ใน The Library Secret EP นี้ เราจะมาพูดถึงเรื่องของ EQ กันว่าอย่างแรกครับ EQ คืออะไรอย่างที่สอง 5 องค์ประกอบของ EQ ที่จะช่วยให้เรานั้นกลายเป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้นมันคืออะไร เดี๋ยวใน Podcast Episode นี้ครับผมกับทางพี่ละอ้อนจะมาแชร์เรื่องนี้กันและเช่นเคย ถ้าหากคลิปวีดีโอนี้เป็นประโยชน์ ผมก็อยากขอให้เก็บเอาไว้ และอย่าไปบอกใครนะครับ เส้นทาง พิชิตความสำเร็จ สู่การเป็นผู้ชนะของชีวิตThe Path of Life Victory งาน Event ครั้งแรกจาก The Library Learnที่จะทําให้ทุกท่านได้มาเรียนรู้ และค้นหาความสําเร็จของชีวิตไม่ว่าทุกท่านจะมีนิยามความสําเร็จเป็นเรื่องอะไร งาน Event นี้ จะมีคำตอบซ่อนอยู่ ในงานจะมีเวิร์คชอปให้ทุกท่านได้เข้าร่วมสนุกและทำกิจกรรมในการเรียนรู้การพัฒนาตัวเองหากทุกท่านต้องการรายล้อมไปด้วยคนที่มี Growth Mindset ต้องการที่จะพัฒนาตัวเอง ในงานนี้คือที่ที่เหมาะสมกับทุกท่านครับ งานจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคมเวลา 9.30-5.00 น. น. โรงแรม ซัมเมอร์เซ็ต เอกมัย แบงคกและทุกท่านจะได้ค้นหาตัวตนและค้นพบแนวทางสู่ความสำเร็จของตัวเองซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความรู้ที่จะถูกนำไปต่อยอดได้ทั้งชีวิตในงานทุกท่านจะได้พบกับผม ไลออน ยูวาซิด และสปีกเกอร์รับเชิญที่จะมาเซอร์ไพรส์ทุกท่านในงานรวมถึงของกับวันที่จะแจกในงานอีกด้วยฉะนั้นหากท่านใดที่สนใจซื้อบัตรและต้องการร่วมมาเรียนรู้กับเรา มาเจอตัวผมด้วย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่LINE แอด แอด เดอะ ลายเบอรี่ ครับ หรือ คลิก ลิงค์ ที่ ใต้ลิงค์ เดสกริปชั่นนี้ รีบจัดจองที่นั่งนะครับ เพราะการเรียนรู้ จะทําให้คุณ เป็นเนสระ เราอ่านได้ยังไหม อ่านแล้วพี่ อ่าน โอเค เฮ้ย เฮ้ย พี่ เดื่อมอะไร อ่ะ สวัสดีครับ ไม่ได้โฆษณาครับ กินจริงครับอยากเข้าๆได้ครับกินจนจะเป็นเบาหวานทิพย์อยู่แล้วตอนนี้มา วันนี้พี่โห นี่เป็นหัวข้อที่ใหญ่มากเลยที่ผมอยากจะพูดถึงนี้ต้องบอกก่อนนะว่าหัวข้อนี้ได้มาจากผู้ฟังนะครับที่คอมเม้นท์มาผมขอบคุณจริงๆเป็นไอเดียที่ดีมากซึ่งก็คือเรื่องของ EQ ครับEQช่วยด้วยกันให้ดีกว่า EQ ชื่อใครหรือเปล่าเอาหยอกEmotional Quotient ใช่ไหมน้องหรือบางคนอาจจะได้ยินเป็น Emotional Intelligenceใช้ได้ทั้งสองอย่างได้ไหมผมว่าใช้ได้ทั้งสองอย่าง เพราะว่าเหมือนกันซึ่งความหมายของมันก็คือความฉลาดทางอารมณ์ นี่ถือว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากเลยนะ ในมองของผมในโลกของการทำงานเราอาจจะเคยได้ยินแล้วว่า ถ้าหากเราเป็นคนที่ IQ สูงเราอาจจะทำงานเก่งจริง ทำอะไรเก่งจริง แต่พอเป็นเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ถ้า IQ สูงอย่างเดียวแต่ EQ ต่ำเมื่อนั้น ปัญหามาแน่พี่ชอบอย่างนึงคือ มันเป็น Point ส่วนตัวตอนพี่อยู่มัธยมคุณครูหรือ พ.อ.
เลยเขาบอกว่าเนี่ย IQ อาจจะทำให้พวกหนูๆเนี่ย ประสบความสำเร็จได้ส่วนหนึ่งนะแต่ EQ จะทำให้หนูไปได้ไกลกว่านั้นแต่ปัญหามันคือตรงนี้ EQ คือการควบคุมตัวเองใช่ฮะ แล้วก็หายไปเลยอ๋อ บอกแค่นั้น แล้วพี่งง อ้าว ควบคุมตัวเองแล้วทำยังไงครับ แล้ว EQ มันคืออะไร งงพี่ก็เลยแบบ โอ้ รู้แค่ว่า EQ มันสำคัญมากแต่ไม่ค่อยมีใครบอกว่า มันจะสร้างอย่างไร มีอะไรบ้างที่ต้องเรียนรู้ฉะนั้นวิน เราจะมาคุยกันเรื่องนี้อ่า ได้เลย ซึ่งเพื่อให้เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการแบบสรุปใจความผมเลยดึงมาทั้งหมด 5 ส่วนด้วยกันซึ่ง 5 ส่วนนี้เปรียบเสมือนกับ 5 ส่วนที่ถ้าหากเราพัฒนาให้มันเก่งขึ้นและดีขึ้นได้เราจะกลายเป็นคนหนึ่งที่มีความฉลาดทางอารมณ์ของตัวเองและของผู้อื่นมาก แน่ขึ้นด้วย อ่ะ นี่ เออ คือ เดี๋ยวนะ มีของผู้อื่นด้วย อ่า ใช่นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ ก่อนหน้านี้ผมก็เข้าใจผิดเหมือนกันว่า EQ มันเกี่ยวแค่กับของตัวเอง ครับ แต่ความเป็นจริงอ่ะมันเกี่ยวกับเรื่องของการเข้าใจอีกฝ่ายด้วย อืม อ่า ตรงนี้น่าสนใจพี่นึกว่า EQ คือการ ก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองพอ อ่าแต่ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่เสมอไป เพราะสุดท้ายอารมณ์ของเรามันมีผลต่ออีกฝ่ายเสมอครับ มันไม่มีอะไรที่เป็นแค่แบบ แบบทางเดียวอ่ะ มันมีแบบไปแล้วกลับเสมอมีอินพุทธ์แล้วก็อัลพุทธ์ในเวลาเดียวกัน ใช่ไหมฮะ อืม ถ้าอย่างนั้น EQ เราแปลเป็นทางก็คือความฉลาดทางอารมณ์ถ้าพี่พูดอย่างนี้ สมมติถ้า EQ สำคัญพอๆกับ IQถ้าเลือกอันใดอันหนึ่ง วินเลือกอะไรวะเฮ้ย ถ้าจากประสบการณ์ที่ผมได้ฟังคลิปจากคนอีกเก่งแล้วกันสุดท้ายเขาบอกว่าคนที่มี EQ พี่ได้เปรียบเหตุผลผมเสริมได้ ลองจินตนาการถึงคนที่เขาบริหารธุรกิจดูพี่พี่คิดว่าคนที่อยู่บนจุดสูงสุดเนี่ยเขามีความรู้ด้าน Technical มากกว่าคนที่ทำงานหน้างานนะพี่ ถ้าจากประสบการณ์ไปเลย คนทำงานหน้างานรู้กว่าใช่ เก่งกว่าแต่สิ่งที่เขามี คือเขาซื้อใจคนเป็นอ้าาาาอ่าาานั่นแสดงว่า EQ จะทำให้คนไปอยู่ในจุดที่เป็นผู้นำคนที่เก่งงานอย่างเดียวได้อ่า ถูกต้องในมุมมองผมนะแต่แน่นอนถ้าคุณเป็นผู้นำอาจจะต้องมีเรื่องวิสัยทัศน์อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งสิ่งนี้ผมมองว่ามันก็สามารถแก้ได้ ด้วยการที่ถ้าหากคนนั้นMake friends เป็น สร้าง Connection เก่ง เป็นเข้าถึงใจคนเป็น โอ้โห นั่นคือความรู้มหาศาล แบบคุณไม่มีทางหยุดเรียนรู้ได้เพราะคุณจะรู้จักคนใหม่ไปเรื่อยๆ แล้วคนจะมาพร้อมกับความรู้เสมออืม อย่างนี้จะเรียกได้ว่าคนมีอีคิวสูงกับอีคิวต่ำเรียกอย่างนี้ได้เลยไหม อีคิวสูง อีคิวต่ำได้ไหมหรอ โอ้โห ผมไม่กล้าตัดสินนะแต่ถ้าสมมติคนอีคิวสูงก็คือมีควบคุมตัวเองได้ดี เข้าใจผู้อื่นถ้าหมายความว่าคนอีคิวสูง อีโค้จะต่ำได้ไหม โอ้โห นี่มันแปลผลักผ่านกันได้เลยนะเฮ้ย จุดนี้น่าคิดฮะอ่าในมุมมองพี่อ่ะ ในมุมมองพี่อ่ะEQ สูงEgo ก็จะต่ำของพี่ พี่ว่า Ego กับ Eq มันจะมีอะไร มึงอยากมาเชื่อนมันอยู่เฮ้ย จุดนี้พอ Ego สูงปุ๊บ คลุมตัวเองได้อย่าง Eq ก็จะต่ำอ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา เออ ถ้าพี่เปรียบเทียบแบบนี้ แสดงว่าคนที่มี EQ สูงก็ต้องรู้เท่าทันตัวเองแบบนึงด้วยว่า ตัวเองกำลังมี Egoแล้วก็จะสามารถควบคุมได้พอพี่เชื่อมโยงมาขนาดนี้ ผมว่าผมไปข้อแรกเลยดีกว่าเพราะข้อแรกมันเกี่ยวกับส่วนนี้เลยอ่า วันนี้มี 5 ส่วน เรามาเริ่มที่ส่วนแรก ถึง How To เลยใช่ไหมอ่า นี่คือ How To จาๆ แล้วนะครับถ้าใครมีปากกานะครับ กับกระดาษ จดได้เลยนะครับหรือจะเอามาโยนคุยกับคนข้างๆ ก็ได้นะครับ ต้องใครส่วนตัวอะไร มา ข้อแรกนะครับผม ครับผม คือเรื่องของ self awareness แปลได้ว่าอะไรบ้างแปลเป็นไทยว่าการที่เรารู้เท่าทันตัวเอง self aware aware เป็นว่าเท่าทันเนอะอ่า การเท่าทันตัวเอง ใช่ครับผม นี่คือข้อแรกเลย หากเราอยากเป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้นครับ เราจะต้องรู้เท่าทันความรู้สึกของเรา ณ ตอนนี้ อย่างเช่นสมมุติตอนนี้พี่รู้สึกสงบ อันนี้ก็คือเท่าทันไหมอ่า อันนี้ผมว่าเท่าทัน แต่ต้องถามใจตัวเองจริงๆนะว่าเราสงบแล้วเรากำลังคิดอะไรอยู่อ๋ออ่า เราจุดณสถานะความคิดความรู้สึกทั้งจิตใจเราเนี่ย รู้สึกยังไงบ้างอ่า ซึ่งตรงเนี้ยผมมองว่าพี่น่าจะสามารถแชร์ได้ พี่เป็นคนหนึ่งที่นั่งสมาธิแล้วรู้เท่าทันตัวเองตลอดอะโห ตลอดไหม ไม่กล้าใช้คำว่าตลอดไหมไม่กล้าใช้หรอพี่ว่ามันยากนะ การเท่าทันตัวเอง โดยเฉพาะเวลาที่เรากรดหรือ งุ่นหงิดตื่นเต้นประมาณอะไรอย่างนี้ยาก คือโคตรยากเลยวินเจอปัญหานี้ปะผมมีแน่นอนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเวลาเกี่ยวกับเรื่องของคนใช่ไหมครับหลายๆครั้งรู้นะว่าต้องคุมอารมณ์ แต่เก็บได้ไม่มิด แล้วก็อาจจะเผลอพูดบางอย่างที่อาจจะทำร้ายอีกฝ่ายออกไปถ้าพี่เดาเนี่ย มักจะเป็นกับคนใกล้ชิดด้วยไหมเฮ้ย เดาเก่งเกินอ่ะ แต่พี่ว่าวินอาจจะมีปัญหาตรงนี้ พี่ลองเอามาแชร์แล้วกันการรู้เท่าทันตัวเองก็คือง่ายๆเลย รู้ว่าตอนนี้รู้สึกอะไรอยู่จะเรียกได้ว่าอยู่กับปัจจุบันก็ยังได้ แต่มันเป็นการกลับไปโฟกัสที่อารมณ์ของตัวเองพูดเหมือนง่าย แต่เมื่อถึงเวลาที่เรารู้สึกไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นความ ความรู้สึกอะไรก็ตาม แต่พี่ว่าตรงนี้แหละที่มันจะกลับมาโฟกัสได้ยากมาก ถ้าไม่เคยฝึก ฉะนั้นสิ่งนี้ต้องฝึก Self-Aware ต้องฝึกฝึกในตอนที่คุณผู้ฟังอยู่ในช่วงที่ปกติไม่ได้มีอะไรตอนนี้เราทำอะไรอยู่ ตอนนี้เรานั่งอยู่หรือเปล่ามันคือการ Self-Aware หมดเลยถ้าพูดถึงการฝึกแบบง่ายๆเลยคือก็นั่งอยู่แล้วก็คิดถึงตัวเองแต่ถ้าแบบ Hard หน่อย นั่งสมาธิวนมาเรื่องนี้แล้วซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่วินเกลียดที่สุดครับ แต่สำหรับพี่มันก็เป็นการนั่งสมาธิถึงแม้พี่จะบอกว่าพี่นั่งสมาธิแต่พี่กล้าบอกเลย สมมุตินั่ง 10 นาที5 นาทีนี่คิดอะไรก็ไม่รู้แล้วดึงกลับมาไม่ได้ด้วยใจมนุษย์มันช่างเดี๋ยวไปนู่น เดี๋ยวไปนี่ฝึกเนาะแล้วทำไม Self Awareness มันสำคัญวินออกมาเป็นข้อแรกนี่เป็นข้อแรกเพราะว่าเราครับโดยส่วนใหญ่แล้วมักอาจจะลืมตัวเวลาที่เป็นเรื่องของความรู้สึกโกรธรู้สึกเศร้า หรือว่าอะไรอย่างนี้ครับ แล้วเราอาจจะแบบไม่รู้เท่าทันว่า ความรู้สึกตรงเนี้ยมันมาจากไหนผมมองว่า Key สำคัญเนี้ย เราบางหลายๆคนอาจจะรู้ตัวนะว่าตัวเองกําลังรู้สึกอะไรอยู่ครับแต่เราอาจจะต้องถามตัวเองต่อว่า แล้วความรู้สึกเนี้ย มันมาจากไหนกันแน่ถ้าหากผมรู้สึกโกรธจากการที่สมมติว่าผมทำอะไรผิดพลาดพี่มาติเตียนผม ผมรู้สึกโกรธ รู้สึกตอดต้านแต่พอกลับมาให้เวลากับตัวเอง มาทำความเข้าใจตัวเองอ๋อ ผมโกรธเพราะว่าพี่มาเจาะในจุดที่แบบผม แบบไม่พอใจแล้วไม่แฮปปี้กับจุดนั้นจริงจริงแล้วแบบผมรู้สึกว่าแบบเหมือนโดนเหมือนโดนแบบล้ำเส้นอ่ะอ่ะคราวนี้ก็จะเข้าใจแล้วแล้วก็พยายามจะแบบตีโจทย์ใหม่งั้นผมขอพยายามเข้าใจเจตนาพี่หน่อยอืมคราวนี้เราจะรู้แล้วว่าต้นเหตุจริงจริงไม่ใช่เพราะว่าพี่ติเตียนผมแต่เป็นเพราะว่าพี่กําลังติในบางเรื่องที่มันแบบกระทบอีโก้ผมอืมอ่ามันจะทําให้วินไปค้นเจออะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างในด้วยถูกต้องครับผมมันเหมือนกับว่าเราไม่ได้มองแบบสิ่งของจากด้านเดียวอ่ะเหมือนบางทีหลายอย่างอาจจะเป็นแบบหกเหลี่ยมอ่ะ ผมอาจจะมองแค่ด้านเดียว ผมรู้สึกด้านเดียว แต่ถ้าหากผมพยายามนิ่งแล้วพยายามเข้าใจสถานการณ์นั้นจริงๆ แล้วมองอีกด้านนึงผมอาจจะเข้าใจหลายๆอย่างมากขึ้นได้อ่านี่เป็นแนวทางของวิน เดี๋ยวพี่ไปเปรียบเทียบผมอยากให้คุณผู้ฟังเห็นภาพง่ายที่สุดเลยสมมติอารมณ์เป็นเด็กคนนึง วิธีจัดการกับเด็กคนนั้นที่เดี๋ยวมาตีคุณอะไรอย่างนี้ วิธีแก้เลยคือมองเด็กคนนั้นไว้ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะทำอะไรก็มองไว้ มองว่าเยอะเจ๋ยเลยเขาอาจจะอยากต้องการความสนใจแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเพลินเท่านั้นแหละเด็กเขานั้นมันจะไปก่อปัญหาทันทีเลยอ๋อนี่คือหลักการของ Self-awareness ให้เห็นภาพของเราแค่มองแค่มอง แล้วต้องสังเกตให้ชัดอ๋อ โอเคเท่านั้น เอ้ย นี่เปรียบเทียบง่ายสุดแล้วนะผมว่าใช่ นั่งสมาธิพี่ก็จะคิดภาพแบบนั้นเลยเหมือนที่มองความคิด ความคิดเล่นผ่านไปผ่านมาแต่บางทีความคิดเล่นไป เราไปด้วย อะไรอย่างงี้อ๋อ ประมาณนั้นเลยเห้ย แสดงว่าถ้าเกิดสรุปเป็นคำเดียว เขาว่า self awareness ของพี่คือคำว่า focus ไหมพี่focus พี่ไปเหยียบกับดักหมีสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือพี่ต้องรู้ตัวก่อนว่าพี่เหยียบกับดักไปแล้วถ้าพี่ไม่รู้ก็ดึงขาตัวอีกมากเรามาตัวที่สองตัวที่สองครับมันคือเรื่องของ Managing Emotionsการจัดการการจัดการอารมณ์ความรู้สึกของเราครับจัดการยังไงครับครูเฮ้ย จัดการยังไงเหรอ ครูไม่สอนอ่ะดิทำไงครูไม่สอน เน้นป้อยพี่เลยรู้แหละว่าต้องจัดการ แต่ยังไงกับครูงั้นวินช่วยถ่ายทอดวิชามาหน่อยวิชานี้ก็จะเป็นแดดประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองเนอะถ้าหากเรื่องของการจัดการความรู้สึกจากที่ผมศึกษามาเนี่ยมันก็จะอยู่ที่วิธีการเราเอาพุทธออกไปครับ เวลาที่เรารู้สึกอะไรก็แล้วแต่เนี่ย แบ่งได้ว่าถ้าเรารู้สึกแย่ให้ลองเรื่องของการใช้การเขียน ปล่อยความรู้สึกออกมาการพูด ปล่อยความรู้สึกออกมา แล้วการพูดก็มีความหลากหลายอีกพี่พูดด่าอย่างนี้นับไหมแต่ถ้าเกิดพี่ด่าออกมาพี่รู้สึกเบาลง นั่นคือการ Managing อารมณ์ไหมถ้าหาก แล้วคำว่าตะโกนเนี่ยไม่จำเป็นต้องกระตะโกนใส่คนอื่นนะอันนั้นก็คือการทำร้ายคนอื่น แต่แบบเราจะเคยเห็นว่าแบบมันจะแบบมีห้องที่เราสามารถตะโกนได้แบบ ปล่อยอารมณ์ทั้งหมดหรือว่าตะโกนใส่หมอน หรือห้องที่แบบเราสามารถใช้การกระทำแบบทุบตีสิ่งของอ่ะ เคยเห็นอยู่ใช่ไหม ทุบเละ ใช่ แล้วคนเหล่านั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นจริงจริง ครับ อ่ะ แต่อันเนี้ยมันคือแบบวิธีการเนอะ แต่สุดท้ายอ่ะครับหลักการคีย์สําคัญเลย มันคือเราจะต้องรู้ว่าเราจะบริหารความรู้สึกของเราได้ดีที่สุด ยังไงได้บ้าง บริหารยังไงใช่ไหมครับใช่ครับผมคืองั้นแสดงว่าการปล่อยอารมณ์เนี่ยมันก็จะมีส่วนหนึ่งก็คือคุณเหยียบไปทำให้ใครเดือดร้อนใช่ครับนั่นคือข้อแรกมีวิธีการอะไรบ้างถึงจะบริหารแล้วแบบเออมันคลายได้แต่มีคนหนึ่งก็ไม่ ไม่ต้องมาเดือดร้อนด้วยอะไรอย่างนี้ถ้าเป็นข้อหนึ่งที่ผมใช้ตลอดเลยใช้การเขียนครับการเขียนช่วยมากพี่เขาบอกว่า มันมีประโยคนึงที่ผมชอบมากเลยเป็นโค้ดพี่เขาบอกว่า ถ้าหากเราอ่านถ้าหากเราอ่านตัวหนังสือเนี่ยเราจะเข้าใจความคิดของผู้เขียนแต่ถ้าหากเราเป็นคนเขียนเราจะเข้าใจความคิดของจิตใต้สำนึกของเราถ้าอย่างนั้นสมมุติพี่รู้สึกอะไรพี่จะเขียนอะไรก็ได้เลยถูกต้อง อันนี้เรื่องจริงนะ ถ้าหากพี่คิดอะไรอยู่แล้วพี่พยายามเขียนมันตามหลักทฤษฎีแล้วเรากำลังขยายความตรงนั้นแล้วเราจะเข้าใจแก่นแท้ของความนึกคิดตรงนั้นได้มากขึ้นอืมมีอยู่กฎหนึ่งครับในหนังสือ The Diary of a CEOเขาบอกเลยว่า เวลาที่เรามีความเชื่อกับอะไรบางอย่างมากๆถ้าหากเราพยายามขยายความตรงนั้น ขยายแบบทำให้เห็นชัดขึ้นเราจะเริ่มรู้สึกมั่นใจกับข้อมูลตรงนั้นน้อยลงหื้อ อ่ะ เอ้ย ทำไมมันดูผกผันกันอ่ะ ใช่ปะ อ่า ในอธิบายหน่อยงั้นผมถามคําถามเดี๋ยวเลย พี่คิดว่าพี่รู้จักห้องน้ําพ รู้จักหรอ รู้แค่ว่าเข้าไปแล้วมีสีอะไร มีกระเบื้องแค่นั้นเองเออหรอ งั้นมีจุดไหนบ้างที่แบบพี่มองว่าพี่รู้จักดีเลย สถานที่มีป่ะห้องนอนห้องนอน...เตียงแล้วกันเตียงใหญ่ดิ แต่ที่เหลือไม่รู้ละอ่า แต่ว่าสมมติถ้าแก่นแล้วกัน สมมติว่าถ้าเกิดพี่เป็นคนหนึ่งพี่มองว่าพี่รู้เลยว่าห้องนอนพี่เป็นยังไง พี่อยู่ที่นี่มาแบบ 10 ปีแล้วแต่ถ้าผมบอกให้พี่ลงลึกรายละเอียดแต่ละส่วนในห้องนอนพี่จะเริ่มไม่ชัวร์ว่าพี่รู้จริงหรือเปล่า ลองคิดตามดูเออจริงวะใช่มั้ย เพราะพี่จะแบบเวลาคนเราอยู่ในสถานการณ์ไหนเราไม่ได้สังเกตุทุกอย่างแบบร้อยเปอร์เซ็นต์นี่ก็เหมือนกันกับความเป็นจริงกับความรู้สึกเราเราไม่สามารถเก็บตกทุกอย่างในสถานการณ์ตอนนั้นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้เราต้องตกตะกอนด้วยการมานึกเขียนเราเขียนมากขึ้นเราจะเริ่มแบบเชี่ย มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดนี่วะอ้าว ก่อนอันนี้เราอารมณ์เสียมันไม่สมเหตุสมผลเลยวะสมมติว่าก่อนอันนี้พี่โกรธมาแล้วพอพี่มาเขียน เอ้ยหรือไอ้ชิ้นเราโกรธบางที ไอ้ครึ่งหนึ่งหรอ จะคิดไปเองใช่โอ้ มันอยู่แค่มุมมองพอเราเปลี่ยนมุมมองปุ๊บ ความรู้สึกเปลี่ยนอืม ก็คือการมาเขียนบริหารอารมณ์ใช่นอกจากเขียน มีอีกไหมเล่าให้เพื่อนฟัง ผมว่าอันนี้เวิร์ค แต่ว่าส่วนตัวผมไม่ใช้วิธีนี้เท่าไหร่เพราะว่าเกรงใจเพื่อนแต่ก็ต้องยอมนะ บางทีเราก็ไม่ได้อยากฟังข่าวร้ายของคนอื่นใช่ไหมใช่อันนี้มันต้องบริหารดีเหมือนกันพี่มีเล่าป่ะพี่ไม่ค่อยเล่าเออ ชอบนั่งคุย นั่งบ่นกับตัวเองแล้วก็นั่งเขียน จริงๆเขียนมันก็ใช้แต่พี่จะไม่ค่อยไปเล่าให้คนอื่นฟังเหมือนวินเลย เหมือนมีคนมาคุยกับเราโหมาปุ๊บ มีเรื่องให้บ่นเราก็ไม่อยากคุยกับเขาละอันนี้ก็ถามว่าใช่ไหม ก็ใช่อีกแหละแต่ถ้าเป็นเพื่อนที่ดีก็ต้องอยู่ข้างๆเพื่อนหน่อยมีป่ะ ก็สบายอารมณ์ อันนี้ผมว่าเวิร์ค สมมติถ้าเกิดเราเป็นคนอารมณ์เสียใช่ไหมครับ หน้าตอนนั้นเลยแล้วการเขียนตอนนั้นไม่ตอบโจทย์สิ่งที่ผมทำนะอีกอย่างหนึ่ง ออกกำลังกายพี่ต้องเคยบ้างแหละของพี่หรอ? โกรธเว้ย โกรธเว้ยวิทพื้นเลยมีบ้างๆ เจ็บเองนะแน่เลยอันนี้ก็สามารถทำให้เราบริหารอารมณ์ตัวเองได้ครับขี้สำคัญครับวิธีการไหนทุกคนเลือกได้เลย แต่สุดท้ายคือถ้าหากเรารู้วิธีการอารมณ์แล้วแล้วเราสามารถรู้วิธีการปลดปล่อยมันได้โดยที่ไม่ลำบากคนอื่นอันนี้เราก็มีข้อมูลที่จะให้คุณผู้ชมค่ะ ข้อได้เปรียบมากกว่าหลายๆคนแล้วนะพี่วิ่งเรื่องนี้เล่าไหมเรื่องอะไรอ่ะพี่3ปีแล้ว โอ๊คัก5ปีไม่ใช่3ปี 5ปีแล้วแบบ ไม่รู้จะทำยังไงใส่ช่วงนั้นเป็นรูดูหนาวใส่เสื้อกับหนาวอยู่วิ่งโดดลงสาน้ำมากจำภาพได้เลย อย่างเย็นเลยว่ายไหมพี่ไม่ว่ายน้องโดดไปเลย โดดแล้วก็เย็นเย็นไง หัวร้อนเลยอ๋อ ถังน้ำไม่พอโดดนี่ไง เออ งานบริหารจัดการอารมณ์ ไม่เดิดร้อนใครใช่ เดิดร้อนตัวเองเดิดร้อนเครื่องซักผ้าเลยที่นี้ ทั้งชุดเลยอ่า นี่คือการบริหารจัดการอารมณ์จริงๆมันมีหลายวิธีมากเลยใช่ไหมที่เวลาโกรธอย่าเพิ่งไปทำให้เขาเดิดร้อนก็ได้เพราะบางทีเราอาจจะมองมุมมองด้านเดียวเขียนได้ไหมไปกระสอบทรายไปวิ่งก็ได้แต่พี่บอกเลยการออกกำลังกายช่วยจริงป่ะโกรธไหลปุ๊บไปออกกำลังกายหายเลยเออไอ้แทนแล้วมันใส่สุดด้วยนะตอนนั้นมันแบบ เอาล่ะ วิธีที่ 2 ครับ คุณผู้ฟังบริหารจัดการอารมณ์วิธีที่ 3 น้องวิธีที่ 3 ครับ ก็คือเรื่องของ Self-Motivationหรือก็คือการผลักดันตัวเราเอง-ผลักดันตัวเราเอง อย่างไรบ้างน้อง? ใช่ครับเวลาที่เราทำงานครับ เราปฏิเสธไม่ได้เนอะว่าเรื่องของความรู้สึกอยากทำงานความรู้สึกว่าเรามีแรงจูงใจ อยากจะตื่นมาทำงานในตอนเช้าเนี่ยมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับหลาย คน พอถ้าหากเราไม่มีแรงจูงใจอะ มันยากมากเลยนะพี่ที่เราจะทำอะไรบางอย่างได้นอกจากว่าเราจะแบบมีใครมาจิ้มหลังเรา แบบเอ๊ะ ไม่ทำจริงเปล่าอืม แต่ยอมรับการตื่นมาแล้วไม่มีแรงบันดาลใจนิด หู เจ็บ ระยะยาวมันเจ็บมากเลยเบิร์ดเอาเนอะ อ้าว แล้วต้องทำยังไงบ้างอะถามว่าทำไงเหรอพี่ ผมก็ไม่มีคําตอบตายตัวอีกครับผมว่าแต่ละคนอ่ะ จะมีหลักสูตรของตัวเอง แต่ของพี่ผมว่าน่าสนใจมากกว่าหืม พี่เป็นคนหนึ่งที่สามารถโมทิเวตตัวเองให้มาวิ่ง ทุกเช้าได้ อืม เอ้ย เรื่อง เนี้ย ผมว่า ผู้คนอยากฟัง เขาเรียกว่าอ่า ใช่ไหม คือ พี่เคยคุยกับผู้บริหารท่านหนึ่ง เขาบอกแบบนี้ เนี้ยจริงจริงมาทํางานทุกวันเนี้ย อาจจะคิดว่าผมเนี้ยมีไฟนะ อ่าแต่จริงจริงเนี้ย ไฟผมมันมอดไปตั้งนานแล้ว ไฟที่ ที่ผมเคยมีมันมอดไปนานแล้วแสดงว่าเขาไม่ได้ใช้ใจเลยใช่เขาใช้สิ่งที่เรียกว่าวินัยอ่า วินัยคือ motivation ช่วงแรงมันอาจจะช่วยได้แต่มีวินัยมีวินัยกับสิ่งที่ตามมาคือผลลัพธ์สมมุติพี่ออกกำลังกายเชื่อใจถ้าออกไปนานมากพอเดี๋ยวหุ่นจะดีขึ้นสมองปลอดโปร่งขึ้นวิ่งได้นานขึ้นพอส่องกระจกตัวเองเฮ้ย ภูมิใจในตัวเองว่ะ จริงเนี่ย motivation คือตัวเรานี่แหละพอส่องกระจกมา เฮ้ย เรามาไกลจากจุดเดิมแล้วสมมติวินโห มีซิกแพค มีกล้ามวินคิดจะกลับไปเป็นวินคนเดิมไหมนั่นแหละคือ motivation ของพี่นะเพราะเวลาพี่ส่องกระจก พี่ก็เห็นเลยว่าตัวเองเปลี่ยนเก่งขึ้น ฉลาด ขึ้นมีลูกน้องที่ดีขึ้น มีพนักงานที่แบบรักองค์กรMotivationเห้ย แสดงว่าก่อนหน้านี้ ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะมองว่าเราต้องมี Motivation ก่อน ถึงจะลงมือทำแต่พี่บอกว่าไม่ ลงมือทำก่อน เดี๋ยว Motivation มัน มันมาเอง มันเห็นความเป็นไปได้ ลงมือทํา มี นิดนึง อ่าแล้วเดี๋ยว ไอ นั่นแหละ เป็น คือ ผลลัพธ์นะครับ เฮ้ย อันนี้คือมุมมองพี่ เอ้ย ผมว่าเป็นมุมมองที่น่าสนใจ แสดงว่า ไอคําว่า ที่ผมได้ดึงมาเนี้ย มันไม่ได้แปลว่าเรา ตื่นมาแล้วเราน้องต้องสึกอยากทํา ครับ แต่เราแค่ต้องบังคับตัวเองให้ทําให้ได้ก่อนสร้างผลลัพธ์สักเล็กน้อย ครับ แล้วไอแรงบันดาลใจอ่ะ มันจะไหลมาเองเออ มันตรงตัวเนี้ย self motivation ก็ motivation ก็คือ self นั่นแหละ อ่าอ่า ประมาณนั้นเลย วินอ่านหนังสือ วินฉลาดขึ้น วินคุยกับคน วินเท่าทันขึ้น วินรู้จักโลกมากขึ้นอ่านหนังสือมันดีว่ะ เออ ฉลาดขึ้นจริง อ่านต่อเออ motivation แสดงว่าสิ่งที่ทุกคน take away สำหรับข้อนี้ต้องมีวินัยกับสิ่งที่ต้องทำนะครับเพราะถ้าหากไม่มีวินัย เราก็จะไม่มี motivation เลย เราหามันไม่เจอเลยเออ ส่วนใหญ่เราจะหา motivation จากภายนอกเนาะ เออใช่ ถูกต้องลองเปลี่ยนมาเป็นภายในดูครับ อาจจะยากกว่านิดนึงเพราะมัน ต้องใช้เวลา แต่มันคุ้มความันยากไงล่ะ มันถึงคุ้ม อืมทําในสิ่งที่ยากแล้วชีวิตจะง่าย พูดทุกคลิปอันนี้เป็นนักตัดยายแล้วโอเคเนอะ พี่ว่าข้อนี้ลึกซึ้งแล้วก็ชัดเจน เอ่อเรียบง่ายด้วย ข้อต่อไปเนอะ ต่อไปข้อที่สี่ครับ ครับก่อนอันนี้สามข้อแรก เราพูดถึงแต่ตัวเราเองจริง จริง มันเน็จจิ้ง บริหารความรู้สึก และสามก็คือครับ ส่วนที่สี่ครับ สําคัญมาก และเป็นส่วนที่ยาก ด้วย อืม เอ็มปาตี้ การเห็นอกเห็นใจ ผู้อื่น ครับ อ่า นี่จะเป็นเรื่องของ ที่แบบ เริ่มขยายจากตัวเองแล้ว เป็นการที่เราเข้าใจความรู้สึก ของอีกฝ่ายด้วย ครับ อ่า ซึ่งตรงเนี้ย ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายคนก็ จะเจอปัญหา รวมถึงตัวผมเองด้วย ครับ อันเนี้ยต้อง อันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ผมต้องขอคํานั้น จากพี่ อืม ว่าเราต้องทํายังไง อ่ะ ถึงเราจะสามารถเข้าใจอีกฝ่ายได้มากขึ้น เข้าใจอีกฝ่ายได้มากขึ้น โห คือเป็นคำตอบที่จริงๆตอบยากมากอธิบายเราจะมาเริ่มอธิบายคำว่า EmpathyEmpathy ก็คือการเข้าใจทั้งตัวเองและผู้อื่นใช่ครับเข้าใจตัวเองก่อนแล้วเมื่อนั้นก็จะเข้าใจผู้อื่นการเข้าใจคนคือการสังเกตสังเกตสังเกตก่อนว่า เนี่ยที่คุยกันอยู่เนี่ย วินแอบกลืนน้ำลายหรือเปล่าถ้าแอบกลืนน้ำลายแสดงว่าอึดอาจบางเรื่องอยู่เขามีอวจนะภาษาอะไรที่เราพอจะรู้สึกได้บ้างว่ามันผิด ปกติ อืม มันคือการสังเกตและใส่ใจ สังเกตกับใส่ใจ อ่าพี่ว่า คําว่าใส่ใจเนี้ย อธิบายได้ทุกอย่างแหละการเข้าใจตัวเอง ถ้าเรามีกฎข้อแรกคือ self awareness เนอะมันก็ไม่ยากแล้วแหละ เราก็จะเริ่มรู้ เอ้ย เรากรดเราไม่ชอบอันนี้ เราชอบอันนี้ แต่การจะเข้าใจผู้อื่นได้คือการใส่ใจในตัวเขาอืม สมมติเวลาวินมาปรึกษาพี่ พี่ฟังหรือเปล่าหรือพี่มีคําแนะนําก่อนเลย วินยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ สอนก่อนเลย ถ้าพี่สอนก่อน งั้นแสดงว่าพี่เนี่ยไม่มีเอมพาตี้ ไม่ได้อยากรับฟังเขาเลยอยากจะสอน อยากจะ...
อวดฉลาดซึ่งมันไม่ดีโอเค แสดงว่าแก่นหลัง แก่นหลักของเรื่องนี้ก็คือการที่เราต้องตั้งใจฟังอีกฝ่ายก่อน ตั้งใจฟังใส่ใจกับสิ่งที่คนกำลังแสดงหรือแสดงออกมาแล้วเขาไม่รู้ตัวเพื่อที่เราจะได้แบบรู้จริงๆว่าไอ้เจตนาเบื้องหลังของเขาคืออะไรกันแน่ใช่ไหมพี่มันยากจริงฟังดูยากมากคนยากอันเนี้ยพูดเลยเพราะบางทีบางคนอาจจะแบบเปิดมาครับโกรธครับ ถ้าเกิดมีคนมาโกรธใส่พี่เลย พี่จะตียังไง ตีความเขายังไงถ้าคนหนึ่งอยู่ดีๆมาโกรธใส่พี่ในสถานการณ์นั้น คือมันเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีเวลามาคิด ไม่มีเวลามาตกผลึกอย่ารีบตอบสนองกลับมาข้อแรก ซิลเฟอร์วายอย่าเพิ่งรีบตอบสนองเพราะถ้ารีบตอบสนองกับความโกรธด้วยกัน มันจะเป็นการเติมน้ำมันลงคลองเพลิง อย่าเพิ่งทำอะไร หยุดแล้วคิดก่อนนี่คือหลักในการบริหารอารมณ์ของทั้งตัวเองและของผู้อื่นบางทีอีกคนนี่ เสียมารยาทใส่เรา ไม่ให้เกลียดเรานิ่งก่อนพี่จะไม่มองว่า เอ๊ะ บางทีเขาอาจจะโกรธหรือว่ามีอะไรไม่พอใจ พี่ไม่รู้ แต่พี่นิ่งก่อนเพราะมันทำอะไรไม่ได้จริงๆตอนนั้นเกิดถ้าทำไปแล้วมันพังทั้งหมด ก็ไม่คม พี่จะเล่าให้ฟังคือ ตอนนั้นพี่ไปกินข้าวกับ เนี่ย กิจหลังกล้องก็รู้สึกว่าเออ บางทีการคุยธุรกิจมันมีความกดดันนะบางทีอีกฝ่ายอาจจะมีอารมณ์ใส่เรา อีกฝ่ายอาจจะ ทำให้เรารู้สึกไม่ดีเท่าที่ควรพี่ก็ไม่ได้เห็นใจถึงขนาดที่ว่าเออ เขาอาจจะมีอะไรไม่ดี หรืออาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ปกติพี่ไม่รู้เลยแต่พี่แค่ไม่ทำอะไรแค่นั้นเองเฮ้ย อันนี้ถือว่าเป็นคู่มือที่ดีมากใช่ นี่คือคู่มือที่พี่ต้องใช้เลยอ๋อ พอบางทีรีบรีแอค เละเออใช่ พอบางทีเรากลัวไง ถ้าเราไม่รีแอคอะไรเลยครับแต่พี่กำลังบอกว่า สมมติว่าถ้าเรื่องของการเข้าใจอีกฝ่ายมันอาจจะ advance ไป ยากไปเริ่มแรกเลย เขาทำอะไรมา นิ่งไหมก่อน พอ ถ้าวินอยู่ดีๆกรดแล้วมาเล่าให้ฟัง ไม่ต้องให้คำปรึกษาอะไรเลยฟังก่อนนั่งนิ่งๆ แบบอย่างงี้เลย อย่าพูดอะไรอย่างงี้ อย่าพูดอะไรอย่างงี้นั่งตั้ง ประมาณนั้นเลย เพราะเดี๋ยวผมก็หยุดเองเผื่อๆวินพูดไป วินบ่นไป หรือว่าบางทีที่ผมกรดผมอาจจะคิดไปเอง ผมรู้แล้วอยู่ดีๆ วินอาจจะได้คำตอบตอนนี้ พี่ไม่ต้องพูดอะไรด้วยซ้ำนี่คือ Empathy นะของพี่เออมันก็จริงนะ อ่ะ ถ้าพี่มี Empathy อย่างนี้กับนักเสฟแฟนแล้วคือต้องยอมรับว่าพอเป็นคนใกล้ชิดเนี่ยมันจะยิ่งยากขึ้นไว้อีกแต่ถามว่ามันก็ต้องฝึกอะ รู้ว่ายากๆเดี๋ยวผมรอพี่มีแฟนแล้วผมมาถามอีกทีช็อกเลย เขารู้หมดเลยจริงๆโอเค เมื่อกี้จบ Empathy ไปต่อไปครับ ข้อที่ 5คือเรื่องของ Handling Relationshipsไม่รู้ออกเสียงถูกไหมนะแต่มันคือการรับมือกับความสัมพันธ์ ถ้าพี่เดานี่ก็คือบางทีความสัมพันธ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวไม่ดี 3 วันดี 4 วันร้ายใช่มันจะต้องบริหารด้วยถูกต้องครับผมแบบยังไงได้บ้างโอ้โห สำหรับข้อนี้เนี่ยผมบอกเลยว่าแบบแอบอยากมากเพราะว่า Empathy เนี่ยมันเหมือน Step แรกที่เราจะเข้าใจทุกคู่บทสนทนาใช่ไหมครับไม่ว่าจะเป็นทีมงานบุคคลที่เพิ่งเจอแต่ว่าพอมันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์เนี่ยมันคือเราจะต้องประครองต่อไปเรื่อยๆ ครับเหมือนกับการที่เราจะต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดี กับคนที่เป็นเพื่อนสนิทได้ คนที่เป็นครอบครัวได้ คนที่เป็นแฟนได้ซึ่งผมมองว่าแก่นเนี่ย มันคือกลับไปที่ข้อแรกเลยครับคือการที่เราต้องรู้เท่าทันตัวเองก่อน มันที่พี่แชร์นิ่งเข้าไว้แต่อย่างที่สอง ก็คือการที่เราจะต้อง InvestInvest ก็คือลงทุนนะครับ ทั้งแรงและเวลาของเราให้กับคนเหล่านี้อยู่เสมอแต่พี่ว่าที่วินพูดเมื่อกี้มันโอเคเหมือนกันนะ คือหลังๆมา เรามันจะเริ่มรู้จักคนอื่นถ้าอย่างงี้แล้ว เราต้องรู้จักตัวเองก่อนไหม เราค่อยไปรู้จักโลก ไปรู้จักคนอื่น อันนี้ก็สำคัญเหมือนกันเพราะถ้าหากเราไม่รู้จักตัวเองพี่เราอาจจะไหลคล้อยตามสังคมแล้วเรามาพบว่าเชี่ยที่ผ่านมาโดนเอาเปรียบอย่างเดียวเลยว่ะเชี่ยที่ผ่านมาไม่มีความสุขเลยว่ะมัวแต่เสิร์ฟใช่นี่แสดงว่ารำดับทั้ง 1-5 นี่คือเป็นขั้นตอนให้เลยใช่ เรียงกันเลยจาก Inside to Outsideแต่ถ้าเดาข้อที่ 5 นี่รู้สึกว่าจะยากสุดป่ะคิดว่า ใช่พี่ เพราะว่าสังคมแน่นอนร้อยคนร้อยความคิดครับเพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่พี่สื่อก่อนอันนี้เหมือนกันเสิร์ฟคนอื่นเป็นเรื่องที่ดีแต่เราต้องมีจุดยืนของเราด้วยรู้ว่าอะไรคือเส้น ที่ นี่แหละ คุณมาได้สุดแล้ว ไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ มากกว่านี้จะเป็นคนที่พิเศษสําหรับเราแล้วฟังดูการบริหารความสัมพันธ์ พี่ว่าน่าจะเป็นปัญหาคนส่วนใหญ่ด้วยแหละวินมีคําแนะนํา ที่เรียนตํารา อ่ะ โอ้โห ผมยอรับครับ เรื่องนี้ผมสอบตกครับพี่อ่ะ ไม่เป็นไรเนอะ งั้นเรา เดี๋ยวเรามาถกกันเรื่องนี้การบริหารความสัมพันธ์ ใช่ครับ มันก็ พี่บอกมันจะต้องเริ่มตรงนี้ก่อน คัดคน อ่า เริ่มจากการคัดคนที่เข้ามาก่อนเลยใช่ คัดคน ใครก็ตามที่ทําให้เรารู้สึก มีแรงบันดาลใจรู้สึกอยากวัฒนาชีวิตรู้สึกอยู่ด้วยแล้วชีวิตดีขึ้นรู้สึกดีรู้สึกเจอหน้าปุ๊บมีความสุขเลยนั่นคืออยู่ในโซนดีแล้วกันกับใครก็ตามที่อยู่ด้วยแล้วโอ้โหหมดพลังยังไม่ทันคุยเลยแค่เขาเดินมาในห้องก็รู้สึกหมดพลังแหละรู้สึกไม่อยากคุยด้วยแหละคุยไปคุยมาอยากตัดบทสนทนาไวๆอันนี้คือโซนที่เรียกว่า Toxic Relationship หลักการบริหารความสัมพันธ์กับขี้ก็คือง่ายๆเนาะ มีอยู่สองส่วนโยนออกไป เอาส่วนเดียวพอเออ อ่าอ่าอ่าอันนี้ก็เรียบง่ายเลย ชัดเจนอันนี้ถ้ามันทำได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จริงๆแล้วก็คือบางทีคนที่อยู่ส่วนนี้มีความสำคัญกับเราระดับนึง อาจจะเป็นคนใกล้ชิดมากๆบ้างล่ะซึ่งผมเชื่อว่าคุณผู้ฟังเองน่าจะเจออยู่แล้วมันเป็นเรื่องประสบการณ์ที่เป็นเรื่องปกติของชีวิตคำถามก็คือแล้วคนที่อยู่โซนเนี่ยท็อกสิกแต่เอาออกไม่ได้ทำยังไงเออทำยังไงครับหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยหลีกเลี่ยงที่จะพดเจอลดอัตราส่วนเวลาที่เราจะใช้ร่วมกับเขาให้น้อยลงอ๋อ ไม่ได้บอกให้ตัด แต่ถ้าตัดได้ก็อาจจะตัด ถ้าเขาไม่ใช่คนใกล้ชิดแต่นี่เป็นหลักการบริหารความสัมพันธ์ของพี่เนาะอ่า โอเค อย่างแรก เลือกคนก่อน-เลือกกลุ่มที่ดีกับกลุ่มที่ Toxic ตัดออกไป แต่ถ้าตัดไม่ออกบริหารเวลาให้เขาน้อยที่สุด อยู่กับเขาให้น้อยที่สุดบางทีวิน...พี่ว่าอันนี้เป็นปัญหาสมมติวินท็อกซิก แล้วพี่ไม่ชอบวินแต่ลึกๆก็รู้ว่า เอ๊ยเราไม่คุยกันเนี่ยมันดูไม่ดีพี่ก็เลย เออ พยายามเข้าหาหน่อยสักพักพี่เลยเอาเวลาพี่ไปใช้กับท็อกซิกซะงั้นนี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เป็นนะพี่ว่าไม่กล้าออก ไม่กล้าหลีกเลี่ยงออกมา แต่ทีนี้อยากให้คุณผู้ฟังลองทำดูอันนี้มันอาจจะต้องใช้ความกล้าหาระดับนึงแต่เชื่อเถอะครับมันคุ้มเพราะปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิตของคุณมาจากความสัมพันธ์ครับหลีกเลี่ยงกับคนที่ท็อกซิกหลีกเลี่ยงมาและทีนี้เราเองก็อยากเป็นคนท็อกซิกให้กับกลุ่มที่เป็นคนดีในชีวิตของเราเพราะบางทีเราอาจจะท็อกซิกแต่เราไม่รู้ตัวอันนี้มันคือการทั้งบริหารความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเราแล้วก็ต้องบริหารตัวเองด้วยให้เป็นคนที่ดีสำหรับคนที่เราอยากอยู่ด้วย เห็นมั้ย ติ๊กบอกว่ามันยาวที่สุดงานหนักเลยอะหนัก มันต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆเนาะอ่า อีกส่วนนั้นที่ผมเพิ่งจับได้เมื่อกี้คือนอกจากรู้ตัวเราแล้วเราก็ควรจะอยู่กับสังคมที่เขาคอยช่วยติเตียนเราด้วยเนาะคนที่เขาหวังดีกับเราแล้วแบบเฮ้ย อันนี้มึงผิดนะมึงต้องแก้นะสวัสดีครับ ทุกคน มองว่าถ้ามีโอกาสหาได้ก็เลือกเข้ามาในชีวิตเหมือนกันเออ พี่ว่าบางทีเพื่อนบางคนไม่ติไม่อะไรเลยแล้วเหมือนจะรู้สึกดี แต่พอไปๆๆมามึงจะไม่ติกูเลยหรออะไรสุดท้ายปล่อยให้เราไปแตกโดนทางควบอื่นพี่ว่าตรงนี้แหละเป็น เป็นการบริหารความสัมพันธ์เนอะใช่ครับผม ก็ถือว่าได้แนวทางได้แนวทางแต่ก็ใช่ว่าคุณผู้ฟังพอทำตามนี้แล้วจะเจอแต่ความสัมพันธ์ที่ดีบางทีมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ ที่คุณจะต้องเจอคนไม่ดีบ้างแต่ขอแค่เท่าทันตัวเอง เท่าทันผู้อื่นเป็นคนที่สามารถคัดแยกออกว่าใครดีในชีวิตและใครไม่ดีเอาเท่านี้ก่อนแล้ว เดี๋ยวคุณผู้ฟังจะเห็นทางไปต่อเองเฮ้ย สรุปดีมากเลยพี่พี่ดีทุกคลิป แต่อยากอัดส่งท้ายแบบนี้แล้วกัน เหตุผลที่ EQ สำคัญ คุณผู้ฟังลองคิดตามนะครับหากทุกท่านอยู่ในชีวิตการทำงาน วัยเรียน ม.ม. มหาลัยอะไรก็ตามแต่ปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิตของเราเลย มันไม่ได้มาจากงานมันไม่ได้มาจากปัญหาอะไรก็ตามที่ไม่มีชีวิต แต่มันมาจากคนครับ สิ่งที่ทำให้คุณมีความทุกข์ตื่นเช้ามาไม่อยากทำงานเป็นเพราะคุณไม่อยากไปเจอเพื่อนร่วมงานที่เขาทำไม่ดีกับคุณเพราะถ้าสมมติพี่ทำงานแล้วปัญหาเป็นงาน แป๊บๆเดี๋ยวพี่ก็แก้ได้ละแต่พอเป็นเรื่องคนมันปบมือข้างเดียวไม่ดังวินคิดยังไงเรื่องนี้เห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์ครับนี่แหละครับเหตุผลที่ EQ สำคัญเพราะปัญหาของการทำงานมาจากคนไม่ได้มาจากงานครับ หวังว่าทุกคนจะได้คีย์เทคเอเวย์นะครับ เดี๋ยวเรามาสรุปด้วยกันอีกรอบนึงครับว่าทั้ง 5 ส่วนที่ทุกคนสามารถพัฒนาได้เพื่อกลายเป็นคนที่มี EQ หรือว่า Emotional Quotient ที่สูงขึ้นอย่างแรกครับคือเรื่องของ Self Awareness คือการที่เรา รู้เท่าทันตัวเอง และนิ่งไว้ก่อน นิ่งเข้าไว้พยายามทำความเข้าใจ แล้วดูว่าเด็กคนนั้นเนี่ยกำลังทำอะไรอยู่ สรุปดีเว้ยอย่างที่สองครับ คือการ Managing Emotionsหรือว่าการบริหารความรู้สึกของเราพอเราเห็นแล้วว่าเด็กคนนั้นทำอะไรอยู่ เรียนรู้ที่อย่าปลดปล่อยความรู้สึกตรงนั้นออกมาเขียนก็ได้ ตะโกนก็ได้ เตะต่อยก็ได้ถ้าเกิดมีกระสอบทรายนะครับ อย่าต่อยกำแพงนะ เจ็บนะเอาเรื่องจริงมาล้อเล่นนั่นแหละครับ หรือว่าออกกำลังกายนะครับมันเป็นผลดีแน่นอนโดดน้ำด้วย โอ้โห เปียกนิดนึงนะอย่างที่ 3 ครับ ก็คือเรื่องของ Self-Motivationเรื่องนี้คือการที่เราเพิ่มไฟให้กับตัวเองแต่แน่นอนครับ เพิ่มไฟอาจจะเพิ่มได้ช่วงแรกสิ่งที่ดีที่สุดคือการที่เรามีวิว... สร้างวินัยให้มันดีครับ ลงมือทำ เห็นผลลัพธ์แล้วเมื่อนั้นแรงใจที่อยากจะไปต่อ มันจะมาอย่างแน่นอนครับอย่างที่สี่ครับ คือ Empathy คือการที่เราเข้าอกเข้าใจอีกฝ่ายพยายามคิดในมุมของเขา พยายามทำความเข้าใจเขาให้มากๆแล้วเมื่อนั้นเราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีออกมาได้และอย่างที่สี่ครับ ก็คือ Handling Relationships หรือก็คือการบริหารรักษาความสัมพันธ์ข้อนี้ถือว่าเป็นข้อที่ยากที่สุด เราต้องเลือกให้ดีว่าคนที่สุด คนที่จะเข้ามาในชีวิตจะเป็นคนที่ดีหรือคนที่ท็อกซิกแล้วต้องบริหารจัดสัดส่วนเวลาของเราอยู่กับคนเหล่านี้ให้ดีด้วยเพราะไม่ฉะนั้น ปัญหาครับที่มาจากคนเนี่ยมันจะกลับมาทิ้มแทงเราอย่างแน่นอนถ้าหากเราบริหารเวลาได้ไม่ดีนายบอกมี 5 ข้อมันมันนับได้ 4 วะ-เอ๊ะ ผมนับมันมันมันมันมี 4 หรอเมื่อกี้?
เอ้าผมพูดเลขผิดคำนั้น 5 นะครับแฮนลิ่งนะครับ-อ่า โอเค ถือว่าช่วยแก้ ขอบคุณครับผมก็สำหรับวันนี้ครับ ทางเรามีเรื่องมาแชร์ประมาณนี้ขอบคุณที่ฟังวันเดี๋ยวนี้ ขอบคุณมากจริงๆครับ ความสุข ความทุกของคน คลื่นดึกกับความสัมพันธ์ ดูแลให้ดีครับแล้วเดี๋ยวไว้จะพบเจอกันใหม่ในอีพีหน้านะครับ สําหรับวันนี้ สวัสดีครับ ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับการพูดคุยในครั้งนี้ถ้าหากทุกคนอยากจะฟังเรื่องราวแบบนี้เพิ่มเติมก็สามารถกดดูต่อได้ที่ตรงนี้เลยนะครับขอบคุณมากๆเลยนะครับที่เข้ามาฟังพลอดแคสต์อัพพิสโดนนี้จนจบสำหรับวันนี้ทางทีมงาน The Secret Diary และตัวผมเองขอลาไปก่อนและขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะครับสวัสดีครับ