Jul 30, 2025
สงครามในซีเรียและเยเมน แม้ฝ่ายต่างๆ จะประกาศหยุดยิงหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป หลายคนตั้งคำถามว่าการหยุดยิงที่ล้มเหลวเหล่านี้มีประโยชน์หรือไม่ หรือเป็นเพียงการหยุดพักชั่วคราวที่ไร้ความหมาย
ศาสตราจารย์เจสัน ควินน์ และศาสตราจารย์มาธาฟ โจชี จากสถาบัน Kroc Institute for International Peace Studies มหาวิทยาลัยน็อทร์-ดาม สหรัฐอเมริกา ศึกษาข้อมูลสงครามกลางเมืองทั่วโลกตลอด 40 ปีที่ผ่านมา พวกเขาพบว่าการหยุดยิงที่ล้มเหลวหลายครั้งกลับช่วยเพิ่มโอกาสให้ข้อตกลงสันติภาพในอนาคตประสบความสำเร็จ
ศาสตราจารย์ควินน์อธิบายว่า “เราคิดว่าการหยุดยิงที่ล้มเหลวจะสร้างผลกระทบด้านลบ ฝ่ายต่าง ๆ อาจหมดหวังและไม่เชื่อว่าการเจรจาจะสำเร็จ แต่ผลการวิจัยกลับตรงกันข้าม”
ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า การหยุดยิงล้มเหลวถึง 80% ทั่วโลก แต่การหยุดยิงที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ล้วนผ่านความล้มเหลวมาก่อน
ศาสตราจารย์โจชีกล่าวว่า “ตัวแปรที่ทำนายได้ดีที่สุดว่าการหยุดยิงจะสำเร็จหรือไม่ คือจำนวนครั้งที่เคยล้มเหลวมาก่อน ยิ่งล้มเหลวมาก โอกาสสำเร็จในครั้งต่อไปยิ่งสูงขึ้น”
สงครามกลางเมืองในเนปาลยืดเยื้อนาน 10 ปี ก่อนทุกฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงสันติภาพ ส่วนโคลอมเบียใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษในการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับกลุ่ม FARC ผ่านการหยุดยิงและข้อตกลงสันติภาพที่ล้มเหลวหลายครั้ง
ในที่สุด โคลอมเบ ียลงนามข้อตกลงสันติภาพที่กรุงฮาวานา ประเทศคิวบา เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 หลังจากผ่านความล้มเหลวและความรุนแรงนับไม่ถ้วน
ฮุมเบอร์โต เด ลา กาเย หัวหน้าคณะเจรจาของรัฐบาลโคลอมเบียกล่าวว่า “ทุกครั้งที่เราล้มเหลว เราเรียนรู้และปรับปรุงข้อตกลงให้ดีขึ้น”
งานวิจัยของควินน์และโจชีวิเคราะห์ข้อมูลสงคราม 196 กรณี ระหว่างปี 2518-2554 พบว่า การหยุดยิงสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกเกิดขึ้นเพียง 20% เท่านั้น
ศาสตราจารย์โจชีกล่าวว่า “การหยุดยิงที่สำเร็จตั้งแต่ต้นมักมีแผนงานชัดเจน มีระบบรายงานและแก้ไขการละเมิดข้อตกลง”
แต่ในกรณีซีเรียและเยเมน การหยุดยิงที่ประกาศโดยรัสเซียและซาอุดีอาระเบียขาดแผนงานและกลไกแก้ไขข้อขัดแย้ง จึงล้มเหลวอย่างรวดเร็ว
ศาสตราจารย์ควินน์กล่าวว่า “นักข่าวมักนำเสนอทางเลือกแค่สองทาง คือ สงครามหรือสันติภาพ แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองอย่างต้องเดินควบคู่กัน”
เขาอธิบายว่า สงครามกลางเมืองขนาดใหญ่ส่วนใหญ่จบลงด้วยกระบวนการที่ชัดเจน กลุ่มสายกลางจะเริ่มเจรจาและบรรลุข้อตกลง จากนั้นกลุ่มอื่น ๆ จะเข้าร่วมทีละกลุ่ม ส่วนกลุ่มหัวรุนแรงจะถูกกันออกไปหรือพ่ายแพ้ในที่สุด
“กลุ่มหัวรุนแรงบางกลุ่มจะไม่เข้าร่วมเจรจา เพราะต้องการอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่เมื่อกลุ่มสายกลางเห็นว่ากระบวนการสันติภาพเดินหน้าได้จริง พวกเขาจะเข้าร่วม เพราะไม่อยากตกขบวน” ควินน์กล่าว
ศาสตราจารย์โจชีกล่าวว่า “แม้หยุดยิงจะล้มเหลวในระยะยาว แต่ในระยะสั้นช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนได้”
เขาย้ำว่า “ไม่มีใครสามารถเจรจาสันติภาพที่ยั่งยืนได้ในขณะที่ยังสู้รบอยู่ การหยุดยิงคือก้าวแรกในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างฝ่ายต่าง ๆ”
ควินน์และโจชีพบว่า ข้อตกลงหยุดยิงใหม่ ๆ มักปรับปรุงจากข้อผิดพลาดในอดีต ทุกครั้งที่ล้มเหลว ฝ่ายต่าง ๆ จะเรียนรู้และพัฒนากลไกให้รัดกุมขึ้น
“เราชอบเห็นฝ่ายต่าง ๆ เริ่มต้นด้วยก้าวเล็ก ๆ งานวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่าพวกเขาจะพัฒนาข้อตกลงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ” โจชีกล่าว
แม้ข้อมูลเชิงประจักษ์จะสนับสนุนว่าการหยุดยิงที่ล้มเหลวช่วยปูทางสู่สันติภาพ แต่ในตะวันออกกลาง หลายฝ่ายยังไม่เชื่อมั่น
นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า การหยุดยิงในซีเรียและเยเมนมักเป็นเพียงกลยุทธ์ของฝ่ายต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูกำลัง ไม่ใช่ความตั้งใจจริงในการสร้างสันติภาพ
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยของควินน์และโจชียืนยันว่า แม้หยุดยิงจะล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กระบวนการเรียนรู้และปรับปรุงข้อตกลงจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในอนาคต
จนถึงกลางปี 2568 ซีเรียและเยเมนยังคงเผชิญความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการหยุดยิงหลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ข้อตกลงเหล่านั้นยังไม่สามารถยุติสงครามได้
องค์การสหปร ะชาชาติรายงานว่า ประชาชนในทั้งสองประเทศยังคงเผชิญวิกฤตด้านมนุษยธรรมอย่างหนัก หลายล้านคนต้องพลัดถิ่นและขาดแคลนอาหาร
องค์กรสิทธิมนุษยชนในซีเรียและเยเมนเรียกร้องให้ฝ่ายต่าง ๆ ใช้โอกาสจากการหยุดยิงแต่ละครั้งในการสร้างความเชื่อมั่นและปกป้องประชาชน
“ทุกครั้งที่หยุดยิง แม้จะล้มเหลว แต่ช่วยให้เด็ก ๆ ได้กลับไปโรงเรียนและครอบครัวได้พบกันอีกครั้ง” ตัวแทนองค์กรสิทธิมนุษยชนในเยเมนกล่าว
งานวิจัยและประสบการณ์จากสงครามทั่วโลกยืนยันว่า การหยุดยิงที่ล้มเหลวหลายครั้งช่วยปูทางสู่ข้อตกลงสันติภาพที่ยั่งยืน
แม้ประชาชนในซีเรียและเยเมนยังต้องเผชิญความทุกข์ยาก แต่ทุกครั้งที่ฝ่ายต่าง ๆ หยุดยิง แม้เพียงชั่วคราว ก็ช่วยลดความเดือดร้อนและสร้างความหวังใหม่
“ทุกข้อตกลงที่ล้มเหลวคือบทเรียน ทุกครั้งที่หยุดยิงคือโอกาส” ศาสตราจารย์โจชีกล่าว