Transcript for:
บันทึกการบรรยายพระธรรม

ขออนุญาตครับ ในตัวสัตว์ตานังเมื่อกี้นะครับ เอ่อ ก็ได้ฟังพระอาจารย์มาบ่อยแล้วก็ มีถามคําถามไปบ่อยในในเรื่องนี้พอสมควร อ่าฮะ ก็เขาว่าเข้าใจแล้วแต่ว่าพอฟังซ้ําในเรื่องเดิมเดิม เพราะรู้สึกว่ามันลึกขึ้นลึกขึ้นเรื่อยเรื่อยในในคําของพระเจ้า เมื่อเมื่อวานนี้ทั้งวันวันเสาร์ก็มีผ่านกันคุยกันเรื่องนี้ ในทั้งตอนเช้าแล้วก็ท่านวันเสาร์ อันนี้อยากจะสอบถามพระอาจารย์แล้วให้พระอาจารย์ เอ่อ ช่วยยืนยันจริง ใน ตัว สัตว์ นาง ที่ มัน อยู่ ที่ นึง กับ ตัว จิต ที่ มัน อยู่ ตรง นี้ ตอน นี้ มา ที่ เรา มี กาย แล้ว ก็ มี จิต มา รู้ ตัว นี้ จิต วิญญาณ รู้ ตัว นี้ สัตว์ นาง เข้า มา หลง ใน วิญญาณ จริง แล้ว มัน อยู่ คน ละ ที่ ตรง นี้ เริ่ม เริ่ม ไม่ ตรง แล้ว เรา เรา เรา ไป ประเมิน แบบ แบบ แบบสมมุติน่ะ แบบตัวตน มันก็เลยคิดว่า มันไปอยู่คนละที แต่จริงจริงเนี่ย ในความเป็นสัตว์ตานางมันคือสิ่งสิ่งหนึ่ง และสิ่งสิ่งหนึ่งเนี่ย มันอยู่ทุกอนุทั่วโลกธาตุ เพราะมันคือความว่าง มันอยู่ทุกจุดเลย และทุกจุดเนี่ยเป็นสภาวะรู้ได้หมด มันกว้างใหญ่ภัยสารที่สุด และมันไม่ได้อยู่คนละที มันอยู่ติดตรงนี้เลย แล้วมันอยู่ตรงไหนก็ได้ ในนั้นไม่ว่าวิญญาณมันจะอยู่ไกล พลมโลก สัตว์นรกหรืออะไร มันจับได้ทันทีเลย เพราะความยิ่งใหญ่ของมัน น่ะ น่ะ มันคือ สุญญตา ปรมาณนุษย์ตลาดสุญญตา ความว่างอย่างยิ่ง สุญญตาอันเป็นอานู อย่างเงี้ย น่ะ นั้นก็เลยปรับตรงนี้นิดหนึ่ง นั้นมันเป็นความว่างที่ ใช่ อ่า โลกสมมุติ เนี่ย อ่า เกิดขึ้น เชื่อมกับความว่างนั้น ใช่ เพียงแต่ว่าสัตว์ตาลังค์เนี่ยของเราเนี่ย มันเป็นคนละตัวกัน เพราะตอนที่มันเป็นสัตว์ตาลังค์เป็นคนละตัวกัน แต่พอวิมุษณ์เนี่ย มันจะเป็นเนื้อเดียวกัน มันจะเป็น มันจะเข้าไปอยู่ในสภาวะของเนื้อเดียวกัน แต่มันก็เป็นคนละส่วน ละเอียดเท่ากัน ละเอียดเท่ากัน ใช่ ใช่ ทีนี้พอตอนที่เราเป็น เป็นตัวเราอย่างเงี้ย เป็นจิตเราอย่างเงี้ย เราก็ดําเนินไป จิตมารู้นามรูป ก็ นามรูป ก็ คือ ต่างคน ต่าง ปั้น กัน อ่า ต่างคน ต่าง อาศัย กัน แล้วกัน คือ อ่า นามรูป ที่ ที่ ดี มันก็ สร้างจิต ที่ ดี มารู้ มัน อ่า เช่น อ่า นามรูป ของ มนุษย์ ก็ สร้าง ก็ จิต มนุษย์ มารู้ มัน อ่า เจ็ด สัตว์ นรก จิต เดือร์ ฉ าน จิต เทวดาพรหมก็จะไปรู้นามรูปของใครของมัน ทีนี้พอตอนที่เราอยู่อย่างเนี้ย เมื่อวานที่ฟังเรื่องของกรรมว่า พูดเจ้าบอกว่ากรรมไม่ได้เกิดจากผู้อื่นบันดาล เราก็เข้าใจได้ พอเริ่มมาบอกว่ากรรมไม่ได้เกิดจากเราบันดาล เริ่มยากขึ้นนิด เริ่ม เริ่ม เริ่มจะไม่เข้าใจ อ่า แล้วพอบอกว่ากรรมก็ไม่ได้เกิดจากผู้อื่น แล้วก็เราด้วย ทั้งเราทั้งผู้อื่นทํา อ่า เขาไม่ใช่ อืม กรรมก็ไม่ได้เกิดมาเลยรอยอีก อ่า ก็เลยได้ความลึกขึ้นว่า อ่า ถ้าสอนให้บอกว่าเรา อ่า อันนี้พอเข้าใจได้ อืม เห็นง่ายว่า โอเคทุกอย่างมันเปลี่ยนเปลี่ยนไป ตัวเราก็ไม่เที่ยงนะ ก็เข้าใจ เข้าใจได้ แต่ก็ยังยึดอยู่เหมือนเดิม อือ เรารู้ว่า อ่า เดี๋ยว เดี๋ยวเด็กก็แก่ เดี๋ยวก็ตายไป แต่ก็ยังยึด ว่า เออ ยัง คงยังไม่ตายตอนนี้ อ่า ทั้งที่จริงมันก็ อาจจะ ไม่ถึงลมหายใจข้างหน้าก็ได้ ใช่ แต่ทีนี้พอบอกว่า ไม่ ไม่มีตัวตน เนี่ย เมื่อวานเลยได้ ได้ความลึกขึ้นว่า จริงจริงที่เรานั่งพูดคุยอยู่อย่างเงี้ย เรารู้อย่างเงี้ย จริงจริงไม่ใช่ตัวเราเลย มัน มัน ทํางาน ไป ด้วย อัตโนมัติ ของ มัน เอง กาย ก็ ดิน น้ํา ไฟ ลง ก็ ปั้น มา เป็น ตัว นี้ ตัว เรา กับ ดิน ก็ อัน เดียวกัน กับ ต้นไม้ ก็ อัน เดียว กับ สิ่ง ของ ที่ วาง อยู่ ข้าง หน้า กับ เรา ที่ จริง ภาพ เดียวกัน อ่าฮะ จริง แต่ว่า มัน มัน ขยับ ได้ อ่าฮะ คิด ได้ อืม ก็คือ มี จิต มา รู้ มัน ใช่ แล้ว จิต นั้น จริงจริง จิต ก็ ไม่ใช่ เรา จิต ก็เป็น ภาพ นั้น หนึ่ง ใช่ ที่ สัตว์ นัง เข้าไป ยึด อีก จริง แต่ว่า สัตว์ ตา นาง มา หลง จิต ตัวนี้ ใช่ แล้วก็ หลง กาย เข้าไป ด้วย ใช่ หลง ทาส ดิน หลง นาม รูป นี้ ไป ด้วย ใช่ ใช่ ความ จริง ไม่ใช่ ตัว เรา เลย ใช่ ที่ เรา เห็น ว่า เรา คุย กัน อย่างงี้ ได้ เป็น ผู้หญิง ผู้ชาย เป็น คน ละ คน อ่า ฮะ เป็น ธรรมชาติ ของ ทาส ที่มัน ทํา ประ ยา กัน ใช่ ธรรมดา ใช่ เหมือน น้ํา เหมือน ต้นไม้ เหมือน อ่า โล โก อี้ เหมือน สม ุ ท ธิ สือ อย่างนั้น เลย ใช่ ใช่ ไม่ ไม่ใช่ เรา อ่า เป็นท่าตามธรรมชาติเลย เหมือนก้อนหิน ก้อนดิน ก้อนทรายอย่างนี้เลย เพียงมันเอามารวมกันแล้ว มันขยับไหวได้เหมือน เหมือนแม่น้ํามันไหลไป เราเห็นว่ามันเคลื่อนได้มันคือชีวิตเหรอ ไม่ใช่ มันเคลื่อนไปตามเหตุปัจจัย ต้นไม้มันออกดอกออกกลมันคือชีวิตเหรอ ไม่ใช่ มัน ไปตามเหตุปัจจัย ตามปฏิญาท่าที่มันทำ ใช่ มนุษย์เหมือนกันเลย เหมือนกันเลย ใช่ เนี่ย มันมองยากน่ะ ครับ อ่า คือเรานั่งคุยกัน พระอาจารย์ก็ ใช่ ก็ท่าธรรมชาติหนึ่ง อ่า เราก็ท่าธรรมชาติหนึ่ง ใช่ ถึงแต่ว่ามันเต้าตอบกันได้ มันคุยกันได้ มันรู้กันได้แค่นั้น ใช่ มันรู้สิ่งแบบนี้ได้ มันคิดได้ อืม เราก็เลยนึกว่า เนี่ย ใช่ ว่าเป็นเรา อ่า เราลงมือทําอย่างงั้นอย่างงี้ได้ จริงจริงก็ไม่ใช่ ที่เราคิดอย่างงี้ ที่เราเป็น คนแบบนี้ทําอย่างงี้ ตัดสินใจอย่างงี้ อ่าฮะ เป็นธรรมชาติของปริยาที่เป็นตัวเรา ใช่ ใช่ ว่าผัดสระแล้วจะเกิดเวทนา จะเกิดตัณหา เกิดอุปทาน อยู่ที่ใครปล่อยได้ตอนไหน ใครปล่อยได้เร็ว ไม่เร็ว ใครไม่ปล่อย น่ะ เพราะเกิดอุปทานความยึด คนนี้ไม่ยอมปล่อยก็ไปฆ่ากัน ไปตีกัน ไปด่าว่ากัน แต่ถ้าคนปล่อยได้ก็ไม่มีการฆ่ากัน ไม่มีการขโมย ไม่มีการไปตีกัน คนปล่อยได้เร็วกว่านั้นก็ไม่เกิดคําพูด การกระทําที่ผิดออกไป ก็อยู่ที่อินซีแต่ละคน ปล่อยได้เร็วได้ช้า อย่างเงี้ย นะ อืม สิ่งที่เรานั่นคือสิ่งที่เราพอจะกลุ่มได้ ก็คือว่ามีสติกับมันแล้วก็ ปล่อยบางอย่างออกไป แล้วก็คุมเกรียบางอย่างออกไป ตามที่พุทธเจ้าสอน แล้วถ้าคนปล่อยได้เร็วขึ้น ขนาดที่ผลัสสากระทบวางเลย ก็จะเริ่มเข้าถึงความเป็นพระหันต์ ก็ออกจากระบบนี้ได้ ออกจากระบบนี้เลย ตัวสัตว์ตานังนั้นก็เปลี่ยนไป เป็นผู้รู้ในวิมุทธแทน ใช่ ซึ่งตัวสัตว์ตานังนี้ก็ไม่มีความคิดเหมือนกัน ไม่ได้มีความคิดอะไร มันก็เป็นพาดหนึ่งเฉยเฉยของมันที่มัน ใช่ มันอยู่อย่างนั้น ใช่ เพียงแต่ว่ามีอวิชามะครอบมันก็เลย อ่า มาเชื่อมกับสมมุตินี้ ใช่ ใช่ แล้วเข้าใจว่าสมมุติน่ะเป็นตัวมัน อ่า แต่บางเกิดสมมุติเนี่ย เป็นท่าที่รู้ได้ คิดได้ แล้วก็ปฏิบัติได้ ก็เลย เว้ยเจ้าเลยสอนวิธีปฏิบัติที่ให้สมมุติเนี่ย มันปฏิบัติ แล้วก็ออกจากสมมุตินี้ ใช่ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ที่เราสามารถทำได้ ใช่ แต่จริงจริงไม่ใช่ ไม่ใช่ตัวเรา แต่ว่าเป็นเรื่องก็คือ มันไม่ใช่ความมีชีวิตในความเข้าใจ อ่า ใช่ มันไม่ใช่ความมีชีวิต กลายเป็นว่าชีวิตเราจริงๆ ถ้าจะพูดว่าชีวิตอย่างนี้ ก็คือสภาวะของวิมุธ ที่ทุกคนก็เท่ากับว่ามีอยู่ในตัวของทุกคนเองอยู่แล้ว อย่างนี้ ดังนั้นตัวอลิสัจศีร์ หรือตัวธรรมะทั้งหมด มันคือเป็นการให้เราเข้าใจ สัจจะความจริงของของปลอม ว่าของปลอมเนี้ย มันมีอาริสัตว์สี่อย่างนี้ ความจริงของมันอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างเนี้ย ของปลอมมันมีกี่ท่าตามธรรมชาติ มีขันท่า มีอะไรบ้าง และมันจะมีอะไร มีเหตุเกิด มีความดับ และมันมีวิธีออกจากสิ่งเหล่านี้ เนี้ย ดังนั้นอาริสัตว์สี่คือ ก็คือ สัตว์จ่าของของปลอมนั่นเอง เนี้ย เมื่อเรารู้สัตว์จ่าตรงนี้ เราก็จะเห็นว่า ไอ้สัตว์จ๋าตรงเนี้ย ความจริงจริงเนี้ยมันไม่ใช่เรา น่ะ อ่า เราก็เลยปล่อยวางมัน อ่า พอเรารู้ว่าไม่ใช่เรา สัตว์ตานังก็จะเริ่มเปลี่ยนรูป แล้วก็ เริ่มปล่อยวางมัน เพราะรู้ว่า อ่า มันมีอะไร มันก็คือ ค่าธรรมชาติมันไหลไปนิดนึง มันก็ อ่า มันก็จะปล่อยวาง พระองค์ก็เรียกว่า อวิชาจางคลายไป อวิชาก็จะค่อยค่อยจางคลายไป ความไม่รู้ สัตว์ตานังก็จะค่อยค่อย ฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น ความเป็นสตานังก็จะค่อยค่อยหมดไป หมดไป หมดไป โดยทั้งอวิชามดเกลี้ยง สภาวะหนึ่งที่เคยถูกเรียกว่าสตานัง สภาวะนี้ สิ่ง หนึ่งนี้ก็จะถูกเรียกไว้ว่ามันเป็นวิมพุทธิยันทราสนะ ซึ่งตัวมันก็คือคงที่เหมือนเดิม มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร คือ เจอสภาพเดิม เจอสภาพเดิม คือตอนนี้เราก็มีสภาพนั้นอยู่แล้ว ถึงแต่ว่าเรารู้ไม่ได้ เราไม่ได้สัมผัส สัมผัสมันยังไม่ได้ เนื่องจากว่าอธิษฐาพรอบอยู่ ใช่ ใช่ พอเราเรียนรู้ของปลอมไปเรื่อยเรื่อย แล้วก็เข้าใจแล้ว มันก็จะค่อยค่อยคลายปล่อยตัวของมันเอง ซึ่งจะบอกว่ามันคิดอยากที่จะปล่อย แล้วปล่อยแล้วเราก็ เหมือนเราลอย เราหลับตาลอยแล้วก็เห็น อืม เห็นโลกนี้หลุดออกไป ซึ่งจริงจริงก็ไม่ใช่ภาพนั้น ก็ไม่ใช่ ใช่ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันจะเป็น เป็นการปรุงแต่งทั้งหมดเลย ดังนั้นเราจึง เราจึงต้องเรียนรู้สภาวะของของปลอมเนี่ย ให้ให้ละเอียดไง ว่าปรุงแต่งเป็นยังไง อะไรเป็นยังไง ตัวจิตเป็นยังไง แล้วก็เห็นมันเกิดเห็นมันดับแล้วก็ปฏิเสธไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ อ่ะ พระองค์จึงวาง วางหลักเกณฑ์เอาไว้ว่าให้สังเกตว่า ถ้าสิ่งที่มีการเกิดปรากฏในโพลขึ้นมานิดนึงเนี่ย คือของพลอมหมดเลย สังฆษฐรรม สังฆษฐรรคสนา ก็คือ เกิดปรากฏ มันโผล่ขึ้นมานิดนึง จะเป็นความคิดในกรอันเดียว เกิดปรากฏ หรือแสงสว่างโผล่มานิดนึง เกิดปรากฏ ดังนั้นสภาวะของวิมุทร จะต้องไม่มีเกิดปรากฏ เราฝึกทั้งชีวิต เห็นเกิดเห็นดับ เราจะเข้าใจสิ่งเกิดสิ่งดับ สิ่งเกิดสิ่งดับ ดังนั้นถ้าคนคนหนึ่งไปเจอสภาวะที่ไม่มีเกิดปรากฏเลย คนคนนั้นจะรู้ทันที นั่นคือพระรหันธ์ ใช่ไหม อ่า อย่างนี้ ซึ่งวิมุฒิเจอจินตนาการ ก็จินตนาการให้เหมือน ถ้าจะว่าเวลาจิตจินตนาการ วิมุฒิได้ไม่ จินตนาการไม่ได้เลย เพราะว่าจิตมันสัมผัสวิมุฒิไม่ได้ ใช่ จิตมันเห็นแต่สิ่งที่มันเคยสัมผัส อ่า จากใดเรายังคิดว่าจิตนี้เป็นเราอยู่ แล้วเรายังใช้จิตนี้อยู่ เราไม่มีทางเจอวิมุฒิเลย เพราะว่าจิตหรือวิญญาณตัวนี้ไปรู้วิมุธไม่ได้ มันรู้ได้แค่สี่ฐาน ดังนั้น จากใดถ้าเรายังใช้จิต ไปเห็น ไปรู้ ไปสัมผัส หรือเห็นอะไรขึ้นมาก็ตามโดยอาศัย ธาตุรู้ตรงนี้ มันจะไม่ใช่วิมุธเลย วิมุธมันจะต้องเป็นการปล่อยวางจิตธาตุรู้ตัวนี้ ว่าไม่อยากได้ธาตุรู้ตัวนี้ละ ด้วยการเห็นธาตุรู้ตัวนี้เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับมากพอแล้วรู้ว่า โอ้ จิตนี้ก็ไม่ใช่เรา อย่างงี้ อ่า ถ้าเราจะบอกว่า เอ่อ เราจะรู้สึกว่าเขาวิมุตร ถ้ายังรู้สึกแบบ รู้สึกอย่างงี้อยู่ ไม่ใช่แน่แน่ อ่า ไม่ใช่ ความรู้สึกเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่อะไร มันจะไม่มี มันจะไม่มีเลย เพียงแต่ว่า จินยาการไม่ได้ก็จริง แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า เมื่อถึงแล้วมันจะรู้ได้ ใช่ เพราะว่า มันเป็นท่าที่รู้วิมุตรของมัน ใช่ ใช่ พุทธเจ้าจึงให้ ให้สังเกต ลักษณะหรือการประเมินระดับหนึ่งว่า อ่า ที่บ้างบอกว่าสิ่งสิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลเพิ่งรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ ในสิ่งนั้นเนี้ยไม่มีดินน้ําไฟลม นั่นคือของแข็งของเลวกาสพลังงานดินน้ําไฟลมเนี้ย ที่เรารู้จักเนี้ยไม่มีในนั้น น่ะ ในสิ่งนั้นเนี้ยไม่มีความกว้าง ความยาว ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม มิติต่างต่างเนี้ยไม่มี ดังนั้นถ้าโยมไปรับรู้สิ่งใดที่โยมไม่เคยรู้จัก แต่มันสามารถ เอ่อ ระบุความกว้างยาว เล็กสั้นใหญ่งามไม่งามได้เนี่ย มันไม่ใช่วิมุทธ์ นี่คือพระองค์บอกสอนไว้ป้องกันความหลงของพวกเรา ไม่งั้นฤสีโยคีแต่ก่อนน่ะ นั่งสมาธิไปได้เจอนั่นนนนี่แสงสว่างอะไร ก็นึกว่าวิมุทธ์ ก็ไม่ใช่อีก ดังนั้น ประมาณของทาสในสังกรรถธรรม มันมากมายมหาศาล จึงทําให้สัตว์ทั้งหลาย หลงไปได้ตลอดเลย ฤาษีโยคีเวลานั่งสมาธิก็เลยหลงคิดว่า อันนี้คือวิมุธ อากาสาเป็นวิมุธ อากินจัญญายัตนเป็นวิมุธ สัญญาเวทิตนิโรธเป็นวิมุธ จีปาธะก็หลงกันไป ในสมาธิขั้นสูงสูง ใช่ ที่สูงประชาญสี่ ใช่ บางคน ซึ่งในหนังสือพบภูมิก็ออกอย่างนั้นว่า อืม บางคนเข้าใจว่านั่นคือวิมุทร ใช่ ซึ่งจริงจริงก็กลายเป็นว่าเข้าใจผิด แม้เขาจะได้ธรรมาติขั้นสูง ใช่ เพราะสิ่งนั้นมันเดินไปสู่ความดับ ดังนั้นนี่คือการเอาอุตสัตว์ศรีไปจับแค่นั้นเอง เพราะความว่างนี้ในหนังสือพระภูมิคือความว่างนี้จินตนาการเราคิดว่ามันว่างจินตนาการได้ด้วยว่ามันว่างแล้วมันก็ว่างจริงจริง อ่าฮะ แล้วกลายเป็นพบที่ไม่มีรูป อ่าฮะ อย่างนั้นใช่ไหม ใช่ ใช่ อย่างคําว่าอากาศของพระพุทธเจ้าเนี่ย ไม่ใช่อากาศแบบที่เราหายใจ ไม่ใช่อากาศอย่างนี้ อากาศอย่างนี้เรียกวายโทษธาตุ ธาตุลม อากาศธาตุก็ เป็นอีกอย่าง เอาอากาศ เอาอากาศคล้ายคล้ายจะเป็นอย่างนี้ ใช่ ก็คือ คุณพี่ชายจะอุปมาร์แบบช่องว่างในรูหูอย่างเงี้ย น่ะ ช่องว่างระหว่างอวัยวะ นั่นอ่ะ อากาศสถาน มันเหมือนที่ไม่มีอากาศน่ะ น่ะ มันว่างว่างเกลี้ยงเกลี้ยง แล้วในสมาธิภาพที่ว่าระดับ อ่า แก้วนี่ก็คือ อ่า คิดว่า ผมไม่แน่ใจว่าระดับเนี้ย ที่ว่า อากาศไม่มีที่ที่สุดออก อากาศาจัยจตนาคต์ อากาศาระดับที่ห้า ก็คิดเลยว่าทุกอย่างนี้มันว่าง ว่าง นั่นคือการปรุงแต่งขึ้น ปรุงแต่งขึ้นมาอีกเหมือนกัน มันก็ยังมีปรุงนิดหนึ่ง แต่ว่าปรุงว่าว่างก็ได้ด้วย ใช่ ใช่ แล้วพอเขาได้สมาธิตรงนั้น แล้วก็ตายไป เขาก็ไปเกิด ในพบนั้น ในพบที่มันว่าง ใช่ แล้วก็อยู่นานจนเขาเข้าใจว่านั่นคือวิมทร ใช่ เขาก็นึกว่าเขานิพพานเลย อ่า นึกว่าเที่ยงแท้ ดังนั้น พรม เป็น จํานวน มาก ก็เลย คิดว่า ตัวเอง อ่ะ เที่ยง แท้ ยั่ง ยืน น่ะ ซึ่ง พระเจ้า ก็ต้อง ไป แก้ ทิศ ถิ ความเห็น ของ พรม ว่า มี อายุ ไข น่ะ ไม่ใช่ ไม่มี แต่มัน ยาว แค่นั้น เอง อืม งั้นในคนถ้ายังเป็นมนุษย์อยู่ถ้าเขาบอกว่าเขานิพพานแล้ว เขาไม่เกิดแล้วอืม อันนี้ยิ่งไม่แน่ใจ อ่าฮะ โอกาสที่จะไม่ใช่มีสูงมาก อ่าฮะ เพราะแม้แต่คนที่ เอ่อ ขึ้นไปเป็นพรมก็ยังเข้าใจผิดได้ ใช่ แล้วก็เห็นอดีตเห็นอนาคตของตัวเองเนี่ย ได้จํากัดไม่แน่นอน อืม อืม เขาก็เลยเข้าใจผิดว่า ใช่ เขาน่าจะเป็น เขาน่าจะวิมุฒิแล้ว เขาน่าจะเป็นคน ที่อยู่ในพบนี้คนเดียว เขาน่าจะ แม้แต่คิดว่าตนเองเนี่ย เป็นผู้บันดาลโลกบันดาล ใช่ สิ่งต่างต่าง เขาก็ยังเข้าใจผิดแบบนั้น ใช่ ใช่ มันเลยมีธรรมะที่ละเอียดปลาหนีด มากมากในระบบโลกเนี่ย ที่ทําให้สัตว์เนี่ยหลงผิดได้ น่ะ พรหมจริงต้องให้เอาอฤษฎศรีเนี่ยไปจับทุกเรื่องเลย น่ะ เวลาในการที่จะพินาสิ่งเหล่านี้ปล่อยวางก็คือเห็น ให้เห็นอันนี้จัง เปลี่ยนแปลงไหม อันนี้เปลี่ยนสักนิดไหม อย่างเงี้ย ซึ่งพรหมก็ยืนยันว่าในสมาธิทุกระดับเนี่ย ขันตั้งห้า หรือขันตั้งสี่ เนี้ย ยังทํางานอยู่ มันจะมีการเปลี่ยนแปลง ไม่นิดก็หน่อยนะ นิดหนึ่งอย่างนี้ก็มี น่ะ ที่เราว่า ถ้านั่งไถสมาธิ นั่งสมาธิได้จิตนิ่งนิ่ง อือฮือ ความจริง ไม่ใช่ว่านิ่ง ความจริงก็ยังไม่นิ่งจริง ทุกระดับ มันมีอะไรเปลี่ยน ใช่ มันยังมีเปลี่ยน ดังนั้นไม่ว่าจิต เขาจะตั้งมั่นระดับใดก็ตาม ให้เขาไปเฝ้าดูก่อน เฝ้าดูดีดี เดี๋ยวมันจะมีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นอีก น่ะ อืม งั้นในสมาธิแต่ละขั้นพระเจ้าเลยก็ ไม่ได้สอนว่า เมื่อได้ขั้นนี้แล้ว ให้ทํายิ่งขึ้นไปขั้นนี้ ทํายิ่งขึ้นไปขั้นนี้ ซึ่งจะไม่เห็นพระเจ้าสอน แต่ว่า อยู่ในขั้นไหนพระเจ้าก็บอกว่า ให้เห็นเจอจับแล้วก็เข้าวิมุธในขั้นนั้นๆก็ได้ ก็คือ คือมีสอนอย่างงั้นก็มีเหมือนกัน เช่น พระองค์บอกว่า เรากล่าวว่า จตุจจานเป็นสิ่งที่ไม่ควร ควรละเสีย ควรก้าวล่วงเสีย แต่ไม่มีมาก ไม่มีบ่อยแค่นั้นเอง น่ะ ดังนั้นคําสอนที่สอนมากเราก็เริ่มเริ่มแยกแยะว่า เราจะต้องมาพินาคําสอนที่พระองค์สอนมากสอนบ่อย ดังนั้นถ้าอันไหนที่พระองค์สอนน้อยน้อย เนี่ย ก็ให้กับเฉพาะ เฉพาะบางคนที่มีอินสีด้านนั้น แต่ผู้เจ้าจะไม่เคยบอกให้ลดระดับสมาธิลงมา หนึ่งให้อยู่ตรงนั้นและเห็นการเกิดดับต่อไป ส่วนเขยิบขึ้นไปอีกก็มีสอนกันแต่น้อยมาก ก็จะบอกสมาธิแค่ชาญหนึ่งถึงชาญสี่แค่นั้นเอง ส่วนใหญ่จะเห็นว่าไล่ลำดับไปอยู่ที่ชาญสี่ ใช่ ใช่ ถ้าโดยสรุปก็คือว่าวิมุธเป็นสิ่งที่ ไม่เหมือนโลกนี้ ไม่เหมือนสิ่งที่เราสัมผัสอยู่ ใช่ ถ้ายังรู้สึกสัมผัสได้ก็แสดงว่าก็ยัง ยังเป็นสมมุตินี่แหละ ใช่ เพราะผัดศาสตร์ทั้งหมดเนี่ยเป็นของปลอมหมดเลย ครับ ผัดศาสตร์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตเป็นของปลอม ไม่ใช่ของเรา มีคนถามผู้เจ้าว่าผัดศาสตร์เป็นของใคร ผู้เจ้าบอก ไม่ใช่ ถามผิด นะ ผัดศาสตร์ไม่ใช่ของใคร คําถามที่ถูกต้อง ต้องถามว่าผัดศาสตร์เกิดจากอะไร เพราะมีสารายัตนเป็นปัจจัยจึงมีผัดศะ ผัดศะเกิดมาจากอายัตนภายในภายนอก กระทบกันจึงมีสัมผัสขึ้นมาได้ แต่สัมผัสไม่ใช่ของใคร ตาของฉันหรือเปล่า ฉันเห็นหรือเปล่า ฉันได้ยินหรือเปล่า ไม่ใช่ สัตว์โลกทั้งหลายนี้เป็นพวกผัดศะประเลโต คือมีผัดศะบังหน้า ลงในผัดศะ ไม่มีคนกระทำกรรม ใช่ ใช่ ตัวเองก็ไม่ได้เป็นคนกระทำ ใช่ เพราะภาษาไม่ใช่ของเรา อ่า ตัวเนี้ย ถ้าจะเข้าใจว่ากรรมไม่ได้เกิดจากตนเองบันดาล ต้องมาเข้าใจธรรมะตรงนี้ อ่า เมื่อตนเองไม่มีผู้อื่นมีไหม ผู้อื่นก็ไม่มี เขาก็เข้าใจผิดว่าเขามี ดังนั้นกรรมก็ไม่ได้เกิดจากผู้อื่นบันดาล นะ ตนเองบันดาลก็ไม่มี ผู้อื่นบันดาลก็ไม่มี ดังนั้นยิ่งเรื่องลางกองขังยิ่งไกล หนักเข้าไปอีกเลย น่ะ ยิ่งไม่มีหนักเลย ใช่ไหม อ่า ส่วนการกระทําที่กระทําต่อกันได้นั้นเนี้ย มันก็คือเรื่องของกรรม อยู่ในกรอบของกรรมทั้งหมดเลย เป็นปฏิจาซึ่งกันและกัน เป็นปฏิจาซึ่งกันและกัน ปฏิจาสุมวัติ เดินไปตามปฏิจาสุมวัติ คนนี้คิดกับคนนี้อย่างงี้ก็เป็นปฏิจากัน ใช่ เป็นคํากับคนนี้อย่างงี้ก็เป็น เลยเห็นแง่มุมว่าผู้เจ้าไม่ได้สังเกิดในเรื่องของการ บริจาบ เปลือก บริจาบ อาวัยวะ อ่าฮะ หรือการ ถ่ายชีวิตสัตว์ อ่าฮะ แต่ว่าให้ ให้มี การ เอื้อ ลี ต่อ สัตว์ อ่าฮะ แต่ว่า ใช่ สัตว์นี้เขากําลังจะเอาไปฆ่าไปตาย ไปทํานู่นนี่นั่นก็ไม่ได้ถึงขั้นให้ อ่า สาริบุตรไป ซื้อชีวิตไทยโคกะบื้อที่ตลาดนู่นนี่นั่นไม่เคย อ่า ไม่มี ก็ไม่ได้สันเสริญในเรื่องของการ ใช่ เราต้องใช้วิธีที่ง่ายที่สุดกว่านั้น ง่ายกว่านั้นมีก็คือแค่รักษาสิน ไม่ฆ่าเขา ไม่ฆ่า แค่ทุกคนรักษาตรงเนี้ยไม่ฆ่า สัตว์จะไม่ล้มตายโดยแอตโนมัติเลย เพราะทุกอย่างก็เป็นปฏิจักรกัน ใช่ เพราะถ้าเห็นสัตว์กําลังลําบาก เห็นสัตว์กําลังจะตายแล้วเราก็ อืม ช่วยไม่ทัน อืม บางคนอาจจะรู้สึกเสียดายเจ็บใจ แต่ว่าจริงจริงก็เป็นปฏิจักร ถ้าเห็นอย่างนี้ก็คือว่านี่คือ นี่คือการดึงตัวเองออกจากระบบสมมุติ ให้เห็นว่ามันไหลไปตาม ใช่ ธรรมชาติของมันทําปฏิกิจการกัน อืม ใช่ เราปล่อยไปอย่างนั้น ใช่ ก็เลยเป็นว่า เอ่อ ไม่ว่าจะอยู่ในเพศใด สถานะใด ก็สามารถที่จะเห็นธรรม แล้วก็หลุดออกได้ เข้าวิมุธก็ได้ ใช่ จะบวชไม่บวช จะพิการจะ ใช่ สมบูรณ์ก็สามารถที่จะหลุดได้ ถ้าให้เห็นว่าทุกอย่างมัน มันไหลไปของมัน ใช่ ใช่ แล้วพอเราหลุดแล้ว สมมุติเราเราเข้าวิมุธแล้ว ธรรมธาตุนี้ก็ยังไหลไปของมัน ใช่ ถูกต้อง ยอมจึงเห็นว่า ปฏิจสุบาทอีกแบบหนึ่ง จะไม่เลยไปถึงอวิชา คือมันเป็นปฏิจของพระราณนั่นเอง ที่นามรูปกับวิญญาณทำงานกันเอง โดยที่ไม่มีอวิชาแล้ว น่ะ พระติจาสุวาทจะมีสองแบบ อ่า สุดแค่วิญญาณกับนามรูปยันกัน กับอีกฝั่งหนึ่งขึ้นไปถึงสังขารทั้งหลายกับอวิชา อย่างนี้ อืม งั้นพระอาหารที่ยังมีชีวิตอยู่ อืม ท่านเห็นตรงนี้แล้วแล้วท่านดึงออกได้แล้ว นะฮะ พระติจาของโลกสมมุติที่เป็น นามรูปก็ยังดําเนินไปของมันอยู่ ถูกต้อง ใจยังไม่ถึงเวลาที่แตกตับ ก็ยังดําเนินไป ใช่ แล้วความเป็นท่านในวิมุฒิ เป็นผู้รู้ในวิมุฒิ ก็มีอยู่ในตัวท่านด้วย อ่าฮะ ใช่ ท่านก็รู้สองอัน ใช่ ท่าการรู้สองอัน ซึ่งเหมือนกันหน้าวันนี้ ก็ท่าการวิมุฒิเนี่ย ใช้สมมุติอยู่แล้ว นะฮะ ถึงเดี๋ยวเราสัมผัสวิมุฒิไม่ถึง ใช่ ใช่ แต่พระอาหาร สัมผัสได้แล้ว ท่านก็ใช้สองอันดำเนินไป ใช่ ก็ปล่อยให้ กายเนี้ย เป็นปฏิจาของมันไปเรื่อยเรื่อย ใช่ ก็ไปตาม ของมัน อ่า จนกว่ามันจะแตกทำร้ายไปเองของมัน เวลาท่านคิดท่านพูดก็ใช้สมมุติ ใช้จิตที่อยู่ในสมมุติ เวลาที่ท่านรู้วิมุติก็เรื่องวิมุติก็รู้ไป นั่นก็คือหยิบขันท่ามาใช้ให้เป็นประโยชน์ล่ะ พระศาสดาหลุดพ้นแล้วก็หยิบขันท่ามาใช้ให้เป็นประโยชน์ บรรยัติธรรม บรรยัติวินัย เพื่อเกิดประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลายที่ โดงจิตทั้งหลายที่กําลังเกิดขึ้นมาใหม่ใหม่ใช่ไหม แล้วก็ที่อยู่ในปัจจุบันจะได้หลุดพ้นไปได้ อย่างเนี้ย อืม เสร็จแล้วท่านก็ ก็วางไป ใช่ สัตว์ไหนช่วยไม่ได้ก็ก็เรื่องของสัตว์ ใช่ ก็วางไป ใช่ แล้วท่านก็อยู่ หาเครื่องอยู่ของท่านที่ท่าน ที่ท่านก็บอกสอนในเรื่องของ กายฆรตาสติหรืออาณาปนาธิต ใช่ ใช่ ขออนุญาตอีกนิดหนึ่งครับ ถ้าอย่างงี้เนี้ยก็คือว่าตัวสัตว์ตานาง ถ้าเรายังไม่หลุด มันไปจับกายจิต มันไปจับตามโปรแกรม ถ้าพูดถึงภาพภาษาทั้งโลก ตามโปรแกรมที่มันเหมือนมันถูกตั้งโปรแกรมไว้ว่ามันต้องจับกายนี้ จิตนี้ มันก็จับ แล้วพอกายนี้จิตนี้เคลื่อนไปแล้ว ดับไป มันก็ถูกโปรแกรมว่าให้ไปจับจิตที่รูปแบบนี้ รูปแบบนี้ บุ้ง อ่า อ่า ใกล้เชียงกับที่มันเคยจับมา ใช่ ไอ้ตัวโปรแกรมตรงเนี้ย ใครเป็นตัวโปรแกรมมันอวิชา ความไม่รู้ ความหลง เข้าใจผิด จึงเกิดฉันทะความพอใจในขันทั้งห้า และจับยึดขันห้าอยู่ตลอดเวลา น่ะ พอขันห้าแตกสลายก็จับขันห้าอันใหม่ ขันห้านี้แตกสลายจับขันห้าอันใหม่ เพราะพอใจอยู่ ไปอย่างงี้เรื่อยเรื่อย อย่างนี้เลย มันก็เรียกเหมือนกับว่าเราเนี่ยจําว่าได้ว่าเป็นเราตามไหลไปเรื่อยเรื่อย ใช่ แต่ความจริงมันจับไปตามโปรแกรมที่มัน ใช่ รู้อย่างงั้น มันก็คิดเองไม่เป็น ใช่ แต่มันรู้แต่ว่า ให้จับโปรแกรมอย่างงี้ ใช่ มันก็จับ อ่า กายนี้ตายไปแล้ว ถ้าเกิดจิตนั้นมันเสพ อักษรมากมันก็ไปจับ อบายอยู่ ใช่ หรือจังหวะที่เรายังมีชีวิตอยู่อย่างเงี้ย มันก็คอยที่จะไปจับสิ่งที่เราคุ้นชิม คนนี้ก็เลยมีลักษณะที่เป็นเฉพาะของของตัวคนนี้ใช่ไหม คน นี้เป็นคนมักโกรธ คนนี้เป็นคนชอบหงุดหยิบ ใช่ คนนี้เป็นคนอารมณ์เย็น อารมณ์ดี ใช่ สุภาพเรียบร้อย ใช่ หยาบคายนี่ก็มันก็จับไปตาม ใช่ เป็นไปตามนั้น พูดเจ้าจึงบอกคนพานมีกรรมเป็นเครื่องหมาย บรรดิษฐ์มีกรรมเป็นเครื่องหมาย ตัวกรรมน่ะ มันเป็นเครื่องหมายของคนพานแล้วก็บรรดิษฐ์ แสดงถึงความคุ้นเคยของสตานังตัวนั้นนั้นเนี่ย ว่ามันคุ้นเคยกับ มนุษย์ ประเภทใด อารมณ์ประเภทใดอย่างนี้ ตอนที่เป็นเด็ก สตานังก็คุ้นชินจับจิตนี้ ��็จับไว้ พอกลายเด็ก โตขึ้น ถ้าจะบอกว่าโตขึ้น แต่จริงจริงก็คือ กายเด็ก อ่ะ หายไปแล้ว อ่า ค่ะ ค่ะ ผู้ใหญ่เกิดมาใหม่ อ่า จิตเด็กก็ดับไปแล้ว ค่ะ จิตผู้ใหญ่เกิดมาใหม่ แต่ว่ามันประจับเอาลักษณะเดียวกัน อ่า ใกล้เชียงกัน ซ้ายกัน คือแคบเดิม ใช่ แล้วจับอย่างงี้ไปเรื่อยเรื่อย ก็เลย มีความเห็นว่าเหมือนกันระหว่างเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่ เอ่อ ลักษณะ มีอันหนึ่งที่คล้ายกันโตขึ้นมาเป็นเป็นตัว ใช่ แต่ความจริงแล้ว คนละดวง คนละ อ่า คนละส่วน อ่า จิต จิตเนี่ยจะคนละ คนละดวงตลอด การที่เรารู้เรื่องนี้ ไปรู้เรื่องใหม่ จิตดวงหนึ่งจะดับ ดวงใหม่จะเกิด เปลี่ยนไปรู้อีกเรื่อง จิตดวงใหม่ จิตดวงเดิมจะดับ ดวงใหม่จะเกิด เป็นจิตหรือวิญญาณขันเหมือนกัน แต่เป็นคนละตัวกันตลอดเลย เปลี่ยน เปลี่ยน ของใหม่ตลอด ถ้าเราจับจิตใหม่ตลอด แต่คงจะว่ามันเป็นอนุสัยเดิมเดิม ที่ที่สัตว์นังจับ ลักษณะจิตแบบ มันจะไม่ไปจับจิตแบบอื่น ถ้าไม่ฝึกมัน ไม่เปลี่ยนมัน เพิ่ม อีก นิด นึง ครับ คือ งั้น เวลา ที่ เรา ไป คิด เรื่อง อื่น อ่ะ ตอน ที่ เรา ไป คิด เรื่อง อื่น จิต เรา ไป เรา ไป จับ จิต ที่ มัน อยู่ ข้างนอก อ่า เหมือน ว่า เรา คิด ถึง อ่า บ้าน อ่า เห็น จิต เรา เรา ไป จับ จิต ที่ มัน นึก ถึง บ้าน จิต ที่ กาย นี้ ไม่มี แล้ว ไม่ อยู่ แล้ว ใช่ ใช่ พระพุทธเจ้าจึงอุปมาร์เปรียบเหมือนขณะที่เราหลุดไปคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งเนี่ย จิตเธอไม่อยู่กับกาย เปรียบเหมือนเพชรค่าในอันดับฝั่นคอเธอขาดนะ ตายไปแล้วนะ นักศิลป์วินาทีนั้น นั่นคือกายเนี่ยดับไปจากความรู้ของจิตล่ะ ใช่ นั่นก็คือมองอีกอันคือรูปดับ ถ้าใครสังเกตเห็นตรงนี้ เพียงแต่ว่ามันยังไม่ตายลงไปจริงจริง อ่าฮะ เพราะมันปกติอาณุสัยคือมันจะกลับมา อ่าฮะ อ่า จะบอกว่ามันกลับมาก็ไม่ใช่คือ คือจิตตรงที่บ้านนั้นดับ ที่รู้บ้านน่ะ ที่ถึงบ้านน่ะดับ แล้วกลับจิตที่รู้กายเนี้ยเกิด อ่า สัตว์นั้นก็เข้ามาจับใหม่ ใช่ เพราะมันยังยึดกายนี้มันยังไม่ผัง มันก็ยังยึดอยู่ในนี้กายของฉัน แต่ถ้ามันกลับมาเมื่อไหร่ กลับมาปุ๊บ หลุดไป ครึ่งวินาที กลับมา นี่หัวใจวายตายไปดี อ้าว ตายไปแล้วเนี่ย น่ะ กายเดิมไม่เจอ กายเดิมไม่เจอ ก็ไปสร้างอัตภาพใหม่ ไปจับจิตตัวใหม่ ใช่ ดังนั้น ขณะที่กายแตกทำลายพัว แล้ววิญญาณขันไปได้อารมณ์ใด ผู้เจ้าจึงบอกว่า เขาจะได้อัตภาพ ไปเกิดตรงนั้น ได้อัตภาพใหม่ต่อไปตรงนั้น อันเป็นอัตภาพมีส่วนแห่งบุญก็ดี มีส่วนแห่งอะบุญก็ดี ดังนั้น ไอ้ความเป็นลาวลึกลึก เนี่ย มันอยู่ที่ตัววิญญาณ ที่วิญญาณไปอยู่ตรงไหนในขันตั้งสี่ เนี่ย มันจะไปอยู่ตรงนั้นตลอดเลย ไป ดังนั้นเวลาเรานั่งสมาธิปุ๊บเนี่ย จิตหลุดไปคิดอดีตปุ๊บ ความเป็นราวจะไปอยู่ตรงโน้น ทั้งทั้งที่ก้อนกายก็นั่งทื้ออยู่เนี้ย แต่ความเป็นเราไปตรงโน้นแล้ว ไปนี่แล้วกลับมาตรงนี้บ้าง เอายังนั่งอยู่แล้ว ไปต่อ ไปนั่นไป มันเป็นอย่างเงียด อ่า อืม ก็คือว่ากายเนี้ยมันก็ทํางานไปตามปริยาทาสของมัน ใช่ เพียงแต่ว่าจิตไม่เข้ามารู้ มันก็ไม่ได้ทําอะไรต่อ มันก็ทําไป แสดงว่ากายเนี้ยสามารถตั้งอยู่ได้ทําปริยาทอยู่ได้โดยที่ยังไม่ต้องมีจิตก็ได้ อ่า สักพักหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีนานนานเนี่ยตาย มันจะตาย ใช่ พอมันตาย พอมันแตกสลายเนี่ย จิตจะเกิดที่มันไม่ได้ จิตจะรู้มันไม่ได้ เพราะ พอรูปมันดับแล้ว ใช่ ใช่ จิตก็จะเกิดที่ไม่ได้ เพราะจิตเกิดที่นี่ไม่ได้ สัตว์ตานังจับจิตที่นี่ไม่ได้ มันก็ ตอนนั้นมันจับอะไรอยู่ มันก็เกิดตรงนั้น ใช่ ใช่ ก็จะยึดถือตรงนั้นต่อไป เป็นตัวตนของมันต่อไป ถ้าเราใช้กายนี้เพื่อฝึก แล้วก็สร้างจิตที่ดีเป็นกุศล หรือเป็นอุเบตขาที่เป็นกุศลแพ้จริง มันจะเคยชินในการ สัตว์นังจะไปเคยชินในการจับจิตที่เป็นกุศล ที่เป็นสุขติดภูมิ หรือสุดท้ายก็คือถ้าอุเบตขานิ่งจริง แล้วก็เห็นเกิดดับได้ทันจริง ก็หลุดออกไปเลย ก็ไม่สนใจวิมุธแล้ว ก็อยู่ใน เออ ไม่สนใจสมมุติ ก็อยู่ในวิมุธแถม เป็นอนุสัยที่ไม่จับจิตอะไร ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น แต่จังหวะนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ อนุสัยหายไป สัตว์นั้นหายไป ก็คืออวิชาที่เคยครอบอยู่ มันหมดไป เรือนไป เหลือแต่ โดย วิมพุทธ อย่างเดียว ใช่ ครับ ขอบคุณครับ