Transcript for:
การสะท้อนจากภายในสู่ชีวิตจริง

ชีวิตเป็นเหมือนกระจกที่ส่องเสียท้อนจิตใจของเรา ถ้าจิตใจของเราจมดิ่งอยู่กับความทุกข์ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงก็จะมีแต่เหตุการณ์ต่างๆในอนาที่ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่ในทางที่ตรงกันข้าม ถ้าจิตใจของเราเปลี่ยนไปด้วยความดีงาม จิตใจเต็มไปด้วยเรื่องดีๆ ความคิดดี สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ก็จะมีแต่เหตุการณ์ดี ที่ทำให้เรารู้สึกอยากขอบคุณอย่างต่อเนื่อง นี่คือถ้อยคำบางส่วนครับ จากหนังสือกฎแห่งกระจก หนังสือที่ถ่ายทอดกฎมาสัจจัน กฎที่เรียบง่าย ที่ช่วยแก้ปัญหาในชีวิตของเรา The Book Teller Podcast ในตอนนี้ครับ จะชวนคุณฟังมาฟังเรื่องราวและข้อคิดดี จากหนังสือเล่มเล็ก ที่มีเนื้อหาเป็นมิตรต่อจิตใจ เล่มนี้ครับ กฎแห่งกระจกเป็นหนึ่งสือเล่มเล็กๆ แปลจากภาษาญี่ปุ่น ที่เขียนด้วยคุณ Yoshinori Noguchi โดยสนับพิมพ์ Amarine Hathu เล่มที่ผมถืออยู่นี่ครับ เป็นฉบับสมบูรณ์ที่ตีพิมพ์เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมานี่เอง วัยใจสำคัญของหนึ่งสือเล่มนี้ถ่ายทอดกฎแห่งกระจก กฎที่มีแนวคิดว่า เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเรา ในล้วนเป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากจิตใจของเราเอง ผู้เขียนบอกว่า กฎแห่งกระจกนี้ครับ มีความสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องกฎแห่งกรรม ในพระพุทธศาสนาและปรัชญาทางตะวันออก และนอกจากนั้นครับ กฎนี้ยังสอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ที่บอกว่า สมองของคนเราจะเพ่งความสนใจ ไปกับความคิดที่อยู่ในหัวของเรา อย่างเช่น หากเรามีความคิดบวกกับตัวเอง สมองก็จะเชื่อตามนั้น และหากเราคิดลบๆ สมองก็จะเชื่อตามนั้นเช่นกัน เมื่อความคิดที่เรามีบวกกับความเชื่อ ว่าเราเป็นแบบนั้นจริงๆ เชื่อว่าเรื่องนั้น เป็นแบบนั้นจริงๆ การกระทำภายนอกของเรา ก็จะออกมาตามนั้นด้วย และมันก็จะกลายเป็นผลลัพธ์ ที่มีแนวโน้มเป็นแบบนั้นในชีวิตจริง บ่อยครั้งที่คนเราเวลาเป็นทุกข์ เวลาเกิดปัญหาทางจิตใจขึ้นมา เรามักจะหาสิ่งภายนอกมาเติมๆ เราไปไล่ดูคลิปต่างๆ ที่สร้างกำลังใจให้กับเรา เราไล่อ่านคอมเมนต์คำคมต่างๆ ที่เราคิดว่ามันจะช่วยเยียวยาเราได้ เราหาคนที่จะมารับฟังเรา แต่แล้ววงจรเดมๆ ก็เกิดขึ้นซ้ำๆ เราก็ยังมีความคิดแย่ๆ ความคิดลบๆ และพฤติกรรมแย่ๆ กับตัวเองอยู่ เราก็เลยหมดหวัง หมดกำลังใจ ว่าฉันจะทำอย่างไร มันก็ไม่ดีขึ้นเลย หรือมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม สิ่งนี้ครับอาจจะเป็นเพราะ เราไม่ได้เยียวยาที่สาเหตุของปัญหานั้น ปัญหาที่มันเป็นปม ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของเรา หนึ่งสือกฎแห่งกระจกเล่มนี้ครับ ฉวนให้เราลองคิดว่า หากชีวิตของคุณคือกระจก การมีกระจกที่เรียกว่าชีวิต จะทำให้คนมองเห็นสภาพของตัวเอง และเกิดแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะชีวิตคนเรานั้น ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างที่ไม่มีสิ้นสุด เนื้อหาในเล่มนี้ ผู้เขียนจึงได้นำเสนอเรื่องราว ที่อ้างอิงจากชีวิตจริงของครอบครัวยญี่ปุ่นครอบครัวหนึ่ง เพื่อมาเป็นตัวอย่างให้เรานั้น ได้เข้าใจว่า เวลาที่มีทุกข์กัดกินใจของเรา ทุกข์ที่มันบรรทอนจิตใจเราอยู่ตลอด ทำให้เราหดหู่ซึมเศร้า ทำให้ชีวิตของเรานั้นไม่สดใสแบบที่ควรจะเป็นเลย ให้เราสำรวจจิตใจของเราก่อนว่า แท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไรกันแน่ แท้จริงแล้วมันมีเรื่องอะไรที่เป็นปมในใจ ที่ยังค้างคายในใจหรือไม่ แล้วปมในใจนั้น มันกำลังฉุดรั้งชีวิตของเราใช่หรือไม่ อย่างเช่น มันทำให้เราเกิดความกลัวที่จะก้าวไปข้างหน้าใช่หรือไม่ มันทำให้เรามีพฤติกรรมแย่ๆ ต่อตนเองและผู้อื่นรอบข้างตัวเรา ใช่หรือไม่ เรื่องราวที่ผู้เขียนนำเสนอนี้ครับ ว่าด้วยชีวิตของเอโกะ คุณแม่และภรรยาในวัย 40 ที่มีเรื่องกังวลใจอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ เรื่องของยูตะ ลูกชายของเธอ ที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นป.5 ซึ่งถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้งเป็นประจำ เพื่อนๆ ไม่ได้ใช้กำลังกับยูตะ เพียงแต่มักแสดงท่าทีรังเกียจอย่างเช่น การเลาะเรียน ไม่ชวนยูตะไปเล่นด้วย และมองว่ายูตะนั้นเป็นตัวปัญหา แต่ตัวยูตะเองก็ไม่ได้เดือดร้อนและไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำเหล่านี้สักเท่าไหร่ เขาก็ยังเป็นเด็กที่ออกไปเล่นตามประสานเด็กทั่วไปได้ แม้เขาจะต้องเล่นคนเดียวบ้างก็ตาม ผมไม่ได้ถูกแกล้งสักหน่อย ยูตะบอกกับแม่ แม่นั้นไม่สบายใจและเจ็บปวดใจทุกครั้งที่ลูกของเธอโดนเพื่อนแกล้งแบบนี้ แต่แท้จริงแล้วความกังวลใจลึกๆและความเจ็บปวดของผู้เป็นแม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าลูกชายนั้นโดนเพื่อนแกล้ง แต่ที่จริงความกังวลใจของเธอก็คือ ลูกไม่ชอบเปิดอกคุยกับเธอเลยสักครั้งหนึ่ง ลูกไม่ยอมเล่าอะไรให้แม่ฟังเลย เหมือนไม่ไว้ใจแม่ นี่แหละครับ สิ่งที่เธอเจ็บปวดมากที่สุด และประกอบกับปัญหาชีวิตคู่ที่เธอนั้น เป็นคนที่ไม่ค่อยเคารพสามี เพราะเธอชอบดูถูกสามีว่า เขาเรียนไม่จบ และยังทำงานที่ใช้แรงงาน ไม่ได้เป็นเจ้าคนไหนคน ทำให้บรรยากาศภายในบ้าน ช่างอึมคลึมทุกวัน เมื่อทำให้ลูกไว้วางใจไม่ได้ เอโกะก็จึงรู้สึกเดือดเนื��อร้อนใจและถือมันเป็นเรื่องใหญ่ เธอจึงใช้วิธีก้าวล่วงลึกลงไปในชีวิตและความรู้สึกส่วนตัวของยูตะ จนเด็กน้อยเกิดปฏิกิริยาต่อต้านและปฏิเสธเธอ เลยทำให้ในแต่ละวันเธอมีความงุดหงิดใจเอาไปลงกับสามีบ้าง ทำให้ทะเลาะกันเป็นประจำ เหตุนี้มันจึงกลายเป็นปัญหาในระดับที่ใหญ่ และหนักอึ้งอยู่ในหัวใจของเอโก เธอกลัดกลุ้ม ตีบตัน และเหมือนไร้ทางออก จนวันหนึ่งครับ เอโกได้มีโอกาสปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตตาวิทยาคนหนึ่ง ซึ่งรู้จักกับสามีของเธอ ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ได้แนะนำ หนทางของความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตให้กับเธอ เขาชวนให้เธอสำรวจเข้าไปในจิตใจโดยใช้กฎแห่งกระจก กฎที่จะทำให้มองเห็นสภาพของตัวเอง และเกิดแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะเขาบอกว่าชีวิตของคนเรานั้นถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่มีสิ้นสุด เขาให้กำลังใจเอโกะว่า ปัญหาที่เราแก้ไขไม่ได้จะไม่มีวันเกิดขึ้น เมื่อปัญหาใดๆก็ตามเกิดขึ้น หากเราไม่ยอมแพ้ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลง และแก้ไขปัญหานั้นได้เสมอ ผู้เชี่ยวชาญท่านีครับตั้งคำถามกับเอโกว่า เธอนั้นกำลังเกลียดใครบางคนที่ใกล้ตัวเธออยู่หรือเปล่า เขาย้ำว่าปัญหาลูกชายของเอโกนั้นเกิดขึ้น เพราะตัวเอโกก็มีปัญหากับคนคนหนึ่งในชีวิตของเอโกเหมือนกัน ปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาที่เป็นปมในใจของเอโก และไม่ใช่แค่นั้น เอโกะยังรู้สึกเกลียดคนคนนั้นตลอดทั้งชีวิตด้วย เมื่อได้ยินแบบนี้ครับ เอโกะจึงได้ทำการทบทวนตัวเองว่า เธอเกลียดสามีของเธอหรือเปล่า ในเมื่อเขานั้นเป็นคนที่อยู่ใกล้ตัวเธอที่สุด แม้เธอจะตอบว่าไม่ แต่เธอให้ความเคารพกับเขาหรือเปล่า ให้ความเคารพเขามากแค่ไหน และเธอต้องยอมรับว่า ตลอดมาเธอไม่ได้เคารพเขาเลย เธอดูแคลนเขาเสียด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เขานั้นเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี คอยให้กำลังใจเธอ แต่เธอกลับว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีความคิด และบางครั้งก็ถึงกับขนาดดูแคลนว่า เขาไม่มีการศึกษา เพราะเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่เขาเรียนจบแค่ชั้นมัธยมปลาย ซึ่งความไม่เคารพสามีนี้ครับ สะท้อนออกมาทำให้ลูกของเธอไม่เคารพเธอ ตลอดเวลาลูกจะเล่าเรื่องต่างๆให้พ่อฟัง เปิดใจกับผู้เป็นพ่อ แต่ไม่เคยเปิดใจกับผู้เป็นแม่เลย เพราะเธอนี่แหละ ที่ทำตัวไม่น่าเคารพ ดูแคลนคนในครอบครัวตัวเอง เจ้ากี้เจ้าการทำตัวเป็นนายใหญ่ในบ้าน ลูกจึงไม่เคารพ และไม่เคยเปิดใจให้กับเธอ และเช่นเดียวกับปมในใจที่ค้างคายอยู่ในใจของเธอมากที่สุดก็คือ ตลอดเวลาเธอยังคงฝังใจกับการเกลียดชังผู้เป็นพ่อ ที่เธอนั้นเคยมีเรื่องราวทะเลาะกันอย่างรุนแรงเมื่อเธอยังเป็นเด็ก เธอโกรธพ่อและไม่ยอมให้อภัยพ่อ เป็นความฝังใจที่เติบโตมาพร้อมกับความหมิ่นแคลนที่เธอมีต่อพ่อ ซึ่งเธอมองว่าพ่อนั้นเป็นคนงานเก่าสร้าง ต่ำต่อย แถมให้พอเธอยังมองพ่อของเธอว่า พ่อของเธอเป็นตาแก่ที่จู่จี้ขี้บ่น เธอก็เลยไม่ให้ความรักแก่เขา และไม่เคยให้อภัยในสิ่งที่พ่อ ได้ทำกับเธอเลย เรื่องนี้ครับ ทำให้เธอต้องเจ็บช้ำ เธอเกลียดพ่อของเธอมาตลอด 20 กว่าปี และเธอ ก็หลีกเลี่ยงที่จะคุยกับพ่อมาโดยตลอด เมื่อเธอนึกถึงเรื่องของตัวเอง เธอก็นึกถึงลูกชายของเธอ ลูกชายของเธอเกลียดเธอ เหมือนที่เธอเกลียดพอ เมื่อรู้ถึงสาเหตุในใจที่เป็นแล้ว เอโกะจึงได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญท่านนีว่า คนเรานั้นต้องเยียวยาบาดแผลในใจของเราเสียก่อน จึงจะก้าวเดินไปยังชีวิตข้างหน้าได้อย่างเต็มก้าว เพราะคนเราไม่มีทางปฏิเสธบาดแผลของตัวเองได้ หากอยากจะใช้ชีวิตต่อไปข้างหน้าอย่างมีชีวิตชีวา เราต้องยอมรับบาดแผลจากกระดีศ ไม่ใช่ปฏิบัติกับบาดแผลนั้นเหมือนกับเป็นสตรู ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตตาวิทยาท่านนี้ครับ ได้แนะนำวิธีการแก้ปัญหาที่ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากภายใน เริ่มต้นจากการยอมรับและปฏิบัติอย่างรู้ตัว โดยขอให้เอโกะระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้เธอนั้น ได้มีโอกาสทบทวนเรื่องราวในอดีตที่เธอพยายามจำเมินมัน หากเอโกสามารถยอมรับและให้อภัยกับอดีตของเธอได้ ปัญหาในชีวิตต่างๆของเธอก็จะบรรเทาลง หากเธอยอมรับว่านั่นคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ หากเธอยอมรับเรื่องราวในชีวิตของเธอได้ แม้ว่ามันจะไม่ได้สวยรู้ ไม่ได้มีความทรงจำที่น่างดงาม ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เธออยากให้มันเป็น เพียงแค่เธอยอมรับ เข้าใจ และให้อภัยกับอดีต เธอก็จะสามารถทำให้เหตุการณ์ในชีวิตปัจจุบันของเธอดีขึ้นได้ หลังจากที่เอโกรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เธอนั้นใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข อมทุกข์ทุกวัน เพราะเธอไม่เคยที่จะให้อภัยกับผู้เป็นพ่อ เธอเมินเฉยพ่อมาตลอด ไม่เคยพูดกับพ่อมา 20 กว่าปี สิ่งนี้มันเป็นปมปัญหาที่อยู่ในใจของเธอ ในที่สุดครับ เธอจึงรวบรวมความกล้า ที่จะโทรไปหาพ่อของเธอ เพื่อปรับความเข้าใจกัน และให้อภัยกับเรื่องราวที่เคยผิดใจกัน เหตุการณ์ระหว่างพ่อกับเอโกะผ่านไปได้ด้วยดี และมันเหมือนกับว่า เธอได้ยกภูเขาที่เธอติดอยู่กับมันมากกว่า 20 ปีออกจากอก ถึงตอนนี้เธอก็เริ่มเข้าใจเลยครับว่า การที่เธอรับรู้ปัญหาของยูตะลูกชายของเธอ ก็เพราะชีวิตอยากให้เธอได้เข้าใจอะไรบางอย่าง ที่เธอไม่เคยเข้าใจมัน หากไม่มีเรื่องของยูตะ เธอก็คงไม่เคยคิดจะไปปรับความเข้าใจกับพ่อ อีกสิ่งหนึ่งที่เธอต้องทำก็คือ การหันมาใส่ใจกับปัจจุบัน หันมาใส่ใจกับคนที่อยู่ข้างๆ ซึ่งก็คือสามีของเธอนั่นเอง ตลอดเวลาเธอไม่เคยเคารพสามีเลย เธอดูแคลนสามีว่าเรียนจบแค่มัธยม เธอปรับมุมมองและทราบซึ้งสิ่งต่างๆ ที่สามีทำให้เธอ ไม่ว่าจะเป็นการหารเลี้ยงครอบครัวอย่างหนัก การดูแลลูก การเป็นกำลังใจให้กับเธอ แม้เธอมีความทุกข์ที่อยู่ในใจตลอดมา เธอยังเปลี่ยนความเชื่อที่ว่า สามีนั้นเป็นคนไม่เอาไหน เปลี่ยนเป็นความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวสามีของเธอ เธอนับถือเขาในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งเมื่อเธอหันมาปฏิบัติกับสามีเป็นอย่างดี มอบความรัก ความศรัทธาและความเคารพให้กับเขา การกระทำนี้ครับก็สะท้อนให้ยูตะลูกชายของเธอ ได้มองเห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปในตัวของแม่ เมื่อลูกชายได้มองเห็นแม่ทำดีกับพ่อ ก็จึงเริ่มที่จะพูดคุยกับแม่มากขึ้น เริ่มเปิดใจกับแม่���ากขึ้น และที่สำคัญก็คือ ยูตะให้ความเคารพแม่มากกว่าที่เคยเป็น แม้แต่เรื่องเล็กๆอย่างการกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน 3 คนพ่อแม่ลูกก็จะรอทานข้าวพร้อมกัน เปิดอกคุยกัน ครอบครัวก็กลับมาอบอุ่นอีกครั้งหนึ่งได้ ตัวอยู่ตะนั้นจากเด็กที่โดนเพื่อนเล่าเรียน กลายเป็นเด็กที่ร่าเริงสดใสมีความมั่นใจ และเพื่อนๆก็ค่อยๆเลิกเลาเรียน เลิกแกล้ง เลิกว่าเขาเป็นตัวประหลาด ความมั่นใจ ความร่าเริงสดใสในตัวยูตะ ทำให้ยูตะนั้นเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนๆ ทำให้ชีวิตในโรงเรียนของยูตะ เป็นไปด้วยความสดใสมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้ครับ เกิดขึ้นได้และเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเอโกนั้นเปลี่ยนความคิด และปรับความเข้าใจกับเรื่องราวในชีวิตของเธอ เธอไม่ได้เกลียดอดีตอีกต่อไป และเธอก็ไม่ได้เมินค่าของปัจจุบัน อัมเมติการกระทำของเธอที่ออกมานั้น สามารถส่งต่อพลังงานดีๆ ออกไปให้กับสามีและลูกชายของเธอได้ ในหนังสือกฎแห่งกระจกเล่มนี้บอกว่า มีกฎหนึ่งที่เรียกว่า กฎของสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น เมื่อเราได้เข้าใจถึงสิ่งหนึ่ง เราก็จะเข้าใจอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งแท้จริงแล้วทุกปัญหาในชีวิตเกิดขึ้น ก็เพื่อทำให้เรานั้นรู้ซึ้งถึงความสำคัญของบางสิ่ง การที่เอโกร์รับรู้ปัญหาของยูตะลูกชายของเธอ ก็เป็นเพราะชีวิตอยากให้เธอนั้นได้เข้าใจอะไรบางอย่าง ที่เธอไม่ได้เข้าใจ นั่นก็คือสิ่งที่อยู่ในใจของเรา จะกลายเป็นผลลัพธ์ในชีวิตจริง หากไม่มีเรื่องของยูตะ เธอก็คงไม่คิดที่จะไปปรับความคิด ที่มีต่อชีวิตและเรื่องต่างๆในอดีตของเธอ นี่ถือเป็นกฎง่ายๆครับ ที่จะแสดงให้เราเห็นถึงข้อคิดอันสำคัญอย่างหนึ่งว่า ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้น ล้วนเชื่อมโยงถึงกัน เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากจิตใจของเราเอง ถ้าจิตใจของเรามีแต่จมหนิงอยู่กับความทุกข์ อาบเงาในกระจกที่สะท้อนออกมาก็ยอมหนีไม่พ้นความทุกข์ และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงก็จะมีแต่เหตุการณ์ไม่ดีต่างๆนานาที่ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ แต่ในทางที่ตรงกับความ ถ้าจิตใจของเราเปลี่ยนไปด้วยความดีงาม จิตใจที่เต็มไปด้วยเรื่องดีๆ ความคิดดีๆ ภาพเงาในกระจกที่สะท้อนออกมา ก็เป็นสิ่งที่อิ่มเอมใจ และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ก็จะมีแต่เหตุการณ์ดีๆ ที่ทำให้เรานั้นรู้สึกอยากขอบคุณอย่างต่อเนื่อง และผู้เขียนก็ยังเสื่อมว่า อย่างไรก็ตามก็ยังมีอีกหลายคนที่รู้สึกว่า ยังไงฉันก็กลับไปดีกับอดีตที่เคยเกิดขึ้นไม่ได้ ให้อภัยอดีตหรือคนในอดีตที่เคยทำร้ายฉันไม่ได้ ถ้าเราคิดแบบนั้นครับ ก็อย่าตำหนี่ตัวเองที่ให้อภัยอดีต หรือให้อภัยผู้อื่นไม่ได้ หากตอนนี้จิตใจของเรายังไม่พร้อมจริงๆ เราก็ควรยอมรับที่ตัวเองเป็นเช่นนี้ อย่าไปตำหนี่ตัวเองว่าไม่เอาไหนไม่ได้เรื่อง ยอมรับว่าเรามีความรู้สึกที่ไม่โอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าเรื่องนั้นมันนักหนากับเรา นี่คือการฝึกยอมรับตัวเองให้ได้ครับ เมื่อเราฝึกยอมรับตัวเองได้ ในอนาคตเราก็จะค่อยๆ มีความรู้สึก ที่จะอยากเข้าใจอดีตของเรามากขึ้น ในบางครั้งครับ ก็อย่าไปเร่งจังหวะชีวิตของเราเลยนะครับ ขอแค่ให้เรานั้นปฏิบัติดี คิดดีกับตัวเอง อย่าทำร้ายติดใจ อย่าทำร้ายตัวเองเลยนะครับ ในตอนนี้หากเรารู้สึกอย่างไรกับบาดแผลในใจ ก็อย่าฝืนความรู้สึกนั้น ยอมรับความรู้สึกนั้น อยู่กับมัน เป็นเพื่อนมัน แล้วสักวัน เราก็จะกลับมาแข็งแกร่ง ได้อีกครั้งหนึ่ง และในขณะที่เรากำลังฝึกการยอมรับตัวเอง เราก็อาจจะต้องทบทวนความเชื่อของตัวเองด้วยนะครับว่า อดีตนั้น ทำไมเราให้อภัยมันไม่ได้ การที่เราพยายามลืมอดีตของเรา ทำให้เรามีความสุขหรือไม่ แค่นี้ที่เราต้องชำระ ทำให้เราสบายใจแค่ไหนอย่างไร หรือสิ่งที่เรามกมุ่นเป็นกังวลอยู่กับมันนั้น มันทำให้ชีวิตของเรานั้นดีขึ้นหรือไม่ ในทุกๆ วัน อย่าลืมพกใจและสติติดตัวไปด้วยนะครับ หนึ่งสือกฎแห่งกระจก ฉบับสมบูรณ์ หนึ่งสือเล่มเล็กๆ ที่แฝงข้อคิดดีๆ ที่เพิ่มพลังใจให้กับเราได้ เนื้อหายในเล่มยังได้ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์ ระหว่างพ่อแม่ลูกเอาไว้ ให้คนที่มีลูกได้เอาไปปรับใช้กันด้วย ถ้าคุณฟังอยากได้หนึ่งสือที่อ่านง่ายๆ เยียวยาจิตใจได้และนำไปปรับใช้ได้อย่างง่ายด้วย เล่มนี้อาจจะเหมาะกับคุณนะครับ ฟังแล้วสนใจอยากได้เล่มนี้ ก็ลองกดเข้าไปเช็คราคาที่ลิงค์แนะนำใต้คลิปได้นะครับ ทางนี้ครับก็อย่าลืมว่า ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่จะบอกเราได้มากไปกว่า สิ่งที่เรานั้นได้ค้นหาและพบเจอได้ด้วยตัวของเราเองครับ และก่อนจากกันอยากขอฝากสิ่งหนึ่งเอาไว้คำว่า เมื่อคุณต้องย้อนกลับไปเยี่ยมเยือนอดีต ก็ขอให้คุณรู้ไว้ว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเคยเกิดขึ้นกับคุณ การที่คุณอยู่ตรงนี้และยังมีชีวิตอยู่ ก็มีคุณค่าเพียงพอแล้ว และขอให้รู้ไว้ว่า ยังมีความหวังในชีวิตของคุณเสมอ ไม่ว่าคุณจะผ่านอะไรมา ไม่ว่าจะประสบกับบาดแผลในใจกับเรื่องใด หากคุณมีใจของนักสู้ คุณจะผ่านมันไปได้เสมอ และความลับก็คือ เราทุกคนมีความเป็นนักสู้อยู่ในตัว อย่าปล่อยให้ความคิดลบๆ ความเชื่อแย่ๆ การกระทำไม่ดีมาทำลายชีวิตที่ดีของคุณได้ คนเรามักทุกข์เพราะความคิดของตน หากเราไม่รู้จักทักทวงหรือไตรทรองความคิดของเราเสียบ้าง ก็จะเป็นทุกข์แบบไม่หยุดหย่อน เหตุการณ์ในอดีตของเรานั้น แม้จะเลวร้ายเพียงใด ก็ทำร้ายเราได้ไม่มาก เท่ากับความคิดติดลบของตัวเราเอง อย่าลืมว่าปัญหาที่เราแก้ไม่ได้ จะไม่มีวันเกิดขึ้น เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้น หากเราไม่ยอมแพ้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหานั้นๆได้เสมอ เพราะชีวิตคนเรานั้นถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างไม่มีสิ้นสุด หวังว่าสิ่งดีๆในตอนนี้ จะมอบคุณค่าให้กับชีวิตที่ดีของคุณได้นะครับ จนกว่าเราจะพบกันใหม่ สวัสดีครับ สวั