คนเราทานอาหารก็เพื่อที่จะได้พลังงานนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆของร่างกายนะคะโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทานแป้งหรือสารอาหารจำพวกของคอลโบไฮเดรตค่ะโดยแป้งจะถูกย่อยจนกลายเป็นมริกุลที่เล็กที่สุดก็คือน้ำตาลมริกุลเดี่ยวอย่างเช่น กลูโคสแต่... เซลล์ไม่สามารถนำพลังงานในกลูโคสไปใช้ได้โดยกลมค่ะจะต้องมีกระบวนการต่างๆ เพื่อย่อยสลายมรกุลกลูโคสโดยกระบวนการการย่อยสลายกลูโคสและสารอื่นๆ เพื่อให้ได้พลังงานเราก็จะเรียกว่าการหายใจระดับเซลล์หรือ Cellular Respiration ค่ะการหายใจระดับเซลล์นี้จะทำให้ได้พลังงานที่เซลล์สามารถนำไปใช้ได้นั่นก็คือ ATP หรือ Adenosine Triphosphate และยังได้สารที่ให้พลังงานสูงตัวอื่นๆ ก็คือ NADH และ FADH2ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้นะคะ จะถูกนำไปสร้างเป็น AGP ในที่สุดค่ะทางนี้การหายใจระดับเซลล์ก็จะแบ่งเป็นสองแบบนะคะก็คือการหายใจแบบที่ใช้ออกซิเจน หรือ Aerobic Respirationและการหายใจแบบที่ไม่ใช้ออกซิเจนหรือ Anaerobic respiration ค่ะในคลิปนี้จะขอพูดถึงการหายใจระดับเซลแบบใช้ออกซิเจนก่อนนะคะ โดยจะยกตัวอย่างกรณีของการย่อยสลายน้ำตาลกลูโคสมีทั้งหมด 4 ขั้นตอนนะคะก็คือ 1. ไกลโคลีซิด2. การสร้างอัสติวโคลเอนไซน์ A3.
วัฒจักรเคล็บและ 4. กระบวนการการถ่ายทอดอิเล็กตรอนในขั้นตอนแรกคือไกลโคลีซิดคำนี้ก็จะแปลว่าการย่อยสลายกลูโคสนะคะซึ่งกระบวนการนี้ค่ะ ก็จะเกิดขึ้นที่เซลล์ทุบัตรซึ่งของเซลล์ค่ะแต่ก่อนที่จะเกิดปริญญาณใน Guy Fawlesit เพื่อให้ได้ AGP จำนวนเยอะๆ นะคะจะต้องมีการลงทุนก่อนค่ะมันก็เหมือนกับว่า ว่าถ้าหากเราต้องการเงินเยอะๆนะคะเราก็อาจจะต้องลงทุนเงินบางส่วนค่ะเพื่อเป็นเงินตั้งต้นนะคะและสามารถต่อยอดเพื่อที่จะได้เงินจำนวนเยอะๆกลับคืนมาค่ะในการสร้าง ATP ของเซลล์ก็เหมือนกันค่ะจะต้องมีการลงทุน ATP จำนวน 2 มริกุลนะคะเพื่อเอามาใช้ในช่วงเริ่มต้นค่ะโดยพลังงาน 2 ATP นี้เซลล์ก็จะเอาไปให้พลังงานกับมริกุณของกลูโคสค่ะซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 6 อัตอมหลังจากนั้นกลูโคสจะกลายเป็นฟัคดี Croase 1,6-Biphosphate ค่ะซึ่งสารนี้จะไม่เสถียรจึงทำให้มีคุณนี้แตกออกแล้วนี่กลายเป็นสารที่มีคาร์บอนสารอัตอมจนเหนือ 2 มลิกุณค่ะหลังจากนั้นก็จะเกิดปฏิกิริยาอีกหลายขั้นตอนค่ะจนสารที่มีคาร์บอนสารอัตอมนี้กลายเป็นสารที่มีชื่อว่า กรดไพลูบิตค่ะและในขั้นนี้ก็จะมีการปลดปล่อย ATP อีก 4 ATP และอีก 2 NADH ค่ะแต่ ATP สุดที่ในขั้นตอนนี้จะเหลือเพียงแค่ 2 มลิกุลเท่านั้นค่ะเพราะอย่าลืมว่าในขั้นตอนนี้นะคะถึงแม้จะ จะมีการปลดปล่อย ATP มาถึง 4 มลิกุลแต่ในตอนแรกนั้นเรามีการใช้ ATP ไปแล้ว 2 มลิกุลค่ะดังนั้น ATP สุดที่จึงเหลือแค่ 2 เท่านั้นค่ะเมื่อได้กรดไพลูวิกแล้วหลังจากนั้นกรดไพลูวิกจะเคลื่อนที่จากไซทวาซึมของเซลล์นะคะเข้าไปในเมตรคอนเดียค่ะและหลังจากนั้นก็จะเกิดปริญญานะคะที่ทำให้หมู่คาร์บอคซิลของกรดพลาโลวิคหลุดออกกลายเป็นคาร์บอนไนออกไซด์ค่ะก็จะทำให้กรดพลาโลวิคกลายเป็นสารใหม่ที่มีเพียง 2 คัน คาร์บอน อัตอม นะคะและปฏิกิริยานี้ก็จะมีการปวดปล่อย 1 NADH ค่ะหลังจากนั้นสารที่มีคาร์บอน 2 อัตอมนี้จะไปรวมตัวกับโคเอ็นไซด์ Aกลายเป็นสารใหม่ที่ชื่อว่า Acetyl Coenzyme A ค่ะสรุปในขั้นตอนนี้เมื่อล่อมต้นด้วยกรดไพลูฟอีก 2 มริกุลเมื่อเกิดปฏิกิริยาแล้วนะคะก็จะได้คอบอนไนออสไซด์ 2 มรกุลNADS 2 มรกุลและอัสติวโคเอ็นไซด์ A อีก 2 มรกุลค่ะซึ่งอัสติวโคเอ็นไซด์ A นี้จะถูกนำเข้าไปใน ในวัฒนาจักรเคล็ปและเกิดปฏิญาในขั้นตอนถัดไปค่ะขั้นที่ 3 วัฒนาจักรเคล็ปในขั้นนี้จะเกิดขึ้นที่บริเวณ Matrixหรือบริเวณที่เป็นของเหลวของเมทโนโนเรียค่ะซึ่งจะเริ่มจากสาร Acetylcholine A จากขั้นตอนที่แล้วนะคะซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 2 อัตอมค่ะ มารวมตัวกับกรด Oxaloacetic หรือ OAA ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 4 อัตอมค่ะก็จะได้สารใหม่ที่มีคาร์บอน 6 อัตอม เราก็จะเรียกสารนี้ว่ากรดซิติกค่ะหลังจากที่ได้กรดสติกแล้วก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายขั้นตอนค่ะในขั้นนี้จะมีการดึงมริกุลคาร์บอนเอสไซด์ออกมาด้วยค่ะ แต่อย่าลืมทุกครั้งที่มีการดึงมริกุลคาร์บอนอัตออมออกนะคะจะทำให้คาร์บอนอัตออมของกรดซิติกค่ะลดลงจาก 6 กลายเป็น 5แล้วก็ 4 คาร์บอนอัตออมตามลำดำค่ะนอกจากนี้ยังมีการปลดปล่อยพลังงานให้กับ AGP 1 มริกุลค่ะและอิเล็กทรอนที่ ตอนที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำปริญญานะครับ ก็จะถูกส่งไปให้กับ NAD และ FADกลายเป็น NADH และ FADH2 ค่ะแต่อย่าลืมว่ากลูโคส 1 มลิกูล จะสามารถสร้างอสฟิวคนเป็นสาย A ได้ 2 มลิกูลค่ะ ดังนั้นเมื่อผ่านขั้นตอนก็จะจัดเคล็ดนะคะจะได้แก๊สคาร์บอนไอลออกไซด์ทั้งหมด 4 มูลกุลATP จำนวน 2 มูลกุลNADH 6 มูลกุลและ FADS2 อีก 2 มูลกุลค่ะขั้นตอนที่ 4 ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายคือการถ่ายทอดอิเล็กตรอนหรืออิเล็กตรอนทานสปอร์ตเชมค่ะในขั้นนี้จะเกิดขึ้นที่เยาหุ้มชันในของเมตรคอนเดียนะคะโดย NADH และ FADH2 ที่ได้มาจาก 3 ขั้นตอนที่ผ่านมาค่ะจะมาส่วน... มาส่งอิเล็กตรอนให้กับตัวรับอิเล็กตรอนที่อยู่บนเ� ขณะที่เกิดการรับและส่งอิเล็กตรอนไปยังตัวนำต่างๆ นะคะก็จะเกิดการปลดปล่อยพลังงานออกมาทีละน้อยค่ะโดยพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาเหล่านี้ค่ะก็จะนำไปใช้ในการเคลื่อนย้ายโปรตอนนะคะจากแมตริกของเมโตคอนเดียไปยังช่องว่างระหว่างเยอะหุ้งชั้นในและเยอะหุ้งชั้นนอกหรือ Intermembrane Space ของเมตรคอนเดียค่ะและก็จะมีการส่งอิเล็กตรอนไปเรื่อยๆนะคะจนกระทั่งถึงตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายซึ่งนั่นก็คือออกซิเจนค่ะและเมื่อออกซิเจน ออกซิเจนรับอิเล็กตรอนแล้วนะคะ จะไปรวมตัวกับโปรตอนค่ะจึงทำให้ได้น้ำเป็นผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยานี้ค่ะและการใช้ออกซิเจนในขั้นนี้ จึงเป็นที่มาของการหายใจโดยใช้ออกซิเจนค่ะและก็เป็นเหตุผลว่าเราหายใจเข้าเพื่อเอาออกซิเจนมาใช้ในกระบวนการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ค่ะและเมื่อโปรตอนถูกเคลื่อนย้ายไปยัง Intermembrane Space ไปเรื่อยๆ นะคะก็จะเกิดความแตกต่างของความเข้มข้นของโปรตอนระหว่างผิวทั้งสองด้านของยูฮุ่มชั้นในของเมดูล ของเมตรคอนเดียค่ะ คือด้านฝั่ง Intermembrane Space ก็จะมีโปรตอนมากนะคะแต่ฝั่ง Matrix ก็จะมีโปรตอนจำนวนน้อยกว่าค่ะ จึงทำให้มันเกิดความไม่สมดุลกันเพื่อให้เกิดความสมดุลนะคะโปรตอนที่อยู่ใน Intermembrane Space ค่ะก็จะแพร่กลับเข้ามาอย่าง Matrix ของมันตัวคนเดียค่ะ แต่การแพร่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างอิสระนะคะจะต้องเกิดการแพร่ผ่านรูของเอ็มไซด์ ATP Synthase เท่านั้นและเซลล์ก็จะใช้พลังงานจนจากการแพร่เข้ามาของโปรตอนนี้นะคะไปใช้ในการสร้าง AGP ค่ะ ซึ่งพลังงานที่ได้จาก NADH นะคะ ในตำราเล่มเก่าๆ ก็จะบอกว่า 1 NADH จะสามารถสร้างพลังงานได้ถึง 3 AGPและ 1 FADH2 จะสร้างได้ 2 AGP ค่ะแต่ตำราที่ทันสมัยมากขึ้นนะคะ ก็จะบอกว่า 1 NADH จะสร้างพลังงานได้ 2.5 AGP และ 1 FADH2 จะสร้างได้ 1.5 AGP ค่ะในที่นี้ ดร.พุการจะขออ้างอิงตามข้อมูลจากตำราเล่มล่าสุดที่เผยแพทย์ในปี 2019 นะคะโดยเช็คข้อมูล 1NADS ได้ 2.5 ATP และ 1 FADH2 ได้ 1.5 ATP ค่ะสาเหตุที่ NADH และ FADH2 ให้พลังงาน ATP ไม่เท่ากันก็เพราะว่าทั้ง 2 ตัวนี้จะให้อิเล็กรอนไปยังตัวรับอิเล็กรอนที่อยู่บนยุคมชันในของไมโตคอนเดียในตำแหน่งที่แตกต่างกันค่ะโดย NADH จะมีการส่งผ่านอิเล็กรอนไปยังตัวรับอิเล็กรอนที่มีจำนวนมากกว่า FADS2ดังนั้น จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายโปรตอนไปยังอินเตอร์ม มันเป็น Spread มากกว่าและเมื่อโปรตอนมีจำนวนมากกว่าจึงทำให้เกิดการสร้าง ATP ที่มากกว่า FADS2 นั่นเองค่ะสรุปพลันที่ได้จากการย่อสลาย Glucose 1 มลิกุลนะคะในขั้นแรกคือ Glycolysis ค่ะจะได้ ATP 2 มลิกุลและ NADS 2 มลิกุลค่ะขั้นที่ 2 การสร้าง Acetyl Coenzyme A จะได้ NADS 2 มลิกุลขั้นที่ 3 วัฒจักรเคล็ป จะได้ AGP 2 มูลกรณ์ NADS และ FADS2 อีก 2 วริกุลค่ะสมัครแล้วการย่อยสลายกลูโคส 1 วริกุลจะได้ HP สูงสุดถึง 32 ATPแต่พลังงาน 32 ATP จะพบในกระบวนการย่อยสลายกลูโคสของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ตับและไตเท่านั้นแต่เซลล์อื่นๆอย่างเช่นเซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์สมองจะได้รับพลังงานเพียงแค่ 30 ATP ค่ะที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า NADH ที่เกิดขึ้น ในระหว่างขั้นตอนไกลโคลิสิตนะคะจะไม่สามารถลำเลียงผ่านเยอะหุ้มชั้นในของไมโตคอนเดียได้ค่ะเมื่อลำเลียงเข้าไปในเยอะหุ้มชั้นในของไมโตคอนเดียไม่ได้ก็จะไม่สามารถสร้างพลังงานได้โอ้ยค่ะ ความรักความเหน็ตตาดังนั้นเพื่อแก้ปัญหานี้ สิ่งมีชีวิตยังสร้างส่วนทางวิเศษเพื่อให้อิเล็กตรอนจาก NADH ในไซทุบัสซึมนะคะสามารถลำเรียนเท่าไปใน มีเซลล์กรรมนึงหัวใจตับและไตก็จะส่งอิเล็กรอนผ่านช่องทางพิเศษนี้นะคะและก็จะมี NAD จากมีตะคนเดียมารับเมื่อรับอิเล็กตอนแล้วก็จะได้เป็น NADH ค่ะดังนั้น ATT ที่ได้จากกระบวนการนี้จึงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงค่ะแต่ถ้าเป็นเซลล์อื่นๆก็จะถ่ายทอดอิเล็กตรอนผ่านในช่องนึงซึ่งก็จะมี FAD จากมายโตคอนเดียมารับ จึงทำให้ได้ FADS2ดังนั้น ATP ที่ได้จากกระบวนการนี้จึงลดลงเหลือ 1.5 ATP เท่านั้นค่ะสรุปกระบวนการหายใจระดับเซลล์นะคะเป็นกระบวนการที่ต้องใช้กลูโคส 1 มลิกุลและออกซิเจนอีก 6 มลิกุลเป็นสารตั้งต้นในการเกิดปัติริยาค่ะและผลลัพธ์ของปัติริยานี้ก็คือคาร์บอนเอลซาย 6 มลคุณน้ำ 6 มลคุณและ ATP จำนวน 30-32 ATPแต่การหายใจระดับเซลล์ยังไม่จบเพียงเท่านี้นะคะเรายังเหลือ หรือการหายใจระดับเซลล์แบบที่ไม่ใช้ออกซิเจนค่ะก็อย่าลืมติดตามในคลิปหน้านะคะสำหรับวันนี้หากใครมีข้อสงสัยหรือข้อคิดเห็นอะไรก็อย่าลืมคอมเมนต์มาในใต้คลิปนี้นะคะและดร.ภูการจะมาตอบทุกคำถามค่ะหากดูคลิปนี้ แล้วคิดว่าคลิปนี้มีประโยชน์นะคะ ก็อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ กดซับสไคร์ แล้วก็กดกระดิ่งด้วยนะคะเพื่อที่จะไม่พลาดเวลาที่ดร.พุกันมีคลิปให้ความรู้ทางชีววิทยาอันใหม่ๆค่ะวันนี้ไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ