อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ที่สุด อาจารย์ท เขาก็พูดทำนองว่าหลวงพ่อ ผมไม่มีเวลาปฏิบัติทำหรอกหลวงพ่อก็เลยถามเขาว่าแล้วทำไมมีเวลาโกรธทำไมมีเวลาทุกข์อันนี้เป็นคำถามที่ที่จริงพวกเราก็น่าเก็บเอามาคิดนะ ไม่มีเวลาปฏิบัติทำ แต่ทำไมมีเวลาเศร้า มีเวลาโกรธ มีเวลางุดมิด มีเวลาหัวเสีย มีเวลาเครียด มีเวลาวิตกกังวลวันๆนึง เราเสียเวลาไปกับความโกรธ ไปกับความเศร้า ไปกับความงุดมิด ความเครียดวันนึงนานเท่าไหร่ เคยคำนวณบ้างหรือเปล่า ทุกวันนี้คนมักจะบอกว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลาไม่ใช่เฉพาะไม่มีเวลาปฏิบัติทำอย่างเดียวนะไม่มีเวลาทำโน่นทำนี่แต่มีเวลาให้กับความโกรธ มีเวลาให้กับความเศร้าบางทีเป็นวันๆเลยแล้วมันน่ากรด น่าเศร้าไหมแล้วมันน่าที่จะสละเวลา ให้เวลาไปกับความโกรธ ความเศร้า ความทุกข์หรือเปล่า พวกเราแต่ละคนเวลาก็เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ อดหายไปเรื่อยๆ เวลาที่มีอยู่มันเป็นเวลาที่มีค่ามากแต่คนนี้ไม่ค่อยเห็นคุณค่า เราใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปกับการจม จ่อมอยู่ในความทุกข์ ความเศร้า ความเครียด มากเท่าไหร่ เราเคยนึกบ้างไหมแล้วทำไมเรายอมที่จะให้เวลาไปกับความเศร้าความโกรธ ความทุกข์บางทีเราให้ไม่อันเลยนะให้เต็มที่เลยนะกูขอกโกรธสักวันเป็นอาทิตย์เป็นเดือนกูขอเศร้าเนี่ย เป็นปีๆ เราให้เวลากับมันไม่อั้นแต่เวลาจะปฏิบัติทำนี่รู้สึกกระมิดกระเมียดเหลือเกินอ้างน้นอ้างนีหรือไม่แต่จะมีเวลาสำหรับสิ่งที่มีค่ามาคิดดูดีๆ เราใช้เวลา ของเราในแต่ละวันในแต่ละปี กับสิ่งที่มันไม่สมควรนี้เยอะมากและเราก็ไม่ค่อยได้เฉลี่ยวใจเท่าไร ถ้าเวลานี้มันเปรียบเหมือนกับเงินในกระเป๋านะ เงินในกระเป๋าของรำก็หายไปนะหายไปทุกวัน หายไปทุกวัน ทุกวัน ตอนนี้ก็ไม่รู้เหลือเท่าไหร่แล้วแล้วเมื่อเรารู้ว่าเวลาเราเหลือน้อย หรือเมื่อเรารู้ว่าเงินเราเหลือน้อยเนี่ย เราก็ควรจะใช้เงินในกระเป๋าในสิ่งที่มันมีประโยคคุ้มค่าคนจนไม่น้อย เอาเงินในกระเป๋าที่มีอยู่น้อยไปซื้อของฟุ่มเฟย์ ราคาแพงสมมติมีเงินอยู่ในกระเป๋าพันหนึ่ง มีเงินเหลืออยู่ในกระเป๋าหน้าพันหนึ่งที่จริงคนเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเงินเหลือในกระเป๋าเท่าไหร่ เพราะเวลาเนี่ย เวลาตายเนี่ย เราก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเมื่อไหร่เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตนี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันเหลือเท่าไหร่แต่สมมุติว่าเหลือสักพันหนึ่ง ถ้าเทียบเป็นเงินนะหลายคนก็ใช้เงินพันหนึ่งเนี่ย ในการไปเที่ยวเที่ยวพัพ เที่ยวบาร์ ไปเที่ยวห้าง หมดไปเป็นร้อย ก็คือการใช้เวลาไปกับสิ่งที่ฟุ่มเฟื่อย ใช้เวลาไปกับความสนุกสนานอันนี้ก็เป็นเรื่องที่พูดกันเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้นึกถึงเท่าไหร่นะก็คือการเอาเงินที่มีอยู่ที่เหลือน้อย ทิ้งคว่าง หรือว่าไปใช้ในทางที่เป็นโทษกับตัวเองไม่ได้ใช้เพื่อความสนุกสนาน แต่เป็นการซ้ำเติมตัวเองก็เปลี่ยนเหมือนกับใช้เวลาที่เหลืออยู่ซึ่งมีน้อยนิด ไปกับการจมในความเศร้าความโกรธ ความหงุดหงิด ความหัวเสีย หมอนแน่ นี่ใช้เวลาไปกับความสนุกสนาน ยังจะดีสักกว่านะอย่างน้อยมันก็ได้มีความเพลิดเพลิน เจริญใจอยู่บ้างเราใช้เวลาไปกับความทุกข์ ความเศร้า ความหงุดหงิด ความโกรธซึ่งมันทิ้มแทงจิตใจ และบรรทรร่างกายเราปีนึงก็ไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าทั้งชีวิตนี้ก็อาจจะรวมแล้วก็เป็นปี ก็ได้นะ แต่ว่าเราก็ไม่เคยนับ ไม่เคยคำนวณ อันนี้คือสิ่งที่คนไม่ค่อยตะหนักเรามักจะพูดว่า อย่าใช้เวลาไปกับความฟุ่มเฟือยอย่าใช้เวลาไปกับความสนุกสนานควรใช้เวลาไปในการทำความดีให้เวลากับคนรักให้เวลากับการทำบุญ ทำกุศล และการภาวนาแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยพูดกันคือว่าอย่าใช้เวลาที่เหลืออยู่ ความโกรธไปกับความทุกข์ ไปกับความเครียด ความงุดหงิดถ้าเราหวนตนักว่า เวลาเราเหลือน้อยลงไปทุกทีเราก็จะรู้ว่า ไอ้การที่เราเสียแม้แต่นาทีเดียวสำหรับความโสข ความเศร้า ความโกรธนี่ มันเป็นความโง่มากเลย ไม่ต้องใช้เวลา ไม่ต้องเอาเวลาสลับไปปฏิบัติธรรมหรอกเอาแค่ว่าให้แต่ละนาที แต่ละชั่วโมงเรามันมีความสุขไม่จมอยู่ในความทุกข์แค่นี้มันก็ช่วยได้เยอะแล้วและแน่นอนถ้าเอาเวลาที่เหลืออยู่ไปกับการทำความดี ไปกับการปฏิบัติธรรม เจริญเผานะก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่แต่อย่างน้อยเนี่ยนะ เกณฑ์ขั้นต่ำคือว่า ไม่ควรใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปกับความโศก ความเศร้า ความโกรธ ความหัวเสียจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับแต่หลายคนปล่อยชีวิตจิตใจ ให้มันจบในความทุกข์บางทีไม่ได้ทุกข์เรื่องงาน อาจจะทุกข์เรื่องครอบครัวหรืออาจจะทุกข์เพราะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับชีวิต เช่น เจ็บป่วย มีผู้ชายคนหนึ่งนะ แกเป็นเป็นโปรลิโอตั้งแต่เล็กสมัยที่ยังไม่มียา ไม่มีวัคซีน ป้องกันโปรลิโอ พอเป็นโปรโลโยน เรียกว่าพิการเลยก็ว่าได้แต่ยังดีที่ไม่ต้องไปเข้า ไปต้องใช้ปอดเทียมแต่ก็เป็นคนพิการ แม้แต่นั้นแกก็พยายามดิ้นหล่นขวนขวายเรียนหนังสือนักหาจนจบ หาที่อะไรก็มีเพื่อนคนหนึ่ง ก็สงสัยนะว่า คุณเป็นโปรลิโอ ชีวิตนี้พิการทั้งชีวิตเลยแต่ทำไมคุณไม่ค่อยมีความสุข มีความรันทด มีความน้อยเนื้อต่ำใจอะไรแหละคุณกลับมีความสุข แกก็พูดไว้น่าสนใจ ก็บอกว่า ตอนแรกๆ ก็ทุกข์อะนะแต่ตอนหลังก็ไม่ได้คิดว่า ผมไม่ควรใช้ชีวิตที่เหลือจมกับความสงสารสมเพศตัวเอง หรือความโกรธ ควรจะเปลี่ยนจากความสมเพศตัวเองมาเป็นความรู้สึกทราบซึ้งในสรรพสิงษ์ ขอบคุณในสรรพสิงษ์ สำนึกในบุญคุณของสรรพสิงษ์มากกว่า แล้วแกก็เริ่มนะ ขอบคุณนะ ตั้งแต่พระเจ้าแกเป็นคริสต์นะ แกนี่แกเป็นอเมริกันขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพ่อแม่ ขอบคุณพี่น้อง ขอบคุณมิสสาหายขอบคุณครูบาอาจารย์ ขอบคุณมันสมองที่มี ขอบคุณชีวิตที่เต็มไปด้วยโอกาสแล้วก็กลับมีความสุขได้นะ ถ้าสิ่งที่แกพูดน่าสนใจ บอกไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือโจมกับความสงสารสมเพศตัวเองหรือความโกรธความโกรธนี่หมายถึงคง หมายถึงความโกรธชะตากรรมทำไมจึงต้องเป็นเรา คือถ้าแกปล่อยชีวิตให้จมอยู่กับความโกรธ ความสมแพทย์ตัวเองเนี่ยมันก็เหมือนกับว่าใช้ชีวิตไปอย่างฟรี ใช้ชีวิตไปอย่างไม่มีคุณค่าก็ในเมื่อเกิดมาทั้งทีแล้วนะ แล้วก็เวลาก็เหลือน้อยลงไปทุกที ทุกทีใช้เวลาที่เหลือนี่ในการ ทำสิ่งดีๆ หรือรู้สึกดีๆ กับสรรพสิ่งดีกว่าซึ่งแกก็ใช้วิธีการรู้สึกสำนึกในบุญคุณของสรรพสิ่งซึ่งก็ทำให้เกิดความรู้สึกบวกขึ้นมาถ้าใครก็ตามที่มีความทุกข์กันนะก็น่าจะลองนึกแบบนี้ก็ดีนะว่าเราไม่ควรจะใช้เวลาที่เหลือนะ ของชีวิตนี้ไปกับการจมอยู่ในความสุข ความเศร้า ความรณทดท้อ ความสมเพศตัวเองเวลาแต่ละนาที แต่ละนาทีที่เหลือมีค่าแล้วก็ควรใช้ในการที่จะเติมความสุขให้กับชีวิตของเราแล้วเวลาเรามีความทุกข์ ลองคิดแบบนี้บ้างว่า เราจะใช้ชีวิตที่เหลือของเรา เราจะใช้เวลาที่มีอยู่น้อยนิดนี่แปลความทุกข์ แปลความเศร้า แปลความโกรธอย่างนี้จะเรียกว่า ฉลาดแล้วหรือเอาเวลาที่มีอยู่ในการ เติมเต็มความสุขให้กับชีวิตหรือว่าทำความดีรวมทั้งสร้างบุญ สร้างกุศล หรือว่า ปฏิบัติทำดีกว่าชีวิตของเราเนี่ย เกิดมาเนี่ยนะ ถ้าฉลาดมันก็ไม่ควรจะให้ความทุกข์นี้มันมาครอบหง่ำย่ำอยู่จิตใจเวลาทุกข์ก็ลองนึกถึงคาถาของท่าจาพุทธธาตุบ้างท่าจาพุทธธาตุบอกว่าเวลามีความทุกข์นี้ให้พูดกับตัวเองหรือตวาดตัวเองตวาดใส่ตัวเองว่า กูไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์โว้ยกูไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์โว้ย พ่อแม่ ขอดเรามาไม่ใช่เพื่อให้เรามาทุกข์อันนี้เติมเองนะ อาจารย์พูดถ้าไม่ได้พูดพ่อแม่เลี้ยงดูเราด้วยความยาลำบาก ไม่ใช่เพื่อให้เรามาทุกข์ให้เรามากุ้มกับกุ้มใจพ่อแม่อุตส่าห์เลี้ยงดูเรามาด้วยความยาลำบาก แล้วถ้ามาเห็นเราจมๆอยู่ในความยาลำบาก ความทุกข์ กับฟัดกับเฟียดอันนี้มันก็ถือว่า ในละขุนท่านนะไหนๆท่านก็ทุ่มเถอะเพื่อเลี้ยงเรามาก็ควรจะให้ผลิตผลิตภพของท่านเนี่ย มันเป็นผลิตภพที่ดีนะ ไม่ใช่เป็นผลิตภพที่ไม่เค้าท่า คือจมอยู่ในความทุกข์นึกแบบนี้ซะบ้าง มันจะได้จิตแจม จะได้สติ แล้วก็ดึงจิตออกจากความทุกข์สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม บางครั้งเราก็แก้ไม่ได้นะ เช่น ความเจ็บ ความป่วย อย่างเช่น คนที่เป็นโปรลิโอ เขาก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองหายจากโปรลิโอได้หรือบางทีเราสูญเสียคนรัก เราก็ไม่สามารถจะให้เขากลับคืนมาได้ เสร็จแต่สิ่งที่เราทำได้คือ จิตใจของเราแทนที่จะจมอยู่ในความทุกข์ ก็ดึงมันออกมาซะงานที่เราทำ เราอาจจะทำไม่ได้มาก ทำไม่ได้ดีไปกว่านี้แล้วแต่ว่าสิ่งที่เราทำได้ พอจะทำได้คือดึงจิต ดึงใจของเราออกมาจากความทุกข์ จะเรียกว่า หยุดแบก หยุดยึดมันก็ได้ปล่อยซะ วางมันลงซะเพราะที่เราเป็นทุกข์เนี่ย เพราะเราไปแบกมันเอาไว้เราไปยึดไปจดจ่อ หรือไปแบกมันเอาไว้มันก็เลยมีความทุกข์ใจไอ้ความทุกข์กายนี่ บางทีเราแก้ไม่ได้นะแต่ความทุกข์กายก็ มันก็ไม่เคย มันก็ไม่สามารถทำให้ลอยยิ้มของเราหายไปได้นะอันนี้ยืมคำพูดของคนที่เป็นมะเร็ง ชื่อน้องกัลเธอเคยทุกข์เพราะมะเร็ง แต่ตอนหลังเธอก็ได้คิดว่าจริงๆแล้วความทุกข์ไม่เคยทำให้ลอยยิ้มของเราหายไป สิ่งที่ทำให้เรายิ้มหายไปคือความทุกข์ใจ และความทุกข์ใจเกิดจากการที่ไปแบกไปยึด ในอารมณ์ที่เป็นอากุศสวรรค์ หรือการที่ไปคุ้นคิด นึกถึงแต่สิ่งที่เป็นรบเป็นร้ายหรือถ้าพูดอีกอย่าง คือการที่ปล่อยใจ ใช้เวลาไปจมอยู่กับความทุกข์ ความเศร้ามันใจเราหลุดออกมาได้นะ เพียงแค่วางมาลงเท่านั้นแหละ จริงอยู่ปัญหามันไม่ได้หายไปไหนแต่ว่าปัญหาไม่เคยทำให้เรากลุ้มนะปัญหาไม่เคยทำให้เรากลุ้มแต่ที่เรากลุ้มเพราะว่าเราไปแบกปัญหาเอาไว้มากกว่าปัญหาเขามีไว้แก้นะ ไม่ได้มีไว้กลุ้มแต่คนส่วนใหญ่ก็ดันไปแบกมันเอาไว้มันก็เลยกลุ้ม เคยมีในตำรวจคนหนึ่งนะ มือสามสิบสี่สิบปีก่อนเนี่ยไปกราบหลวงพ่อชา ไปถึงก็เล่า ระบายความทุกข์ที่เกิดในที่ทำงานเป็นตำรวจไง แล้วก็เป็นตัวละที่ซื่อสักสุดเจริตแต่ว่าไม่ประสบความเจริญ เจ้านายก็ไม่ชอบทำงานดีแค่ไหนก็ไม่ได้รับการเลื่อนขั้น แถมเพื่อร่วมงานก็กันแกล้ง แทงข้างหลังเจ้านายก็ไม่เห็นความดีความชอบก็เรียกว่ามีงานเยอะนะ แต่ว่าไม่ได้รับผล ไม่ได้รับการยอมรับก็ระบายให้หลวงพ่อชาฟัง ยาวทีเดียวนะ หลวงพ่อท่านก็ฟังนะ พอนายตำรวจคนนั้นพูดจบ หลวงพระชา ก็ชี้ไปที่ก้อนหินที่วางอยู่หน้ากุฏติก เป็นหินก้อนใหญ่แล้วก็ถามว่า ไอ้หินก้อนนั้นเนี่ย หนักไหม นายตำรวจก็บอก หนักครับแล้วแบกไหวไหม ไม่ไหวครับ เออ ท่านก็เลยบอก เออ ถ้าไม่ไหวก็อย่าแบกมันนะก้อนหินเนี่ย ถ้าไม่แบกมันนะ ทุกข์มั้ย เราทุกข์มั้ยเราไม่ทุกข์กันนะก้อนหินเนี่ย ต่อเมื่อเราแบกเราจึงทุกข์ปัญหาก็เหมือนกันนะ ปัญหาเนี่ยถ้าเราไม่ได้แบกเอาไว้เนี่ย มันก็ไม่ทุกข์หรอกแต่ที่เราทุกข์เพราะเราไปแบกมันเอาไว้ปัญหาก็มีไว้แก้นะ ไม่ได้มีไว้แบก แล้วก็กลุ่ม เช่นเดียวกับหนี้สิน หนี้สินก็มีไว้เพื่อให้เราผ่อน ให้เราใช้ไม่ใช่ให้เราแบกบางคนกู้มคิดถึงแต่เรื่องหนี้สินเคยมีคนถาม หัวพ่อพระยอมเมื่อสิบปีก่อน วัดสวนแก้วกู้เงินธนาคารเยอะแยะ เป็นสิบ สิบล้าน มุมนิธีวัดสวนแก้วเพื่อใช้ในการช่วยเหลือชาวบ้าน ก็มีคนถามหลวงพ่อพยอมว่า หลวงพ่อกู้เงินเป็นหนี้เข้าเป็นสิบสิบล้านเครียดไหม ทุกข์ไหมท่านตอบว่าจะเครียดทำไม จะทุกข์ทำไมคนที่ควรจะเครียด ควรจะทุกข์ก็คือเจ้าของเงินมากกว่านะว่าเราจะมีปัญญาจ่ายเขาหรือเปล่าอัตมาไม่เครียดนะ ทุกข์มีเอาไว้ นี่สินมีไว้ชำระ มีไว้ใช้ มีไว้ผ่อน ไม่ใช่มีไว้แบกงั้นเป็นหนี้เท่าไรก็ไม่ทุกข์หรอก ถ้าวางใจเป็นแต่เป็นเพราะว่าเกี่ยวข้องกับหนี้ไม่เป็น แบกมันเอาไว้แบกมันเอาไว้มันก็เลยทุกข์เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นหนี้ ถึงแม้จะมีงานเยอะถึงแม้จะปัญหาจะมากในที่ทำงาน แต่ว่า เราไม่แบกก็ได้นะ เคยมีในสหพุทธกาลเนี่ย ตอนที่พระองค์ครีมมารบวชใหม่ๆนะท่านก็เป็นคนที่อ่อนล้อมถอมตนนะพระองค์ครีมมารเนี่ย ทั้งที่เรียนมาเยอะบวชใหม่ก็ได้ฟังธรรมจากพู่เจ้าพู่ท่าตรัสว่า ให้รู้จักหากรยานมิตร พระองค์ธรีมมาลก็เลยไปหาคนที่จะเป็นกรยานมิตรได้ ก็ไปเจอพระรูปหนึ่ง ชื่อพระนันธิยะพระนันธิยะก็มีประวัติน่าสนใจ แต่ว่าเอาไว้เล่าทีหลังพระองค์ธรีมมาลก็ถามพระนันธิยะว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไรท่านบ้าง พระนันเทียก็เล่า ตามที่ท่านเข้าใจว่า พระพูดมันพระเจ้าสอนว่า ให้วางทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และท่ามกลางก็คือว่าอย่ายึดติดในอารมณ์ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันอารมณ์ใดที่พอใจหรือไม่พอใจก็ตามก็ให้วางไว้เป็นกอง อย่าแบกเอาไว้ เมื่อมีคนด่าเราบนบก ก็วางกองไว้ตรงนั้น อย่าเอาลงน้ำเมื่อมีใครว่าเราในน้ำ ก็วางกองตรงนั้น อย่าเอาขึ้นบกอยู่ในเมือง มีคนว่าเราก็วางกองไว้ในเมือง อย่าเอาเข้าเชตวันท่านอธิบายเป็นรูปธรรมมาก ก็คือว่า ให้รู้จักปล่อยวาง และสิ่งนี้มันก็อยู่ที่ใจของเรา ท่านยังพูดอีกนะว่า พระนันทิยาก็อธิบายว่าเวลาเราทำความดี มีคนชื่นชมสารเสริญ มีคนให้ลาบศักรา นะ ก็ให้ถือว่า คำสารเสริมหรือราบศักรา มันเป็นผลแห่งความดีที่เราทำหรือเป็นเพราะคนอื่นสำคัญว่าเราเป็นคนดีแต่ท่านก็พูดย้ำว่า ไอ้ผลแห่งความดีนะ มันเป็นพิษแก่ผู้ไม่พิจารณา แล้วหลงไหลจนประมาทก็คือปล่อยวางแม้กระทั่งคำชื่นชมสารเสริญ หรือว่าราบศักราแล้วแม้ว่ามันจะเป็นผลแห่งความดีที่เราทำ แต่เมื่อได้มาก็ต้องปล่อยต้องวาง อันนี้ก็หมายความว่า อะไรที่ดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่สิ่งที่ดีก็คือ ลาบสักการะคำสรเสริญ ก็ต้องปล่อยวางท่านใช้คำว่า มันเป็นพิกับผู้ไม่พิจารณาคือไม่พิจารณาแล้วก็หลงไหล เพลิดเพลิน แล้วก็ประมาทคำดาก็เหมือนกัน ก็วางเหมือนกันถ้าเรารู้จักวาง เวลาใครสารเสริมเราก็ไม่เพลิดเพลินหลงไหลนะก็ไม่ต้องห่วงนะ เวลาใครตำหนิ เวลาใครต่อว่าเนี่ย มันก็ไม่ทุกข์ไม่มีคนมาเคยมาถามว่าทำยังไงนะ เราจึงจะไม่ทุกข์เนี่ย เมื่อมีคนมาว่าเราทำไมจึงจะไม่โกรธนะ เมื่อมีคนมาต่อว่าเราอัตมาก็บอกว่า เวลาเขาชมเราเนี่ย ก็อย่าไปยินดี อย่าไปเพลิดเพลิน ถ้าเราไม่ยินดีในคำชม ในคำเพิ่ดเผินนะเวลาถูกตำหนิ เวลาถูกตอบว่า มันก็ไม่ทุกข์ไอ้ที่คนทุกข์เพราะว่าถูกตำหนิ ถูกตอบว่าหรือสมัยนี้คือไม่กดไลค์เนี่ยนะมันก็เพราะว่าเวลาเขากดไลค์ก็ดี เวลาเขาชื่นชมสารเสริมก็ดี เราเพลินเรายินดี เนี่ย เมื่อเรายินดี เผลอๆในคำสารเสริม พอคำสารเสริมเปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามคำต่อว่า มันก็ต้องทุกข์แล้วถ้าไม่อยากทุกข์เพราะคำต่อว่า จะไปยินดีกับคำสารเสริมก็คือว่า เออ ก็รับรู้ไว้หรือว่าถ้ายินดีก็รู้ว่ามันมีความยินดีอยู่ข้างในเห็นความยินดี เห็นความดีใจข้างในอย่างที่พูดไปเมื่อเช้าเนี่ยเด็กเจ็ดขัว เขาเห็นลูกประคำเขาก็ร้อง อูฮู เนี่ยถามว่า ร้อง อูฮู เพราะอะไรเห็นข้างในมันดีใจอันนี้ก็ธรรมดานะเวลาเรามีคนชื่นชนสรเสริมเรามันก็ต้องมีความยินดี ก็ต้องมีความยินดี ดีใจก็ให้เห็นมันซะอย่าเข้าไปเป็นมันถ้าเราเห็นมันความดีใจก็จะไม่หลงครอบงำเราครั้นความดีใจนั้นมันแปรเปลี่ยนครั้นคำสารเสริมนั้นมันแปรเปลี่ยนเป็นคำต่อว่าดาทอเราก็ไม่ทุกข์ คนที่ลอยขึ้นสูงนะ เวลาตกลงมาก็ต้องเจ็บถ้าไม่อยากตกลงมาเจ็บ ก็อย่าไปลอยขึ้นสูงมากๆเวลาใครชมเราก็อย่าเหลิง อย่าไปยินดีก็รู้ว่าเออเตือนใจเราว่า เออ ของพวกนี้มันไม่เที่ยงมีคนสารเสริญ เดี๋ยวก็ต้องมีคนตอบว่าทุกคำสารเสริญเนี่ย มันก็จะตามมาด้วย คำตอบว่า คนที่ชอบเราหนึ่งคนมันก็จะต้องมีคนไม่ชอบเราอีกหนึ่งคนเป็นอย่างน้อยเพราะฉะนั้นก็อย่าไปดีใจเวลามีคนชอบ เวลามีคนสรรเสริญเพราะว่านั่นก็คือด้านหนึ่งความจริง คนที่เขาตำหนิเขาตอว่า มันก็มีแต่ว่าคำพูดของเขายังไม่ถึงหูเรา แต่มันก็มีเพราะฉะนั้นไปดีใจ ทำไมดีใจเวลามีคนชม เวลามีคนยอมรับถึงเวลาคำตอว่ามันเข้าหูเราก็ทุกข์ถ้าไม่อยากทุกข์เพราะคำตอว่าก็อย่าไปดีใจกับความสรรเสริญอันนี้รวมถึงอย่างอื่นด้วยนะ ที่เป็นโรคธรรมฝ่ายบวก ได้ลาบ ได้ยศ หรือว่า สุขเช่น สงบ หรือเพิดเพลินหนุงพระชาตินั้นบอกว่า สุขและทุกข์ ความทุกข์เปรียบเหมือนกับหัวงูส่วนความสุขเหมือนกับหางู ถ้าเราจับหัวงู เป็นอย่างไร ก็โดนงูกัก แต่ถ้าเราจับหางูแล้วไม่รีบปล่อยนะ งูมันก็กันเหมือนกันนะก็คือว่าสุขและทุกข์ ถ้าไปยึดมันเมื่อไหร่ก็ทุกข์มันนั้นเพียงแต่ว่าบางอย่างที่มันทุกข์เร็ว บางอย่างมันทุกข์ช้าไอ้ของดีๆ ที่เรารุกฐัมฝ่ายบวก พอเราเจอเราก็ยินดีเอาง่ายๆ เช่นความสงบ เวลาปฏิบัติธรรมและสงบ มันดีเหลือเกิน แต่พอความสงบเปลี่ยนเป็นความไม่สงบ หรือว่าความสงบมันหายไป หลายคนก็จะทุกข์เลยนะนับปฏิบัติธรรมหลายคนก็จะมีความทุกข์มาก เมื่อความสงบมันหายไปทำไมเมื่อวานนี้ยังสงบอยู่เลย ทำไมวันนี้ไม่สงบแล้วก็จะเกิดความเครียด เกิดความหงุดหงิดขึ้นมา เกิดความผิดหวัง อันนี้ก็เรียกว่าโดนงูมันแว้งกัดแล้วเพราะว่าไปจับหางูไปจับหางูคือไปยึดความสุขไม่ว่ามันจะมาในรูปใดคำสารเสริญหรือว่าเงินทองตำแหน่งชื่อเสียงหรือว่าอารมณ์สงบ ความสงบในใจมันเกิดขึ้น เราก็รู้มัน อยากเข้าไปเป็นมันก็แค่เห็นมันเฉยๆถ้าเราวางใจแบบนี้ได้ แม้แต่สิ่งที่เป็นลบที่เรียกว่า ลบกระทำฝ่ายลบเสื่อมลาบ เสื่อมยศ ความทุกข์ คำนินทาอันนี้รวมไปถึงธรรมอารมณ์ หรืออารมณ์ฝ่ายลบในใจเช่น ความหงุดหงิด ความฟุ้งซ่าน ความโกรธ เมื่อมันเกิดขึ้น หรือเมื่อมันกระทบกับเราเราก็สามารถจะใช้มันเพื่อการภาวนาได้ส่วนใหญ่พอมันเกิดขึ้นแล้ว เราถูกมันครอบงำไม่ว่าจะเป็นอารมณ์บวกหรือลบไม่ว่าจะเป็นโรคธรรมฝ่ายบวก เรียกว่าอิทธารมไม่ว่าจะเป็นโรคธรรมฝ่ายลบ อันิทธารมส่วนใหญ่พอมันเกิดขึ้น หรือเกิดผัดสะขึ้นมา เราปล่อยให้มันครอบงำเรา เราปล่อยให้มันบงการจิตใจเรา เช่น ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้างแต่ที่จริง สิ่งที่เกิดขึ้นมีประโยชน์ ถ้าเรารู้จัก เรียนรู้จักมันความโกรธเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้น แทนที่เราจะปล่อยใจจมไปในความโกรธ หรือปล่อยให้ความโกรธ ความทุกข์มันครอบงำ เราก็เรียนรู้จักมัน มันมาเพื่อสอนเรา มันมาเพื่อให้เราเรียนรู้ ให้มองในแง่นี้อย่าปล่อยให้มันมาบงการจิตใจของเรา แต่ว่าเรียนรู้จักมัน ความโกรธ ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราบ่อยๆ ถ้าเรารู้จักมัน เราจะรู้จักมันดีขึ้นอย่างที่พูดมาตอนกว่าวันว่า เราจะจำลักษณะอาการของมันได้อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นกับเราบ่อยๆ ถ้าเราวางใจเป็น เราจะรู้จักมันดีขึ้นและเราจะรู้ทางมันแต่ก่อนเนี่ย มันมาทีละเนี่ยเรา เสียท่ามาทุกทีมันหลอก มันล่อ มันลวงใจเราจนหมดเนื้อหมดตัวอย่างที่เล่าเนี่ย มือตอนเช้าว่ามันเหมือนกับมิจฉาชีพที่มาหลอกเด็กนะที่โรงเรียนว่า พ่อเรียกให้มารับเด็กนี้มันก็เชื่อพอไปถึงทางเปรียวนะ มิจฉาชีพก็ เอาเงิน เอาโทรศัพท์ของเด็กไป บางทีจับเด็กไปเรียกค่าไถก็มีแต่ว่าถ้ามันทำแบบนี้บ่อยๆ เนี่ย เด็กก็จะรู้นะ เด็กก็จะรู้ว่า ไอ้นี่คือมิฉาชีพคนร้านเนี่ยถ้าเจออะไรบ่อยๆ เนี่ย มันจะรู้ทาง เหมือนกับเราเนี่ย ถ้าเรามีชีวิตผ่านหน้าฝนปีแล้ว ปีแล้ว ปีแล้ว ปีแล้วเราก็จะรู้ว่าเนี่ย พอถึงประมาณนี้แหละนะ ฝนมันจะสั่งฟ้าแล้วมันจะตกมาหายายแล้วมันก็จะค่อยหายไป และฤดูหนาวจะมา เราเรียนรู้เพราะอะไร เพราะเราเจอมันบ่อย ๆการที่เราเจอบ่อย มันทำให้เราได้มีความรู้มากขึ้นหรือว่าการที่เราเจอฝนฟ้าบ่อย เราก็จะรู้ว่าพอฟ้าคนนอง ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง เดี๋ยวฝนจะมาแล้วเรารู้จักประสบการณ์ เรารู้จักการที่เราเจอมันบ่อย ๆคนที่มาชอบยืมเงินเราบ่อย ทีแรกก็มายืมเงินเพราะบอกว่าพ่อป่วย อาทิตย์ต่อมาก็มายืมเงินอีกแม่ป่วยอาทิตย์ต่อมามายืมเงินอีกลูกป่วยที่แรกเราก็ให้นะแต่พอมาอีกครั้งนึง มาบอกว่าเมียป่วย เราไม่ให้แล้วเพราะเรารู้ทาง เพราะเราเจอมันบ่อยเราร่วมมาไม้นี้แล้วใช่ไหม อะไรที่เราเจอบ่อย เราจะรู้ทาง แต่แปลกนะ เราเจอความโกรธบ่อยกี่ครั้งแล้ว เป็นพันครั้ง หลายพันครั้งแล้วเราเจอความเศร้ากี่ครั้งแล้ว เราเจอความวิตกกังวลกี่ร้อยกี่พันครั้งแล้วแต่ทำไมเราเสร็จมันทุกที มันมาที่ไหนเราเสร็จมันทุกทีโกรธทุกที เศร้าทุกที เครียดทุกที วิตกกังวลทีเพราะเราไม่รู้ทัน เพราะเราไม่ได้คิดจะเรียนรู้จากสิ่งที่เราเจอ มันมาแล้วเราปล่อยให้มันครอบงามใจแต่ถ้าเราเริ่มที่จะเรียนรู้จากมันถ้าเราเริ่มที่จะเรียนรู้จากมันการที่เจอมันบ่อยๆ เราจะรู้ทางมันเราจะจำลักษณะของมันได้อย่างที่เรียกว่าธิรัสัญญาธิรัสัญญาก็เป็นคุณลักษณะของสติอย่างหนึ่ง ก็คือว่าจำลักษณะอาการของอารมณ์ต่างๆที่เข้ามาได้ถ้าเราเจอบ่อยๆถึงจุดนึงเราจะจำมันได้ เราจะรู้ทางมันและพอเรารู้ทางแล้วเราก็จะรู้ทัด เราไม่โดนมันหลอกอีกแล้วเราเรียนรู้จากอะไร เรียนรู้จากการที่เราเจอมันบ่อยๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติแล้ว มันเจอความฟุ่งซ่าน เจอความง่วงอย่าไปโมโห อย่าไปหงุดหงิดให้มองว่ามันมาเพื่อให้เราเรียนรู้ มันมาเพื่อให้เราจำได้มันมาเพื่อที่จะให้เราพัฒนาธิรัชญาขึ้นมา แต่ที่ผ่านมาเนี่ย เราไม่ได้คิดจะเรียนรู้จักมันเราไม่ได้คิดจะดูมัน ไม่คิดจะสังเกตมันมันมาปุ๊บ เราก็ปล่อยให้มันครอบงามจิตพอความง่วงมาปุ๊บ เราก็หมดมือหมดตัวพอความกลัวมาปุ๊บ เราก็โดนมาเล่นแต่พอเราเริ่มเจริญสตินะ เราจะเริ่มวางท่าทีใหม่ก็คือ เรียนรู้จักมัน ด้านการที่มันมีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติอย่าไปหัวเสีย อย่าไปตีโพย ตีพายมันไม่สงบเลย มันฟุ่งซ่าดเหลือเกินอันนี้วางจิตไม่ถูกต้องให้มองว่ามันมาเพื่อให้เราเรียนรู้มันมาเพื่อให้เรารู้จักมันคนจุดน้อยไม่น้อยเนี่ยโกรธเป็นหมื่นครั้งก็ยังโกรธอยู่ถูกความกลัวเล่นงานอยู่ อายุ 60-70 แล้วกลับโกรธง่าย โกรธเร็วมากขึ้นอันนี้เพราะไม่เรียนรู้เลยแต่ธรรมชาติของใจจริงๆ อะไรที่เราเจอบ่อยๆ เราต้องฉลาดกว่าเดิมเราต้องรู้จักมัน รู้ทัก รู้ทาง แล้วก็รู้ทันมัน เวลาภาวนานี่นะ ที่จริงไม่ต้องภาวนาก็ได้เพราะว่าในชีวิตปัจจำวันของเราก็ต้องเจออารมณ์พวกนี้แหละเจอทั้งโลกธรรมฝ่ายลบเจอทั้งอารมณ์ฝ่ายลบที่มันเกิดขึ้นในใจ เพราะมีการกระทบเกิดขึ้นถ้าเรารู้จักสังเกตจิตใจของเรา เราจะรู้ทาง เราจะรู้ทันอารมณ์พวกนี้ได้เร็วขึ้นและมันจะครอบงามจิตใจเราน้อยลงและมันจะเปลี่ยนจากศัตรูกายเป็นครูนะเพราะว่ามันจะสอนทำให้กับเราถ้าเราเห็นมัน สังเกตมันมันก็จะสอนทำให้กับเรามันจะแสดง มันจะแสดงตายรักให้เราเห็น เหมือนกับที่หลวงพ่ออำเขียน ตอนที่ป่วย ป่วยครั้งแรก มีปี 49 ท่านเป็นมะเร็งแล้วก็มีทุกข์ประเวทนาเยอะ แต่ท่านก็ไม่ได้เครียบ ไม่ได้ทุกข์ท่านบอกว่าป่วยคราวนั้นนี้มันสบาย ไม่ต้องทำอะไรเลยท่านบอกว่าป่วยไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่เห็นตายรักก็พอแล้ว มันโฉะให้เราดูเอง มันโฉะให้เราเห็นเองความเจ็บป่วยนี่แหละนะ มันจะแสดงตายรักให้เราเห็นมันจะโฉะตายรักให้เราเห็นขอให้เราเนี่ย แทนที่เราจะปล่อยให้ความทุกข์ความเจ็บความปวดคล่อมงามเรา เราตั้งสติให้ดีมันก็จะเห็นว่าพวกนี้ มันกำลังแสดงตายรักให้เราเห็น แต่ว่า ความเจ็บความปวดนี่มันเป็นเรื่องเป็นการเป็นโจทย์ใหญ่ เป็นการบ้านยากนะเอาแค่อารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เมื่อเราเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเจอรูปหลดกลิ่นเสียงที่ชวนให้ไม่พอใจ เราก็เห็นมัน เรียนรู้จักมันอย่าเข้าไปเป็นนะ แต่เห็นมัน สังเกตมัน การสังเกตบ่อยๆ ทำให้เราฉลาด เราจะรู้ทางและรู้ทันมันทีละสัญญาในใจเราก็จะมั่นคงเข้มแข็งและนี่เป็นการภาวนาอย่างหนึ่งที่บอกว่าไม่มีเวลาภาวนาไม่มีเวลาภาวนามันมีเวลาภาวนาแน่ถ้าเรารู้จักเรียนรู้จักภัศจิ์ที่มากระทบยังไม่ต้องพูดถึง ว่าเรามีเวลาอาบน้ำไหม เรามีเวลาล้างหน้าไหม เรามีเวลากินข้าวไหมถ้าเรามีเวลาล้างหน้า มีเวลาอาบน้ำ มีเวลากินข้าวนั่นก็แปลว่าเรามีเวลาภาวนาเพราะเราสามารถจะภาวนาจากการอาบน้ำกินข้าวด้วยการทำความรู้สึกตัวพูดเจ้าก็ตัดเองนะว่า ให้ทำความรู้สึกตัว ทำความภาษุตัวเวลากินดื่มเคี้ยวลิ้ม เวลาเดินไปข้างหน้าถอยไปข้างหลัง เวลาเหลวซ้ายและขวาทำความภาษุตัวเวลาคู่ขาเหยียดขา ทำความภาษุตัวแม้ก็ทั้งเวลาอุจจาระปัสสาวะถ้ามีเวลาอุจจาระ มีเวลาปัสสาวะ ก็แสดงว่ามีเวลาปฏิบัติธรรมอย่างน้อยก็จริงสติธรรมความภาษุตัวไปทำความภาษุตัว เวลายืนเดินนั่ง และก็หลับตาคุยนิ่ง มีเวลายืน มีเวลาเดิน มีเวลานั่ง นั่นแหละ มีเวลาภาวนารวมทั้งเวลามีอะไรกระทบ อารมณ์เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอิทธารมณ์ อานิทธารมณ์ ก็ภาวนาได้ด้วยการเรียนรู้จากอารมณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นพระนันทิยา ผู้ตบท้ายให้กับพระองค์คริมมาร นะว่าผู้ที่รู้จักหาประโยชน์จากอิทธารมณ์ อานิทธารมณ์ พระพูดมีพระพักธาสารเสริม พูดนั่นว่าเป็นบัณฑิตกิจทารมก็คือโรคกระทำฝ่ายบวกก็คือสิ่งดีๆที่เราคล้ายๆปรารถนา ได้ราดได้ยศคำสารเสริมคือสุขอันนี้ทารมก็เสื่อมราดเสื่อมยศนินทา ทุกข์ หรือต้องความเจ็บป่วยอะไรพวกนี้พวกนี้เราต้องรู้จักหาประโยชน์ของมันประโยชน์อย่างหนึ่งที่เราจะได้คือเรียนรู้ว่า มันมีลักษณะอาการอย่างไรแล้วก็มันแสดงแต่ลักษณ์ให้เราเห็นมากน้อยแค่ไหนคำนี้พูดกันเท่านี้นะ