Transcript for:
การศึกษาและกฎหมายในประวัติศาสตร์ไทย

สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับท่านผู้ชมทุกท่านครับ มาถึงวันนี้เข้าใจว่าสถานศึกษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยทั้งหลาย น่าจะเปิดภาคการศึกษากันไปหมดทุกแห่งแล้วนะครับ ในกี่วันมานี้ผมได้รับเชิญให้ไป เป็นผู้บรรยายในการปฐมนิเทศ นิสิตหรือนักศึกษาใหม่ ของคณะนิติศาสตร์บางสถาบัน ก็อดคิดไม่ได้นะครับว่า ทุกวันนี้การเลือกเรียนในทางกฎหมายนั้น ดูจะเป็นที่นิยมกันมาก อย่างนี้จะว่าเป็นแฟชั่นหรือว่าจะเป็น ความนิยมเพราะเหตุใดก็ตามที แต่มันก็ไม่คงทนเที่ยงแท้ถาวรนะครับ คนที่เรียนมาในทางสายศิลปะ สายสังคมศาสตร์ สายมนุษยศาสตร์ สมัยหนึ่ง เฮโรสารภากันไปเลือก สอบเข้าเรียนต่อในทางนิเทศศาสตร์ เพราะตอนนั้นทุกคนอยากเป็นดารา อยากเป็นนักเขียน อยากทำงานโทรทัศน์ ต่อมาก็เฮโรสารภาไปเรียนกันในด้านรัฐศาสตร์ อยากจะเป็นนักปกครอง อยากจะเป็นนักบริหาร อยากจะเป็นนักการทูต ไม่กี่ปีมานี้ กระแสหันไปในทางนิติศาสตร์ คืออยากจะเรียนในทางกฎบัติกฎหมาย จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม บางคนอาจจะเพราะว่าที่บ้านมีคดีความมาก บางคนก็คิดว่าอยากจะใช้ความรู้ทางกฎหมายไปช่วยเหลือสังคม ให้ความเป็นธรรม แต่ก็มีไม่น้อยที่ตอบว่าเรียนกฎหมายเพื่อต่อไปจะไปประกอบอาชีพในทางกฎหมาย เช่นเป็นทนายความ เป็นผู้พิพักษา เป็นอายการ และในวันนี้แวดวงราชการนั้น คนที่เรียนจบทางกฎหมายได้เป็นผู้พิพักษา ได้เป็นอายการนั้น เขาให้อยู่ไปจนกระทั่งอายุ 70 นะครับ จึงจะเกษียณอายุราชการ คือสามารถทำราชการได้ยาวนานกว่าข้าราชการอื่น หรือแม้แต่ไม่เลือกทำราชการ ชอบความเป็นอิสระ จะทำงานส่วนตัวเป็นธนายความ แล้วก็หางานอื่นทำควบคู่กันไปก็ยังได้ เหล่านี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้วันนี้คนเลือกเรียนทางนิติศาสตร์มาก ในมหาวิทยาลัยของรัฐ ในมหาวิทยาลัยเอกชน หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยราชพัฒน์ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการผลิตครู หลายแห่งก็เปิดสอนในทางนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยในระบบเปิด เช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยสุโกไทยธรรมธิราช นั่นก็รับได้โดยไม่จำกัดจำนวน เพราะฉะนั้น สิริรวมแล้วปี 1-1 คนที่เป็นนิติศาสตร์บรรดิจบออกมามีจำนวนมาก เป็นพันเป็นหมื่น บวกกับคนที่ค้าง ตกค้างอยู่เก่า แล้วก็ทยอยจบ หรือจบไปแล้วยังไม่มีงานทำ แล้วก็ออกมาหางานทำพร้อมๆ กันนั้น เห็นจะเป็นหมื่นเป็นแสน ที่นำเรื่องนี้มาปลารบในตอนต้นก็เพราะว่า พอพูดถึงการเล่าเรียนในทางกฎหมาย ก็อดคิดไม่ได้นะครับว่า การรู้กฎหมายจะสำคัญอย่างไรก็ตาม แต่เป็นวิชาความรู้ที่เพิ่งจะ จัดเอาเป็นศาสตร์ เป็นสาขา และเป็นที่รู้จัก เป็นที่นิยมเรียนกัน เมื่อประมาณร้อยปีเศษมานี่เอง จริงอยู่ครับ เรามีกฎหมายใช้มานานแสนนานแล้ว นี่พูดถึงในประเทศไทย แต่ความรู้ด้านกฎหมาย เมื่อสัก 200 ปี 300 ปี 400 500 600 ปีที่แล้ว เป็นความรู้ที่ลึกลับ ไม่เปิดโอกาสให้คนนอกเข้าไปล่วงรู้ได้ง่ายๆ ที่ใช้คำว่าคนนอกหมายความว่า เกรงกันว่ารู้กฎหมายมากจะหัวหมอ เสียงจะแข็ง ปากจะแข็ง เจ้าคารี ศรี คารม โต้ เถียงยาก เกรงว่าจะปกครองยาก เพราะฉะนั้นความรู้ทางกฎหมายนั้น เป็นความรู้ที่เขาจะเก็บ งำ ซ่อนเล้น เอาไว้รู้ในหมู่คนบางพวกเท่านั้น เพียงแค่มาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อครั้งหมอบรัตเล่ตั้งโรงพิมพ์ แล้วก็ต้องใช้คำว่าบังอาจ ซึ่งความจริงท่านก็ปรารถนาดี หมอบรัตเล่นี่เป็นมิชชาณีชาวอเมริกันเข้ามาเผยแพร่ศาสนา มาตั้งโรงพิมพ์ มาสอนภาษาอังกฤษ มาเป็นหมอ ขณะเดียวกันก็รับพิมพ์หนังสือต่างๆมากมาย วรรณกรรม วรรณคดี หลายเล่มออกมาในเวลานั้น หมอบรัตเล่ก็ไปพิมพ์กฎหมาย คิดว่าคงเป็นความรู้ที่ทุกคนควรรู้เหมือนกับในต่างประเทศ ปรากฏแล้วมีความผิด ฐานเปิดเผยความรับราชการ เพราะว่าเป็นของที่ต้องเก็บงำสงวนไว้ ถูกยึด ถูกริบ เอาไปเผา เอาไปทำลาย ผู้เกี่ยวข้องก็มีโทษไปตามๆกัน นี่พูดถึงตอนต้นราชการ ไปหลังๆเข้าเมื่อตอนกลาง ตอนปลายราชการ จึงค่อยๆทยอยเปิดเสรี แล้วก็ค่อยมีการเผยแพร่ พอมาถึงสมัยราชการที่ 4 นั้น ถึงขนาดท่านทรงออกหนังสือที่มีชื่อว่า ราชกิจจานุเบกษา เป็นครั้งแรกในประเทศไทย แปลว่าหนังสืออันข้าราชการพึงเพ่งดูอยู่เป็นนิตย์ เพื่อจะได้รู้ราชกิจของพระเจ้าแผ่นดิน ก็ราชกิจอะไรเล่าที่เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน คำตอบก็คือ พระราชกรณียกิจประจำวันต่าง อย่างหนึ่ง และการที่ได้ทรงออกกฎบัตรกฎหมายต่าง อีกอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนี่นำลงพิมพ์ ในหนังสือราชกิจจานุเบกษาทั้งสิ้น คนก็เริ่มไปซื้อ ไปหา เอามาอ่าน เพราะคราวนี้หลวง หรือรัฐบาลท่านจัดพิมพ์ เผยแพร่เองล่ะ ตั้งแต่นั้นมาความรู้ทางกฎหมายก็ค่อนข้างจะเริ่มแพร่หลายไปทั่ว แต่เราก็ยังไม่มีโรงเรียนสอน ใครอยากรู้ก็ต้องอ่านเอง เดาเอง ตอนต้นรัชกาลที่ 5 นั้น คนที่ได้ชื่อว่ารู้กฎหมายดีที่สุดตอนนั้น ก็คือเจ้านายพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นพระราชโอรสรัชกาลที่ 4 พระองค์เจ้าคักขนางขยุคล ต่อมาท่านได้เป็นกำลังพิชิตปรีชากร ต้นราชสกุลคักขนาง ท่านเป็นเจ้านายรุ่นเก่าที่รู้กฎหมายเก่าดีมาก ใครก็พากันไปฝากเนื้อฝากตัวขอเรียนรู้กฎหมายจากท่าน กฎหมายที่ใช้อยู่ก่อนหน้าสมัยริการที่ 5 ย้อนขึ้นไปจนกระทั่งถึงราชการที่ 4321 จนถึงกรุงธนบุรี กรุงศรีอุทยานั้น นอกจากจะเป็นกฎหมายที่พระจบดินท่านทรงบัญญัติเพิ่มเติม ซึ่งก็มีน้อยฉบับ ส่วนใหญ่จะเป็นกฎหมายโบราณ ที่เราได้มาจากมอน มอนนี่สมัยก่อนเป็นมหาอำนาจนะครับ ทำเป็นเล่นไป ยิ่งใหญ่อยู่มากในข้าบสมุทรสวรรณภูมินี้ ก็มอนเดียวกับที่อยู่ในพม่าที่เรารู้จักนั่นแหละ เมืองหลวงมอนคือหงษวดี เขาเป็นมหาอำนาจ มอนติดต่อครบค้ากับอินเดียมานาน ก็เลยได้คัมภีร์ธรรมศาสตร์จากอินเดียมา ได้โบราณประเพณีของอินเดียมา ก็เอามาใช้อยู่ในมอน อายุทยาก็ไปเอาตำราและคัมภีร์ต่างๆของมร โดยเฉพาะตำรากฎหมายที่เรียกว่าคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ เอามาใช้ในกรุงศรีอิทยา เสมือนหนึ่งเป็นกฎหมายไทยเชียวละ หมัดตรง มาตราต่างๆ พระราชกำหนด บทพระอายการต่างๆ ก็เอามาจากพระธรรมศาสตร์นั้น ขาดเหลืออะไรเราก็มาบรรยัติเพิ่มเติม อุดช่องว่างเอา แล้วก็ใช้กันเรื่อยตกทอดมาเรื่อยจนกระทั่งถึงสมัยริการทิศหนึ่ง ก็โปรดให้ชำระสะสางซะทีหนึ่ง มีพระราชดำริว่า โครงศิษยาถูกพระมาพเผาซะยับเยิน ตำราปร์กฎบัตรกฎหมายก็คงจะโดนเผาไปด้วย ที่เหลือตกค้างจำกันมาก็ไม่รู้จำถูกจำผิดหรือเปล่า พระตรายปีโดกนั้นเวลาวิปริตฟั่นเฟือน ยังมีการทำสังขยะนาได้ฉันใด กฎบัตรกฎหมายเมื่อวิปริตฟั่นเฟือน ชักจะไม่ค่อยเป็นธรรม ก็ควรจะชำระสะสางเหมือนสังขยะนาซะด้วยฉันนั้น ว่าแล้วก็โปรดให้มีการชำระใหม่ ออกมาเป็นกฎหมายตราสามดวง ใช้สืบมาจนถึงราชการที่ห้า ตอนต้นราชการที่ห้า ใครที่บอกว่าเป็นกุรูทางกฎหมายรู้กฎหมายนั้น คือต้องรู้กฎหมายตราสามดวง เรียนกฎหมายรู้ดูกฎหมายเป็นอ่านกฎหมายออก ซึ่งก็ต้องเป็นเจ้านาย เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ราษดรทั่วไปถึงจะอ่านได้ เพราะเริ่มมีราชกิจจานุเบียกษาแล้ว ก็ไม่เข้าใจหรอกครับ ว่าสับแสงแต่ละคำมันหมายความว่าอย่างไร แปลว่าอะไร เพราะว่า คดีความที่ศาลเคยตัดสินวางหลักไว้นั้นก็สำคัญอยู่ พวกนี้อาจจะหาอ่านไม่ได้ ได้แต่ตัวกฎหมายจะไปรู้อะไร เพราะเอาก็จริง ศาลก็ตีความไปอีกอย่างหนึ่ง รการที่ 5 นั้นท่านมีลูก ถึง 77 พระองค์ทั้งชายทั้งหญิง ใน 77 พระองค์เนี่ยไปส่งเรียนวิชาทหารซะก็มาก หมอซะก็มี วิชาช่างก็มี แต่ที่เรียนกฎหมายจนจบได้ปริญญา ได้ชื่อว่าเป็นนักกฎหมายนะ มีอยู่พระองค์เดียวเท่านั้นแหละครับ คือพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ที่ต่อมาเป็นกำลังราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พวกนักกฎหมายนับถือกันว่าเป็นองค์พระบิดาแห่งกฎหมายไทย กรมรวมราบุรีท่านไปเรียนกฎหมายที่อังกฤษจนจบได้ปริญญาเกียรตินิยม เมื่อกลับมาก็ได้ทรงคิดว่าจะต้องใช้ความรู้ที่เรียนมานั้นทำประโยชน์ ว่าแล้วก็ทรงปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูปการศาล ซึ่งแปลว่าเลยไปถึงปฏิรูปตำรวจอายการด้วย ที่สำคัญคือ ปฏิรวบการศึกษาวิชากฎหมาย มีพระดำริว่าพระองค์ไปส่งเรียนมา ก็รู้กฎหมายมาองค์เดียว ถ้าต่อไปจะให้คนไทยรู้กฎหมายบ้าง ไม่ต้องขนกันไปเรียนเมืองนอกเมืองนากันเป็นร้อยเป็นพันหรือ ก็ทำไมไม่เอาคนที่เขามีความรู้อยู่แล้ว มาถ่ายทอด มาสอนต่อ ความคิดนี้เป็นการเริ่มต้นของการจัดตั้งโรงเรียนสอนกฎหมาย เพราะฉะนั้น คนที่เรียนกฎหมายไม่ว่าจะเป็นจุฬาธรรมศาสตร์ รามกำแหง สุโขทัย มหาวิทยาลัยเอกชน มหาวิทยาลัยราชพัฒน์ ใครก็ตามในวันนี้ต้องนึกทั้งนั้นแหละครับว่า บุญคุณยิ่งใหญ่ที่ทำให้วิชากฎหมายกลายเป็นวิชาการ มีการสอนจนถึงขั้นให้ประกาศนิยบัติ ให้วุฒิบัติ ให้ปริญญาบัตินั้น สืบเนื่องมาจากครั้งกรรมหลงราชบุรี ดิเรกเร็ด ลูกราชการที่ 5 นี้ ในที่สุด โรงเรียนกฎหมายก็เกิดขึ้น ในสมัยราชการที่ 5 แรกๆ นั้น กรรมบาลงราชบุรี ท่านทรงสอนเอง ท่านเป็นทั้งครูใหญ่ ครูประจำชั้น ครูน้อย เป็นทุกอย่างเอง ตอนนั้นทรงเป็นเสนอบดียุติธรรม หรือรัฐมนตรียุติธรรมด้วยซ้ำ เช้าถึงเที่ยงก็อยู่กระทรวง เที่ยงเสด็จกลับบัง พอเสวยเสร็จ ใครอยากเรียนกฎหมายก็มานั่งอยู่ที่พื้น ท่านก็สอนไป บรรยายไป เสร็จ บ่ายท่านก็กลับไปทำงานกระส่วง เพราะเป็นเสนอบดีนี่ครับ นักเรียนก็กลับไปทำงานต่อ เย็นกลับมา ท่านก็มาส่งเขียนตำรับตำรา เขียนหนังสือนังหา ไฟฟ้าไม่มีก็จุดตะเกียง เขียนชีท เขียนเอกสารกัน ว่าแล้วก็ได้ครูคนอื่นมาช่วยสอน เดิมท่านสอนเกือบทุกวิชา ในที่สุดก็เลยเกิดเป็นโรงเรียนกฎหมาย ที่สมบูรณ์เรียนจบได้ เป็นเนติบัณฑิตสิยาม ตอนหลังเปลี่ยนมาเป็นเนติบัณฑิตไทย ภายหลังพัฒนาไปจนกระทั่งมีมหาวิทยาลัย คราวนี้ก็ให้ปริญญากัน นี่ก็พัฒนาเรื่อยมา ก็เห็นจะพักกันสักครู่ในช่วงแรก เดี๋ยวมาเล่าต่อในช่วงที่สอง ให้เห็นภาพการเรียนกฎหมายของคนในอดีต พักสักครู่ครับ ม.ค ม.ค ม.ค ท่านผู้ชมที่กรบครับ ผมเห็นคนสมัยนี้นิยมเรียนกฎหมายกันมาก บางบ้านเนี่ย นึกอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก ลูกจะเรียนอะไรก็ไม่รู้ เอาไปเรียนกฎหมายเถอะลูก ดูไปแล้วกฎหมายเหมือนกับ วิชาที่เหมาะกับคนที่เรียนอะไรไม่ไหว เรียนอะไรไม่ได้ ความจริงไม่ใช่นะครับ เพราะว่ากฎหมายมันก็เป็นศาสตร์ชนิดหนึ่งเรียกว่า นิติศาสตร์ นิติ แปลว่าระเบียบแบบแผน นิติศาสตร์ก็คือวิชาที่ว่าโดยระเบียบแบบแผนที่มีมาในอดีต แล้วก็ยังจะต้องมีต่อไป หัวใจของการที่จะเป็นนักกฎหมายก็คือการ รักความยุติธรรม รักความเป็นธรรม การที่จะมีความจำดีก็อาจจะเป็นส่วนประกอบ การมีเหตุผลดีก็เป็นส่วนประกอบ ใครที่มีทุกส่วนประกอบกันอยู่ทั้งหมด จำก็แม่น เหตุผลก็ดีเจ้าขริสีขารม ช่างมีเหตุมีผลมาโตแย้งถกเถียง แล้วก็มีใจรักความเป็นธรรม ก็น่าจะเป็นนักกฎหมายที่ประสบความสำเร็จได้โดยไม่ยาก แต่ถ้าขาดไปบ้างอะไรบ้าง ก็อาจจะพอค่อยๆ ทยอยสร้างขึ้นในภายหลังก็ได้ กฎหมายที่ใช้มันตั้งแต่สมัยโบราณของไทยจนถึงสมัยราชการที่ 5 นั้น ได้เล่าให้ฟังในช่วงต้นแล้วว่า มีอยู่สองสามกระแสเท่านั้น หนึ่ง เราใช้กฎหมายที่เรียกกันว่า คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ภายหลังสมัยการที่หนึ่ง ก็ได้มาตรวจมาชำระสะสางเสมอ เปลี่ยนรูปแปลงร่างเป็นกฎหมายตราสามดวง อีกอย่างหนึ่งก็คือกฎหมายที่พระเจ้าบรินินต์แต่ละพระองค์ ได้ทรงบัญญัติขึ้นอดช่องว่าง เพราะว่ากฎหมายโบราณไม่มี รัชกาลไหนเจอปัญหาใดก็ต้องบรรยัติเพิ่มขึ้น นั่นก็เป็นกระแสที่สอง กระแสที่สามเห็นจะต้องเรียกว่าโบราณประเพณี อาจจะเป็นประเพณีท้องถิ่น อาจจะเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป ก็เอามาใช้เสมือนหนึ่งเป็นกฎบัตรกฎหมายได้ ทั้งหมดเนี่ยครับเป็นกฎหมายไทย จนกระทั่งมาถึงสมัยราชการที่ 5 ตอนไปปลาย เราจึงจำเป็นต้องจัดทำกฎหมายใหม่ให้ทันสมัย เหตุที่ต้องทำกฎหมายให้ทันสมัยก็เพราะว่า เมื่อเราเริ่มคบค้ากับต่างชาติโดยเฉพาะฝรั่ง ฝรั่งเข้ามามาก พวกนี้ก็ดูถูกหยิดหยามกฎหมายไทยว่า ตำช้าป่าเถื่อนบ้าง ไม่เป็นธรรมบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าคนไทยจะทนก็ทนไป แต่พวกเขาไม่ทนด้วย ว่าแล้วก็มาเรียกร้อง ว่าถ้าคนไทยทำผิด ก็ไปขึ้นศาลไทยเอาเถอะ แต่ถ้าฝรั่ง หรือคนในบังคับฝรั่ง ชาตินี้ ชาตินั้น ชาติน้น ทำผิด ขอขึ้นศาลชาตินี้ ชาตินั้น ชาติน้นของตัวเอง ไม่ขึ้นศาลไทย รวมความคือจะใช้ภูกษาของตัวเอง สารเอง กฎหมายเอง ตัดสินเอง เพราะว่าเขาไม่นับถือกฎหมายไทย เรื่องนี้เป็นมาตั้งแต่ครั้งราชการที่ 3 ที่ 4 จนถึงราชการที่ 5 สาเหตุที่เขาดูถูกเหยียดหยามกฎหมายไทยนั้น บางส่วนก็อาจจะมาจากการหาเรื่อง เพราะว่าหลายประเทศก็นึกอยู่เหมือนกัน ว่าการมาเรียกร้องขอให้คนของเขาขึ้นสารเขา ไม่ขึ้นสารไทย ไทยคงจะไม่ยอม ไม่ยอมก็จะได้ต่อสู้ถือโอกาสยึดประเทศไทยในตอนนั้น โทษฐานคัดค้าน ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นแผนที่หลายประเทศยึดได้ ประเทศต่างๆ มันเยอะต่อเยอะแล้ว แต่ก็มีเหมือนกันที่เขามองแล้วเขารู้สึกว่าเขารับไม่ได้ ไอความจริงที่ว่าเขารับไม่ได้เพราะว่าไม่เป็นธรรมเนี่ย หลักกฎหมายแบบนี้ก็เคยมีในประเทศเขามาก่อน แต่นั่นอาจจะเมื่อสัก 500 ปี 1000 ปีมาแล้ว วันเวลามันผ่านไปเขาสู่ยุคใหม่สมัยใหม่ แต่เรายังอยู่ในยุคนั้นสมัยนั้น เขาถึงมองว่าเราป่าเถิน ทั้งๆที่เราแค่พัฒนาตามเขาไปยังไม่ทัน แต่โลกาพิวัติมันก็อย่างนี้ล่ะครับ เพราะฉะนั้นเวลาฝรั่งมาเจอ คดีความในเมืองไทย เช่น เจ้านี่ฟ้องว่าลูกนี่กู้เงินไปยังไม่คืน ขอให้คืน ไอลูกนี่ก็เถียงว่ายืมจริงแต่คืนแล้ว ใช้หนี้ไปแล้ว ถ้าเป็นในเมืองฝรั่งก็คงต้องสื่อพยานกันอุดตะหลุดแล้วครับ แฉกันให้หมดว่ายืมจริงหรือเปล่า คืนจริงหรือเปล่า แต่กฎหมายไทยไม่คิดอะไรมากหรอก เมื่อก็เจ้านี่บอกว่ายังไม่คืน ลูกนี่บอกว่าคืนแล้ว เถียงไปเถียงมาไม่ต้องหาพยานมา ให้สาบานทั้งคู่แล้วก็ดำน้ำ ใครอึดกว่าคนนั้นพูดความจริง ฝรั่งอย่างนี้เห็นเขาก็บอก เอ๊ะ ถ้าจะรับไม่ได้ สามีฟ้องว่าภรรยามีชู้ แทนที่จะให้ภรรยาเอาพยานมาสืบว่าไม่ใช่ชู้ จะเป็นเพื่อน จะเป็นกิ๊ก จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ กฎหมายไทยบอกว่า มันต้องใช้วิธีเดียวกับตอนที่พระรามได้นางศรีดาคืนมาจากทศกัณฐ์ เกิดระแวงสงสัยว่านางศรีดาอยู่กับทศกัณฐ์ตั้งนานไม่มีอะไรกันหรือ ถึงให้นางศรีดาอธิษฐาแล้วเดินลุยไฟ ถ้ารอดมาจากกองไฟก็แปลว่าบริสุทธิ์ ถ้าตายซะในกองไฟก็แปลว่า คงจะเสียเนื้อเสียตัวมาแล้ว ตอนอยู่กับยักษ์ ลงท้ายภาษามีฟ้องอย่างนี้ภรรยาสู้ สู้นี่คือสู้คดีนะครับ เป็นภาษากฎหมาย ลงท้ายในที่สุดภรรยามีชู้ทุกคนครับครับ เพราะตายในกองไฟหมด หรือมาเจอสิ่งที่เขาเรียกกันว่าจารีดนครบานคือวิธีสืบพยานแบบทารุณกรรม หรือลงโทษแบบทารุณกรรม มินประมาทเอามาพร้าวห้าวยัดปาก ไปฆ่าเขาจับตัวใส่ในตะกร่อย่าย แล้วก็มีตะปูเหล็กแหลมกลิ้งตะกร่อ วิธีกลิ้งคือให้ช้างเตะตะกร่อ เพราะฉะนั้นนักโทษอยู่ในลูกตะกร่อกลิ้งไปทางไหน ก็เป็นเรื่องต้องโดนเหล็กแหลมทิ่มตำทั้งนั้น ยังจะมีประเภทเอาหอกเท่าใบพายแทงหูซ้ายทะลุหูขวา อย่างนี้เขาบอกว่า ใครทนได้ก็ทนเขาไม่ทน ว่าแล้วเขาก็เลยมาตั้งสารเขา มีภูกษาเขา ใช้กฎหมายเขา อยู่ในเมืองไทย เรื่องอย่างนี้มันเหมือนกับเสียอำนาจอธิปไตยนะครับ เพราะว่าทำให้ประเทศอื่นเขา มีอำนาจเหนือประเทศไทย แรกๆเราอาจจะพอทน เพราะว่ายอมให้ประเทศสองประเทศแล้วชาวต่างประเทศมันก็มีไม่กี่คน แต่พอประเทศหนึ่งทําได้ ประเทศที่สองก็ทํามาก ทีนี้ก็ไปกันสิบกว่าประเทศ แล้วคนไทยนี่ก็เก่งนะครับ พอถึงเวลาจับได้ไล่ทันว่าทําผิด ขอสาบานตัวไปเป็นคนต่างชาติเฉยเลยครับ แปลว่านีจากอํานาจศาลไทยไปขึ้นศาลฝรั่ง เราก็เลยต้องถามว่า แล้วเมื่อไหร่จะคืนอำนาจพวกนี้กลับมา แล้วเอาพวกนี้ทั้งไทยทั้งเทศ คุณจะทำผิดกันแถวถนนเข้าศาล หรือที่ไหนก็ตามขึ้นศาลไทยให้หมดเนี่ย ได้อย่างไร ฝรั่งก็ตอบว่า ก็ไปทำกฎหมายไทยให้ทันสมัยสิ ถ้าเขายอมรับเมื่อไหร่ เขาก็คืนให้เมื่อนั้น รัชกาลที่ 5 ท่านจึงคิดว่าท่านจะต้องปฏิรูปกฎหมายไทย ระบบศาลไทย ระบบคุก เรือนจำ ราชธรรม ไอยการ ตำรวจ ทุกอย่างให้ทันสมัย แล้วหลายเรื่องเราทำเองยังไงก็ไม่มีวันทันสมัยถูกใจเข้าไปหมดแล้วครับ นอกจากไปจ้างให้เขามาช่วยทำ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนที่รักษาตี 5 ท่านคิดจะปฏิรูปกฎหมาย ท่านถึงไปจ้างอังกฤษบ้างฝรั่งเศสบ้างเบียวเยี่ยมบ้างเยอรมันบ้างญี่ปุ่นบ้างเข้ามาช่วยร่าง ก็ออกมาเป็นกฎหมายอายาฉบับแรก ต่อมาก็ออกมาเป็นกฎหมายแพ่ง แล้วก็ออกมาเป็นกฎหมายอื่นๆอีกหลายฉบับ เสร็จแล้วเราก็กลับไปบอกฝรั่งว่าเราทำเสร็จหมดแล้ว ฝรั่งก็ดีอะไรก็ดีมาดูต้องยอมรับว่า เขาทันสมัยจริงๆ ก็ส่วนหนึ่งก็เอามาจากของเขานั่นแหละ ใครมันจะกล้าบอกว่าไม่ทันสมัย เราจึงได้อำนาจหรือเอกราชทางการสารคืนมาโดยสมบูรณ์ ฝรั่งอังกฤษมาแทงฝรั่งรัฐเซียตายคาขนต์เข้าสาร หรือเกสเฮาท์ที่ไหนซักแห่งในเมืองไทย ขึ้นสารไทยทั้งนั้น นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงกฎหมายครั้งใหญ่ในสมัยการที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ขณะเดียวกันการศึกษากฎหมายก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง นึกถึงที่ผมเล่าในช่วงแรก นักเรียนกฎหมายรุ่นแรกๆ ทำงานไปโดยไม่ได้รู้กฎหมายอะไรมากหรอกครับ แต่เขาก็ให้เป็นสารได้ กรมรวงราบุรีท่านไปเอามานั่งเรียนกฎหมายตามแบบยุโรป ท่านสอนเอง วันจันทร์สอนวิชาหนึ่ง อังคารวิชาหนึ่ง พุทธวิชาหนึ่ง ภายหลังจึงมีคนน้นคนนี้มาช่วยสอนด้วย สอนเสร็จแล้วก็สอบ เสร็จแล้วก็ให้ประกาศนิยบัตรที่เรียกว่าเป็นเนติบัณฑิต เป็นหมอกฎหมาย ภายหลังก็ตั้งเป็นคณะนิติศาสตร์ ครั้งแรกก็เกิดขึ้นที่จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย อยู่มาก็ไปเปิดที่มารัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง นักเรียนสมัยก่อนต้องหมอบอยู่กับพื้น เพราะอาจารย์เป็นเจ้า คือกุมศ์หลวงรัฐบุรี เป็นเสนอบดี เป็นรัฐมนตรี ปลีกตัวมาสอน นักเรียนก็จดกระดานชะนวนอยู่กับพื้น เวลาสอบก็ไปสอบกันตรงระเบียงวัดพระแก้ว ใครจะไปนึกว่าจากวันนั้น พัฒนามาจนถึงวันนี้ เรามีการเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยในระบบปิด เช่นอย่างที่จุฬาธรรมศาสตร์ทำ วาลัยเชียงใหม่ทำ ปรัชพัฒน์ทำ เรียนในระบบเปิด คือมาเรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้ ซื้อเทปไปดู ซื้อหนังสือไปอ่าน ดูเอาจากโทรทัศน์ เช่นที่วาลัยรามกำแหง และวาลัยสโขทัยทำมาที่ราช วันนี้ เครื่องมือเครื่องไม้มีตั้งแต่ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ คอมพิวเตอร์สารพัฒนิต อีเมล อินเทอร์เน็ต สมัยก่อนยืมหนังสือก็ต้องไปยืมกันเป็นเล่มๆ จองกันเป็นเดือนๆ ต่อคิวคนอื่น วันนี้คนไทยจะยืมหนังสือกฎหมายจาก Oxford หรือว่าจาก Cambridge หรือจาก Harvard ในอเมริกาเรื่องกฤตอ่าน เรียกขึ้นมาดูบนจอได้ ไม่ต้องไปต่อคิวกับใคร มันทันสมัยกันไปหมด กฎหมายวันนี้เรียนจนจบปริญญาโท ปริญญาเอกในประเทศไทยก็มี ทำได้หลายมารัยก็สอน นักกฎหมายไทยที่เก่งๆ มีความรู้ความสามารถก็มีมาก ได้รับการชื่อเสียงระดับภูมิภาค ระดับโลกก็มี ทุกอย่างมันพัฒนาไป เปลี่ยนแปลงไป ทั้งหมดที่นำมาเล่าก็เพราะว่าเห็นคนเรียนกฎหมายกันมาก จบแล้วท่านจะไปทำอะไรก็แล้วแต่ท่านเดี๋ยวครับ อยากรับราชการ อยากเป็นภูกษา เป็นอัยการ อยากจะเป็นตำรวจ จะเป็นทหาร เป็นนักปกครอง เป็นผู้วารการจังหวัด เป็นทูต บางคนไปเป็นแม้กระทั่งแอร์โฮสเตส ก็ยังดีเพราะพอใช้ความรู้ได้บ้าง เป็นได้ทั้งนั้นล่ะครับ เป็นอัยการ เป็นตำนวด เป็นผู้สา อย่าไปเป็นอย่างเดียวเท่านั้นล่ะ คือจำเลย วันนี้ก็เลยเอาเกร็ดพวกนี้มาเล่าสู่กันฟัง ฟังแล้วคนที่ยังไม่ได้เรียนกฎหมายคิดว่า เอ๊ น่าจะเรียนกฎหมาย ก็แล้วแต่ วันนี้หลายมหาวิทยาลัยสอนกฎหมายเป็นปริญญาที่สอง คือบางคนไปจบแพทย์ จบวิศวะ จบศัตรวแพทย์ จบเพศัตริย์ จบครูมาแล้วนะครับ ระหว่างทำงานอยู่กลางวัน 4-5-6 โมงเย็น ปลีกโตไปเรียนกฎหมาย เรียนจนจบได้เป็นนิติศาสตร์บัณฑิต ใช้เวลา 2-3 ปีก็มีไม่น้อย แล้วก็ทิ้งอาชีพเดิม หน้าที่การงานเดิม มุฒิที่เดิม หันไปเอาดีสอบ เนสอบ เป็นผู้พิพากษา เป็นอัยการ เจริญก้าวหน้ากันไปแล้วก็มีมาก ครับ ก็คงจะพอสมควรแก่เวลาอาทิตย์สมสร ขอลาท่านผู้ชมไปก่อนครับ สวัสดีครับ