ความหมายของเวลาเป็นสิ่งที่ทกเถียงกันมาเนิ่นนานนับพันปี มีนักคิดนักปรัชญามากมายที่พยายามหาคําอธิบายว่าเวลาคืออะไร ยกตัวอย่างเช่นอลิสโตเติล นักปราศผู้เคยมีชีวิตอยู่ในช่วง สามร้อยแปดสิบสี่ถึงสามร้อยยี่สิบสองปีก่อนฟิศกาล เขามองว่าเวลาคือสิ่งที่ใช้วัดการเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างต่าง ใช้เพื่อวัดการเคลื่อนที่ของวัดถูกจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ใช้วัดความเปลี่ยนแปลงจากอย่างหนึ่งไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง โดยเวลาที่ว่านี้จะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงไปข้างหน้า มีความต่อเนื่องไม่ขาดตอน ไม่หยุดฉงัก และมีลําดับเกิดขึ้นก่อนหลังชัดเจน และจะไม่มีการย้อนกลับอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นในมุมมองของอลิสโตเติล เวลาไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดอย่างแท้จริง มันจะมีเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่เราวัด และจุดสิ้นสุดที่เราวัดเท่านั้น ซึ่งแนวคิดของอลิสโตเติลนี้ แม้ว่าคนสมัยใหม่จะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้พิเศษอะไรมากนัก แต่ถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อ 2000 กว่าปีก่อน แนวคิดดังกล่าวถือว่าโคตรล้ำ โคตรฉลาด และไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะคิดได้ นั่นจึงทำให้แนวคิดของอลิสโตเติล กลายเป็นรากฐานสำคัญ ที่นักปราชท่านอื่นเอาไปใช้ต่อยอดในเวลาต่อมา หลังจากที่วันเวลาผ่านไปนับพันปี ความรู้และวิทยาการของมนุษย์ก็ก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ เราคิดค้นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ เพื่ออธิบายธรรมชาติและสิ่งต่างๆรอบตัว ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร ทำงานยังไง และต่อไปจะเป็นแบบไหน ซึ่งทฤษฎีเวลาก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจอยู่ 3 แบบ และมีอยู่ดังต่อไปนี้ ทฤษฎี Presentism ทฤษฎี Presentism เป็นทฤษฎีที่มีความเข้าใจง่าย และ make sense สำหรับคนทั่วไปมากที่สุด โดยมีหลักการอยู่ว่า เวลานั้นคือสิ่งที่มีอยู่จริง และมันดํารงอยู่แค่ณปัจจุบันเท่านั้น ส่วนสิ่งที่เราเรียกว่าอดีต ไม่ว่าจะเป็นอดีตเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน หรือหนึ่งส่วนหนึ่งล้านวินาทีที่ผ่านมา มันก็ล้วนเป็นสิ่งที่จบไปแล้ว สิ้นสุดไปแล้ว ไม่ดํารงอยู่อีกต่อไป หลงเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจํา และผลกระทบที่ต่อเนื่องกันมาเท่านั้น ส่วนสิ่งที่เรียกว่าอนาคต มันคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง มันยังไม่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นเราจึงถือได้ว่า อนาคตยังไม่มีการดํารงอยู่จริง เป็นเพียงแค่ความคาดหวัง หรือไม่ก็สิ่งที่เราคาดการณ์เอาไว้เท่านั้น จากนั้นเมื่อเรามองในภาพรวม จะเห็นว่าเวลาตามทฤษฎี Presentism นี้ มันมีภาวะความเป็นจริงแค่จุดเดียว ซึ่งเป็นจุดณ ปัจจุบัน และมันจะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ โดยมุ่งหน้าไปสู่อนาคต ทฤษฎี Block Universe ทฤษฎี Block Universe หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า ทฤษฎี Eternalism ที่มีความซับซ้อนมากกว่าทฤษฎีที่แล้วพอสมควร โดยมีหลักการคือ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หลวนเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ซึ่งมันดําเนินและดํารงอยู่พร้อม กันภายในบล็อก และเพื่อให้เห็นภาพ สมมติว่าเรากําหนดให้กึ่งกลางของบล็อกคือเวลานักปัจจุบัน แน่นอนว่าเวลาในจุดนี้มันมีตัวตนอยู่จริง และกําลังดําเนินอยู่ แต่ถ้าหากเรามองไปที่ซีกซ้ายของบล็อก มันจะเป็นส่วนที่เรียกว่าอดีต ซึ่งถ้าหากว่าเป็นแนวคิดเดิม เราเชื่อว่าเหตุการณ์ในอดีตสิ้นสุดไปแล้ว แต่ถ้าว่าในทฤษฎีบล็อกยูนิเวิร์ส กล่าวว่าอดีตยังไม่จบ และมันก็ไม่ได้หายไปไหนด้วย ไม่ว่าจะเป็นอดีตจุดไหนมันก็ยังมีอยู่จริง และกําลังดําเนินอยู่ไปตามวิถีของมัน ในขณะที่ซี่ขวาที่เป็นอนาคต มันก็เป็นสิ่งที่กําลังมีอยู่จริง และกําลังดําเนินอยู่เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเวลาจุดไหนภายในบล็อก ทั้งหมดนั้นก็ล้วนแล้วแต่ตําลงอยู่ และยังดําเนินอยู่แบบไม่รู้จบ จากนั้นเมื่อเรามองภาพรวมของทั้งบล็อก จะเห็นได้ว่าในทฤษฎีนี้ เวลานั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่มีทิศทาง เวลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน แต่ทุกอย่างภายในบล็อกนี้จะรันไปพร้อมๆ กัน ซึ่งถ้าหากว่าทฤษฎีนี้เป็นความจริง แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างในการอวกาศ มันถูกกําหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ซึ่งสิ่งนี้อาจจะสอดคล้องกับหลายสํานวน ยกตัวอย่างเช่น อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด โฉกชะตาถูกลิขิตเอาไว้แล้ว หรือบางคนอาจจะโยงเข้ากับทฤษฎีแมตริกส์ ที่ระบุว่าจักรวาลของเรา คือโลกเสมือนจริงที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าคิดก็คือ ถ้าทฤษฎี Block Universe นี้เป็นความจริง แสดงว่ามนุษย์และทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ไม่มีเจตรจำนวงเซรีเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าเรามีความคิด มีอิสระ และเลือกที่จะตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าว่าจริงๆแล้ว เราอาจจะเป็นเพียงแค่ตัวละครตัวละครหนึ่ง ที่ไหลไปตามบทบาทที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วเท่านั้น ทฤษฎี Growing Block Universe แม้ว่าทฤษฎี Block Universe จะฟังดูแล้วค่อนข้างดี แต่การที่บอกว่าเราไม่มีเจตรจำนวงเซรี ยังคงเป็นสิ่งที่ขัดใจผู้คนจำนวนมาก เพราะเรายังรู้สึกว่า มนุษยังมีทางเลือกมากมาย และสามารถตัดสินใจอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งการที่คนจำนวนมากไม่ยอมรับในจุดนี้ จึงนำไปสู่การต่อยอดเป็นทฤษฎีที่มีชื่อเรียกว่า Growing Block Universe โดยทฤษฎีนี้ระบุว่า เวลาที่เป็นส่วนอดีตและปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ดํารงและกําลังดําเนินอยู่ มันก็รันไปเรื่อย ตามหน้าที่ของมัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือส่วนที่เป็นอนาคต โดยทฤษฎี growing box universe เสนอว่า อนาคตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน มันมีความเป็นไปได้ไม่รู้จบ ซึ่งจะออกมาเป็นรูปแบบไหน ก็คืนอยู่กับการตัดสินใจของเราในปัจจุบัน ดังนั้นจึงหมายความว่า บล็อกเวลาจะมีจุดล่าสุดเป็นปัจจุบัน แล้วตัวบล็อกมันก็จะงอกขึ้นมาใหม่เรื่อย เติบโตไปเรื่อย ตามทางเลือกที่เราเลือกไปแล้ว ซึ่งนั้นหมายความว่า บล็อกเวลารักษณะนี้ มันจะทําให้เรามีเจตจํานงเสรี เราสามารถเลือกเส้นทางไหนก็ได้ตามที่เราต้องการ จากนั้นมันก็จะเกิดขึ้นจริง ส่วนเส้นทางที่เราไม่ได้เลือก มันก็อาจจะเกิดขึ้นมาจริงได้เหมือนกัน แต่อาจจะอยู่ในรูปของจักรวาลคู่ขนาน ภาหุจักรวาลหรืออะไรทํานองนั้น และถ้าหากเรามองในภาพรวม จะเห็นว่าเวลาตามทฤษฎีนี้ มันจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไหลจากอดีตไปปัจจุบัน และปัจจุบันก็จะมีทางเลือกหนับไม่ทวน ให้เราเลือกเพื่อมุ่งหน้าต่อไปสู่อนาคต จากทั้ง 3 ทฤษฎีที่กล่าวมานี้ เราก็จะเห็นได้ว่า แต่ละทฤษฎีมีแนวคิดที่แตกต่างกัน มีข้อดีข้อด้อยต่างกัน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว แม้แต่วิทยาศาสตร์ และวิทยาการที่เรามีในตอนนี้ มันก็ยังไม่สามารถฟันทงได้ว่า แถวจริงแล้วเวลาคืออะไรกันแน่ และมันมีกลไกลเบื้องหลังอย่างไร ซึ่งสิ่งที่เราทำได้ ก็มีเพียงแค่การค่อยๆ ศึกษา หาบ่อแซไปเรื่อยๆ แล้วค่อยๆ พัฒนาทฤษฎีใหม่ๆ ขึ้นมาเท่านั้น แล้วคุณล่ะ คิดว่าทฤษฎีใดน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด หรือคิดว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ทึกทักขึ้นมาเอง