นระบบที่คนที่เก่งที่สุดชนะ ดีที่สุดชนะในระยะยาว ซึ่งนี่มันก็เป็นสิ่งที่กลับเคลื่อน Capitalism แต่ทีนี้มันก็มี Intervention ในที่ 2 ซึ่ง Free มันเขาก็เป็นอันที่ 1 ใช่ไหม อันที่ 2 คือ Keynesian ที่บอกว่า ก็ Capitalism ก็ดี มันก็ Drive Change แต่บางที Market มันไม่ Perfect ถ้าเป็นแบบ Free Market Mechanism เนี่ย เขียนเสียงกันหลวงต้องมี government intervention ที่เข้ามา intervene เวลา market มันไม่ perfect ในระยะสั้น แต่ระยะยาวมันก็ควรจะเป็น free market พอมี government intervention มันก็ถูก lobby ได้ด้วย connection เงินอะไรต่างๆ มันก็เกิด this imperfection ในตลาด ถึงถามว่ามันจะมีระบบไหนที่ดีกว่า capitalism ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออก ที่ในนักศึกษาที่เขากลุ่มคุยกัน ถ้าจะเป็นอะไร universal basic income ทุกคนก็ชิวกันหมด พอทุกคนมีเงินในกระเป๋าท้องหิมตลอด มันก็ไม่ drive effective change หรอก มันก็ไม่มี innovation เพราะว่ามันก็เห็นในหลายประเทศที่มันมี curse endowment curse คือประเทศที่แบบ อุดมสมบูรณ์กว่าทุกอย่างเนี่ย ไม่ต้องรีดลนเท่ากับประเทศที่มันไม่มีอะไรเลย มันก็จะเป็นประเทศที่ไม่มีอะไรเลยเนี่ย แสงหน้าประเทศที่มีครบทุกอย่าง ตั้งแต่ตอนแรก การที่มี universal basic income มันก็อาจจะ ทำให้ทุกคนไม่ได้มี drive เท่า แต่สําหรับคนที่มี drive เนี่ย ก็กลายเป็น ก็มันก็ด้านดีตรงที่ว่ามันมันก็จะ provide พวก blanket insurance ให้คนกล้าที่จะลม ลมลุกมากยิ่งขึ้น ทีนี้เราจะมาแก้ไข ผมเชื่อว่า Capitalism ระบบทุนโยมก็ยังเป็นระบบที่ดีที่สุด แต่จะทำยังไงให้มาแก้ไข Market Imperfection ในฝั่งของให้คนกล้าที่จะล้ม ลุกๆๆ แล้วล้มมี Blanket Deposit ให้สำหรับคนที่ล้มจริงๆ แล้วคนที่อยากจะชิวจริงๆ ก็ไม่ควรจะให้ Blanket Deposit เขา เพราะเขาไม่ได้เป็น Productive Member ของ Society หรือจะเป็นเป็น Negative อาจจะเป็น Concept ที่ไม่ใช่ Universal Basic Basic Income จะเป็นแบบ Negative income tax หรืออะไรอย่างเงี้ย ใช่ แต่ตอนนี้มันมี Market Imperfection อยู่แล้ว แล้วผมก็มันเห็นชัดขึ้นได้เรื่อยๆ จาก concept of Capitalism คือว่า ผมว่ามี Capitalism เหมือนกัน แต่ว่าที่เราเห็นในประเทศไทย เราเห็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากตอนนี้นะ คือโรงงานจีน Overinvest ก่อนโควิด Overinvest อย่างที่คุณท้อพูดครับ หลังจากโควิดปั๊บ หลังจากสงครามปั๊บ ซ่อมเกิด ซ่อมหล่น สมมุติที่ไทยกับเวียดนาม หลายๆคนเริ่มลงทุนกับ outsourcing market ยังเห็น Apple เลย Apple พยายามย้าย operation ไปที่อินเดียแล้ว พยายามไม่พึ่งกับจีนมากเกินไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือว่าจีนการตอบ CapEx สำหรับ manufacturing มันเป็นข้างบ่าย แต่ว่าพอ demand ลดลงปั๊บ ยังไม่สามารถลด CapEx ตรงใด CapEx มันลงทุนไปแล้ว สวิธีการของจีนก็คือว่าเขาบุความอื่น เห็นได้ชัดเจนว่าในประเทศไทยคือว่า manufacturing จีนบุคไทย ก็นำเลย 2 ปีได้ผ่านมา ทำให้โรงงานไทยเจ๊งแบบทุกเดือนเลยนะครับ ทุกเดือน ถ้าคุณท็อปลองไปรายยองดูนะครับ MT Manufacturer เจ๊งทุกเดือนเลย เพราะว่าเขาไม่สามารถ Offer the same price ไม่มี Economic Scale ผมเมื่อคุยอาจารย์วิทย์มา อาจารย์วิทย์บอกว่า Maximum Capacity ของ Maximum Unit Capacity อ่ะ Maximum Order ของไทยคือ 1,000,000 ยูนิต แต่ของจีนคือ Minimum คือ 1,000,000 ยูนิต So the economic scale มันไม่เหมือนกันเลย นี่แค่ manufacturing นะครับ ยังไม่พูดถึง ไม่ว่าจะเป็น e-commerce online ก็เป็นของต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราใส่ สิ่งที่เราซื้อ App ที่เราใช้ App Deliver อาหาร ทุกอย่างเป็นของต่างชาติหมดเลย เข้าใจนั้นมันเป็น Capitalism คือว่า คนไทยได้ของที่ดีที่สุดในมุมของโลก แต่ว่า ได้ของอาจจะให้ของที่ถูกที่สุด ได้ของที่เป็น App ที่เทรนด์มากที่สุด กลับกันครับ ผู้ก่อการไทยก็เลยอยู่ไม่ได้ อันนี้เป็นค่าใช้จ่ายของ Capitalism มั้ยครับ ต้องเข้าใจก่อนนะว่าทั้งเวียดนามทั้งไทย Operate บนระบบเดียวกันคือ Capitalism แต่ทำไมเวียดนาม Projected to be one of the top 20 biggest countries in the world ผมไม่รู้ว่า Shopee ที่เวียดนาม ขายได้แค่สินค้าเวียดนามล่ะ ขายได้แค่สินค้าเวียดนาม ผมตอนนี้กำลังไปเวียดนามครับ ยากมาก ยากมากๆครับ Regulation อเวียดนาม เพราะฉะนั้นมันไม่ได้ คุยกัน ดีเบตกันที่ Capitalism มัน Fail มันไม่ใช่ เพราะว่าทุกคน Operate บนระบบ Capitalism แต่เราต้องดีเบตกันที่ Government Intervention Kentian มากกว่า Kentian Economics แต่ Capitalism ทุกคน Operate บน Fundamental เดียวกัน แต่มีประเทศเวียดนามที่ทำไมเขาล่าหลังจากไทยแล้ว ทำไมเขา Succeed ได้ แล้วเขา Projected to be the Top 20 Biggest Economy ในอนาคตได้เลย ทางนี้เขา Operate บน Capitalism ที่เขาก็โดนสินค้าทีนมาดำใช่ไหมครับ แต่เขามี อ่า Macro Policy ที่สอดคล้องกับที่เขาควรจะทํา ครับ ที่เขารู้ว่าเขาควรจะ เล่นยังไง อืม ในระบบ Capitalism ของโลก อย่างล่าสุดเนี่ยผมนั่งเนี่ยอยู่ ทานทานข้าวกับ Minister of Tourism and Creative Economy ของ Indonesia ครับ เป็นอดีตผู้ร่วมบ่าวตั้งโกรธใจการ ครับ คนรุ่นใหม่เข้ามาในรัฐบาล เขาบอกเลยเขาสัดกับ พึ่งสัดกับ TikTok มา ปิด TikTok ไปเกือบสามเดือน ใช่ใช่ใช่ เพราะเขาไม่มี License ในการขายของ ใช่ เขาบอกว่าคุณจะเอาไง TikTok คุณจะเป็นสื่อ Social Media หรือคุณจะมาเป็น E-Commerce เลือกไม่ใช่ทำทั้งคู่ ถ้าคุณไม่ Respect Rules of Law ในประเทศฉัน ปิดทิ้งเลย ผมก็ถามว่าถ้าเป็นเมืองไทย คนลงถนน ถ้าปิด Facebook ปิด TikTok เขาบอก ใช่ คนก็ลงถนนมาหาเขาเหมือนกัน เขาก็พูดตลกว่าเขา Welcome ที่จะ Dinner กับทุกคนนะ แล้วสุดท้ายก็ TikTok ว่าต้องไปซื้อ ไป Take Over License E-Commerce เพื่อที่จะ Respect กฎหมายของประเทศเขา เขากล้าสัดกับ TikTok เนี่ย กล้าปิด TikTok ไป 2-3 เดือน ที่อื่นเขายังไม่แคบว่า คุณจะเป็น Social Media หรือคุณจะเป็น E-Commerce คุณ either all หรือคุณจะเป็น both คุณก็ต้อง comply เพราะฉะนั้นจริงๆมันไม่ใช่ระบบ Capitalism ที่เราต้อง Rebate กัน ว่าทุกคน Operate บน Capitalism ทั้งโลก เราก็จะมีประเทศที่เล็กกว่าเราแล้ว กลายเป็นเจ้า Overtake เรานะ จะสุขีดมากกว่าเราแล้ว เพราะว่าเขารู้ Measures เขา Take In Measures ที่มัน Make Sense อยู่จะไม่เห็นแบงค์อเมริกาที่ไทยแน่นอน อยู่จะเห็น SCB K-Bank ก็เป็นแบงค์ไทยแหละ แบงค์ไทยส่วนใหญ่ผู้ทุนคือใคร มีญี่ปุ่นก็มีแล้วตอนนี้ ก็ชาติตายชาติหมดแล้วใช่ไหมครับ เหลือแค่แบงค์เดียว แล้วเราอยากรู้ว่าอันนี้คือความเสียบไหมครับ เหตุผลที่ผมถามเลยเพราะว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ประเทศไทยเป็น melting pot ก็คือว่าเป็นโซนเดียวที่ไม่เคยมีสงครามของใหญ่เลย สงครามโลกครั้งที่ 2 โควอลก็ไม่ได้มีอะไรผลกระทบอะไรเกิดขึ้นมาก เป็นโซน เป็น free trade zone ประเทศอะไรเดินทางมาก็สามารถมาค้าขายได้ ทำให้คนไทยเป็นผู้บริโภค ทำให้ประเทศไทยเป็นอยู่ตัววันนี้ ทำให้คนต่างชาติอย่างลงทุนประเทศไทย เพราะว่าเราสงบมาก ทำไมเราเป็น way for everyone ใครอยากจะเข้ามาก็เข้ามาเลย นี่เป็นสิ่งที่สร้างประเทศไทย แต่ว่าถ้าเราพูดถึง แต่สิ่งที่เราไปอยู่วันนี้ มันก็ทำลายผู้กับการไทยนะ อย่างเช่น อาจจะไม่มีอะไรปกป้องอีกครับ ตอนที่มีคู่แข่งเข้ามา ไม่มีอะไรปกป้อง คันทิศ ตอนที่บล็อกมีเดียเข้ามาไทยไทย ไอ้ว่าขึ้นไปนะครับ อันนี้เป็นความอยากอยากถามคุณท่านแม่งหนึ่งว่า ประเทศไทย จริงจริงมันเป็น ถ้าเราอยู่ตัวของเราคนเดียวครับ มันมันลิงก์มาจริงจริงมันมีเกียรติเวลาพอพูดเรื่องดิจิทัลกร��น ใช่ไหม รูต้องแข็งแรงดิจิทัลกรีนที่ต้องเป็นกระทรวงเกรดเอ อันที่สามที่อยากจะให้รัฐบาลประเทศไทยต้องทำรวดคือรู้ไหมครับว่าประเทศไทยเป็นแชร์ของการต่อรอง negotiation แชร์ของ DFA DEFA Digital Economy Framework Agreement คือต้องเข้าใจว่าเมื่อก่อนเนี่ย โลกของเราเนี่ยมันเป็นระบบแบบ Hegemon, Benevolent, Unilateral System ที่มีพี่ใหญ่ที่ทำให้ทุกคนสงบกันได้ แต่ระบบเก่าเนี่ย ที่มีแค่ Unilateral Leader คนเดียวเนี่ย มันต้องเป็นพี่ใหญ่ที่ใช้กว้าง Benevolent แบบใช้กว้างที่ ไว้ให้ทุกคนใช้กว้างมากพอที่ให้ทุกคนโต ไปเรื่อยๆ แต่เป็นระบบที่ Costly มากสำหรับพี่ใหญ่คนนี้ เพราะต้องไปลงทุนใน Military Base อะไรต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคน Command Respect Charisma อะไรต่างๆ แล้วก็ต้องใจกว้างมากพอให้ทุกคนโต ตอนนี้โลกของเราเนี่ยมันกลายเป็น 2 Great แบบมันมี Contender ใหม่ที่เป็นจีน เป็น 2 Great Locks Unlock กันอยู่ โลกก็ Stuck อยู่อย่างเงี้ย แล้วทำให้ที่เหลือเป็น Small State ที่ต่ำบากใจมากเลยว่าจะเลือกฝั่งไหน โดยครบ Middle East ตอนเนี้ย โอ้โห หนักใจมาก Middle East คือจีน ผมก็เพิ่งรู้ว่าจีนเนี่ยเป็น Energy Dependent Country ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวของเรา เขาว่ายังไงๆ เขาก็ต้องพึ่งพา Middle East แล้วเขาก็เพิ่งแบงค์ชาติของจีนเพิ่งเปิดให้ Middle East เนี่ย ซื้อขายเป็น RMB ได้เลย อีกเทรนด์ใหม่ Internationalization of RMB อืม อีกเราจะซื้อขายด้วยอยวันได้หมดนะ ว่าใช้ยูเอสตอลลาร์ ใช่ไหมครับ มันก็เลยทําให้ทองคําเนี่ย จีน Big Lot ทองคําเยอะมาก Big Lot กับรัสเซียจนหมดตลาดอ่ะ อืม อันนี้มา ออน ออน มาร์คเก็ต แบบ Big Lot ทําให้ราคาทองมันขึ้นไปเยอะมาก มันมี demand สําหรับ RMB ในการเป็น Herm Trade Efficiency อย่าเข้าใจผิดนะ เข้าใจว่าไม่ได้มาเป็น Reserve Currency ของโลกแทน US Dollar เพราะหนึ่งใน Property ที่จะต้องเป็น Reserve Currency ได้เนี่ย คือคุณต้องมี Bond Market ที่ Liquidity เยอะมาก อืม ปกติจะเป็น Flight to Safety ได้ คือคุณต้อง Liquidity ทุกเมื่อ เหมือนตลาดคุณต้อง Match คนเดียวเนี่ย That's not the real price ถ้าไม่มี Liquidity คือ That's not the real price Yes มันมีตลาดเดียวที่มี Liquidity เยอะมากที่สุด ตลาด Bond นั้นเดียว ก็คือ Treasury Bond ของอเมริกา มันเป็น fight to safety แน่นอน คือฉันต้องใช้เงินเมื่อไหร่ ฉัน liquidate ได้ทุกเงิน อันนี้มันเป็น property หลักที่ทำให้ US เป็น reserve currency ของโลก ซึ่งจีนไม่ได้มี bond market ที่ลึกขนาดนั้นแน่นอน แต่สิ่งที่ Remedy จะเข้ามาเนี่ย คือมันเพิ่มเรื่องของ trade efficiency เพื่อที่จะให้ทุกคนค้าขายกัน เมื่อก่อนถ้าใช้โหลป SWIFT จีนสักครู่วันค่าย ไทยกับรัสเซียเนี่ย ต้องส่งเราไปที่อเมริกากัน แล้วให้กลับไปที่ชีพอีกทีหนึ่ง มันมี inefficiency แต่นี่สามารถที่จะ connect โดยตรง BRICS BRICS Nation เนี่ย มา join Global South Global North Global South Divide ใช่ไหมครับ หนึ่งในสามประชากรโลกอยู่ Global North เป็นแพทย์ที่พัฒนาแล้ว พวกเราจะเป็น Global South แล้วก็มีตอนเนี่ย BRICS Nation เนี่ย จะมา join Global South แล้วก็จะมี Internationalization of Ramen Beer ที่ใช้อยู่ในการซื้อขายกัน ทำให้ทองคําเนี่ยราคามันขึ้นเยอะมาก แต่จะมีเรื่องของ Relationship ของ US กับจีน ที่มันจะแย่ลงกว่านี้ เขาบอก นี่คือไม่ใช่ bottom-out นะ มันจะแย่ลงกว่านี้อีก ทำให้ทุกคนก็เริ่มที่จะ stock up เรื่องของ ทองคํา อะไรที่ผ่านมา ทีที่พอมาพูดถึง small state เนี่ย ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งใน small state ตอนนี้ Middle East เนี่ย ถูกให้เลือกฝั่งแล้ว คุณจะเลือกฝั่งไหน เพราะว่า energy dependent กันทั้งหมด อืม เขาก็เลือกที่จะรับฝั่งจีนมากขึ้นเพื่อที่จะไม่ ยกเลิกไอ้ Petrodollar ที่ we contract ห้าสิบปี หรือเพิ่งหมดอายุไป Petrodollar สามารถที่จะซื้อขาย energy เนี่ย หรือน้ํามันเนี่ย กับสกุลอืดด้านอะ นะครับ ก็เริ่มที่จะ welcome จีนมากขึ้น แต่เขาอืดอาจใจเขาเป็นประเทศที่ต้องเลือกฝากฝายอะไรฝากฝายหนึ่ง เราอาเซียนเนี่ย ข้อดีคือ เรา founding principle ของอาเซียนเนี่ย คือเราอาจจะยังเด็กกันทั้งคู่ใช่ไหมครับ principle ของมันเนี่ย คือไม่อินเตอร์วีดเรื่องชาวบ้าน อืม เนี่ย domestic business คุณก็ไปเคลียร์ของคุณเอง ฉันจะไม่ก้าวไก่ใคร อืม peace treasure peace แล้วก็ stability ในอาเซียน นี่คือ founding principle ทำไมอาเซียนไม่ต้องเคย ไม่ต้องมี Politics ไม่ต้องเลือกฝากฝ่ายใดฝากฝ่ายหนึ่ง Win-Win Situation มี mindset ที่คล้ายกัน ต่างคนต่างช่วยกัน Win ไปแล้วก็ไม่ยุ่งเรื่องกันกันและกัน Defa Agreement ที่มัน Send จะ Send ให้เสร็จไปภายในปี 2025 ถ้า Send เสร็จเมื่อไหร่ เอาแค่ 60% ก็พอของ Agreement จะมี 2 Trillion USD ไหลเข้ามาในอาเซียนนั่นที แล้วเข้า Project เลยว่าแต่ละประเทศจะโตไม่เท่ากัน พอมีเงิน 2 Trillion USD หรือ 2% จาก Global GDP จะไหลเข้ามาในอาเซียนนั่นที อินโดนีเซียจะโต 1.5 เท่า ก็คือ 150% ของฐานนี้มันใหญ่ อินโดนีเซียคือใหญ่มากนะ Economy เขาเนี่ย จะโต 1 ท็อป 10 ท็อป 5 ท็อป 6 ใหญ่มากอินโดนีเซียครับ จะโต 150% ในขณะที่ LDC เนี่ย LDC Countries ย่อไปจาก Least Developed Countries เนี่ย อย่างเช่น แม่โขง Area ลาว แคมโบดียา เมียนมาร์เนี่ย จะโต 3.5 เท่า 300-500% ของ GDP ประเทศไทยบอกว่าเรา stuck in between LDC แล้วก็ Indonesia สมมุติอย่างงี้ 2 เท่า 200% GDP ไทย ทุกคนมีเงินอยู่ในนี้คูณ 2 ไปเลย รายได้ทุกคนคูณ 2 เลยทันที ขอแค่ agree นี้ให้ได้ agreement นี้ให้ได้ภายในปี 2025 เพราะฉะนั้นใครที่เป็น negotiation chair ในเมืองไทย ผมไม่รู้กระทรวงไหน รีบเซ็นต์ด้วย ทำไมได้ เราจะโตกับมหาศาล แล้วมันก็จะ link ไปที่บอกว่าเนี่ย ที่เมื่อกี้พูดกลับมาที่คำถามว่า ประเทศไทยเราจะทำยังไงเรื่อง ลำบากใจหรือเปล่า เรื่องการที่จะเป็น Hub อะไรต่างๆ ใช่มั้ยครับ เราอยู่ในโลกที่มองอดีตไม่ได้ เราต้องมองว่าโลกกำลังจะเดินไปใน AirHot ยังไง เราไม่ควรใช้สูตรเก่ามา Apply กับโลกที่มันกำลังจะเดินไป Chapter เก่าไม่ได้ Applicable สำหรับ Chapter ใหม่ พอเรารู้ว่าโลกที่จะเดินไปข้างหน้า Globalization มันเป็นแค่ Recent Event ถ้าลองมอง 200 Years Time Span Globalization มันเกิดแค่ 50 ปีที่ผ่านไปอีก จริงๆ ถ้าลอง look back in history เนี่ย โลกมันเกิดจาก regionalization แล้วก็ run ด้วย small state เป็นแหละ globalization เป็นแค่ recent phenomena ที่เพิ่ง phenomenon ที่เพิ่งเกิดมานี่ 50 ปีที่ป่านมา แต่พอดีไม่มีใครอยู่ 200 ปี ไม่มีใครศึกษาพวกอธิษฐาตร์ค่ะ ตอนนี้เนี่ย โลกกำลังจะขับขึ้นไปเป็นฝั่งของ regionalization ไม่ใช่ globalization นะ regionalization ต้องจับ small state ต้องจับกันเพื่อให้แข็งแรงที่สุด เพื่อให้มี bargaining power ให้ได้มากที่สุด ในขณะที่ 2 ยากใหญ่งัดกันเป็น the great locks it is ติดขึ้นอยู่ อีกหน่อยถ้าจะบังคับให้ทั่วฝ่ายใดฝังหนึ่ง ทั้งประเทศไทยคนเดียวเนี่ย ลำบากแน่นอน ถ้ารวมกันเป็นอาเซียนเนี่ย จะเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สี่ของโลกทันที ที่มีคนทั้งหมด 600 กว่าล้านคนทันทีเนี่ย เสียงจะดังมากเลยคราวนี้ คราวนี้เราจะไม่ให้ใครมารังแกลเราได้ง่ายมากๆ แล้ว และอีกอย่างหนึ่งในเรื่องของ Scale ที่เราไม่สามารถที่ achieve Scale ได้ ใช่มั้ยครับ เราก็เลยต้องพึ่งพาพวก Payment Infrastructure ของ Swift, Visa, Mastercard ปรากฏว่ากลายเป็น ใช้เป็น weapon เนี่ย weaponize Payment เราเห็นได้ชัดเช็ดว่าอเมริกาใช้ Swift ในการ Sanction รัสเซีย เราถ้าวันนี้อเมริกาหรือแอปต่างๆ ที่เราใช้ปิดไลน์ทิ้งก็สื่อสารกันไปได้ทั้งประเทศ มันกลายเป็น Weaponized Tools ได้หมดเลย เพราะเราไม่มี Scale และที่สำคัญกว่า Weaponized Payment หรือ Swift เนี่ย อีกหน่อยเราต้องมีเป็น Regional Payment Integration ที่มีเป็น Payment System ของตัวเอง มันจะมี Trend คือกลับมา Localize ใช่ไหม คือฉันต้องมี Payment System ของตัวเอง ฉันต้องมี Data Sovereignty ของตัวเอง ต้องเก็บข้อมูลในไทยเท่านั้น ใช่ไหมครับ แต่เราไม่มี scale เหตุผลหนึ่งที่ Nvidia มันขึ้นไปเยอะมาก ก็เพราะว่า Investors มอง Project ไปล่วงแนวว่าทุกประเทศต้องสร้าง AI Fundamental Layer ของ AI เอง ซึ่งมัน Impossible พูดถึง Trillion Dollar ไม่ใช่ Application Layer นะครับ Fundamental Layer ที่ทำได้ไม่กี่บริษัท Microsoft, Google แล้วก็ Open AI อะไรอย่างนี้ หรือไม่ก็เป็น State Red ของจีนที่พวก Huawei ที่เขาทำกันได้ Trillion Dollar มันมากกว่า GDP ไทย 2-3 เท่า ในการลงทุนแค่ Black Belt อย่างเดียว ประเทศไทยไม่มีทางสร้างเองได้ ประเทศไทยสามารถที่จะสร้างได้ในระดับแอปพลิเคชัน layer ของ AI หรือ Industry layer ของ AI แต่ถ้าเป็น Fundamental layer ของ AI มันทำไม่ได้ ทีนี้จะปล่อยให้ต่างชาติมาใช้ AI อีกหน่อย ถ้าสมมติเราทำไม่ได้แล้วเราไม่รวมกันเป็นอาเซียน เราอยู่ประเทศ ประเทศเหล่าประเทศเดียว นอกจาก Swift จะโดน Sanction เราก็ใช้ Swift เราจะโดน Sanction เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ใช้แวบ Payment เนี่ย เพราะ AI มีอยู่ 3 Option State-Based AI ของจีน Open System AI ของอเมริกา หรือ Close System ของ European ที่เขาก็ จับกลุ่มเป็น Small State แต่จับกลุ่มเป็นก้อนหนึ่งที่เป็น European Zone มีอยู่ 3 Option Don't Weaponize ได้ทั้งคู่เลย Weaponize AI อีกหน่อย AI ที่อันตรายกว่า Payment อีก ที่มันจะอยู่เป็นเหมือนไฟฟ้า ที่อยู่ทุกวงการ แล้วอยู่ดีๆ อย่างไฟฟ้าเรายังผลิตเอง แล้วอีก��น่อย AI ที่มันเหมือนไฟฟ้าที่อยู่ทุกแอปพลิเคชันเรา ต้องมานั่งงอจีน งออเมริกา สมมุติเราบอกว่าเราใช้ Open System AI ของ OpenAI มาเป็น Fundamental ของเรา ที่สร้าง Application บน AI อเมริกาบนเลย จีนบอกว่าคุณเลือกอเมริกาหรอ คุณไม่เลือกจีนหรอ หรือกลายเป็นลำบากใจอีกว่าพวกเราใช้จีน พวกอเมริกาปิด ใช้ AI มาปิด เป็น AI ไม่ได้ อ่า ปิดปุ๊บ ปกติเราไฟฟ้าเหมือนไฟฟ้าไม่มีทั้งประเทศเนี้ย อืม มันก็เสี่ยงเงินไป เพราะฉะนั้นอีกหน่อยเราต้องมีเป็น Weaponized ไม่ใช่ Weaponized เป็น Regional AI System ของเรา ที่เพื่อนบ้านทุกคนเนี้ย คอนฟอร์บไว้นะ ใน Agreement เนี้ย ที่เรียกว่า Defa เนี้ย Agreement เนี้ย ว่าต่างคนแบบจะไม่ Intervene Domestic Business นะ เรื่องของชาวบ้านก็อย่าไปยุ่งเขานะ แต่เราเป็น B Scale ล่ะ เอารวมกันเราจะปลดคลายเป็นสรีที่ใหญ่ที่สี่ของโลก เราไม่ต้องมานั่งเลือกว่าใช้ AI ฝั่งไหนดี เหมือนจริงๆ หรืออเมริกา ถ้าเลือกฝั่งไหนฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งปิดชั้นอีก ปิดทิ้งอีกก็ระบบโล่มอีก ประเทศไทยก็กลายถูก weapon เหมือนที่รัสเซียโดน sanction พอใช้ SWIFT ไม่ได้ Payment เข้าประเทศไม่ได้ มันก็เลยเป็นสำคัญมากเลยที่ เรื่องที่ 3 คือคำว่า open เราต้องรีบ integrate เข้ากับ Define ให้ด่วน แล้ว open เราก็ต้องมีเป็น EEC ที่เป็น Free Zone ทำยังไงได้ให้ชนะภูถานที่เขากําลังจะทําขึ้นมา ทำยังไงได้ให้ชนะริยาศ อย่างเงี้ยของเอาส์อาเลียอราเบีย อืม ดูบัยอย่างเงี้ย จะทํายังไงให้เราเป็นฮับให้ได้ อืม เรามีบุคเขาสวยทะเลสวยกลับมาเรื่องเดิมว่า จะทํายังไงให้ มันสอดคล้อง แล้วยังไงเราก็ชนะดูบัยที่ ห้าสิบองศามีแต่ทะเลทราย แต่แค่เขาว่าดักหน้าเรื่องดูดกว่า อันนี้มันห้าสิบองศามันทอดไข่ได้เลย อืม ข้างนอก ยกตัวอย่างยังไงครับ อย่างแค่ Cryptocurrency เนี่ย ถ้าเราปลดล็อกให้ทุกคน Digital Nomads ทุกคนเนี่ย ที่มาอยู่ในไทยอยู่แค่ 6 เดือน เปิดเป็นชีวิตอนาคารไม่ได้อยู่แล้วเนี่ย ถ้าเราแค่ยกเลิกภาษี Crypto เมื่อไหร่ Capital Gain 2.3 Trillion USD มา Cash Out ที่ไทยแน่นอน เพราะทุกวันนี้เขาไป Cash Out ที่ดูไบกัน เพราะไม่เสียภาษี Capital Gain แล้วเงิน 2.3 Trillion สิงหาปกติก็ไม่เสีย Capital Gain เงิน ปรากฏว่า 2.3 Trillion มัน 4-5 เท่าของ GDP ไทย แค่ยกเลิกกฎหมาย 1 ลายเซ็นต์เดียว 5 เท่า GDP ไหลเข้าประเทศไทยทันที เท่ากับประเทศไทย 5 ประเทศเม็ดเงิน 5 ประเทศไทยไหลเข้าประเทศไทยทันที โดยที่ไม่ต้องเสียดุลเรื่องงบดุลเนี่ย Debt to GDP Ratio ก็ไม่กระทบ ไม่ต้องมากู้มากระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ความเชื่อมั่นของเงินบาทอ่อนลงอะไรแย่ลง กระทบเป็นทอดๆ ใช่ไหมครับ Household debt ก็ดีขึ้น ทำให้รากเราแข็งแรงกันด้วยเพราะว่า หนี้ควรเดินสูงมาก เขาจ่ายดีกันไม่ไหวเพราะว่าไม่มีรายได้ เซ็นแค่รายเซ็นเดียวเนี่ย ยกเลิกภาษีคลิปโตเนี่ย เม็ดเงินเท่ากับ 5 ประเทศไทยเข้ามาเนี่ย เลี้ยงดูยันหน้าปากซอยอะครับ Digital Nomad ที่มาเที่ยวไทยอยู่แล้วเนี่ย ใช้จ่าย แล้วก็รายเซ็นๆ ที่ 2 คือ ทำให้ชำระเงินได้คลิปโตได้ แล้วที่เขากลัวคือกลัวจะเสียสถิตภาพทางเงินบาทจริงจริงมันไม่ใช่เพราะว่าเราใช้คริปโตแค่ไม่กี่วินาทีแล้วคอนเวิร์ดเป็นบาทอยู่ดี มองคาไหมคะไม่ต้องรู้เลยด้วยซ้ำว่าเขารับเงินบาท เอ่อ รับรับเงินคริปโตสุดท้ายเงินบาทเข้าบัญชีธนาคารของเขา คริปโตแค่เป็นโปรโตคอลไม่กี่วินาทีเองนะครับ แต่มันทําให้เงินเนี่ย เท่ากับห้าประเทศไทยห้าร้อยเปอร์เซ็นต์ของจีนดีพีจะโตขึ้นมา ห้าเท่าตัว ขอแค่สองร้ายเซ็นต์ นะครับ แค่เนี้ยเมืองไทยน่าอยู่ขึ้นเยอะแล้ว ใช่ไหมครับ มีพวกเขาสู่ทะเลสวยอยู่แล้ว ใครจะไปแคชออทที่ดูไบย์ 50 องศา ทุกคนอยากจะมา Cash out ที่ไทย แต่ดันมีภาษี Capital Gain เมือง Crypto มันเป็นลายเซ็นต์ง่ายๆ 2-3 อัน ทำให้กระทุนเศรษฐกิจโดยที่ไม่กระทุบงบดุล ไม่กระทุบความเชื่อมั่นประเทศ ทำเรื่อยๆ มันต้องแก้ไขพวกนี้ ทำให้เมืองไทยมีคำว่า Open มากขึ้น เปิดธุรกิจต้องเปิดได้ง่ายๆ ภายในวันเดียวต้องเสร็จ Digital Government Service ต้องเข้าถึง Service ของรัฐบาลออนไลน์ได้หมดแล้ว พวกนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ติดด้านปู่เขาทะเลสวย มันติดแค่ลายเซ็นต์แค่นั้นเอง ทำให้ประเทศไทย Competitive ในวัยที่โลกมากขึ้น หนึ่ง นี่ ที่ ผม อยาก ที่จะ ถาม คือ ว่า อ่า เพราะว่า a i ครับ บล็อกเทน ท ค น โน โล ยี บ ล็อกเท น ด ด ิ เ ฟ ล ล ม เ ม น เหมือนกับ ว่า วัน เนี้ย เพราะ ย เป็น มาก วัน นี้ วี ซี เงิน วี ซี คือ แต่ละ แต่ละ ประเทศ คือ สร้าง กอง ท ุ น มา เพื่อ ย อย่างเดียว ย อย่าง เหมือน ลง ทุ นนี้ น่าจะ ประมาณ ใน ปี ที่ ผ่าน มา มันทำให้คนที่เก่งนี่สุดในตลาดครับ คอมพิวเตอร์สาวที่เก่งนี่สุด เหมือนกับ Bull Run ที่แล้ว ตอนนี้ You Know Kandidate ที่เก่งนี่สุด มุ่งมวยสุด AI หมดเลย นี่คือ 1 2 เพราะว่า GPU ตอนนี้ มี Use Case Minus คือการ Train AI มันทำให้ Bitcoin Miner เริ่มต้องมาคิดแล้วว่า เฮ้ย! Huffing เพิ่งเกิดขึ้น ไอ้จะเอา GPU ของไอ้ อันไหนสามารถสร้างผลกับอะไรได้มากให้สด อันนี้ก็สอง 3. VC คือทุ่มทุกอย่าง คือ AI ตอนนี้คือปิดหูปิดตาแหละ ขอให้มันมีขึ้นที่ AI แล้วไม่มี Working from the Moral Type นะ คนปิดหูปิดตาลงด้วยแบบ Version ที่แบบไม่มี ยังไม่รู้ว่า Monetization คืออะไร ยังไม่รู้ว่าจะหาเงินได้ยังไง แต่ลงไปก่อน อยากรู้ว่า Development of AI ตอนนี้มัน มันจะทำให้ Development ของ Blockchain ช้าลงไหมครับ หรือจริงๆ แล้วมันคือเรื่องดีครับ ถ้าเป็น Blockchain อย่างงี้พวกนี้มันคือ คือ Frontier Technology Group ที่มันจะต้องมาทำงานร่วมกันเพื่อที่จะสร้าง Business Model ใหม่ๆ มันคือทั้งหมดเราเรียกว่า Fourth Industrial Revolution Technology Lockchain คือหนึ่งใน Pillar, AI คือหนึ่งในอีกหนึ่ง Pillar, 3D Printing, Big Data, Internet from the Sky, IoT Devices มันคือแต่ละ Pillar ที่มันจะบอกเลยว่า Investment จะไหลเข้ามาทางด้านนี้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Investment ของฝั่งของภาครัฐหรือภาคเอกชน เพราะ Policy ของฝั่งของจีน ของเวียดนามที่ไปฟังมาเนี่ย มาทางนี้หมดแล้ว มี Incentive อะไรให้ชัดเจน เพราะฉะนั้นเม็ดเงินเนี่ยมันจะไหลจากอุตสาหกรรมเก่ามาอุตสาหกรรมใหม่ เพราะว่าอุตสาหกรรมเก่ามัน Max Out พรีเมี่ยมไปหมดแล้ว แล้วอุตสาหกรรมใหม่พรีเมี่ยมมันเยอะมาก ซึ่งผมมองว่าในอนาคตเนี่ย ยังไงทุก Industry ที่เกี่ยวกับ Frontier Frontier Technology เนี่ยได้รับเงินเยอะอยู่ดี แล้วจะเยอะเป็นพิเศษคือในอาเซียนด้วย พอเรา Send DeFi Agreement เสร็จแล้วครับ เราจะเป็น Area ที่เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่ 4 ของโลก ที่มีประชาชน 600 กว่าล้านคน แล้วเราจะ Refrog ได้เลย คือผมบอกแล้วว่าเมืองไทยที่อยู่ในอาเซียนจะเข้าสู่ยุคท้องคำแล้ว ในค่าปี 10 ปีข้างหน้านี้คือยุคท้องคำอาเซียน ถ้าเรา Set Agreement กันเสร็จ เบ็ดเงิน แต่ยุคท้องคำในที่นี่คือไม่ใช่เข้ามาในอุตสาหกรรมเก่านะครับ อุตสาหกรรมใหม่ อุตสาหกรรมใหม่ Frontier Technology เท่านั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Semiconductor Chip นะครับ พวก Cloud Service ต่างๆ เรื่องของ Investment VC Fund พวกนี้ An order of magnitude increase หมดนะครับ ที่อยู่ใน Frontier Technology ไม่ได้แปลว่า Blockchain จะน้อยลงนะครับ คือ Relative to AI เนี่ย อาจจะน้อยลง แต่ Absolute Number เนี่ยมันมีแต่เยอะขึ้น ต้องแยกระหว่าง Relative Number กับ Absolute Number ถ้า AI มันร้อนแรงมากๆ เนี่ย Relatively เนี่ย มันก็อาจจะ Tailored ไปฟังของ AI มากขึ้นหน่อย Skill มากนะครับตอนนี้ Individuos นี่คือพุ่งคลองตลาดระวัย ถ้า Absolute Number เนี่ย ยังไงก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ ในทุกอย่างที่เป็น Frontier Technology เนี่ย เพราะมันเป็นทิศทางของโลก มีแต่เม็ดเงินเนี่ยจะมากขึ้นเรื่อยๆ และมากขึ้นโดยเฉพาะในอาเซียนเนี่ยแหละ อยากจะมีอีกคำถามหนึ่งครับ อันนี้อยากรู้มากๆ ส่วนตัวเลย คือน่าจะทำไม่ได้ว่าน่าจะปีที่แล้ว ทำไมผมจำ Time Frame ไม่ได้ ปีแล้ว 2 ปีแล้ว ปีที่แล้วมั้ง ที่ข่าวของ SBF คลิปที่ของ FTX ใหญ่มากๆ SPF แน่นอนนะ FTX เป็นคลิปที่ของ FTX ใหญ่มากๆ น่าจะอันดับ 2 ของโลกตอนนั้น เทรดเดอร์ทุกคนต้องใช้ตรงนี้ ลูคลิตตี้ตรงนี้สูงมาก เทรดดิงวอลิวมคือสูงมาก ไปปี 2022 ผมจับไฟม์เฟรมไม่ได้ ไปปี 2022 หลังจาก The Failure of FTX ผมมั่นใจว่ามันต้อง Send Shockwave To All The Crypto Exchanges ทั่วโลกเลย ครับ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เอ่อ เพราะผมว่าตอนนั้นน่าจะเป็น แบบ วิกฤต ที่สุดที่มันเป็นไปได้ คือมันนั้นคือ อาฟเตอร์บูล และ แบบ เอสพีเอฟแฮปเป็น ผม ผม น่าจะนึกไม่ออก อ่า อีกเวลาที่สุดท้าย เพื่อ วิกฤต มากกว่าตอนนั้น แต่ บิดคับก็รอดไปได้ แต่ว่าอยากรู้ว่า ตอนนั้น อะ มันเป็นอะไร ปลายปี สองพันยี่สิบสอง นี่คือ เบา เนี่ย เบา สําหรับ บิดคับ มาก แล้วผ่านอะไรหนักกว่านั้นเยอะมาก ที่หนักคือ 2021 ช่วงบูลนี่แหละครับ โดนทั้งรังแกรอะไรเต็มไปหมดที่เยอะมาก อ่า 2022 คือเราไม่ cut corners ที่สำคัญคือการที่จะ run ธุรกิจการเงินเนี่ย มันไม่เหมือน startup นะครับ startup คือ move fast break things apologize later อะไรอย่างเงี้ย เอาไม่ได้นะ เราเป็นสถาบันการเงิน ของโลกอนาคตเนี่ย เรา move fast break things ไม่ได้ มันเป็นเงินของชาวบ้าน ของทุกคน มันใช้ฟิลอสโฟฟีนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรา compliant from day one เพราะจริงๆ Pre-Corposed FTX ไม่ได้เปลี่ยนอะไรบิดครับ คือเรา chill มากเลย มันไม่ได้เปลี่ยน operation ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แค่ market confidence มันลดๆ ลง เพราะคนอื่นดัน mess up the market ไม่ใช่เรา FTX mess up the market แต่ของเรา operation อะไรก็ เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนอะไร เพราะเราก็ไม่ได้คัด คอนเมอร์ไม่ได้คัดอะไร ก็ไม่ได้กระทบอะไร แต่แค่หลังจากนั้นคือ คนที่เป็น regulated player โดน punish มากขึ้นโดยที่มี regulation ที่สูงขึ้น ในการที่ unregulated player ก็ยังแตะอะไรเขาไม่ได้ กลายเป็นเราถือปืนอยู่ สู้กับคนที่ถือปืนด้วยกันที่เป็น unregulated exchange เขาอาจจะเป็นปืนยาวด้วย หรือปืนสั้น หรือปืนกลดด้วย เพราะเขาไม่ต้อง comply กับอะไรเลย กลายเป็นว่าพอออกกฎปุ๊บ เรากลายเป็นถือมีดทันที เขายังถือปืนกลดอยู่ สู้กัน เราต้องอีก additional requirements แต่ไม่หมดเลย แรกจาก FTX ที่เกิดขึ้น ทั้งนั้นที่เราไม่ได้ mess up แต่คนที่ mess up the space คือกว่าถือปืนกลนะ mess up the space คือเขาก็เป็น unregulated player ที่ mess up นะฮะ แต่ถามว่า actual operation นึงมันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไร ไม่เบามากช่วงนั้นมันคือเบา เบากว่าช่วงที่ผ่านมาเยอะมากที่โดนรังแกอะไรต่างๆ ซึ่งขอถามปี 2021 อีกนึงครับ คือคุณท็อปชอบพูดหลายๆ วิถีนะว่า ปี 2021 ป้าย ปี 2021 คุณท็อต้านจะเป็นคนที่ถูกด่าเยอะที่สุดในประเทศ ครับ รองจากธนายกนะ รองจากธนายกนะครับ รองจากธนายก ซึ่ง ธนายกยุคนั้นนะ ครับครับครับ ซึ่งผมก็เลยอยากรู้ว่า มีอะไรที่คุณท็อปเรียนรู้จากครั้งที่แล้วไหม ว่าเออว่าตรงนี้พาดแล้วจะไม่พาดอีก โอ้ย ว่าพาดนี่คือ เยอะมากครับ จะคือ The most critical lesson ของครั้งนั้น และผมพออยากรู้ The most critical lesson ตอนนั้น แล้วก็อันที่สอง ภายละผมเป็นผู้กบการ ผมก็อยากรู้อันนี้เหมือนกัน ทัวร์ส่วนตัวคือ เขาเจอข้างใน BitClub ตอนนั้นเป็นเอง อย่างเช่นผม ตอนผม Run to the Kid สิ่งที่ผมกลัวที่สุด ผมไม่กลัวว่า คู่หนึ่งข้างนอกจะว่าผมว่าอะไร ผมแคลร์ว่าคนข้างใน บาสเวิร์ค ยังเชื่อผมอยู่หรือเปล่า That for me is the most important thing ผมก็ได้อยากรู้ว่า จังหวะนั้น คุณท็อปลีนรู้อะไรจากครั้งๆ นั้น The Most Critical Lesson สองคือ ตอนนั้น Culture ข้างในเป็ดคับมันเป็นยังไง คือท็อปลายต้องถูก วอทัมลายมันจะมาเอง ปัญหาคือท็อปลายเราผิดที่ผิดเวลา ในช่วง War Time ในช่วงขอตั้งยุคแรก 2 ปีแรก ก่อนที่จะถึง Series A มันคือกระโดดลงหน้าผ่าแล้ว ท็อปลายคือ 3 อย่าง ของ top line ความหมาย คือคน people อันที่สองคือ strategy ต้องถูกที่ถูกเวลา และอันที่สามคือ culture กระโดดลงหน้าผ่าเรา ถ้าเรา apply peacetime top line ตอนที่บริษัทใหญ่แล้วแบบมา apply ช่วงแรกมันก็ไม่ใช่ ถ้าเรามานั่งเถียงกันว่าเครื่องบินสีอะไรดี จะถึงพื้นอยู่แล้ว ยังมานั่ง debate กันทุกวัน โดยที่ไม่ลงมือทำ ไม่ get shit done startup มันจะมีคำว่า get shit done ได้แล้ว talk is cheap มานั่ง debate มานั่ง challenge Leader เพื่อได้จะมี Creativity ใหม่ๆ มี Win Back เต็ม Office มี Food Panda Create มีเต็มอะไร มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน มัน ห้องน้ำยังใช้รวมกันเลย อย่างนี้ว่า ผู้ชายผู้หญิง มันไม่ใช่แบบ Office เป็น Bit Club ที่ทุกคนเห็นในวันนี้ มันต้อง Apply to Top Line ช่วงผลิต Scaling ก็ ไป Optimize เกินไป ไปแบบ โอ้โห พอมันขัด แบบ มีถึงจุดนึงที่แบบ เดือนสองเดือนสุดท้าย Runway ของ Bit Club จะต้องปิดบริษัท มันก็ พอผ่านจุดนั้นได้ก็เคล็ดไง ก็ Apply the Wrong Top Line ว่า ผมก็มา ทุก Transaction เอง จน Under Invest จน มีปัญหามากมาย ที่มัน Under Invest เสียหายไปแบบ หลายพันล้าน อืม อืม ถ้ามานั่งลองดูย้อนหลังเนี่ย opportunity cost ที่หายไปนู่นเกือบไอ้ 1,700 ล้านผมมานั่งขอด้วย มี custom protection fund 100 ล้านให้ลูกค้า release ได้ทุกเมื่อ มี t-list เหรียญอะไรแบบเฮ้า trade free อย่างเงี้ยที่ร่วมๆเนี่ยมัน 1,700 ล้านกว่าล้าน จากแค่ประหยัดแค่หลักกำไรแค่ 100 ล้าน ประหยัดได้ 100 ล้าน คอสคือ 1,700 ล้าน มันก็ the wrong top line ในช่วง Blitzscaling มันก็ต้องมีฟิลอสโฟฟีหนึ่งที่แบบ คุณ profit margin คุณ 50% คุณ capture growth 2000% ยังไงก็ Obsess inefficiency expense Additional expense 10% ได้ No-brainer แต่ตอนนั้นไม่มีใครสอน ช่วง peacetime เราก็ apply the wrong top line เราไป Blitzscale ทุกอย่าง ทางนั้นที่ความจริงมันต้อง เป็น respectable institution ได้แล้ว ใน phase ที่ 3 คือเราปวดลง Conquer market share 95% market share ได้แล้ว Top line คือคุณต้อง มี the right people ที่แบบกล้าที่จะ challenge ตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ ต้องเป็นหมู่คณะ ต้องมี corporatization ต้องมี board มี subcommittee มี committee วิธีการสื่อสารต้องเปลี่ยนไป วิธีการตัดสินใจต้องเปลี่ยนไป มี 10th man rule อะไรต่างๆ มี chair ของแต่ละ board มี committee มี first second third line วิธีการทำงานมันเปลี่ยนไปหมดเลย สุดท้ายมันต้องเป็น respectable institution ให้ได้ มันก็ไป apply top line ของ Bridge Scaling Move โตให้เร็วที่สุด นู่นดี ทำทุกอย่างมันก็ ปัญหามันก็ตามมาทั้งหมด Team Government Affairs ก็ไม่มี พอเราเล็กอยู่ เราก็ manage แค่ 3 คนต้อง happy 3 กลุ่มลูกค้าต้อง happy บริษัทก็รอดแล้ว การณ์งานต้อง happy Investor ต้อง happy ลงทุนก็รอดแล้ว แต่พอเราเป็นสถาบันการเงินเมื่อไหน เขาว่าจาก Startup ช่วง wartime มาเป็น Scale up ในช่วง Bridge Scaling จาก Scale up มาเป็น Institution โอ้โห สเตคโฮเดอร์มันเพิ่มขึ้นเยอะเลย สื่อ ตอนนั้นก็มีสื่อหนึ่ง จวมตีไม่หยุด เพราะเราไม่มีการ ผมจะใช้ว่าทีมทานโลชั่น ในกวิทยาลัยครับเราจะมี 2 ทีม ทีมที่ดาบไฟ ที่มีปัญหา ทั่วไปทุกบริษัทไฟไหม้หมด แต่ทีมที่ไปทานโลชั่นก่อน ให้ร่างกายไม่ป่วยหนัก ตั้งแต่วันแรก ตอนนี้วันเกิดก็ให้ของขวัญครับ หน้าที่ผมคือแบบ มีร้านออกไว้ประจำตัวที่มี Business Class ของผมอยู่ หน้าที่คือเดินไปให้ตรงมาให้ทุกคน Manage สื่อต้อง Happy รัฐบาลต้อง Happy Regulator ต้อง Happy Business Partner, Local International ต้อง Happy CSR Association สังคมต้อง Happy Elite Group of the Society ก็ต้อง Happy มันกลายเป็น Manage 10 Stakeholder Group ทันทีเลย เมื่อก่อน Manage แค่ 3 พอเป็นสถาบัติบุคคลมมี 10 Stakeholder Management Group ขึ้นมา ต้องมีทีม Corporate Affairs ขึ้นมา เราก็ไม่มีการไปทาโลเชิญก่อน ก็เกิดเหตุก็คือป่วยเลย ไม่มีโบเนสมาส่องกันเป็น prevention ไม่มีเลย แล้วการที่อยู่ในวงการสถาบันการเงินคือทุกคนต้อง Trust เรา Trust เป็น the biggest the most expensive currency แล้วถ้าไม่ Trust ปัญหาเล็กก็เป็นปัญหาใหญ่ ใช่ไหมครับ แต่ถ้าใคร Trust กันอยู่แล้ว ปัญหาใหญ่จะเป็นปัญหาเล็ก เราก็ไม่มีจีนทารโลชั่นตั้งแต่ตอนนั้น มันก็ผิดพลาดหลายเรื่อง Top line มันผิด ปัญหาคือ Key คือแบบ ภาพใหญ่คือ top line มันต้องได้ได้ถูกเฉิงหวะ ถูกที่ ถูกเวลา people culture strategy แล้ว bottom line มันจะมาอีก sense ผมว่าคนที่ฟังอยู่ทุกคนก็รู้ว่าคุณท็อปเป็นคนที่เก่งมาก คุณท็อปเป็นคนที่พยายาม ผมว่าหลายๆเวทีที่คุณท็อปไป บางทีมันไม่ได้เกี่ยวกับ bitcoin ด้วยซ้ำไป แล้วคุณท็อปก็ยังไปพูด ยังไปพยายามแชร์ความรู้ให้น้องๆฟัง มันเป็นเรื่องที่ดีมากครับ แต่อันนี้อยากรู้ จุดอ่อนของคุณท็อปคืออะไร มันต้องมีจุดอ่อนไหม รู้สึกว่าทุกคนมีจุดออด แต่รู้สึกว่าจุดออดที่ชัดเจนที่สุดของคนท็อปคืออะไร เรื่องของคนมันครับ เพราะผม drive ตัวเองหนักมาก มันบอกว่ากดดัน co-founders กดดัน management กดดันทุกคนลงไปถึงข้างล่างสุด ทุกคน over cross the line and beyond at a keep up ไม่ทัน ที่แตก แล้วพอเรารู้จุดอ่อนตรงเนี้ย คุณท็อป แดลิเกต นะครับ แล้วเช่นคุณท็อป ถ้าคนท็อปรู้ว่า ตัวเองอาจจะ เนี่ย หรือกด อ่า กดดันคนต้องมาก แบบ พอตัวเองกดดันตัวเองมากมาก เลย แต่ว่ารู้ว่าอันนี้เป็นจุดอ่อนของตัวเอง ไม่รู้ว่าอันนี้มาจาก self-aware หรือ feedback จากคนอื่น อ่ะ แล้วพอรู้ว่าอันนี้เป็นจุดอ่อนของตัวเองอ่ะ คุณท็อป แดลิเกต ด้านนี้ ให้กับอีกคนนึงที่คุณทอบรู้สึกว่าเก่งกว่าป่ะ นี่ครับ ตอนนี้ก็เดริเกรนหมดทุกด้าน แต่ก็กดดัน ก็กดดันคนนั้นที่เดริเกรนด้วย แล้วก็ลงไปด้วย ก็ถึงไปดูจุดอ่อน แล้วขอถามหนึ่งทุกท่านคุณทอบคือ แต่เอาจริงๆ แต่เอาจริงๆการที่มี expectation สูงเนี่ย มันก็ มีการที่มีความสุขในชีวิต หรือถ้ามองดูในอดีตย้อนที่ผ่านมา ว่าผมกดดันแบบโฟคัสมากๆในอะไรบางอย่าง มัน achieve ย้อนแบบ Extraordinary Results ไม่ว��าจะเป็นอย่างที่ Manchester เนี่ย ผมจบที่ 1 ของเรียนทอง เรียนทองนะครับ Manchester เป็นมหาลัยที่ใหญ่ที่สุดใน Europe นะครับ 30,000 คน ผมได้ที่ 1 ของ 30,000 คน ที่แบบเป็นคนท้ายคนแรกที่ได้ Scroll สีมพรุง สีขาว 2 อัน Oxford ตอนไปเรียน ผมเป็นคนที่เด็กที่สุดในห้อง อายุทั่วเหลี่ย คือ 526-121 คนเดียว แล้วก็เป็นคอร์สที่แบบ M-Fuel แบบ Proper Economics ที่แบบไม่ใช่แบบ easy course ทั่วไปไม่ใช่ msc course ทั่วไปอะไรอย่างเงี้ยครับ ใช่มั้ยครับ หรือ อ่า ตอนทํา coin ก็เป็น the biggest exit ในอาเซียตอนนั้น อืม สิบหน้าร้าน USD หรือ BitClub ก็เป็น one of the best out performing company อ่า หรือการที่เราจะมา และจากเมื่อก่อนผมไม่ค่อยกล้าพูดที่ไหนใช่มั้ยครับ อ่า แต่ตอนนี้ก็เป็น one of the most แบบ แบบ แบบ sort after speaker เหมือนกันเนี่ย ก็ second to no one ถ้าเราจริงจังกับเรื่องของ การให้ความรู้ Speaking ให้กับคน ผมก็ไม่เคย ไม่เคย ไม่เคยเป็นที่สอง ถ้าจริงจังในเรื่องอะไร เรื่องหนึ่งจริง ที่ผ่านมาในอดีต หรือแม้แต่แข่งขัน นั่งครั้งเดียวในชีวิตแบบ Competition Fintech Competition เราก็ได้ที่หนึ่ง ของ Fintech Competition ก็รอตร ซึ่งการที่มันมี Expectation สูงกว่าคนทุกคน มันก็ Achieve Extraordinary Results ได้เหมือนกัน รู้สึกว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจ เรื่องของการเรียน คุณท็อป expect a lot of yourself แต่ว่าทุกอย่างมันมาด้วยหลายค่า รู้สึกว่า sacrifice ที่ใหญ่ที่สุด ที่คุณท็อป have to give up ใน entrepreneurship journey ตรงนี้ มันคืออะไรครับ ก็คือฝั่งของ relationship ฝั่งครอบครัวหรือฝั่งส่วนตัวครับ ก็ทั้งหมดครับ เพราะว่าช่วงเรียนก็คือไม่เคยมีแฟน ไม่เคยไปปาร์ตี้อะไร ก็เสียเรื่องของ relationship เรื่องของวัยรุ่น ช่วงวัยทำงานก็ไม่ได้มีเวลาให้กับครอบครัวเหมือนคนทั่วไป รูปตามตู้เย็นที่เป็นแมกเน็ต จะไม่มีเราอยู่คนเดียว แล้วก็อย่างปีนี้คุณแม่โมโหมากวันเกิดครบรอบหกสิบปี มันเป็นอะไรที่ใหญ่มากสำหรับคนสีน เราก็ไปไม่ได้ วันเดียวจะจัดใหม่ เราก็จะต้อง sacrifice เรื่อง relationship มันไม่มีอะไรได้หมดทุกเรื่องในชีวิต การที่เราจะ achieve extraordinary results เราก็ต้อง sacrifice ที่มัน below average ในบางเรื่อง เราจะ above average ในทุกเรื่อง พระเจ้าให้ 24 ชม.
ส่องแค้นส่องคาเหมือนกันหมดทุกคน มันไม่มีทางที่เราไม่ sacrifice เราจะได้บนลับที่ average แต่วันนี้คุณท็อปก็ไม่เหมือน 10 ปี 11 ปีที่แล้วเนอะ วันนี้คุณท็อป หรือเรื่อง Health พูดที่นี่ สุขภาพเนอะใช่ เราก็ต้อง Sacrifice เรื่อง Health เนี่ย Body Age ของผมนี่แบบ 49 นะมึงครับ ดูจริงๆ 34 Body Health 49 Body Age คือ แต่ว่าวันนี้คุณท็อป อันนี้ๆ อยากถามเพิ่มหน่อยก็คือแบบ วันนี้คุณท็อปก็ไม่ได้เป็น คุณท็อปที่เราอยู่ที่ 11 ปีที่แล้ว คุณท็อป 11 ปีที่แล้วคือ ยังสร้างตัวอยู่ ยัง you know กําลังมุ่งหมายกับบางสิ่งมายัง เรียกว่า bitcoin ที่ไม่มีใครรู้จัก กําลังสร้างธุรกิจที่มันไม่เคยมีตัวตนมาก่อนในประเทศไทย กําลังสร้าง market share สําหรับประเทศไทย กําลังทําให้คนไทยเข้าใจ bitcoin คือ แต่วันนี้ เอาว่า ปิดครับอยู่ในจุดที่มัน ถ้าทํา survey ดูสิบคนก็น่าจะรู้จักอย่างร้อยแปดคนอ่ะ รู้สึกว่าวันนี้ยัง ให้คุณทอป give out อ่ะ 10 ปีที่ผ่านมา วันนี้คุณท็อปมีความคิดว่าจะอยากจะกู้มันกับมันบ้างไหม อาจจะมีความยื่นในการ วันนี้อาจจะไม่ต้องระวังเหมือน 11 ทีวีที่แล้ว วันนี้ I have more flexibility อาจจะมีไว้ ถ้าวันไหน วันอาทิตย์ อาทิตย์เดือนละ 2 ครั้งก็ได้ กินข้างกับแม่ กินข้างกับพ่อ หรือว่า อาจจะหันมามองสุขภาพมาก คือ ไทยต้องยังนอนแทบส่อยสี่ชั่วโมง เฮ้ย วันนี้ขอ กลับบ้านเร็วนิดหนึ่ง จอนจักรเจ็ด อะไรอย่างเงี้ย มี มีบ้างมั้ยครับ มีครับ มีพยายาม พยายาม เนี่ย ติด แต่ไม่หมดเลย ทั้งใส่ ซึ่งใส่ อิน แต่ความจริงมันก็ยังบอกอยู่ว่านอน เฉลี่ยห้าชั่วโมงในเดือนที่บ้านมา ครับ ห้าชั่วโมงกว่า อ่า ก็คือเนี่ย โอ้ มีทีม ลายขา ตอนนี้ช่วย แมร์จ ข้างหลังบ้านเยอะมากใช่ไหม มันก็จะเป็นจองร้านอาหาร ล็อกเวลากินข้าวของครอบครัวมันก็ ทําได้บ้างไม่ได้บ้าง อย่างล่าสุดปีนี้ ปีนี้ล่าสุด สุดร้อนเลย ที่ไม่ใช่แบบเป็นคุณทอมสิบเอ็ดปีที่แล้วเนี่ย อืม ยังไปวันเกิดครบรอบหกสิบปีของคุณแม่ไม่ได้ อืม มันก็ยังมีแบบ แต่ก็มี ไม่ใช่ไม่มีดินเนอร์เลยนะ ก็ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้นเยอะ ก็มีแบบดินเนอร์ มีแบบไป มีวันอาทิตย์แบบเป็น ครีเรชเซอร์ และครีเซลล์ และ ทําหมดทุกอย่าง อืม มีแบบกัด มี supplement มาตั้งไปหมดเลย ใส่ ใส่ มันมี initiative ที่จะเริ่ม แต่มันก็ไม่ได้ทําได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทําได้บ้าง ทําไม่ได้บ้าง เขาจะอยากจะคิดว่าบริษัทใหญ่ขึ้นแล้วจะ นะ ผมแค่รู้สึกว่า เพราะว่าคุณทบคุณรู้ตัวไงว่า พอพบด้านนี้อาจจะเป็นด้านที่ หลายหลายคนที่ดูอยู่ก็อาจจะรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งสําคัญ เอ่อ เข้าใจว่าตอนแรกอาจจะเลือกไม่ได้ ตอนนั้นคือแบบ everything เพราะว่า ติดตามสร้างตัวอยู่ อ่า ชื่อว่า แต่ค่อนข้างแน่นอนแหละ ผมว่าคุณเท้าอาจจะให้ความสำคัญตรงนี้มากๆจน ไม่เพราะว่าขิน ถึงแม้ว่าช่วงยุคแรกขินเบานะ ตอนนี้ขินเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆทุกปีนะ ตอนนี้เราแบกขินก้อนเบลอเลยนะ เมื่อก่อน สมมติมี 40 ชีวิต เรารับผิดชอบ 40 ครอบครัว เอาแค่ stakeholder เดียวก็พอนะครับ พนักงาน ตอนนี้มี 1,000 ชีวิต เรารับผิดชอบ 1,000 ครอบครัว ขินก็ใหญ่ขึ้นเลย แต่เมื่อก่อนเราดู 3 stakeholder ไงครับ Investor ต้อง Happy พนักงานต้อง Happy ปันผลให้ทุกคนหรือยังที่ลงทุนในเวอร์แซนเรา มี Pressure ว่าคุณต้องปันผล ลูกค้าก็ต้อง Happy ตอนนี้มาเต็มไปหมดเลยครับ รัฐบาล ซื้อ Business Partner Association ต่างๆ โอ้โห ตายเป็นหินไม่ใช่ก้อนเดียวนะ 10 ก้อน แต่เมื่อก่อน 3 ก้อนเป็น 10 ก้อน แล้วแต่ละก้อนเนี่ย จาก 40 คนเป็น 1000 คน แต่ละก้อนก็ใหญ่ขึ้นด้วยนะ มันโตทั้งจำนวน โตทั้ง Magnitude ของหิน แปลว่า Responsibility มันไม่ได้น้อยลง ถ้าอยากขอถามว่า วันนี้คุณท็อปมีความสุขไหม วันนี้คุณท็อปรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ตื่นมา Happy ทุกวันไหม ก็จริงๆก็เป็นมนุษย์ทั่วไปนะครับ มันก็มี Happy ไม่ Happy ไปเรื่อยๆ แต่คุณท็อปรู้สึกว่ามีความสุขไหมกับชีวิต ผมว่าผม Fulfill กับชีวิต ที่ถ้าให้ทำอย่างอื่นก็ไม่เอา เพราะว่าถ้าให้ตื่นมาแล้วแบบไม่มีเป้าหมาย เป็น Nobody ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ อยากจะไปมานั่งคุยกันอย่างนี้ก็ไม่มีใครอยากจะเชิญคุย ไม่ได้มีใครอยากจะฟัง ไม่ได้ไปที่ดาวอส ไม่ได้ไปฟังอินไซต์ ไม่ได้มีโอกาสให้เราพัฒนา Cognitive Ability ของเรา เราก็จะเป็นคนที่แบบเน่าไปเลย ที่แบบร่างกายเสื่อมโทรมไปเลย แล้วก็หัวสมองก็ไม่ได้ใช้ง่ายไปเลย แล้วก็เป็นคนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตไปเลย อย่างนั้นก็ไม่เอา ผมสู้กับเป็นบินชีวิตที่กดดันและพัฒนา Cognitive Ability ให้เราเป็นคนที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ อาจจะมีถูกบ้าง สุขบ้าง ก็มนุษย์ทุกคนจริงๆ ถึงแม้ว่าเอาจริงนะ ถ้าวันนี้คนทั่วไปที่ไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ย ก็มีสุขบ้างแล้วก็ถูกบ้างว่า This is life อะ มันก็ consist of happiness แล้วก็ unhappiness มันไม่ใช่แบบ monotone อะ แต่มันจะเป็น relative scale ไงครับ บางคนที่แบบโอ้โห ได้มีทุกอย่างหมดๆ ในชีวิตหมดแล้วอะ ความทุกข์เขาจะหนักบ้างในเรื่องที่แบบ เป็นแบบ เรื่องติ่งต้องมากสำหรับคนทั่วไปที่เขามองว่าไม่ควรจะทุกข์ด้วยซ้ำไป เพราะว่าเขามีทุกอย่างในชีวิตแล้ว ในขณะที่บางคนเนี่ย โอ้โห เรื่องบางเรื่องที่แบบ สำหรับเรื่องคนอื่นๆ มันคือว่าหนักจริงๆ สำหรับเขาใช่ไหม เพราะฉะนั้น ไอ้ยักษ์อะ เขาว่าเราจะไม่มีทางไม่ Happy Happy ตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้ This is life ถ้าสมมุติแก้ไหลปัญหาทุกชีวิตหมดแล้วเนี่ย เดี๋ยวก็มีปัญหาใหม่ๆ อีกอะ ที่ทำให้เรา แต่ปัญหานี้อาจจะ Relative Scale เนี่ย อาจจะ ดูคนอื่นอาจจะฟังดูเป็นเรื่องติ่งตองมากเลย แต่สำหรับเขาเนี่ยเป็นเรื่องใหญ่มากเลย เพราะเขาแก้ไปหายปัญหาเรื่องอื่นไปหมดแล้วอย่างเงี้ย มัน always มันไม่มีทางแบบจะเป็นชีวิตที่แบบ happy ตลอดเวลานะ happy unhappy ผสมกัน แต่คีย์คือมัน fulfill หรือเปล่า มันต้องใช้คําศัพท์ใหม่เนี่ย ไม่ใช่ happy เหลือ ว่าจะบอกว่าคุณ happy ไหมเนี่ย ก็ต้องบอกว่าคุณ ทุกคนจะต้องพูดเหมือนว่าฉัน happy บวกกันนะ unhappy เพราะมันไม่มีทางอะไรที่มีชีวิตแต่ happy อย่างเดียว ใช่ไหมครับ แต่ถ้าพูดถึง fulfillment เนี่ย อันนี้สําคัญกว่าว่าชีวิตคุณ fulfill หรือเปล่า อันเนี้ยผมตอบได้ว่า fulfill คนละ คำสับกัน เข้าใจ คำถามสุดท้ายนะครับ ผมรู้ว่าคุณพับต้องไปแล้ว คุณฟังช่องผมอาจจะมักจะเป็นคนรุ่นใหม่เยอะ คนรุ่นใหม่ในที่นี้คืออาจจะเด็กจบใหม่ First Jobber มีความฝันว่าอยากจะสร้างธุรกิจ มีความฝันว่าอยากจะถึงจุดหนึ่งในชีวิต ถ้าขอความแนะนำจากคุณท็อป ที่ผมสามารถเอาไว้ตัดได้ใน 1 นาทีครึ่ง คุณท็อปจะแนะนำเขายังไงครับ Operate on Frontier Key คือต้อง Operate on Frontier ต้องทำสิ่งใหม่ๆ เพราะว่าโอกาสเก่าๆ มัน max out ไปหมดแล้ว แล้วการที่คุณจะ operate บน frontier ที่จะทำสิ่งใหม่เนี่ย มันจะมี premium มันจะมีโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามา คุณไม่ต้องเป็นคนที่เก่งที่สุด แต่คุณต้องเป็นคนแรก คือคุณต้องเป็นคนแรก คุณต้องเป็นคนกล้า คุณต้องเป็นคนแรก ที่ต้อง operate บน frontier ให้ได้ เวลา operate บน frontier เนี่ยมันก็จะมี uncertainty ตามมา แต่ uncertainty มัน leads to possibility หรือความเป็นไปได้ มันไม่มีใครที่ make it in life แล้วไม่ operate บน frontier frontier ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง relationship ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของ career ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของ work หรือ money ทุกอย่างมันต้องมี frontier ของมัน แล้วคุณต้องเป็นคนที่ comfortable ที่จะ operate บน frontier ให้ได้ คุณต้องรู้สึก comfortable ที่จะอยู่ใน uncertainty ให้ได้ คุณต้องสามารถที่จะ lead ด้วย uncertainty เพราะ uncertainty มันไม่ได้แปลว่าลบเสมอไป มันจะ lead to possibility ด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมอง uncertainty เป็น risk และไม่มีใครกล้าที่จะ operate บน frontier แต่ถ้าคุณอยากจะ make it in life เนี่ย มันไม่ ไม่สามารถ make it in life ได้ โดยที่ไม่ operate บน frontiers นะครับ เพราะฉะนั้น แนะนําให้ทําสิ่งใหม่ใหม่ แล้วก็เป็นคนที่กล้าให้จะทําสิ่งใหม่ใหม่ คนแรกแรกของประเทศไทย ขอบคุณมาก ภัทรทัพ ขอบคุณมาก สนุกเวลาวันนี้ครับ ครับ ขอบคุณครับ น่าคนรู้ได้เยอะเลย ขอบคุณมากครับ