Transcript for:
สรุปการบรรยายเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

อ่า จะพูดถึงเรื่องของ e commerce นะคะ อาจจะเคยได้ยินแล้วเนอะว่า e commerce เนี่ยมันคืออะไรนะคะ คืออะไร แล้วก็ อ่า มันจะมีชื่อภาษาไทยด้วยนะคะ มีชื่อภาษาไทยด้วย หนังสือบางเล่มเนี่ยอาจจะเรียกว่าเป็นพาณีอิเล็กทรอนิกส์นะคะ หนังสือบางเล่มเนี่ยอาจจะเรียกว่าเป็นอาจจะเคยเห็นน้องหนังสือหรือว่าอาจจะเป็นในเว็บไซต์อะไรพวกเนี้ย อ่าเขาจะเรียกว่าการพาณีอิเล็กทรอนิกส์นะคะ ซึ่งมันก็คือตัวเดียวกันนั่นแหละนะคะ ส่วนภาษาอังกฤษก็คือ e-commerce นั่นเองนะคะ e-commerce นั่นเอง คนนี้ตัว e-commerce เนี่ย มันก็มีคำว่า E เนาะ E มันคือคำว่า Electronic นะคะ Electronic คราวนี้เราจะมาดูกันว่า E-Commerce ที่นักศึกษาได้ยินว่า E-Commerce เนี่ย มันคืออะไรนะคะ คราวนี้ E-Commerce เนี่ยมันมีมานานแล้วนะคะ ตั้งแต่ปี 2513 นะคะ มีมานานมากแล้วนะคะ มันก็เป็นการทำธุรกิจบนสื่อ Electronic นะคะ ไม่จำกัดประเภทว่าจะเป็นสื่อทรทัศน์นะคะ สื่อวิทยุ หรือว่าบนอินเตอร์เน็ต สมัยก่อนเนี่ย ยังไม่มีลักษณะของแอปพลิเคชันต่าง นะคะ ก็จะมีการขายสินค้าบนเว็บไซต์นะคะ เปิดเว็บไซต์ขายสินค้า หรือว่าจะเป็นการโฆษณาผ่านสื่อต่าง ไม่ว่าจะเป็นวิทิวนะคะ หรือทรทัศน์พวกทีวีไดเร็กอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นอีคอมเมิร์สประเภทหนึ่งเหมือนกันนะคะ คราวนี้มันไม่ใช่สิ่งใหม่นะ ศาลมันเกิดมานานอย่างที่อาจารย์บอกไปแล้วนะคะ ดังนั้นเนี่ย พอเมื่อก่อนมันมีในเรื่องของอินเตอร์เน็ตเข้ามาใช่ไหม แล้วก็มีการเปิดเว็บไซต์ในการขายสินค้ามากขึ้น ก่อนที่จะมาเป็นยุคปัจจุบันที่ซื้อขายในแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก แอปพลิเคชันช็อปปี้ ลาซาด้า อเมซอน หรือว่าบริษัทที่เขาทำแอปพลิเคชันขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นเซเว่น บิ๊กซี แม็กโค อะไรอย่างนี้ หรือว่าในเครือเซ็นทัน อะไรพวกนี้ก่อนหน้านี้ เขาจะเรียกว่าเป็น Online Market นะคะ ซึ่งก็คือการทำธุรกรรมบนสื่ออินเตอร์เน็ตเท่านั้นเนอะ ก่อนที่จะมาเป็นแอปพลิเคชันอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันเนี่ย เขาก็เลยบอกว่าถ้าเมื่อก่อนเนี่ยเป็น Online Market อะ มันก็จะเป็นในเรื่องของส่วนหนึ่งนะคะ ของ E-Commerce นะคะ ก็อย่างที่อาจารย์บอกเนอะว่ามันมาจากสื่อนะคะ ในการอาจธุรกิจบนสื่ออินเตอร์เน็ตนะคะ เขาก็จะลงมาก่อน แล้วก็เป็น Online Market อะไรอย่างนี้ ตอนนี้ก็อย่างที่บอกว่าเดี๋ยวเนี้ยมันก็มีการซื้อขายผ่านพวกอีมาร์เกจต่างต่างมากขึ้นนะคะหรือว่า อ่า แอปพลิเคชั่นต่างต่างมากขึ้นมันก็ทําให้นักธุรกิจนะคะ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กธุรกิจขนาดกลางเนี่ย สามารถที่จะ อ่า ให้บริการกับลูกค้าหรือว่าให้ลูกค้าเนี่ยสามารถบริโภคสินค้าได้นะคะ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถซื้อขายกันได้ง่ายนะคะ เขาก็เลยเรียกว่าเป็นการติดต่อสู่สารที่ไร้พมแดน ทำให้ธุรกิจที่เป็นขนาดกลางหรือว่าขนาดเล็ก สามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้ ก็คือบางทีเราไม่จำเป็นต้องมีพนักงานเยอะ เราทำเป็นธุรกิจส่วนตัวที่บ้าน หรือว่าเราเป็นนักธุรกิจที่ทำคนเดียว แล้วก็สามารถที่จะให้บริการหรือว่าขายสินค้าได้ โดยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั่นเอง ตรงนี้ก็จะเป็นในเรื่องของบทนี้ที่เราจะเรียนกัน คราวนี้อย่างที่บอกนะคะ การทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เนี่ย แน่นอนอยู่แล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องเปิดร้านค้าก็ได้นะคะในปัจจุบันเนาะ ไม่ต้องเปิดหน้าร้านนะคะ เรามีบ้านของเราหรือว่าเรามีสต็อกสินค้าของเรา มีโกดังของเรานะคะโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดให้มันไปเช่าที่เปิดหรือว่า ไปเสียในเรื่องของค่าจ้างนะคะ ค่าจ้างแรงงานเพิ่มอะไรอย่างเงี้ยนะคะ อยู่เว้นกรณีที่เป็นธุรกิจที่เริ่มที่จะขยับขยายอย่างเงี้ย ก็อาจจะมีเรื่องของแรงงานเนอะ อ่า เพิ่มขึ้นมานะคะ แล้วก็ในเรื่องของการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าเนี่ย แน่นอนว่ามันสามารถที่จะติดต่อได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงนะคะ เราอยากจะซื้อสินค้าตอน อ่า ตีหนึ่ง นะคะ เที่ยงคืนอย่างเงี้ย เดี๋ยวเนี้ยเราก็สามารถซื้อสินค้าได้ ง่ายขึ้นนั่นเอง คนนี้ อย่างที่บอกนะคะว่าเวลาเราใช้แอปพลิเคชันในปัจจุบันเนาะ อย่างเฟซบุ๊กก็ได้อย่างนี้มันก็จะมีโปรแกรมเสริมเข้าไปใช่ไหมคะ ให้สามารถที่จะโต้ตอบกับลูกค้าได้อัตโนมัติอย่างนี้นะคะ ก็ทำให้ลูกค้ามีความสะดวกมากขึ้นด้วยนะคะ แล้วส่วนเราก็สามารถที่จะโฟกัสไปที่กลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นอย่างนี้นะคะ มันก็เหมือนกับจะเป็นข้อดีทั้งสองฝ่ายเลยนะคะ มันก็เป็นผลพลอยได้จากในเรื่องของการเริ่มต้นในการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มาจนถึงการซื้อข่ายในปัจจุบันนั้นเองนะคะ หรือการให้บริการในปัจจุบัน แต่สมัยก่อนนะ ถ้าสมมติเราเปิดหน้าร้านอย่างเดียว หรือว่าเราทำ PR ทางเดียวอย่างนี้ เมื่อก่อนก็อาจจะทำ PR ได้ในลักษณะของทรทัศน์ หรือว่าเอาไปฝากนิตยสารของจังหวัด หรือว่าไปโปะตามหนังสือพิมพ์อะไรอย่างนี้ ฝากประชาสัมพันธ์ข่าวสารร้านค้าอะไรอย่างนี้เมื่อก่อน มันก็อาจจะไม่ทั่วถึง ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายลูกค้าของเราได้อย่างชัดเจน เพราะบางคนแบบไม่ได้อ่านอิตยสารนั้นใช่ไหม หรือว่าไม่ได้ดูทีวีอะไรอย่างนี้ หรือว่าไม่ได้ฟังวิทยุ หรือว่าเมื่อก่อนอาจารย์จะเคยเห็น เช่น สมมติเราไป Topland อ่า เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ เดี๋ยวนี้ก็จะเบาบางลง ก็จะไม่ค่อยเห็นแล้วนะคะ เขาก็จะไม่ค่อยมายืนแจกกันเท่าไหร่แล้ว แต่อันนั้นก็เป็นลักษณะของการประชาสัมพันธ์อย่างนึงเนอะ อ่า คล้าย กันนะคะ เดี๋ยวนี้เราก็ไม่ต้อง เราก็เอาไปฝากประชาสัมพันธ์นะคะ ตามเว็บไซต์ต่าง นะคะ ขอพื้นที่ในการประชาสัมพันธ์ หรือว่าอย่างเราขายในพวก Facebook หรือว่าใน Shopee หรือ Lazada อะไรก็แล้ว แต่เราก็เอาไปลงเป็นโฆษณา หรือยิงแอดโฆษณาเข้าไป เพื่อที่จะไปฝากตามบ้านต่างๆที่อยู่บนเว็บไซต์ได้ ตรงนี้ก็เป็นช่องทางที่จะทำให้ผู้ประกอบการ สามารถที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม คราวนี้ความเป็นมาเป็นไป อย่างที่อาจารย์บอกว่ามีมานานแล้ว เมื่อก่อนเขาก็เริ่มจากการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างหน่วยงานต่างๆ แล้วก็บริษัทต่างๆเขาก็ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ เป็นในเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือว่า EDI ตรงนี้จะพูดถึงสไลด์ถัดๆ ไป แล้วก็เริ่มขยับขยายมากขึ้น นักศึกษาจะสังเกตว่าในเรื่องของ E-Commerce มันจะเข้ามาแทรกซึมในชีวิตประจำวันของเรา ส่วนทุกวันนี้เราก็กลายเป็นซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้นแล้วนะคะ เอาง่ายๆ อย่างเมื่อกี๊เราไปเซเว่น เรายังไม่ค่อยอยากไปเลยใช่ไหม เราก็สั่งแอป กดที่แอปพลิเคชัน แล้วก็สั่งของในเซเว่นนะฮะ เซเว่นที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็จะส่งสินค้ามาให้เราอะไรอย่างเงี้ย หรือว่าบางทีเราก็ เพราะว่ามันจะมีในเรื่องของการแมปแผนที่ให้เนาะ ว่าเออ เราอยู่โลเคชันตรงเนี้ย อ่า เซเว่นเขาก็จะดูว่าเราสั่งต่อตรงไหนนะฮะ อันไหนใกล้ที่ไหนแก้วก็จะส่งให้เรา แบบเนี้ย ลักษณะเนี้ย นะคะ มันมาถึงยุคนี้แล้วนะฮะ คราวนี้อย่างที่อาจารย์บอกนะฮะ มันไม่ได้หมายถึงเรื่องของ อ่า การขายสินค้าอย่างเดียวนะฮะ มีเรื่องของการโฆษณาเนอะ เมื่อกี้พูดไปแล้ว ในเรื่องของการให้บริการนะฮะ รวมถึงในเรื่องของการซื้อหุ้นนะฮะ การทำงานอื่น หรือในเรื่องของการประมูลสินค้า พวกนี้ถือว่าเป็น E-Commerce หมดเลยนะคะ ก็มีนักวิชาการนะฮะ หรือว่าหน่วยงานต่าง นะฮะ ให้คำสำกัดความในเรื่องของ E-Commerce นะคะ หรือคำนิยามเนอะ นิยามสับของ E-Commerce เนี่ย ไว้หลากหลายนะคะ ไว้หลากหลาย บางท่านก็บอกว่าเป็นกิจกรรมเชิงพาณีที่ดำเนินการโดยการแลกเปลี่ยนเก็บรักษา หรือสื่อสั่งข้อมูลข่าวสารผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์นะคะ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์หรือแม้กระทั่งการส่งอีเมลนะคะ ก็เป็นอีคอมเมิร์สเหมือนกัน อีกท่านหนึ่งก็บอกว่าเป็นวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ที่ดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยี เช่น EDI ก็คือในเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ หรือการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ การประมูลอะไรพวกนี้ โดยใช้เทคโนโลยีสื่อโทรคมนาคมเข้ามาช่วย หรือว่าใช้สื่ออินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วย หรือว่าอย่าง WTO ก็บอกว่าเป็นในเรื่องของการกระจาย การผลิต การตลาด การขาย การขนส่งผลิตภัณฑ์และการให้บริการ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์นะคะ อันนี้ก็เหมือนกันนะคะ อันนี้พวกนี้ก็คือจะเป็นหน่วยงานนะ Escape นะคะ พวกเนี้ย อันนี้เป็นชื่อคน ETC ก็คือ มีผู้เขียนมากกว่า มีนักวิชาการมากกว่า 2 คน ถ้า 2 คนเขาจะใช้ ANN เนาะ แต่ถ้าหลายคนเขาจะใช้ ET นะคะ แล้วก็เว้นวัก AL นะคะ อย่างเวลาเราเขียนแบบนี้ หนังสือบางเล่มเขาก็จะให้เราไปดูเอกสารอ้างอิง หรือว่าบรรณานุกรมทายเล่มนะคะ ว่าอีก 2 ท่านเป็นใคร เป็นลักษณะนี้ ก็จะพูดให้คล้ายกันนะฮะ ก็เป็นการดำเนินการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์นะคะ รวมๆ แล้วเนี่ย อาจารย์ก็เลยสรุปออกมานะคะว่า พาณีอิเล็กทรอนิกส์หรือว่า e-commerce นะก็คือการทำธุรกรรมการค้าทุกประเภท ที่ทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์นะคะ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้า การให้บริการ การชำระเงิน การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทนะคะ ก็สามารถให้ผู้บริโภคเนี่ยได้ รับรู้ข้อมูล รับทราบข่าวสาร หรือว่าซื้อสินค้าของเราได้นะ โดยไม่ต้องออกจากบ้าน โดยที่อาจารย์เรียกว่ามันเป็น Home Delivery ที่พัฒนาธุรกิจให้เข้ากับยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์นั่นเองนะคะ เขาเรียกว่าเป็น Digital Economy นะคะ คราวนี้ ตรงนี้อาจารย์พิมพ์ผิดนะ อาจารย์มันต้องเป็น Digital นะคะ พรหารมีฮนากาศลอลลิงนะ ไม่ใช่ต้นนะ ตรงนี้นะคะ ดีมันเหมือนมันพิมพ์อัตโนมัตินะคะ เป็นดิ 4 ท่านนะคะต้องพิมพ์แบบนี้นะคะเดี๋ยวอาจารย์ แชร์ไปให้แล้วเนาะอ่ะไม่เป็นไรให้นักศึกษา รู้แล้วกันนะคะว่าต้องเขียนแบบนี้นะอ่ะคราวนี้ข้อ ดีนะคะข้อดีมีข้อต้องกัดก็ต้องมีข้อดีก็คือว่า ให้บริการได้ 24 ชั่วโมงนะคะอันนี้พูดไปแล้วเนาะตัด ปัญหาการต่อรองราคาหรือปัญหาเรื่องของในหน้า นะคะตรงนี้แน่นอนสมมุติว่านักศึกษาไปซื้อสินค้า ในเว็บไซต์อย่างเงี้ยหรือว่าซื้อสินค้าที่เป็นสินค้าออนไลน์เนาะ อ่าพวกเนี้ยก็จะต่อลองไม่ได้เพราะว่าเขาจะ ราคาไว้แล้วนะคะ หรือเอาง่ายง่ายเลยแค่เราไปเดินซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าเนี้ย ถ้ามันเป็นชอบอย่างเงี้ยเขาจะเขียนไว้เลยว่า อ่า ราคาเท่านี้ใช่ไหมถ้าเซลล์เขาก็จะบอกเลยว่า เซลล์ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เราก็ต่อเขาไม่ได้ล่ะ ยกเวลาไปซื้อสินค้าตามตลาดหรือว่า อย่างในเซ็นทรัลอย่างเงี้ย เราอาจจะไปซื้อที่เป็นชอบที่ ที่อยู่ชั้นหนึ่งที่เขาชอบเอาสินค้าข้างนอกมาเปิดบูธขายอย่างเงี้ย อันนั้นอาจจะต่อรองราคาได้นะคะ ก็จะ ถ้า e-commerce เนี่ยก็จะไม่มีปัญหาเรื่องของการต่อรองราคา เพราะเขาจะถือว่าเขารดไปแล้วนะคะ หรือว่าเขา fix ราคานั้นไปแล้วนะคะ ลดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารเนี่ย สมัยก่อนก็อาจจะเป็นในเรื่องของการทำอย่างที่อาจารย์บอก ก็คืออาจจะไปฝากประชาสำคัญตามสื่อต่าง บางทีเนี่ย พื้นที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ หรือว่าในนิตยสารอะไรอย่างนี้ ก็พื้นที่แพงนะคะ มากกว่าที่เราจะไปฝาก หรือว่ายิงแอดในเว็บไซต์นะคะ หรือว่าการประชาสัมพันธ์แบบโซเชียลเนี่ย มันจะถูกกว่า หรือในเรื่องของการโทรศัพท์แบบนี้ เมื่อก่อนก็จะเป็นการโทรหาลูกค้าใช่ไหม เพื่อติดต่อสื่อสารว่ามีให้บริการแบบนี้ อย่างเมื่อก่อน เอาง่าย เลย อย่างโทรศัพท์เราเนี่ยนะคะ สมมุติ มันจะมีโปรโมชั่นอะไรที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เราก็จะมี Core Center ใช่ไหมคะ จากสมมุติอาจารย์ใช้ AIS เนี่ยก็จะมีละโทรมาบอกว่า เดือนนี้มีโปรโมชั่นอะไร ลูกค้าสนใจที่จะสมัครบริการอันนี้หรือเปล่า แบบเนี้ย เดี๋ยวๆ เนี้ยไม่ต้องละใช่ไหม เขาก็จะให้เราเข้าไปในเว็บไซต์หรือว่า เราตอนเนี้ยเรามีแอปพลิเคชันละของ MyAIS นะคะ เราก็สามารถเข้าไปดูว่าเดือนเนี้ยมีโปรโมชั่นอะไรนะคะ ถ้าเราอยากจะสมัครโปรโมชั่นไหนเราก็ กลิ๊กสมัครได้เลย โดยที่พนักงานเนี่ยไม่ต้องโทรมา Call Center เนาะ ไม่ต้องโทรมาบอกเราว่าเดือนนี้มีโปรโมชั่นอะไร อะไรแบบเนี้ย หรือว่าถ้าเราจะ อ่า นอกจากเปลี่ยนโปรแล้วใช่ไหม อาจจะมีสิทธิพิเศษในการลดแรกจากแถมอะไรแบบเนี้ยนะคะ ระหว่างเดือนหรือว่าเราทํายอดเงินเท่านี้ เราจะได้ของสมนาคุณอะไร อันนี้ยกตัวอย่างเนาะ สมมุติเราใช้บัตรเครดิตอะไรอย่างเงี้ย มันก็จะมีแอปพลิเคชันของบัตรเครดิตนั้นๆ เพื่อให้เราเข้าไป อ่า ดูว่าพอเราอ่านรูปบัตรอย่างเงี้ยใช่ไหม จ่าย อ่า ซื้อสินค้าอย่างเงี้ย เราทํา อ่า คะแนนสะสมได้ตอนนี้ เดือนนี้เขาจะมีอะไรให้เราแลกอะไรอย่างเงี้ย เมื่อก่อนก็ เดือนนี้ก็มีอยู่ ก็คือแนบมากับตัว อ่า เขาเรียกใบแจ้งชําระหนี้นะคะ ของของบัตรเครดิตเนอะ ถ้าใครมีเนอะ อย่างอาจารย์อ่ะ มันจะมีอยู่เนี้ย เขาก็จะแจ้งมา คราวนี้ เดี๋ยวเนี้ย มันก็จะ อาจารย์ก็จะไม่ค่อยสนใจ เพราะว่าทุกอย่างมันก็ทําผ่านระบบ ออนไลน์ได้ใช่ไหมคะผ่านมือถือได้ผ่านสมาร์ทโฟนหรือว่าผ่านเว็บไซต์ได้หมดแล้วตรงนี้ก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการนั้นเองนะคะ อย่างที่อาจารย์บอกเนาะผู้ประกอบการขนาดกลางแล้วก็ขนาดย่อมมีโอกาสมากขึ้นอันนี้แน่นอนอยู่แล้วนะคะไม่ต้องเปิดบริษัทแล้วก็สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นนะคะมีความเข้าเทียมกันทางธุรกิจมากขึ้นอันนี้แน่นอนนะคะ ธุรกิจขนาดกลางหรือว่าขนาดย่อมคือขนาดเล็กเนี่ย ก็สามารถที่จะทำสินค้าของตัวเองนะคะ เพื่อที่จะแข่งกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้นะคะ อย่างสมมติเรากิน เราทานไส้กอก ทานลูกชิ้น ทานฮอตดอก เมื่อก่อนเราก็จะเห็นโลโก้ใน 7-11 ก็จะมีแบบ CP อะไรอย่างนี้ใช่ไหม Betaco ไม่มีเนอะ CP หรือว่าสินค้าประเทศอื่น เดี๋ยวนี้ก็จะมีสินค้าของเจ้าอื่นมาวางขายที่ คุณภาพอาจจะไม่ได้เท่า แต่ก็สามารถที่จะทำแล้วเอามาวางขายใน 7-11 ได้อย่างนี้นะคะ ตรงนี้ก็จะเป็นการสร้างโอกาสให้กับธุรกิจอื่นๆนะคะ หรือว่าในเรื่องของการขายออนไลน์แบบนี้ อันนี้เห็นภาพชัดอยู่แล้วนะคะ การไปสัมพันธ์อาจารย์พูดไปแล้วนะว่ามันทำได้ง่ายขึ้นนะคะ เดี๋ยวนี้ถ้าเรายิงแอดใน Facebook อย่างนี้ มีกลุ่มช่วงอายุเท่าไหร่ แล้วเราจะใช้ระยะเวลาในการ PR ของเราเนี่ย กี่วันอย่างนี้นะคะ เป็นเดือนก็จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ถ้าสมมุติ 7 วันก็เป็นหลักร้อยอย่างนี้ แต่ก็ถือว่าราคาถูกกว่าที่เราจะไปทำพวกป้ายคัทเอาท์นะคะ ติดตามท้องถนนต่างๆนะ อันนั้นเคยเห็นเนอะ เวลาเราขับรถไปถนน อ่ะ เข้ากรุงสมหานครก็ได้ หรือว่าไปจังหวัดใหญ่ๆ มันก็จะมีป้ายคัทเอาท์ หรือในพิศนโลกเนี่ย มันก็จะมีป้ายคัดเอาท์ใหญ่ ในการแปะพวกโฆษณาต่าง พวกนี้บริษัทใหญ่ เขาก็จะลงทุนในการทำ เป็นแสนแสนนะ สระไปเช่าทีเป็นเดือน เดือนละเป็นแสนแสน ก็ค่อนข้างแพง อันนั้นมันก็เหมาะกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่เขามีกำลังทุนทรัพย์เยอะอย่างนี้ แต่ถ้าสมมุติอย่างเราจะเปิดธุรกิจเอง มันก็ง่ายกับเราในการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ ที่เป็นลักษณะของอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปช่วย มันก็จะทำให้เราลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ลงนะฮะ จะสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง คราวนี้ข้อจำกัดมันก็มีอยู่แล้ว ก็คือในเรื่องของความไม่ปลอดภัยของข้อมูลนะคะ ซึ่งในเรื่องของความไม่ปลอดภัยของข้อมูลมันก็มี ถ้าบางทีเราซื้อขายสินค้าบนเว็บไซต์อย่างนี้เนอะ เราก็มีการใส่ข้อมูลของเรา ข้อมูลส่วนตัวของเราลงไป ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่เบิร์ตโมโรศัพท์ อะไรอย่างนี้ใช่ไหมคะ บางทีเราอาจจะซื้อของโดยการโอนเงินออนไลน์ หรือว่าโอนเงินผ่านบัตรเครดิตเนี่ย มันก็ต้องมีการใส่รหัสบัตร อะไรพวกนี้ บางทีเนี่ย เราก็ต้องดูว่า ผู้ประกอบการที่เขาขายสินค้าให้เรา มันมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เอ่อ สมมุติเราเป็นผู้บริโภคเนาะ บางทีเราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะ อยากจะให้ข้อมูลเราหลุดนะคะ หรือว่า ผู้ประกอบการเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ถ้าสมมุติเราเป็นผู้บริโภคเนี่ย เรามองซึ่งนิดนึงว่าบริษัทเนี่ย หรือว่าร้านที่เราซื้อสินค้าเนี่ย มีความน่าเชื่อถือแบบเนี้ย มันก็จะเซฟตัวเรานะคะ หรือบางทีเราอยู่เฉยๆ เราไม่ได้ทำอะไร ก็อยู่ๆ ก็มี Message มาอย่างของอาจารย์ อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายมาก เพราะว่าเมื่อประมาณเดือนมิถุนายนนะคะ เดี๋ยวอาจารย์หากแป๊บนึง อ่าๆ เจอแล้ว เดือนมิถุนายนประมาณวันที่ 27 ที่ผ่านมาเนี่ยเนอะ เดือนไม่กี่เดือนเนี่ย มี Message นะคะเข้ามาหาอาจารย์ ของนักวิทยาศาสตร์ระวังนะ ของ NX TRE NX เทเล นะฮะ เนี่ย ชื่อแบบนี้เลย อันนี้คือเหมือนเราแบบประจานเขาเลย อ่า ต้องประจานล่ะ เพราะว่า ส่ง message นะฮะ มาหาอาจารย์บอกว่า flat money นะคะ มันนี่ก็เขียน เขียนผิดนะคะ มันนี่อ่ะ มันต้อง โอ ใช่ไหม อันนี้เขียนเป็นเลขศูนย์ ดังสารเลขศูนย์ อ่า มันนี่ นะฮะ อย่างเงี้ย ฟลาดมันนี่ เอฟ อาว เอ เอส เอช นะฮะ ฟลาดมันนี่ เนี่ย อันนี้คือเป็นพวกกลุ่มมิชชาชีพนะ มิชชาชีพแล้วที่เขียนให้ดูเนี่ย เขาบอกว่าเตือนเนื่องจากคนที่ชื่อปรียา ชายแก้ว แล้วก็เบอร์โทรศัพท์นะคะ ได้นำเบอร์ของคุณมาเป็นบุคคลอ้างอิงในการทำสินเชื่อนะคะ และบุคคลดังกล่าวได้แจ้งกับทางบริษัทว่า คุณจะชำระแทนทั้งหมด เอาอยู่ๆ อาจารย์ไปกัน คำประกันใครก็ไม่รู้ อย่างนี้นั่งสา อันนี้มันเป็นในเรื่องของความไม่ปลอดภัยของข้อมูล บางทีบริษัทที่เราไปซื้อสินค้า เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่มันเกิดมีลักษณะของ Hacker นะฮะ หรือว่าคนที่ คือพอข้อมูลเข้าไปอยู่ในระบบออนไลน์ตรงนี้ บางทีมันควบคุมได้ไม่ทั่วถึงนะฮะ สา เราเข้าใจกันง่าย อยู่แล้ว เพราะว่าเราเรียน ITM อ่ะ บางทีมันมี Hacker หรือมันมีใครที่ไม่หวังดีเนี่ย เข้าไปลวงข้อมูล หรือบางทีก็มีเบอร์โทรศัพท์แปลก เข้ามาหาเรา แล้วก็ มาบอกว่าคุณติดเงินเรา หรือว่ามีน้อยอย่างที่พวกทำผิดกฎหมายข้ามชาติ พวกต่างประเทศที่เค้าเคยทำกัน ที่เราฟังข่าวก็จะมีโทรไปแล้ว บางคนก็จะบอกว่าคุณเป็นหนี้ คุณต้องจ่าย หรือว่าคนที่ไม่มีองค์ความรู้ตรงนี้ หรือว่าไม่เข้าใจ ไม่ทันเรื่องพวกนี้ ก็จะถูกหลอกได้ง่าย บางทีบอกให้โอนเงินไป ไปที่ตู้ธนาคาร ไปโอนเงินอะไรอย่างนี้นะคะ ลักษณะนี้มันก็จะเป็นในเรื่องของเขาเอาข้อมูลของเราไป โดยที่เราก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นใช่ไหม ส่วนไอ้บริษัทที่เราซื้อสินค้าต่าง ออนไลน์เนี่ย ก็ไม่อาจจะ 1. ไม่มีความน่าเชื่อถือก็ได้ 2. อาจจะมีความน่าเชื่อถือแหละ แต่โดนแฮกเกอร์เข้าไป อย่างของอาจารย์ก็โดนแฮกเบอร์อย่างนี้ พอส่งมาเซ็นมาปุ๊บ วิธีการแก้ปัญหาของอาจารย์ อันแรกคืออาจารย์ก็เข้าไปในพันทิพย์เลยนักศึกษา ไปในเพจพันทิพย์แล้วก็ไปเสิร์ช NX Tele นะคะ มันก็จะโชว์ว่ามีใครเจอแบบ อาจารย์บ้าง เราเป็นฟิลล์นี้ เราก็ต้องหาข้อมูลใช่ไหม เพราะว่าบางทีเราตกใจ เราทำอะไรไม่ถูก อยู่ๆ เราจะไปแจ้งความ มันก็ไม่มีเหตุการณ์ที่แบบ เราจะไปแจ้งความได้ไหม หรือเราจะไปทำอะไรดี หรือเราจะโทรกลับ อาจารย์ไม่โทรกลับเนอะ อาจารย์ก็ไปเสิร์ชในพันคิดนะคะ เขาก็จะมีข้อมูลบอกเนอะว่า เขาก็เจอเหมือนกัน วิธีการเขาทำยังไง อะไรอย่างนี้ เขาก็บอกว่า อย่าโทรกลับนะ อย่าส่งเซ็ตอะไรกลับไปเลยนะ อะไรอย่างนี้ แล้วก็ให้ไปลงบันทึกประจำวันกันไว้ก่อนนะคะ เพราะว่าเราไม่ได้ไปค้ำประกันใครนะคะ คราวนี้ถ้าคนที่อาจารย์เอ่ยชื่อเนี่ย เขาดันไปให้ข้อมูลเรายังจริง สมมุติ อยู่ๆ เขาไม่จ่าย เราก็โดนเจ้าหนี้ตามถ่วงหนี้ใช่ปะ โดยที่เราไม่รู้ตัว หรือบางทีอย่างนี้ ถ้าเราโทรกลับไปอย่างนี้ มันก็อาจจะเป็นเคสที่ว่า อ้าวคราวนี้จากที่ได้เบอร์ปุ๊บ กลายเป็นได้ที่อยู่แล้วไปอีกอะไรสมมุติเนาะ เราก็ไม่รู้ไงว่าเขาแฮกอะไรเราไปบ้างเลย ก็ได้ที่อยู่กายเป็นคราวนี้มาถึงหน้าโบงหน้าบ้าน อยู่ๆเป็นหนี้โดยไม่ได้ตั้งใจอย่างนี้ อยู่เสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้เรื่องเลยอะไรอย่างนี้ อาจารย์ก็เลยใช้วิธีการไม่ติดต่อกับนะคะ แต่ไปลงบันทึกประจำวันไว้ แล้วก็ไปเล่าให้ตำรวจฟังที่สถานี ตอนนี้ก็มีใบแจ้งความไว้แล้วนะลงบันทึกประจำวันไว้ อันนี้ก็เป็นวิธีการแก้ปัญหาของอาจารย์เนอะ นี่ก็เตือนนักศึกษานะคะ ถ้ามีลักษณะแบบนี้ก็อย่าโทรกลับนะคะ แล้วก็ไม่ต้องไปติดต่อมัน ไม่ต้องไปด่าเขา ไม่ต้องไปอะไรเขานะคะ ปล่อยไปเฉยๆ นะคะ ยิ่งโทรกลับหรือว่ายิ่ง Messenger กลับอย่างนี้ มันก็จะมี Feedback กลับมา คราวนี้ก็ติดต่อนักศึกษายาวแล้วนะคะ ความเสี่ยงในการชำระเงินทางอินเตอร์เน็ต ก็ถือว่าเป็นข้อจำกัดอย่างที่จันบอกไปแล้ว เพราะที่เราใส่รหัสบัตร บัตรเครดิตไปเนาะ อ่า อย่างเงี้ยค่ะ หรือว่า อ่า เรา อ่า ง่ายง่ายเลย อย่างแอปพลิเคชันแบบเนี้ย สมมุติเราใช้แอปพลิเคชันหนึ่งที่มันจ่าย รายเดือนใช่ไหมคะ จ่ายรายเดือน จ่ายทุกเดือน อ่า คราวเนี้ยเราบอกว่า เรา เราลืมยกเลิกใช้อย่างเงี้ย เราลืมยกเลิกใช้ มันก็จะตัดบัตร เครดิตเราไปเรื่อยเรื่อย โดยที่เราอ่ะ ไม่อยากเราไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันนี้แล้ว แบบเนี้ย เพราะฉะนั้นตรงเนี้ย เราก็ต้อง มันเช็คตัวเอง แล้วก็ไปตั้งค่า เนาะ ว่า อ่า เดือนหน้าเราจะไม่ใช้บริการแอปพลิเคชันนั้นแล้ว เราก็ต้องไปเอาออกนะคะ เพราะไม่งั้นเนี่ยมันก็จะตัดบัตรเครดิตเราทุกเดือนนะคะ อันนี้ก็เป็นความเสี่ยง หรือบางคนเนี่ยอย่างเพื่อนอาจารย์อะ สั่งสินค้านะคะ ออนไลน์นี่แหละ แล้วก็ไปสั่งจากประเทศจีนโดยตรงนะคะ บางทีใส่บัตรเครดิตไปอย่างเงี้ย ดันระบบไม่เสถียรบางทีไปกดสองครั้ง กลายเป็นชำระเงินสองครั้ง บินคือเราไม่รู้ตัว บินกลับมาแบบเนี้ยนะคะ บินกลับมาตีไปสมมุติว่า จ่ายครั้งละ 2 หมื่น สมมุติบินบัตรเครดิตกลับมา บอกว่ากลายเป็น 4 หมื่น ก็ตกใจอย่างนี้ พอมันมีเรื่องแบบนี้ปุ๊บ ทำอย่างไร วิธีการแก้ปัญหาก็ต้องวุ่นวายนะคะ ต้องติดต่อไปที่บริษัทนู้นนะคะว่า ฉันจ่ายไปแล้ว ทำไมถึงไม่แจ้งฉันมาว่าจ่ายซ้ำ แล้วสินค้าส่งมาให้แค่ครั้งเดียว ต้องไปติดต่อธนาคารอีกนะคะ ก็จะมีความวุ่นวายมากนะคะ ตรงนี้ก็จะเป็นในเรื่องของความเสี่ยง ของการชำระเงินทางอินเตอร์เน็ตนะคะ อาจจะอยู่ที่ตัวเราด้วยเนอะ แล้วก็ในเรื่องของบริษัทที่เราจะ บอกว่ามันมีความน่าเชื่อถือหรือเปล่าเนี่ยก็ต้องเช็คนะคะว่าการที่จะซื้อสินค้ากับเขาเนี่ยอ่าเขามีความน่าเชื่อถือกับเราจริงๆไหมเนาะบางทีไม่ใช่ว่าอยากได้สินค้าอย่างเดียวนะคะแต่ว่าไม่เห็นเนาะว่าคนที่เขารับบริการจากร้านเนี่ยอาจจะมีการคอมเม้นต์เยอะแยะมากมายเลย ว่าสินค้าเนี่ยไม่ต้องปกบังสินค้าไม่มีคุณภาพอะไรอย่างเงี้ยบางทีเนี่ยรูปภาพหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เขาลงบน บนสื่อ บนโซเชียลเนี่ย บางทีมันอาจจะเป็นภาพปลอม หรือว่าภาพไม่ตรงปก เหมือนที่เราพูดกันก็ได้นะคะ ดังนั้นก็ต้องดูให้ดีก่อนที่จะชำระสินค้า หรือว่าตัวเราเอง จะกดชำระสินค้า อะไรก็แล้วแต่เนี่ย ก็ต้องเช็คด้วยนะคะ ความรู้เรื่องของกฎหมายในการทำธุรกรรม ค่อนข้างสำคัญมากเลย เพราะว่าการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เนี่ย ผู้ประกอบการนะ หรือแม้แต่กระทั่ง ผู้ที่เป็นผู้บริโภคก็ต้องมีความรู้ทางด้านกฎหมาย ไม่ว่าสมมุติเราจะขายสินค้านำเข้า เราก็ต้องรู้ว่าสินค้านำเข้ามีการเสียภาษีนำเข้าสินค้ามาหรือเปล่า ไม่ใช่รักรอบเอาเข้ามา หรือสินค้ามีลิขสิทธิ์ เราก็จะต้องรู้ว่าภาพไหนที่เราสามารถที่จะเอามาลงบนโซเชียลได้ ถ้าสมมุติว่าเราไปเอาภาพลิขสิทธิ์ของเข้ามาแต่เราดันขายของ Copy แบบนี้ อันนี้ก็เกิดปัญหาได้ อาจจะมีทนายความของบริษัทที่เป็นลิขสิทธิ์มาหาเราถึงที่เลย โดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วก็อยู่ๆมาบอกว่าภาพนี้มีมูลค่าเป็นแสนบาท อ้าว ก็เราก็เสียหายนะคะ เราก็เป็นผู้เสียหายไปเลย เราก็ไม่ได้เป็นผู้เสียหาย เราก็เป็นคนที่จะต้องไปชดใช้เงินโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นตรงนี้ก็ต้องรู้กฎหมาย หรือในเรื่องของการเสียภาษี การเสียภาษีก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นบริษัทที่ ไม่ใช่บริษัทแล้วกัน ผู้ประกอบการที่มีการขายสินค้าที่มีรายลับต่อวันเยอะ อย่างนี้ ก็จะมีการตรวจสอบบัญชี อย่างสมมุติเราเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กอย่างนี้ เราอยากทำธุรกิจของเรา แรก เงินเข้ามาต่อวันมันไม่เท่าไรหรอกนะศึกษา เวลามันมีการตรวจสอบมันอาจจะน้อยนะครับ เพราะว่าเงินมันเข้ามาไม่เยอะ แต่ถ้าเราธุรกิจดี ขยับขยาย อยู่ นักศึกษาจะเอาบัญชีตัวเราเอง เปิดบัญชีชื่อเรา แล้วก็ ให้เงินเข้ามาตลอดเวลาอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันจะมีการตรวจสอบเรื่องของรายลับของเรานะคะตรงนี้ เวลาเราโตขึ้นเราก็จะมีในเรื่องของการเสียงคนธรรมดา คราวนี้มันจะไม่มีคนธรรมดาแล้วไง เพราะว่ารายได้มันเกินกำหนดนะคะ เกินกำหนด เราจะเห็นว่าเป็นลักษณะของการเปิดบริษัท หรือว่าเปิดเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้นมาจะมีการจ่ายภาษีนะคะ แล้วก็คราวนี้วิธีการไม่ใช่เรื่องภาษีนะ จ่ายภาษีให้ถูกต้องนะฮะ ไม่งั้นเราอ่ะจะรายได้เยอะ ถ้าเป็นชื่อเราอ่ะ รายได้มันเยอะเกินไป ฐานของรายจ่ายที่เราต้องจ่ายภาษีรายปี มันก็จะหนักมากนะคะ บางทีก็จะจ่ายเป็นแสนอย่างเงี้ย บางทีไม่ไหว เพราะฉะนั้นการเปิดเป็นชื่อบริษัทหรือว่าหอจกรเนี่ย มันจะมีเรทของการจ่ายภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่ ลักษณะเนี้ยก็จะเป็นเรื่องของความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายทั้งสิ้นนะคะ หรือสินค้าเราไม่ตรงปกนะคะ แบบเนี้ย แล้ว มีผู้มาร้องเรียนเราแบบนี้ เราจะต้องแก้ปัญหายังไง หรือเราเป็นผู้บริโภค เราจะไปร้องเรียนคนที่ทำให้บริโภคสินค้าไม่ตรงปกกับเรา เราก็จะต้องรู้วิธีการทางด้านกฎหมายพวกนี้ และนี่จะเกี่ยวข้องหมดเลย ขาดความรู้เรื่องอินเทอร์เน็ตอย่างนี้ อย่างของเราก็ไม่เท่าไหร่หรอก เราก็ยังมีความรู้อยู่แล้ว แต่ว่าอย่างถูกประกอบธุรกิจลักษณะ E-Commerce เนี่ย เขาก็จะขาดความรู้เนอะ แต่ว่าในปัจจุบันนี้มันก็จะมีสื่อต่างๆที่บอกวิธีการในการใช้งานอินเตอร์เน็ตให้รู้เรื่องขึ้น หรือแม้แม้กระทั่งบางทีเราไลก์สดอย่างนี้ มีการไลก์สดก็ถือเป็นโซเชียลใช่ไหม ผ่านเฟซบุ๊ก ก็จะมีการทำพวก CG อย่างนี้ เป็นภาพ Blackout ประกอบเวลาเราขายของอะไรละ พวกนี้มันต้องใช้อินเตอร์เน็ตค่อนข้างสูงเนาะ ต้องใช้ความเร็วเพราะว่ามันมีเหมือน cg เข้าไปช่วยอ่ะบางทีเราใช้อินเตอร์เน็ตบ้านอย่างเงี้ยอย่างเดียวมันก็อาจจะไม่ไหวนะคะมันก็อาจจะต้องไปเพิ่มสปีดของอินเตอร์เน็ตให้เร็วขึ้นนะคะแล้วก็จะต้องมีเทคนิคเพราะฉะนั้นพวกนี้เขาจะมีพวกไฟล์เทคนิคนะคะเพื่อที่จะทำให้ระบบเขามันสะเทียนมากขึ้นเวลาเขาทำการไลฟ์สดหรือว่ามีการเก็บดาต้าของลู สมมุติเราสั่งซื้อออนไลน์อย่างนี้ ซื้อระหว่างเขาไลฟ์อยู่ ถ้าเราได้สินค้ามันก็จะมี การตอบอัตโนมัติกลับมาแบบนี้ พวกนี้มันต้องใช้อ่าอินเตอร์เน็ตทั้งสิ้นเลยนะคะ อืม คราวนี้ อ่า สินค้าที่มันเป็นเทรนนะคะ ในตั้งแต่ปีสองพันสิบเก้ามาจนถึงสองพันยี่สิบที่ อ่า e-commerce เนี่ย อ่า ทํากันยิ่งเลย ก็คืออันแรกก็จะเป็นพวกแฟชั่นนะคะ พวกสินค้าแฟชั่น กระเป๋ารองเท้าพวกเนี้ย จนถึงปัจจุบันเนอะ ปีสองพันยี่สิบเอ็ดก็ยังมีอยู่นะคะ อันดับสองก็จะเป็นพวกของอ่า เครื่องสําอาง พวกสินค้าไอทีอะไรพวกเนี้ยนะคะ ที่ ในปัจจุบันเนี่ยขาดไม่ได้อยู่แล้วนะคะ 2021 เนี่ยก็ยังมีสินค้า IT อยู่นะคะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราก็เรียนออนไลน์ใช่ไหม ใครที่ไม่มีแคปเล็ตไม่มีโน้ตบุ๊กเนี่ย ก็พูดตรงๆว่ามันไม่ได้แล้วนะคะ เพราะว่าคือยังไงก็ต้องมีนะคะ คือมันก็ต้องมีอะ ไม่ว่าจะด้วยยังไงก็แล้วแต่นะคะ มันก็ต้องมี PC เนี่ยก็ต้องมี ต้องอย่างใดอย่างหนึ่งเนาะ เพราะไม่งั้นเราก็จะไม่สามารถที่จะเรียนออนไลน์ได้ หรือว่าทุกอย่างมันเป็นลักษณะของ การใช้เครือข่ายหมดแล้วนะคะ แล้วก็อันดับ 3 ก็จะเป็นเรื่องของพวกเสื้อผ้ามือ 2 นะคะ พวกสินค้าที่เป็นของมือ 2 นะคะ ที่เขาก็ยังคงนิยมกันอยู่นะคะ ตามช็อปต่างๆ อย่างนี้ ช็อปที่บนห้างก็จะมี ร้านขายสินค้ามือ 2 ในพิศนโลกรู้สึกจะไม่มี จะมีแต่เป็นแบบ เหมือนโกดังใช่ไหม แต่ว่าในกรุงเทพฯ หรือว่าในจังหวัดบางจังหวัดที่ใหญ่ๆ นะคะ เป็นของพวกญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกงอะไรแบบเนี้ย เขาก็จะมาตั้ง ตั้ง บูธ ขายนะคะ เป็นเป็นเช่าเป็นเป็นเป็นเป็นเป็น เป็นร้าน ร้านหนึ่งอยู่ในห้างเลยอย่างเงี้ยนะคะ มาสมัยก่อนอาจารย์ก็จะไปดูบ่อยเนอะ เวลาไป คือไม่ได้บูรีนะ แต่ว่าสินค้าเขาดีจริงจริง สินค้าของเขาว่าดีจริงจริง บางอย่างอาจารย์ก็ยังซื้อกลับมาเลยนะคะ ซื้อกลับมาใช้ เพราะว่าเนื้อผ้าเขาก็จะดีกว่าของของไทยนิดหนึ่งเนี้ย อ่า มันมันมันเหมือนเหมือนคืออย่างงี้ พวกญี่ปุ่น ฮ่องกง ประเทศจีน อะไรพวกนี้ เขาจะมีค่านิยมก็คือว่า เขาอยากจะทำให้เศรษฐกิจเขาโตนะคะ ดังนั้นเนี่ย เขาจะใส่เสื้อผ้าไม่ให้เก่า หมายความว่า เขาจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกซีซั่น เขาก็จะเปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน คือเวลานักศึกษาดูซีรีส์นะคะ หรือว่าดูหนังนะเนอะ ที่เป็นพวกญี่ปุ่น เป็นพวกฮ่องกง เกาหลี อะไรอย่างนี้ นั่นจะสังเกตสภาพเขาเนอะ เขาก็จะเหมือนเป็นไปตามเทรนด์อยู่ตลอดเวลา ลักษณะนี้ เพราะฉะนั้นเขาใส่ปุ๊บ ยกเว้นคนที่แบบไม่มีฐานนะ อีกเรื่องหนึ่งคนที่เป็นระดับกลาง ระดับกลาง ของสังคม เขาจะเปลี่ยนตลอดนะคะ อย่างตอนนั้นท่านเคยไปฮ่องกงเนาะ น้องอัญสาห์รู้ไหมตามห้างเนี่ย ห้างที่แตกเลยนะ คือที่เป็นบูธ ที่เป็นพวกเสื้อผ้านะคะ เราก็บอก เฮ้ย นี่รถแล้วเหรอ ความรู้สึกร้องคนไทยใช่ไหม เราก็บอก เฮ้ยเนี่ย นี่เขารดราคาแล้วเหรอ เออ คือเราก็เลยรู้สึกว่ามันแพง แต่เขาเนี่ย โห ซื้อกันเป็นตะก้าเลยนะศักดิ์สาว โห ซื้อๆๆ เยอะมากเลยนะฮะ เขาจะมีเทศกาลเป็นซีซั่นของเขา คือบางทีเขาก็ลดไม่ได้เยอะนะฮะ แต่ว่าความรู้สึกเขาคือเขาต้องเปลี่ยน ของเขาเนอะ แต่ของเราเราก็แบบ เออ นานๆ ไปไง เราก็ซื้ออะไรอย่างเงี้ย แต่เราก็รู้สึกว่ามันแพง อย่างบางทีอย่างเสื้อผ้าที่เราใส่ในเน็ต ในทุกวันนี้เราก็จะใส่ซ้ำๆ ใช่ไหมคะ ใส่ซ้ำๆ แล้วก็ถ้าเป็นผ้าที่ผลิตที่บ้านเราเนี่ย ก็ผ้าก็จะบางหน่อย ฟาชั่นผ้าบางใช่ไหม แต่ถ้าสมมติว่าเป็นฟาชั่นของเราที่เป็นแบรนด์ ติดแบรนด์อะไรพวกนี้นะคะ พวกท็อปชอปอะไร จังก็ไม่แน่ใจเนอะ ไม่ค่อยได้ซื้อแบรนด์แบบของคนไทยใส่ ดังนั้นเนี่ยมันก็จะเหมือนกับ มันจะแพงชุดนึง สมมติเป็นชุดเซตอย่างนี้ ก็ 700-800 แล้วอย่างนี้ อาจารย์ก็มองว่ามันแพงจัง อันนี้คือผ้าไทย ผลิตในไทย แต่พอเราไปช็อปสินค้ามือสองบางอย่าง สินค้าเขาคุณภาพดี เนื้อผ้าดีถ้ามีโอกาส แต่เราต้องเลือกไม่ใช่ว่าไปเอาที่มันแย่ๆ เราก็ต้องดูมันมีเกรดที่มันเกรด A มี แล้วก็ไม่ได้แพงมาก แล้วผ้าก็ใส่ค่อนข้างดี ในลักษณะนี้มันก็เป็นค่านิยมของเขา เพราะเขาต้องการให้เศรษฐกิจเขาโต มีสินค้า มีเรื่องของการผลิตเพิ่มขึ้น แล้วก็มีการเอาสินค้าขายออกสู่ทองตลาดมากขึ้น ดังนั้นเนี่ย เสื้อผ้าบ้านเขาน่ะจะล้นมากเลย มันก็เลยส่งตรงแบบประเทศเพื่อนบ้าน แบบพวกเราอะไรอย่างนี้เนอะ ว่าประเทศแบบพวกเรา ว่าสินค้าก็ยังโอเค มีคุณภาพอยู่ แต่เราไม่ค่อยคิดอะไรอย่างนี้ เราก็ซื้อได้อะไรอย่างนี้นะคะ แต่ว่าบ้านเขามีค่านิยมแบบนั้นนะคะ คราวนี้ธุรกิจที่จันพูดไปแล้วเนาะ เดี๋ยวนี้ก็จะมีพวก โซเชียลต่างๆ นะคะ พวก Shopee, Lazada ตัวอย่างนะคะ จะมีมากกว่านั้นเนาะ ก็อาจจะเป็นแอปพลิเคชันที่บริษัทเขาทำขึ้นมาเอง อย่างพวก Ikea นะคะ Central อะไรพวกนี้ Robinson อะไรอย่างนี้นะคะ Big C, Lota อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็มีแอปพลิเคชันของตัวเองแล้วนะคะ พวกนี้เป็น E-Commerce ทั้งสิ้นเลยนะคะ ก็คือเหมือนกับถ้าเป็นพวก Shopee, Lazada อะไรพวกนี้ ก็คือเป็นพลัตฟอร์มที่อย่างเราจะเปิดธุรกิจของเราเนาะ เราเป็นผู้ค้าไร่ย่อยอย่างนี้ เราก็เอา บ้านของเราเนอะ บ้านเรียกของเราเนี่ย ไปใส่ไว้ในแอปพลิเคชันพวกนี้ พวก Lazada พวก Shopee อันนี้มันจะมีคำหนึ่งก็คือคำว่า E-Business นะฮะตัวนี้ มันก็ใหญ่กว่า E-Commerce เนอะ จากรูปนั้นสาเหตุแล้วล่ะว่ามันคลุม E-Commerce นะคะ มันก็มีความแตกต่างของคำอยู่เนอะ อ่ะ ลองมาดูคำว่า E-Business ก็คือภาษาไทยจะเรียกว่าเป็นธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์นะคะ ถ้าสมมุตินักศึกษาเรียนจบปริญญาตรีไปแล้วเนี่ย มันจะมีสาขา อาปริญญโทสาขานึงก็คือสาขาอีบิซิเน็ตเนาะใครสนใจก็อยากเรียนต่ออะไรอย่างนี้ก็ไปเรียนได้ถ้าใครจะทำธุรกิจในอนาคตหรือว่าอยากจะได้อาวุธปริญญโทอะไรอย่างนี้มันก็จะมีสาขาอีบิซิเน็ตโดยตรงเลยนะคะก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียนอ่าวิทยาการคอมพิวเตอร์หรือว่าไปเรียนเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างนี้ม ปริญญาโทก็มีชื่อสาขา e-Business เลยลองไปดูนะคะ มีหลายมหาวิทยาลัยที่เปิดนะคะ ก็สามารถไปเรียนต่อได้ ก็ถ้าพูดถึงคำว่า e-Business ก็คือเป็นในเรื่องของกระบวนการดำเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีเครือข่ายนะคะ เขาจะเรียกว่าเป็นอินเตอร์เน็ตเวิร์กนะคะ Enterprise ตัวนี้ แล้วก็มีการสื่อสารผ่านโทรคคมนาคมต่าง นะคะ ไม่ว่าจะเป็น e-Commerce ที่พูดไปแล้วก็อยู่ภายใต้ e-Business เนอะ หรือในเรื่องของตัว Enterprise Communication and Collaboration ก็คือการติดต่อสื่อสารในการทำงานร่วมกัน หรือในเรื่องของการทำธุรกิจภายในองค์กร นะคะ Internal Business System อะไรพวกนี้ ก็จะอยู่ภายใต้ E-Business นะคะ E-commerce ก็เป็นตัวหนึ่งนะคะ ก็จะเป็นภาพดังหน้าที่ 17 นี้นะคะ โดยผ่านเครือข่ายธุรกรรมนาคมที่จันบอกไปแล้ว ก็จะมีเครือข่ายอะไรบ้าง 3 เครือข่ายก็ขึ้นอยู่กับเราใช้เครือข่ายแบบไหนนะคะ อินเตอร์เน็ตก็คือ เราใช้อยู่ทุกวันเนี่ยคืออินเตอร์เน็ตนะคะ อินเตอร์เน็ตก็คือภายในองค์กรนะคะ ส่วนเอ็กซ์ตราเน็ตก็จะเป็นเครือข่ายระหว่างประเทศนะคะ ก็จะเป็นอาจจะเป็นภาครัฐที่อยู่ประเทศเรากับประเทศอื่น อย่างเงี้ยนอกประเทศก็จะใช้เป็นเครือข่ายที่ต่อสื่อสารแบบอินเตอร์เน็ตนะคะ ส่วน 3 ด้านนี้ก็คือเมื่อกี้เนาะ ที่อาจารย์พูดไปแล้วนะ E-commerce ก็เป็นตัวนึงนะคะ อย่าง E-mall, E-mail, Teleconference อะไรพวกนี้ ก็จะอยู่ในเรื่องของ Communication and Collaboration นะคะ ก็จะถือว่าเป็น E-business ประเภทหนึ่งเหมือนกัน แล้วก็ ERP นะคะ อีกตัวนึงนะคะ ก็จะเป็นในเรื่องของการดำเนินการธุรกิจภายในนะคะ ทีนี้ E-commerce มันมีประมาณ 6 แบบนะครับ แบบแรกก็คือ B2B นะคะ นักยุษฎาสังเกตว่าเขาจะเอาคำว่า ตัวภาษาอังกฤษนะคะ ตัวใหญ่มาก็คือเป็น B2 แล้วก็ B ก็คือการซื้อขายระหว่างผู้ผลิตด้วยกันเอง เหมือนอาจารย์เคยยกตัวอย่างไปแล้ว ในเรื่องของเป็นลักษณะของ supplier ในเรื่องของผู้ผลิตรถยนต์กับผู้ผลิตวัตถุดิบในการผลิตรถยนต์ เช่น แผ่นเหล็กอย่างนี้นะคะ ลักษณะการเป็น supplier ร่วมกันนะคะ โดยที่เมื่อสต๊อกสินค้า สต๊อกสินค้าคือสต๊อกของวัตถุดิบ ในการผลิตรถยนต์หรือแผ่นเหล็กลดลงนะคะ ก็คนที่เป็น supplier ร่วมกันเนี่ย เขาก็จะมาเช็คในระบบโดยผ่าน EDI ก็คือโดยการสื่อสารผ่านนะคะ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นะคะ เข้ามาออนไลน์ดูเนอะว่า ข้อมูลของสต๊อกสินค้าลดลงหรือเปล่า แล้วเขาก็จะเอาผ่านเหล็กมาเติม ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์นะคะ เหมือนที่อาจารย์เคยยกตัวอย่างไปบทแรกๆ บทที่บทแรกๆนะคะ อาจารย์จำบทไม่ได้แล้วนะคะ คราวนี้พวกนี้เขาก็จะทำหน้าที่นะคะ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แล้วก็ทำสัญญาร่วมกันนะคะ อาจจะเป็นรายปีอะไรอย่างนี้นะคะ ก็แล้วแต่ข้อตกลงในการทำสัญญาร่วมกันนะคะ เพราะว่าผู้ผลิตมันก็ไม่จำเป็นจะต้องมี supplier แค่เจ้าเดียว ก็อาจจะมีหลายๆเจ้าก็ได้ ก็ขึ้นอยู่กับ สิ่งที่เราจะสั่งวัตถุดิบจากเขานั่นเองนะคะ แบบที่ 2 ก็คือเรียกว่าเป็น B2G นะคะ B2G ก็คือธุรกิจกับรัฐบาลนะคะ Business to Government เนาะ Business กับรัฐบาลเนาะ ก็คือ โทษนะ ธุรกิจกับรัฐบาลนะคะ ก็คือ Business to Government ก็คือจะเป็นการค้าระหว่างองค์กรเอกชน กับรัฐบาลผ่านเครือค่าอินเตอร์เน็ตนะคะ อาจารย์ยกตัวอย่างเช่น การประมูลออนไลน์แบบนี้นะคะ เช่น สมมุติว่าภาครัฐอยากจะได้อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ หรือว่าเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ หรืออยากได้คอมพิวเตอร์ อยากได้สินค้าไอทีอะไรต่าง นะคะ อยากจะได้สแกนเนอร์ อยากจะได้ปรินเตอร์ อยากจะได้โน้ตบุ๊ก อยากจะได้ PC อะไรพวกนี้นะคะ เขาก็จะให้บริษัทที่เป็นเอกชนเข้ามาทำการประมูลออนไลน์แข่งการประมูล ใครที่สเปคสูง แต่ราคาถูกที่สุด เขาก็จะเลือกบริษัทนั้นเพื่อที่จะมาทำการซื้อขายร่วมกันนั้นเอง ลักษณะนี้ก็จะเป็นธุรกิจกับภาครัฐ อยู่ในเรื่องของเว็บไซต์กรมสัมภากร ก็จะอนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ ทำธุรกิจเนี่ย สามารถยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือว่า พ.พ. 30 เขาจะเป็นชื่อแบบของการยื่นแบบภาษีนะคะ ของภาคธุรกิจเนี่ยเข้ามานะคะ หรือว่าเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจเนี่ย จะให้บริการในการจดทะเบียนบริษัทนะคะ หรือว่าจองชื่อในการจดทะเบียนบริษัท ใครอยากบริษัทก็มาใช้บริการกับเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้นะคะ ลักษณะนี้ก็จะเป็นในเรื่องของ B2G แบบที่ 3 นะคะ ก็จะเป็น B2C นะคะ B2C ก็คือ ธุรกิจกับผู้บริโภคนะคะ ก็คือเป็นลักษณะของการทำธุรกิจซื้อขายนะคะ กับผู้บริโภคโดยตรง ก็คืออย่างเช่น เราไปซื้อสินค้ากับพวกบริษัทต่าง นะคะ พวกนี้ก็อาจจะเป็นร้านบริษัทขนาดเล็ก หรือว่าขนาดกลางที่จันบอกเนอะ เหมือนที่เราซื้อของออนไลน์แบบนี้ บางทีเราก็ไม่ได้ซื้อกับบริษัทใหญ่ นะคะ เราก็ซื้อกับบริษัทขนาดเล็ก ก็ได้ ตรงนี้ก็ทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางกับขนาดเล็ก สามารถที่จะแข่งขันกับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ได้ อีกอันหนึ่งก็เป็นแบบที่ 4 ก็เป็น G2G G2G ก็เป็นรัฐบาลกับรัฐบาล ซึ่งตัวรัฐบาลกับรัฐบาล เขาก็จะเป็นการแลกเปลี่ยนการทำธุรกรรมอย่างเช่นประเทศไทยกับ ประเทศอื่นๆ นะคะ ซึ่งอันนี้เนี่ย ก็จะใหญ่ใหญ่ขึ้นไปใหญ่ที่สุดเลยนะคะ เป็นรัฐบาลกับรัฐบาลนะคะ เช่น การซื้อสินค้าระหว่างประเทศแบบเนี้ยนะคะ การนําเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามา แต่เป็นภาครัฐบาลในการกําหนดนะคะ อันหนึ่งก็คือ G2C นะคะ ก็เป็นประชาชน รัฐบาลกับประชาชนนะคะ ก็เป็น Government to Citizen อย่างเราเป็นประชาชน ยกตัวอย่าง เช่น การให้บริการ ไม่ได้เป็นแค่การซื้อขายนักศึกษา อาจจะเป็นเรื่องของการให้บริการก็ได้อย่างที่จันบอก การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบนี้ อย่างนักศึกษาโตไป หรือคุณพ่อคุณแม่เรามีรายได้ทุกปีก็ต้องมาจ่ายภาษีแบบนี้นะคะ อย่างเราอ่ะ เราทำงานในอนาคตเราก็ต้องจ่ายภาษีนะคะ แต่ถ้าเราจ่ายภาษีทุกปี ทำไมเราถึงแบบนั้นแบบนี้ แต่ว่ามันก็เป็นกฎหมายนะคะที่เราจะต้องจ่ายนะคะ เพื่อที่จะเอาเงินไปทำอะไรก็แล้วแต่ของประเทศเนาะ ก็เป็นลักษณะของการยื่นภาษีนะคะผ่านเว็บไซต์กรมสัมผักรมากสมัยก่อนอ่ะ อาจารย์จ่ายภาษีอ่ะอาจารย์ก็ต้องไปที่สัมผักรเองใช่ไหม แล้วก็คุณก็จะเยอะมากเลยนะคะในการจ่ายภาษี เดี๋ยวนี้ก็สบายนะคะไม่ต้องตายล่ะก็จ่ายภาษีออนไลน์ไปเลย แล้วก็ตัดเงินผ่านบัตรนะคะผ่านธนาคารอะไรอย่างนี้นะคะ ผ่านพร้อมเพลย์อะไรอย่างนี้ก็ผ่านได้หมดเลย รวมทั้งเขาก็จะมีให้บริการว่าจะชำระ เต็มยอดหรือว่าจะผ่อนชำระอะไรอย่างเงี้ยถ้าชำระเต็มยอดก็จ่ายทีเดียวตู้มเลยค่ะก็จะก็จะค่อนข้างแพงแบบเนี้ยเนอะเราก็บอกว่าเออมันมันไม่ไหวอะไรอย่างเงี้ยเราก็ขอผ่อนชำระได้ไหมอ่าสองวัดสามวัดเขาให้สูงสุดสามสามเดือนนะคะแบบ เนี้ยก็แล้วแต่เรานะคะเช่นเราคิดว่าเราเราไม่ไหวในการจ่ายทีเดียวเราก็ขอผ่อนขอผ่อนได้เขาก็จะมีให้เราเลือกว่าเราจะผ่อนกี่เดือนนะคะเต็มที่คือสามเดือนไม่เกินสามเดือนนะคะอืมก็ง่ายขึ้นอันนี้ก็เป็นการให้บริการที่ ที่ถือว่าค่อนข้างทำให้ประชาชนสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ต้องไปต่อคิวแล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาในการที่จะเดินทางไป มีค่าใช้จ่าย ค่าน้ำมง น้ำมัน บางทีเรามีกิจกรรมอย่างอื่นที่จะต้องทำ แต่ว่าเราจะต้องไปต่อยื่นภาษีเป็นวันก็ไม่ไหว แบบที่ 6 ก็คือ C to C คือผู้บริโภคกับผู้บริโภค อันนี้ก็จะเป็นลักษณะของการให้บริการโดยตรงระหว่างคนกับคน เช่น สมมุติอาจารย์จะขายสินค้าให้นักศึกษา จะเป็นผู้บริโภคอย่างนี้ อาจจะไม่ได้เปิดบริษัทไม่ได้อะไรเลย เพราะว่าอาจจะไม่ได้ขายแบบจริงจังอะไรอย่างนี้เนอะ ก็เป็นลักษณะนี้ ก็ซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตก็ได้นะคะ หรืออาจจะเป็นเรื่องของการขายที่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ยังไม่ได้ทะเบียนบริษัทหรือว่าหอจกรแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นลักษณะของผู้บริโภคกับผู้บริโภค บางทีเราโอนเงินไปให้กับชื่อใช่ไหม เขาจะมีชื่ออะไรอย่างนี้ ลักษณะนี้ก็จะเป็นผู้ประกอบการที่เป็นผู้บริโภคโดยตรงเหมือนกันนะคะ รูปภาพนี้ก็จะเป็นรูปแบบของการค้าพันธุ์อิเล็กทรอนิกส์นะคะ ซึ่งก็จะมี อย่าง B2B ก็จะเป็น EDI นะคะ เมื่อกี้จันพูดเข้า ไปแล้ว นั้นสัก ย้อนดูมันคืออะไร E-Government นะคะ การให้บริการของภาครัฐบาล E-Retailing ก็เป็นลักษณะของ การให้บริการที่เป็น Electronic ค้าปลีก การขายแบบขายปลีกนะคะ อะไรพวกนี้เนอะ E-Community นะคะ เป็นลักษณะของ ชุมชนกับชุมคนกับคนอะไรอย่างนี้นะคะ เป็นสังคมกับสังคม คัสเตอร์เมอร์ ทูคัสเตอร์เมอร์ ก็ลองไปดูนะคะ ย้อนกลับไปดู 6 แบบเมื่อกี้แล้ว แล้วฉันก็ใส่ข้อมูลลงไป ตรงนี้ก็จะเป็น EDI ด้วยนะครับ E-Government นะคะ ตอนนี้ภาพถัดไปนะคะ สไลด์ถัดไปก็คือจะเป็นในเรื่องของรูปแบบการค้าพันธุ์อินเด็กทรอนิกส์ จะแบ่งเป็น 8 แบบนะคะ 8 แบบก็คือแบบแรกก็คือจะเป็น Online Catalog ก็คือสินค้าออนไลน์นะคะ ที่สมมุติเราเข้าไปดูบนอินเตอร์เน็ตเนี่ย มันก็จะมีรายการสินค้าอยู่เนาะ เออว่า มีอะไรขายอะไรบ้าง ลักษณะนี้ก็คือเขาเรียกว่าเป็น Online Catalog นะคะ ในเว็บไซต์ก็ยังมีอยู่เนอะ ขายบนเว็บไซต์ก็มีในแอปพลิเคชันต่าง ก็มีรูปภาพของสินค้าต่าง อยู่ เขาจะเรียกว่าเป็น Online Catalog แบบที่สองเขาจะเรียกว่าเป็น E-Retailing หรือว่า E-Tailor ก็คือเป็นร้านค้าปลิกอิเล็กทรอนิกส์ ก็คือจะเป็นร้านค้าบนอินเตอร์เน็ต ที่ขายสินค้าให้กับผู้บินโพรคโดยตรง ผ่านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นะคะ โดยไม่ต้องผ่าน E-Marketplace ก็คือ ไม่ต้องผ่านตลาดกลาง เดี๋ยวมันจะมีเรื่องของคำว่าตลาดกลางด้วย ว่ามันคืออะไรนะคะ ก็คือพวกนี้ที่ขายพวกที่เป็นร้านค้าที่ขาย เขาก็จะระบุสินค้าแล้วก็ค่าขนส่งให้เราเลยนะคะ โดยรับคำสั่งซื้อผ่านระบบอัตโนมัติอะไรแบบนี้นะคะ ก็ชำระเงินอาจจะผ่านบัตรเครดิต เขาจะเรียกว่าเป็น e-tailing หรือว่า e-tailer แบบที่ 3 นะคะ เขาจะเรียกว่าเป็น e-actions ก็คือการประมูล อิเล็กทรอนิกส์นะคะก็พวกร้านค้านะคะก็ไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์เป็นของตนเองแต่ว่าไปใช้เว็บไซต์ประมูลสินค้านะคะเราอาจจะเคยเข้าไปประมูลหรือเปล่าจังไม่แน่ใจแต่จะเคยเข้าไปประมูลสินค้าอย่างเช่นการประมูลมันจะมีสองแบบการประมูลแบบแบบที่มีผู้ขายเสนอสินค้าก่อนแล้วเราอ่ะไปแข่งกันถ้าเราได้คะแนนอาจไ���้ เช่นสมมุติว่า มาก่อนจันทร์ชอบซื้อสินค้ามือ 2 มาก่อนสมัยก่อนเลยจันทร์จะชอบไปประมูลพวกรองเท้ามือ 2 เขาก็จะเอารูปรองเท้ามาโพสต์นะฮะ เอาแบบง่ายๆ แล้วกันเนอะ เอารูปรองเท้ามาโพสต์ แล้วเขาก็จะตั้งราคา เขาก็จะถ่ายทุกมุมอะไรอย่างนี้นะ ว่ารองเท้าแบรนด์ สภาพใหม่เอี่ยม นู่นนี่นั่นใช่ไหม แล้วก็ตั้งราคาว่าเท่านี้บาท แล้วเขาก็จะให้เวลาเราในการเข้าไปประมูล หมายถึงว่าอาจจะ 1 ชั่วโมง 1 ชั่วโมง ถ้าเราให้ราคาสูงสุด นั่นคือเราได้สินค้าประเภทนั้นไป เราได้รองเท้าคู่นี้ไป อะไรอย่างนี้นะคะ หรือว่าพวกพระเครื่องแบบนี้ พระเครื่องเขาก็จะชอบเอาไว้ในเว็บประมูล เขาก็จะเอาไปตั้งราคา อย่างพระเครื่องเนี่ย ขายดีมากเลยนักศึกษา เขาจะตั้งราคาในเว็บประมูล ปุ๊บ ใครที่ดูพระเป็น รู้จักพระอย่างนี้ เขาก็จะไปตั้งราคา ว่าราคาเท่านี้ ใครให้ราคาสูงสุด ก็ได้ผ่าไป แต่ว่ารักษณะนี้มันก็ต้องอยู่ในเรื่องของความเชื่อใจกันด้วย บางทีสินค้าทุกประเภท นักศึกษาที่เป็นขายออนไลน์ มันต้องดูดเรื่องความน่าเชื่อถือ และความเชื่อใจด้วยนะคะ เพราะว่าอย่างบางทีผู้ขายเองก็ต้องกังวลคนซื้อใช่ไหม เพราะว่าบางทีคนซื้ออาจจะไปโกงเขาก็ได้ ไม่โอนเงินอะไรอย่างนี้ พอไม่โอนเงินปุ๊บสั่งสินค้าเยอะ แล้วไม่โอนเงินอย่างนี้ก็มี พออย่างนี้ปุ๊บเราเป็นผู้ขายเราก็ เราก็เฟลไง เราก็กลายเป็นว่าเราก็ต้องเอามาขายใหม่ สินค้าก็ยังอยู่ในสต๊อกอยู่อย่างนี้ ส่วนตัวผู้ซื้อเองก็กังวลในตัวผู้ขายว่า สินค้าตรงปกหรือเปล่า แบบนี้นะคะ ดังนั้นเนี่ย ลักษณะของการทำ E-Commerce เนี่ย มันอยู่กับความเชื่อใจ แล้วก็ความไวว่างใจเนอะ เออ แต่ว่าเราต้องทำยังไงให้เราเชื่อใจเขา แล้วก็เขาเชื่อใจเราเนี่ย ลักษณะนี้มันก็คือ มันก็มีความเสี่ยงนะคะ มีความเสี่ยงนะคะ คนนี้ อีกแบบหนึ่งก็คือ ผู้ซื้อเสนอซื้อก่อนนะคะ โดยผู้ขายเนี่ยแข่งกันเสนอราคา เราจะเรียกว่าเป็น Reverse Action นะคะ ก็คือการประมูลแบบย้อนกลับ อาจารย์ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ก็คืออย่างเช่น สมมุติ อ่า มี อย่างผู้หญิงอย่างเงี้ยบางทีอ่ะ เราอยากได้เสื้อผ้าเนอะ อ่า เสื้อผ้าที่เป็นแบบ อ่า สมมุติเป็นเรสละกัน อ่า เป็นเรสออกงาน อ่า ง่ายง่ายเลย เราก็แบบไม่อยากเช่า เราอยากซื้อ แต่ว่าอยากซื้อในราคาที่มันไม่แพง เราก็สวยหลู่น่ารักอะไรของเราไป เราก็ไปโพสต์ในกลุ่มเพจขายเสื้อผ้าสินค้า เราไปโพสต์ว่า อ่า ต้องการเรส สมมุติเนอะ เออ ต้องการเรส ออกงาน สี ฟ้า สมมุติอย่างเงี้ย อ่า ราคาอยู่ที่ 500-800 บาท โอ้โห สักพักนึงนะสัก ร้านค้าก็จะมาโพสต์ต่อใต้ โพสต์เราเต็มเลย เออ แล้วสถานีก็ถือว่าเป็นการประมูลได้เหมือนกันนะ ใครให้ราคาถูกที่สุด แล้วก็แบกตรงใจเรา เราก็เลือก โดยที่เราไม่ต้องไปควานหาว่า มีร้านค้าไหนขายเดรสบ้าง อะไรอย่างนี้นะคะ อันนี้ก็อาจจะทำให้เราเสียเวลา แต่ถ้าเราไปโพสต์แบบนั้นอ่ะ มันก็อาจจะทำให้เราได้สินค้าที่ตรงที่เราต้องการ แล้วก็ รวดเร็วด้วย ลักษณะนี้เขาเรียกว่าเป็น reverse action นะคะ แบบที่สี่นะคะ ก็คือเป็น web board นะ ก็คือการประกาศซื้อขายสินค้า ที่เป็นเว็บไซต์ชุมชนนะคะ ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน อย่างพันทิพย์เนี่ย ก็จะมี web board ของพันทิพย์เนอะ ก็จะให้เกรดข้อมูลความรู้ต่าง หรือในเรื่องของการโฆษณาอะไรอย่างนี้ สินค้าต่าง การรีวิวสินค้าอะไรอย่างนี้ หรือ web board อาจารย์ยกตัวอย่าง เช่น web board ของม.น.สวรรค์ อย่างม.เรา รู้สึกจะไม่มีมั้ง แต่อย่างของม.น. เขาก็จะมีเว็บบอร์ดสมัยก่อนตอนอาจารย์เรียนปริญญาตรี อาจารย์จบที่มหาวิทยาลัยนริสตรวน ก็จะไปดูเว็บบอร์ดของเขา สมมุติว่าเขาก็จะมีโพสต์เลยว่า หอพัก หอพัก มีหอพักอะไรบ้าง สมมุติเราจะไปหาหออย่างนี้ หอพัก สมมุติเราเป็นเด็กปี 1 เราเป็นเด็กปี 1 เราอยาก อ่ะ ไปเด็กปี 2 ก็ได้ ปี 1 เขาจะให้อยู่หอใน เราเป็นเด็กปี 2 ก็ได้ ปี 2 เราก็อยากอยู่หอนอกแล้ว ไม่อยากอยู่หอใน เราก็จะหาหอพักที่มันราคาไม่แพงมากนะคะ สภาพดีอะไรแบบนี้ เราก็ไปดูในเว็บบอร์ดของของม.น. ชุมชนม.น. อะไรอย่างนี้นะคะ เขาก็จะมีบอกว่า หอไหนราคาเท่าไร สภาพเป็นยังไง มาสมัยก่อนเนอะ หรือว่าเราเรียนใกล้จบแล้วนะคะ เรามีพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าเราที่เราไม่อยากจะขนกลับบ้านเรา สมมุติเราอยู่ต่างจังหวัดแบบนี้ รุ่นพี่เขาจะมาโพสต์ขายของในเว็บบอร์ด ที่เป็นเว็บไซต์ชุมชนของม.น. เนาะ ว่ามีหม้อหุงข้าว มีตู้เย็น มีทีวี คุณภาพแบบนี้ แบบนี้ ใช้มาแล้ว 3 ปี สภาพการใช้งาน 80% พวกน้อง ก็จะมาลุมซื้อกันในราคาถูก นักศึกษา ลักษณะนี้ก็จะเป็นการประกาศซื้อขายผ่านเว็บบอร์ดนะคะ แบบที่ 5 นะคะ ก็จะเป็นเรื่องของ e-marketplace ที่อาจารย์พูดไปสักครู่นี้ e-marketplace เนี่ยก็จะเป็นตลาดกลางเนอะ ดังนี้เราก็จะเห็นใน Facebook ก็จะประกาศให้มีพวก e-marketplace อะไรอย่างนี้ พวก market ต่างๆ อะไรอย่างนี้ e-market อะไรพวกนี้ คราวนี้มันก็จะมีแบบที่ทั้งเสี่ยงเงินกับไม่เสี่ยงเงินนะคะ บางทีก็อาจจะเข้ากลุ่มโดยที่เป็นสมาชิกฟรีอะไรอย่างนี้ ใครที่มีความสนใจหรือว่าใครที่ต้องการสินค้าประเภทเดียวกันก็จะมาอยู่ในกลุ่มนี้ แต่มันก็จะมีบาง e-marketplace ที่มีการเสียค่าสมาชิกก็มีนะคะ อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นตลาดกลางเพื่อซื้อขายสินค้านะคะ เรื่องเกี่ยวกับสินค้ากเศษ พวก Food Market Exchange อะไรพวกนี้นะคะ ก็จะมีในเรื่องของการสมัครเป็นสมาชิกนะคะ แล้วก็คนที่ขายสินค้ากเศษนะ บางทีสินค้ากเศษมันขายยากใช่ไหม เพราะว่ามันเสียเร็วอะไรแบบนี้นะคะ มันมีระยะเวลาอยู่ เขาก็ต้องการที่จะขายสินค้าให้ได้รวดเร็วขึ้น บางทีเราแบบไปขายตามตลาด หรือว่าเราส่งออกอย่างเดียว ส่งออกให้ลูกค้า ผู้ค้าไร่ย่อยมารับซื้อของเรา บางทีมันไม่หมด เราก็ต้องหาที่อื่นขายด้วย เราก็ต้องหาหลาย ช่องทาง เขาก็เลยเอาไปประกาศขายในตลาดกลาง ใครที่อยากที่จะซื้อสินค้าก็มาดูว่า ร้านนี้มีอะไรอย่างนี้ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการขายสินค้า ก็ประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างที่อาจารย์บอกว่าไม่ต้องคนไปขายเอง อาจจะบอกให้เขารู้ว่ามารับที่บ้านเราได้ หรือว่ามีตลาดกลางในการบอก ติดต่อกับผู้บริโภคได้แบบนี้นะคะ อันที่ 6 ก็คือ เป็น e-service ก็คือในเรื่องของการให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการชำระเงินออนไลน์ พวกธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ต่าง นะคะ หรือว่าตลาดแรงงานอิเล็กทรอนิกส์ในการให้บริการเข้าไป ค้นหาว่ามีงานทำตำแหน่งงานไหนว่างอะไรแบบนี้ เมื่อก่อนเราก็อาจจะต้องไปตามจอปแฟร์ต่าง นะคะ เดี๋ยวนี้เขาก็มีจัด แต่ว่ามันก็สูบเสี่ยงกับกัน มาเจอกันใช่ไหมเขาก็หยุดไปแต่ว่าเราก็สามารถเข้าไปดูในพวกเว็บไซต์ตลาดแรงงานต่างๆได้นะคะของภาครัฐบาลนะที่เขาอับประกาศรับสมัครในตามจังหวัดอะไรอย่างเงี้ยเขาก็จะมีให้บริการตรงนี้นะคะเขาจะเลือกเป็น e-service นะคะหรือในเรื่องของการให้บริการ อื่นๆนะคะ อื่นๆ เช่นการจ่ายภาษีอะไรพวกนี้นะคะ อ่า อ่า รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์นะคะ ก็ตรงนี้ก็จะเป็นในเรื่องของการ อ่า ให้บริการกับประชาชนนะคะ มากขึ้นนะคะ ในเรื่องของการ เช่น อย่างที่อาจารย์ยกตัวอย่างไปแล้วเนอะ เอ้ย ในเรื่องของการจ่ายภาษีมาอยู่ในหมวดนี้ดีกว่านะคะ ในเรื่องของการจ่ายภาษีของประชาชน หรือว่าในเรื่องของ อ่า การให้จดทะเบียน อ่า บริษัท ร้านค้า อะไรพวกนี้นะคะ ก็จะมีเว็บไซต์ให้บริการต่างๆ แล้วก็ Mobile Commerce นะ เป็นการพัฒนารูปแบบใหม่ โดยการติดต่อแบบ Wireless Communication เนอะ ผ่านสมาร์ทโฟนของเรานี่แหละ ทุกวันนี้เราก็จะใช้เป็น Mobile Commerce มากขึ้นนะคะ อันนี้เห็นภาพชัดอยู่แล้ว เราก็จะไม่มาเปิด PC หรือว่าเราจะไม่มาเปิดแท็บเล็ต มาเปิดโน้ตบุ๊ก อันนี้แท็บเล็ตเราก็ยังมีแอปพลิเคชันใช่ป่ะ หรือยังในสมาร์ทโฟนเราก็จะใช้แอปพลิเคชันในการซื้อขายสินค้า หรือว่าการให้บริการต่าง คราวนี้สมัยก่อนมันก็จะมี E นะฮะ E ต่าง นะ เข้ามาเนอะ อีอะไรบ้าง อีการ์ดเนอะ อีการ์ด อีเมลยังใช้อยู่นะคะ เขาเรียกว่าเป็นช่วงนี้เป็นอีฟีเวอร์ อีบุ๊กนะคะ อีทิเก็ตนะคะ อีเรินนิ่ง อีเรินนิ่งก็ยังมีอยู่นะคะ อีแบงกิ้งตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นไง ไอนี่ก็คืออินเตอร์เน็ตนะคะ อินเตอร์เน็ตแบงกิ้งเมื่อก่อนเป็นอีเล็กทรอนิกส์เนอะ แต่บาง บางอีเนี่ยก็ยังอยู่นะคะ อีแอคชั่นอะไรพวกนี้นะคะ เขาก็จะเรียกว่าเป็นกระแสอีฟีเวอร์นะคะ ทีนี้ก็มีพวก ไอพลัส ยัง e-ticket สมัยก่อนก็จะ อย่างเราจะจองตัวดูหนังแบบเนี้ย อ่า เมื่อก่อนเนี้ย อาจารย์ อาจารย์ก็จองตัวผ่านเว็บไซต์นะคะ เมื่อก่อนก็จะเป็นทนาใช่ไหม ในบิ๊กซีใช่ไหม ทนาใช่ป่ะ นักศัยยังอยู่กับอาจารย์ไหมคะเนี้ย ยังอยู่ไหม อยู่ค่ะ เคยทนทนากันไหม ที่บิ๊กซีเขาใช้ทนาไหมเมื่อก่อนอ่ะ เคยไปดูหนังที่บิ๊กซีสมัยก่อนมั้ง ที่มันยังไม่เปลี่ยนเป็นพวก Major อะไรพวกเนี้ย มันใช่ทานาไหม จันจำไม่ได้ ทันไหมคะ ใช่ค่ะอาจารย์ ทานาเนอะ เออ ทานเหรอใช่ไหม นั่นแสดงว่าเราก็รุ่นใกล้ใกล้กันใช่ไหมเนี้ย อืม เป็น เออ เมื่อก่อนอาจารย์ก็จะจองแบบผ่าน ผ่าน เว็บอ่ะเนอะ เลยอะไรอย่างเงี้ยนะคะ แล้วก็ไปถึงก็ไปรับตัวอะไรอย่างเงี้ยนะคะ แล้วก็มีโทรผ่านโทรศัพท์เนอะ แต่โทรศัพท์มันเก่าไปแล้ว ก็มีจองผ่านเว็บไซต์ ดูนี้ก็ จองออนไลน์ได้นะคะ ก็ผ่านแอปพลิเคชันได้เลย แอปพลิเคชัน Major อะไรอย่างนี้ เลือกสะโค้งสะขา อะไรอย่างนี้ แล้วก็ไปรับบัตรเอา อะไรอย่างนี้นะคะ e-card ก็จะเป็นสมัยก่อนเนี่ย ก็จะเป็นลักษณะของ จะส่งการ์ดไปให้เพื่อน อะไรอย่างนี้ การ์ดวันปีใหม่ การ์ดรอยกระทง อะไรของเราอะ ก็จะใส่คำโอ้ยพรเข้าไป แล้วก็กด Send ไปทาง Email การ์ดมันก็จะไปส่งไปที่ Email อะไรแบบนี้ เมื่อก่อนก็จะเป็นเทรนด์พวก e-fever นะคะ เดี๋ยวเดี๋ยวก็เริ่มพัฒนาเป็น i หมดแล้ว อันนี้ไปดูเองนะคะ หน้า 34 ก็คือจะเป็นในเรื่องของที่อาจารย์พูดไปเนี่ย เมื่อสักครู่นี้นะคะว่ามีประมาณไหนบ้างเนี่ย ตลาดคง ตลาดกลาง ล้านค้า แล้วก็เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายให้นะคะว่าสูงกลางปันกลางหรือว่าต่ำนะคะ สูงปันกลางหรือต่ำนะคะว่าค่าใช้จ่ายเป็นยังไงนะคะ การการตลาดเป็นยังไง ความเป็นอิสระเป็นยังไงนะคะ ความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมเป็นยังไง อันนี้ลองไปไปคอมแพร่เองนะคะ คราวนี้ธุรกรรมภายใต้ e-commerce นะ มันก็จะต้องมีส่วนประกอบนะครับ 3 ภารกิจหลักก็คือ อันแรกคือการโฆษณาที่จันบอกว่าค่อนข้างสำคัญเนอะ เพราะว่าพอเราทำ e-commerce แน่นอนมันออนไลน์เป็นหลักอยู่แล้วนะคะ ผ่านเว็บไซต์ผ่านอะไรเป็นหลักอยู่แล้วนะคะ ก็ต้องโฆษณานะคะให้เข้าถึงกับกลุ่มลูกค้านะคะ คราวนี้ก็ต้องมีเทคนิควิธีการเนอะว่าจะทำโฆษณาแบบไหนนะคะ จะยิ่งแอด หรือว่าจะไปฝากเว็บอื่นประชาสัมพันธ์ หรืออย่างเช่น สมมุตินักศึกษา ลองเข้า YouTube บางที ถ้าเราไม่ได้ไปสมัครเป็น YouTube แบบพรีเมี่ยม อย่างอาจารย์สมัครพรีเมี่ยม ยูทูปแบบพรีเมี่ยม มันก็ไม่มีโฆษณา แต่ถ้าอย่างอาจารย์ใช้อีเมล อีกอีเมลนึง ในการเข้าไปดู YouTube มันก็จะดูมีโฆษณามาก่อนใช่ไหม หรือถ้าสมมุติว่าเรา เปิดแอปพลิเคชัน อย่างพวก Line TV หรือว่า Viu อะไรพวกนี้นะคะ หรือ Netflix เมื่อกี้มันก็จะมีโฆษณา แต่ถ้าเราเป็นสมาชิก แต่ว่าเราก็ต้องเสียเงินใช่ป่ะ มันก็จะไม่มีโฆษณาเข้ามา อย่างนี้นะคะ ลักษณะนี้ การโฆษณาพวกนี้ มันก็คือเป็นลักษณะของการทำ E-Commerce แบบนึงนะคะ เพื่อที่จะให้ลูกค้าได้สัมผัสผ่านหูพัดตา แล้วก็ อันนี้มี อันนี้ขาย อันนั้นมี อันนี้ขาย อย่างนี้นะคะ การสั่งซื้อสินค้าเนี่ย มันก็จะต้องอาศัยเกิร์คาอินเตอร์เน็ตใช่ไหม เพราะฉะนั้นใครที่ทำ E-Commerce เนี่ย ก็จะต้องมีเครือข่าวอินเตอร์เน็ต มีความรู้นะคะ ในเรื่องของเครือข่าวต่าง ในเรื่องของ Privacy ต่าง ในการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า หรือว่าการ Save ข้อมูลของลูกค้านะคะ การทำ EDI นะคะ การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กับลูกค้า มีการกำหนดมาตรฐานในการซื้อขายให้ดี ตรงนี้ก็ต้องมีในเรื่องของความรู้หรือในเรื่องของการใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆ ซอฟต์แวร์ต่างๆ ก็คือพวกโปรแกรมต่างๆ ในการซื้อขายสินค้าก็ต้องมีความรู้ตรงนี้และก็ต้องมีความเข้าใจ ใครจะเตรียมทำอินคอมเมิร์สก็ต้องเรียนรู้ด้วย อันที่ 3 ก็คือในเรื่องของการชำระเงิน บางอย่างก็ชำระเงินผ่านธนาคารได้เลยใช่ไหม บางอย่างก็ต้องมีในเรื่องของการทำระบบ ผ่านบัตรเครดิต ไดบิต อะไรก็แล้วแต่ ในเรื่องของการโอนเงิน เพราะตรงนี้ค่อนข้างสำคัญ เราจะได้รับเงินหรือเปล่า หรือลูกค้าจะโอนเงินมาให้เราถูกบัญชีหรือเปล่า อย่างนี้นะคะ ก็ต้องมีการทำระบบให้ดีด้วย 3 ข้อนี้เป็นส่วนประกอบหลักในการทำ E-Commerce คราวนี้ความสำคัญของ E-Commerce ทำไมถึงมีความสำคัญ มีความสำคัญแน่นอนอยู่แล้วในปัจจุบันนะ เพราะว่ามันซึมซับกับนักศึกษามานานมากแล้วค่ะ แต่ว่าอาจจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร คราวนี้สิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นก็คือเกิดนวัตกรรม อาจารย์จะพูดคำว่านวัตกรรมอีกรอบหนึ่ง เหมือนอาจารย์จะพูดไปบทที่แล้ว นวัตกรรมมันจะพูดได้ 2 แบบคือ เหมือนที่คราวที่แล้ว เหมือนอาจารย์ยกตัวอย่างเรื่องของการทำผลิตภัณฑ์แก้ว หูจับอย่างนี้ หรือในเรื่องของการเปลี่ยนหลอดไฟที่อาจารย์ยกตัวอย่างทำ Product ขึ้นมาอย่างนี้ ถือว่าเป็น Innovation หรืออื่น ที่เราเห็นในทั่วไปที่มันไม่มีแล้วมันมี หรือว่ามันมีแล้วแล้วมันดีกว่าเดิม อะไรแบบนี้นะคะ ก็คืออยู่ในบทที่แล้วที่นักศึกษาเห็นเพิ่มขึ้น คราวนี้มันส่งผลกับธุรกิจนะคะ เศรษฐกิจด้วยและก็สังคมในปัจจุบันที่มันมีการเปลี่ยนแปลงโดยการเอาเทคโนโลยีเข้ามา ในการให้บริการในการซื้อสินค้าอยู่แล้วมันทำให้เกิด หนึ่งคือตลาดใหม่ แน่นอนอย่างที่บอกว่ามีผู้ขายมากขึ้น มีผู้ขายมากขึ้นแล้วก็สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้นนั่นเอง โดยไม่เจาะจงกลุ่มลูกค้า มันก็ทำให้เราทำธุรกิจใหม่ ได้ง่าย อันที่สองก็คือในเรื่องของกระบวนการทำงานที่มีความ เป็นรูปแบบใหม่มากขึ้นนะคะ โดยการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตนะคะ ในการเชื่อมต่อข้อมูลนะคะ แล้วก็สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ตลอดเวลานะคะ ทำให้คนเนี่ยทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นะคะ เมื่อก่อนเนี่ยอาจจะต้องแบบมานั่งคิดคำนวณแล้วก็ ตอบ message กับลูกค้าอย่างเงี้ยเนาะว่าเออจำนวนกี่บาทยอดรวมเท่านี้เท่านี้ เดี๋ยวนี้มันมีระบบอะไรที่มันสามารถ support การทำงานของเราง่ายขึ้น ก็เช่นระบบรวมเงินอัตโนมัติใช่ไหม อย่างเราซื้อขายสินค้าผ่าน Shopee แบบนี้ก็ได้นะคะ อย่าง Shopee เนี่ย สมมุติเราคลิกเลือกสินค้าให้บริการแล้ว เขาก็จะคำนวณเงินให้เราเรียบร้อยเลย ถ้าเราจะเลือกโค้ดส่งฟรีอย่างเงี้ย Shopee, Lazada ก็คล้ายๆ กันนะฮะ เราก็สามารถเก็บโค้ดรายเดือน เก็บโค้ดส่งฟรีเสร็จ ลดราคาแล้วเลือกว่าเราจะส่งฟรี แต่ถ้าสินค้าไหนที่เราเป็นชิ้นใหญ่ ก็จะมีการคำนวณแล้วล่ะว่ายังไงก็ต้องเสียค่าส่ง อาจจะจาก 50 บาท หรือ 20 บาท สมมุติ เนี่ยฮะ แต่สินค้าเล็กๆ ก็จะส่งฟรีๆ อะไรอย่างเงี้ยนะคะ ยกตัวอย่างแบบนี้ แล้วก็จะมีการคำนวณให้เราเรียบร้อยเลยนะคะ พอคำนวณเสร็จปุ๊บ เราก็จ่ายเงินผ่านธนาคารหรือเปล่า ผ่านบัตรเครดิตหรือเปล่า อะไรอย่างนี้ก็จะมีให้เราเลือกระบบ ลักษณะนี้ก็จะเป็นกระบวนการทำงานที่มันใหม่ขึ้นนะคะ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ตลาดใหม่ รูปแบบการทำงานแบบใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่นั่นเองก็คือหมายความว่า มันก็จะมีสินค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น ที่เราเห็นได้ชัดๆ อย่างที่อาจารย์ยกตัวอย่างไปบ้างๆ แล้วเนอะ คราวนี้มันก็จะมีเห็นอย่างที่พวกเพลงภาพยนตร์ อย่างที่ยกตัวอย่างอย่างนี้ เพลงเมื่อก่อนเนี่ย เราก็จะซื้อแผ่น CD ใช่ไหมคะ มาหรือว่าโหลดมาฟังอะไรอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ฟังแบบออนไลน์ได้อย่างนี้นะคะ ดูใน YouTube ได้นะคะ หรือว่าภาพยนตร์ก็จะมีแอปพลิเคชันให้เราเลือกดู ถ้าเราเป็นสมาชิกก็จะต้องเสียเงินหน่อยเนาะ เสียเงินเพื่อที่จะให้เรา ดูได้เป็นรายปีอะไรอย่างเงี้ย โดยที่อันนั้นก็ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ เพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสินค้าที่จับต้องได้อย่างเดียว อาจจะเป็นในเรื่องของเนี่ย ภาพยนต์ เพลง หรือว่าหนังสือพวกอีบุ๊กต่างๆ ที่เขาออนไลน์ขายกันอย่างเงี้ย ก็มี เช่น อย่างหนังสืออย่างเงี้ย อย่างหนังสือต่างประเทศแล้วกันเนาะ นักศึกษาไม่แน่ใจว่าเคยซื้อหนังสือจากต่างประเทศหรือเปล่า อาจจะเคยซื้อ มันก็จะเป็น มันก็จะเป็นให้เราโอนเงินผ่าน ผ่านบัตรเครดิตเนอะ เพราะว่ามันเป็นหนังสือที่อัพพรับบิที่ต่างประเทศแบบเนี้ยค่ะ เขาก็จะมีแค่เหมือนเป็นแอปแสต์ให้เราดูอะ ให้เราดูว่ามันมีบท มีแอปบทคัดย่อให้เราดู แล้วก็มี Chapter ก็คือมีบทให้เราดู แล้วก็มีเหมือนเป็น บทสรุปเล็ก เช่น สมมุติบทที่ 1 เรื่องนี้ บทที่ 2 เรื่องนี้ ประมาณนี้ แต่ไม่มีทางเล่ม แต่เราอยากได้ทางเล่ม คราวนี้ถ้าเราไปซื้อทางเล่ม ทางเล่มแบบเล่มจริง ที่มันเป็น textbook ภาษาอังกฤษ มันแพงมากเลย นักศึกษาเป็นพัน เลย คราวนี้ หนังสือพวกนี้ เขาก็เลยจะทำ ทำเป็นแบบหนังสือออนไลน์ขายให้เรานะคะ โดยที่ ไม่ได้เป็นเล่มจริงใช่ไหม อ่า เราก็ซื้อ ซื้อ ซื้อกด ซื้อเนี่ยล่ะ แล้วก็ผ่านบัตรเครดิตนะคะ เขาก็จะส่งเล่มออนไลน์กลับมาให้เรา แต่ละค่าถูกกว่า อย่างเงี้ยนั่งสา ก็ก็เป็น ก็เป็นพัน แต่จะถูกกว่าเล่มจริง สมมุติเล่มจริงสี่พัน อ่า เล่มนี้ก็อาจจะพันห้า แบบเนี้ยนะคะ มันก็จะเป็นลักษณะของผลิตภัณฑ์ใหม่ใหม่ เพราะว่าเขาก็จะรู้ไงว่า เขาขายเป็นเล่มน่ะ เขาก็จะขายยากล่ะ นะฮะ แต่เขาขายออนไลน์เนี้ยมันง่ายนะคะ เขาก็จะทําผลิตภัณฑ์พวกนี้ขึ้นมา หรือในเรื่องของการกระจายโอกาสทางการศึกษาการแพทย์ต่างๆ ก็จะเห็นได้ชัดอย่างเบลางี้ เราก็เรียนออนไลน์อยู่แล้วเนาะ หรือละนักศึกษาบอกว่านักศึกษาอยากจะไปเรียนอย่างอื่นเพิ่ม ไปเรียนวิชาชีพอื่นๆ เพิ่มอย่างเงี้ย อยากจะมีความรู้เรื่อง e-commerce เฉพาะด้านอยากได้ certificate 1 ใบ เกี่ยวกับ e-commerce หรืออยากจะไปเรียนเรื่องของการตลาดออนไลน์นะคะ เป็นคอร์สเรียน 16 บท แล้วได้ Certificate 1 ใบ มันก็เรียนได้ นักศึกษาก็ไปดูตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เขาเปิดให้เรียนเป็นลักษณะของ Certificate นะคะ เราก็เรียนออนไลน์ได้โดยที่เวลาเราจบไปเราก็เอาใบพวกนี้มาเคลม หรือนักศึกษาอยากที่จะไปเรียนเฉพาะทางเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมอะไรก็ว่าไป โปรแกรมใหม่ๆ ที่นักศึกษาอยากจะเรียน นักศึกษาก็ไปดูคอร์สนะคะ หรือยากจะไปเรียนถ่ายภาพ เทคนิคการถ่ายภาพเบื้องต้น อะไรอย่างนี้ ให้เป็นรุ่นเทคนิค ยังไม่ได้ทำจริง เป็นรุ่นเทคนิค ก็อาจจะได้ Certificate 1 บ่าย ลักษณะนี้ก็เป็น E-Commerce ประเภทหนึ่ง ที่หน่วยงานสถาบันทางการศึกษา หรือว่า ภาคเอกชนเป็นบริษัทที่ให้อบรมอะไรพวกนี้ ให้เราเสียค่าบริการเข้าไป ในการอบรม แต่บางคอร์สก็ฟรี อะไรอย่างนี้นะคะ ก็ลองดู ลักษณะนี้ก็เป็นเรื่องของการให้บริการ แล้วก็ ในเรื่องของการซื้อขายนะคะ เหมือนกันเนอะ คราวนี้เวลาทำ E-Commerce มันก็จะมีข้อจำกัดนะฮะ ข้อจำกัดอะไรบ้าง ก็คือด้านเทคนิค อย่างที่อาจารย์บอกเนอะ ก็ทั้งผู้ประกอบการนะฮะ ก็จะต้องมีเรื่องของความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัยให้กับลูกค้านั่นเอง แล้วก็ให้เป็นที่ยอมรับนะฮะ ในเรื่องของผลิตภัณฑ์หรือเรื่องของการให้บริการ เพราะฉะนั้นเนี่ย เวลาเราจะซื้อสินค้า เราก็จะต้องเลือกร้านที่มีคุณภาพใช่ไหม มีมาตรฐาน ไม่ใช่อยากได้สินค้าอย่างเดียว ก็ต้องมีการเปรียบเทียบ เพราะว่า ออนไลน์เราไม่เห็นของ เราเห็นแต่เป็นรูปภาพ เราก็อาจจะไปดูคอมเมนต์จากคนอื่นนะคะ อย่างเช่น สมมติเราซื้อของใน Shopee ก็ได้ เวลาจะซื้อของใน Shopee มันจะมีสินค้าหลาย ประเภท มีหลายร้านใช่ไหม ที่ขายสินค้าเหมือนกัน อาจจะไปดูดาวละ สมมติดาว 4.8 อีกดาวนึงดาว 4.9 ไม่พอนะครับ ดูคอมเมนต์ด้วย สินค้าตรงปก คุณภาพดี ทรงเร็ว อะไรอย่างนี้ ไปดู โห เป็น 100 comment เลย ดีหมด 4.9 อะไรอย่างนี้ หรือในเรื่องของจำนวนคนซื้อ อย่างนี้ค่ะ ก็ต้องดูจำนวนคนซื้อด้วยว่าขายไปกี่พันชิ้นแล้ว ถ้าขายหลัก 100 นี่ก็ขอ buy ยังขอไม่ซื้อแล้วกัน ไม่แน่ใจ ขอไปดูร้านที่เขาขายแบบ 4.8-4.9 แล้วขายเป็นพันๆชิ้นอย่างนี้ จนก็โอเคอย่างนี้ ก็ถือว่าร้านนั้นอาจจะเป็นที่ยอมรับในสังคมโซเชียลแล้วกันเนอะ ไปซื้อตามเขาอะไรอย่างเงี้ยก็คิดว่าน่าจะโอเค เพราะว่าบางอย่างมันอาจจะเป็นของปลอมเนี่ย เราก็ไม่รู้ใช่ไหมอย่างพวก พวกสกินแคร์อะไรพวกเนี้ยมันก็จะมีของปลอม ของก๊อปแบบเยอะนะคะ ใครแพ้ขึ้นมาก็แย่ไป ก็ต้องไปหาคุณหมอไปรักษาหน้ากันไปอีกอย่างเงี้ยเนอะ ใครเป็นผลเป็นผื่นก็ลำบากแบบเนี้ย ดังนั้นก็ต้องดูดีๆนะคะ หรือเราจะซื้อของเคาน์เตอร์แบรนด์ แต่ถ้าเคาน์เตอร์แบรนด์ไม่มีปัญหาหรอก อันนั้นคงของแท้อยู่แล้ว แต่ถ้าสมมติเราอยากได้สินค้าที่ เอ่อ เทียบเท่าเคาน์เตอร์แบรนด์ ยี่ห้ออื่นอะไรแบบนี้ก็ต้องเช็คดีๆนะคะ อีกอันหนึ่งในเรื่องของความกว้างของช่องทางการสื่อสารมีจำกัด e-commerce เมื่อก่อนมีจำกัดเนอะ เดี๋ยวนี้ก็พอมันขยับขยายมาเป็นแอปพลิเคชันอะไรพวกนี้นะคะ ก็กว้างขึ้นนะคะ แล้วก็ในเรื่องของปัญหาความเข้ากันได้ระหว่างอินเตอร์เน็ต ซอฟต์ วาย อีกออมเมิร์ส กับแอปพลิเคชันตรงนี้ ก็ด้านเทคนิคก็ต้องเรียนรู้กันไปอย่างที่อาจารย์บอกเนอะ พวกใครที่ทำ ขายของออนไลน์อย่างนี้ หรือว่าใครที่ทำแอปพลิเคชันต่างๆ มันจะมีวิธีการในการทำความเข้าใจและการเรียนรู้ ก็ต้องไปดูว่าต้องใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วเท่าไหร่ ต้องใช้ซอฟต์แวร์อะไรถึงจะเสถียร หรือว่าแอปพลิเคชันไหน สมมติเราจะพัฒนาแอปพลิเคชันของร้านเราเองอย่างนี้ มันต้องมีอะไรบ้าง แล้วต้องทำยังไง มันไม่ได้แค่พูดคุยกับลูกค้าได้อย่างเดียว มันไม่เหมือนไลน์ OA นะ มันมีระบบที่มากกว่านั้น ถ้าใครจะทำเองก็ต้องมีความรู้ทางด้านเทคนิคค่อนข้างเยอะนะคะ แต่เอาง่ายๆเราไม่ทำ สมมุติเราก็ไปฝากเขาขายใช่ไหม แต่ถ้าเราเป็น ITM ในอนาคตเราอยากจะเปิดร้านของตัวเอง เราก็อาจจะพัฒนาแอปพลิเคชันของตัวเองตรงนี้ ก็ต้องไปศึกษาหาความรู้ทางด้านเทคนิคเพิ่มเติม กฎหมายนะคะ ด้านกฎหมายอาจารย์พูดไปคร่าวๆแล้วเนอะ การซื้อขายระหว่างประเทศ อ่า การใช้เอกสารธุรกรรมต่าง หรือการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ก็คือลายมือชื่อสแกนอ่ะ อาจจะเป็นสแกนด้วยนะ ที่เราเซ็นไปอย่างนี้ มันมีผลทางกฎหมายหรือเปล่า ก็ต้องดูนะคะ อย่างที่การส่งสินค้า การโฆษณาอะไรพวกนี้ หรือการเรียกรองค่าเสียหาย กรณีที่สินค้าเรามีปัญหา หรือมีตำหนี่ อาจจะเกิดผู้บริโภคมาเรียกรองค่าเสียหาย รู้ว่าเราจะต้องแก้ปัญหายังไงนะคะตรงนี้เนอะ ไม่ใช่ไปว่าเขาเนอะ เราก็ต้องแบบรู้ว่าเออ ถ้าเราผิดจริงเราก็ต้องชดเชยค่าเสียหายให้เขาอย่างเงี้ย แต่ถ้าสมมติเราไม่ผิดเราก็ต้องมีหลักฐาน เราก็ต้องมีเหตุผลประกอบว่าเออสินค้าเราเนี่ย ก่อนไปเนี่ยมันไม่ได้มีตำหนิสมมติอย่างเงี้ยนะ แต่ทั้งนั้นมันอาจจะเป็นในเรื่องของการขนส่งระหว่างทางหรือว่า อ่า ผู้บริโภคอาจจะทําเสียหายเอง แล้วก็ขอกลับมาเคมกับเราอย่างเงี้ย เพราะฉะนั้นตรงนี้เราก็ต้องรู้เรื่องของกฎหมายต่าง ด้วยนะคะ ว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไรถ้ามันเกิดเคสแบบนี้ขึ้นมา ข้อจำกัดด้านธุรกิจนะคะ ตรงนี้ก็คือเขาเรียกว่าเป็น Product Life Circle คือว่าวงจรผลิตภัณฑ์มันสั้นลง เพราะว่ามันจะมีในเรื่องของการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ ขึ้นมาเร็วขึ้น แล้วก็มีในเรื่องของการลอกเรียนแบบผลิตภัณฑ์ พวกนี้บางทีมันเจ้านี้มีอีกเจ้านึงทำแล้วอย่างนี้ อีกเจ้านึงก็ทำแล้ว ดังนั้นใครทำ E-Commerce ถ้าจะผลิตอะไรเองก็แล้วแต่ก็จะต้องมีคล้ายๆเป็น Creative Thinking ก็คือเป็นความคิดสร้างสรรค์ผลิตอะไรใหม่ๆขึ้นมานะคะ ถ้าสมมุติเรานำสินค้าเข้ามาขายอย่างนี้เราแทบจะไม่ได้คิดอะไรแต่ว่ามันก็จะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ของเราลดลงนะคะ ตรงนี้ก็จะส่งผลในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์เนาะ แต่ว่าบางคนก็แบบไม่ได้คิดอะไรก็ขอให้ฉัน มีรายได้อะไรอย่างนี้ก็อาจจะรับสินค้าเข้ามา แต่บางทีเนี่ย เวลาเรารับสินค้าเข้ามา อาจารย์สังเกตหลายเจ้าแล้วนะศึกษา ที่ที่อาจารย์เคยซื้อขายสินค้ากับเขา เคยซื้อเขาแล้วกัน ไม่ใช่ไปขายให้เขา เคยซื้อเขามาอย่างนี้ บางทีเขาไปรับจากที่อื่นมาขายใช่ไหม คราวนี้พอเขาขายไปเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาอยากทำ โปรดักต์ของตัวเองขึ้นมา อาจารย์เห็นหลายเจ้าแล้ว เอาอย่างครีมก็ได้ ครีม สมมุติว่าเขาไปรับพวกสกินแคร์ ต่างๆ มา พวกสกินแคร์เหล่านี้ บางทีมันก็ผลิตในไทยก็มีใช่ไหม บางทีมันก็มาจากเกาหลีบ้าง มาจากจีนบ้าง อะไรก็แล้วแต่อย่างนี้ มาจากต่างประเทศบ้าง อะไรอย่างนี้ คราวนี้เขาก็เริ่มที่จะอยากที่จะมี โปรดักต์หรือสกินแคร์เป็นของตัวเอง เขาก็เริ่มทำก็มี แล้วก็ทำตีแบนของตัวเอง อย่างนี้ก็มีนะคะ เพราะฉะนั้นตรงนี้พอสุดท้ายแล้ว เราทำไป เราต้องมีความคิดที่เริ่มสร้างสรรค์ในการทำสิ่งใหม่ๆขึ้นมานะคะ ที่แปลกจากคนอื่นแบบนี้มันก็จะเพิ่มมูลค่าในการขายสินค้าของเรา ถ้าเราทำได้มันก็เป็นความภาคภูมิใจของเรานะคะ ความพร้อมของภูมิภาคต่างๆ เวลาทีเขาจะบอกว่าการเจริญเติบตัวของ e-commerce ไม่เท่ากัน เช่น สมมุติเราอยู่ในเมืองอย่างนี้ ในเมืองก็อาจจะมีการซื้อขายออนไลน์มากกว่า ต่างอำเภอ บางทีอย่างเราอยู่ต่างอำเภอ เราก็สามารถที่จะไปซื้อของเบ็ดตะเล็ด เราก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไปซื้อเองได้ แต่ถ้าสมมุติเราอยู่ในเมืองบางที เราขี้เกียจขี่รถไป หรือว่าขับรถยนต์ไป เราก็จะสั่งออนไลน์เอาอย่าง 7-11 อย่าง Top อย่างอาจารย์ก็จะสั่งของที่ Top ก็ไม่ไปออก Central เขาก็มีให้บริการแล้วหรือยังเงี้ย อ่า ลักษณะนี้ก็อาจจะเป็นในเรื่องของภูมิภาคนะคะ ที่อาจจะการเจริญเจิดโตของอีนคอมเมิร์สไม่เท่ากัน ก็เป็นไปได้ หรือว่าต่างประเทศกับประเทศเราอย่างเงี้ย ต่างประเทศก็อาจจะอ่า เติบโตในเรื่องของการซื้อขายสินค้าออนไลน์มากกว่าเราก็ได้ อย่างจีนอย่างนี้กับประเทศเราอย่างนี้ เรื่องของภาษีแล้วก็ค่าธรรมเนียมนะคะ จัดเก็บได้ยาก ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองนะคะ แต่ว่าตอนนี้ใครทำธุรกิจหรือธุรกรรม E-Commerce เนี่ย เขาก็เริ่มที่จะมีในเรื่องของการเสียค่าธรรมเนียมต่าง นะคะ ไม่ว่าจะเป็นอย่าง Mark Zuckerberg เนี่ย ตอนนี้เขาก็กำลังพยายามนะคะที่จะเรียกเก็บนะคะ ค่าใช้บริการของเขาอย่างคนไทยเนี่ย ชอบไลค์สดขายสินค้าเนอะ แล้วก็จะมีพวก CG มีการเอาโปรแกรมเข้ามาใช้ใน Facebook เพิ่มใช่ไหม มีระบบต้นตอบอัตโนมัติ มีอะไรอย่างนี้พวกนี้เพิ่มนะฮะ เพราะฉะนั้นเนี่ย พี่มาเขาให้เราใช้ฟรีมาตลอดเลยนะฮะ ต่อไปเขากำลังจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ใครที่ใส่พวก Sound Effect เยอะๆ ใส่ CG อะไรเยอะๆ ภาพกระดุกกระดิกอะไรเยอะๆ แบบนี้นะคะ แล้วก็ไลค์สดบ่อยๆ อย่างนี้ เขาก็จะมีเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแล้วในอนาคตเนี่ยก็ น่าจะไม่ฟรีแล้วนะคะเพราะว่าเขาต้องใช้ database นะคะในการจัดเก็บถังข้อมูลของกลุ่มเพจต่างๆ หรือว่ากลุ่มคนที่เปิดร้านค้าประเภทเนี่ยค่อนข้างเยอะมากนะคะ ก็ไม่คุ้มเขาอะเนาะ เพราะที่ผ่านมาเขาก็จะได้จากพวกกรณีเพจที่ขายสินค้าที่ยิงแอดโฆษณาอะไรพวกนี้นะคะ หรือว่าเป็นกลุ่มเพจที่ ให้บริการโดยการเสียค่าสมาชิกอะไรพวกนี้เขาได้ แต่ว่าถ้าเป็นแบบอยู่อยู่ไลฟ์สดฟรี สมัครเป็นชื่อเรา แล้วก็อยู่อยู่ไลฟ์สด เป็น 3-4 ชั่วโมงฟรีอย่างนี้ ข้อมูลมันก็จะเยอะนะคะ อ่า เขานี้ต้นทุนในการสร้าง E-commerce ถ้าทำให้ครบวงจรนะ ก็จะแพงนะคะ จะแพง ก็จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยต่าง ของความน่าเชื่อถือของข้อมูล อะไรพวกนี้นะคะ ก็จะแพงนะคะ แล้วก็ประเทศกำลังพัฒนาต้องลงทุนทางเทคโนโลยีค่อนข้างสูงนะคะ อย่างบ้านเราอย่างนี้นะคะ ก็ถ้าทำเองจริงๆก็จะสูง เดี๋ยวนี้เราก็เอาไปฝากเขาไว้เนอะ ไปฝากตามแอปต่างๆอะไรอย่างนี้ ก็จะไม่ได้เหมือนเสียค่าใช้จ่ายอะไรนะคะ เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ทำให้ฟอกเงินได้ง่าย นั่งจากใช้เงินผ่านระบบหมดเลยใช่ไหมคะ มันก็จะมีพวกมิจฉาทีพ์หรือว่า ผู้ประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมายนะคะ อาศัยในเรื่องของการฟอกเงินนะคะ โดยการใช้เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ในการโอนถ่ายเงินไป ลักษณะนี้ เวลานักศึกษาโตขึ้นนะคะ นักศึกษาไปทำงานอะไรแบบนี้นะคะ ก็อย่าทำนะคะ เพราะว่าถ้ามันเกิดการจับได้ขึ้นมานะคะ หรือว่ามีการตรวจสอบขึ้นมาผิดกฎหมายอย่างนี้ มันจะไม่ได้เสียแค่เราเนอะ มันก็จะเสียไปถึงครอบครัวของเรา คำว่าครอบครัวของเราก็ อาจจะไม่ได้หมายถึงพ่อแม่อย่างเดียว ในอนาคตเราอาจจะมีครอบครัวเป็นของเราเองนะคะ ลูกเราอะไรอย่างเงี้ย เวลามันผิดกฎหมายมันก็ลามไปถึงลูกเราอะไรอย่างเงี้ยนะคะ ก็มันก็จะเสียไปหมดเลย เพราะฉะนั้นอันนี้ก็คือจะทำให้เราเสียเครดิตนะคะ ในเรื่องของการทำธุรกิจต่างๆ ที่เป็นลักษณะของ e-commerce นะคะ หรือในเรื่องของการปลอมแปลง ออยออยอย่างเงี้ย เลขออยออยอย่างเงี้ยก็มีนะ ปลอมแปลงเลขจดทะเบียนสินค้า พวกออยออก็มี ก็ถูกแบรนด์ก็มีอย่างเงี้ยนะคะ ก็เสียหาย บางทีคนอื่นไม่รู้หรอก แต่มันก็ดังในวัดวงการค้าขายออนไลน์นี่แหละนะคะ คนอื่นคือผู้บริโภคอาจจะไม่ทราบ แต่ว่าผู้ขายด้วยกันก็จะทราบว่า เฮ้ย เจ้านี้ปลอมเลขออยอนะ ยกตัวอย่างแบบเงี้ย อืม มีการฟอกเงินหน้าอะไรอย่างเงี้ยนะคะ นี่ก็อย่าทํานะคะ เราก็ต้องมีจรรยาบรรณในวิชาชีพเนอะ อ้าว ด้านอื่นๆ ก็คืออาจจะมีเรื่องของการให้ข้อมูลเป็นเทสนะคะ ก็มีได้เนาะ อ่า เช่นอย่างของไม่ตรงปกอะไรอย่างนี้ อย่างที่บอกก็ต้องมีการตรวจสอบ หรือว่าในเรื่องของ Privacy สิทธิส่วนบุคคลต่างๆ นะคะ ก็คืออาจจะมีในเรื่องของการรักษาความเป็นส่วนตัวให้กับลูกค้าอะไรพวกนี้เนาะ หรือว่าอาจจะมีในเรื่องของการส่งสปัมเข้าไปรบกวนผู้บริโภค โดยที่ไม่ได้ตั้งใจอะไรอย่างเงี้ย ก็ต้องต้องเขาเรียกว่าอะไรอ่ะ ต้องดูดีดีนะคะ บางทีเขาก็ไม่ได้ต้องการอ่าโฆษณาผ่านไปทางอีเมลอะไรอย่างเงี้ย ก็มีเนอะหรือ message ต่างๆ หรือว่าอ่าในเรื่องของ e-commerce เขาบอกเหมาะกับเศรษฐกิจที่มีความเชื่อถือได้ มีอีกกี่จันทร์พูดไปแล้วนะคะ อ่าข่าวนี้มันก็ต้องทำยังไงก็แล้วแต่ให้เราอ่ะ น่าเชื่อถือแล้วก็ถ้าเราเป็นอ่าผู้ประกอบการ เราก็ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นอาจารย์เคยซื้อ เอ่อ อะไรไม่รู้ ไม่แน่ใจว่ายกตัวอย่างไปหรือยัง ซื้อ ซื้อสินค้านะคะ ที่มีราคาแพงแล้วกัน อ่ะ เป็น เป็นหลักหมื่นอ่ะ เออ ผ่านช็อปปี้นี่แหละ เพราะว่าร้านค้าเนี้ยอาจารย์เคยไปซื้อมาแล้วที่ อยู่น้นทบุรีอ่า เคยไปซื้อมาแล้วเป็นร้านขายเครื่องออกกําลังกาย เคยไปซื้อมาเองนะคะ แล้วก็อ่าไปดูมาเอง เพราะว่ามันเป็นเหมือนเป็นเป็นบริษัทที่ ไม่ได้ไม่ได้มีหน้าร้านเป็นกวดังราคาถูก เป็นร้านที่แบบส่งตามห้าง แต่ว่าก็เป็นหมื่นแหละอะไรอย่างเงี้ย เป็นส่งตามห้างตามพวก ตาม e-sport ต่างๆ ตามห้าง ตามพวกฟิตเน็ตต่างๆ แต่ฉันก็อยากได้แค่ตัวเดียว คันนี้ก็เลยไปดูที่บริษัท คันนี้ของเมื่อก่อนก็ซื้อเหมือนเป็นมีรูวิ่งอย่างนี้ รูวิ่งเอามาไม่ได้ เอามาได้แต่จักรยานปั่นใช่ไหมตอนนั้น คันนี้ก็เลย อันนี้เล่าให้ฟังนะคะ ก็เลยสั่งไป ตอนที่ไปดูเองไม่มีปัญหา เพราะเราเห็นของจริงใช่ไหม แต่พอช่วงโควิดเนี่ย เราอยากได้เครื่องปั่นจักรยาน เออ เราอยากได้เครื่องปั่นจักรยาน เราก็เลยดูที่พิศนโลก อุ้ย แพงมากเลยนะอาจารย์ ราคาแพงกว่าประมาณ 6,000 อ่ะ สเปคเหมือนกัน รุ่นเดียวกัน กับร้านประจำอาจารย์เนอะ อาจารย์ก็เลยแบบ หื้ย ไปดูตอนแรกจะซื้อที่พิศนโลก มันได้ของเลยไง แต่ความที่อาจารย์เคยซื้อที่รู่วิ่งละ อาจารย์ก็เลยเชื่อมั่น เชื่อมั่น เชื่อมั่น อ่า เห็นไหม ซึ่งเชื่อมั่น แต่ไม่เคยซื้อออนไลน์ ก็เลยโทรไปที่บริษัทเนาะ ว่าเรา เรา เราจะซื้อออนไลน์อ่ะ ซื้อตรงไหนได้บ้าง เขาบอกให้เข้าไปที่ช้อปปี้ เดี๋ยวเขาจะไปเช็คให้ ถ้าซื้อช้อปปี้อ่ะ มันจะได้ส่วนลด อ่า ได้ส่วนลด อาจารย์ก็เลยโอเค งั้นก็เดี๋ยวเข้าไปในช้อปปี้ นี่คือโทรไปหาเขาก่อนด้วยน่ะ อ่า เพราะว่าเป็นลูกค้าไง เสร็จปุ๊บก็ไปในช้อปปี้ เขาก็จะมีการติดต่อกับอาจารย์ตลอด ว่าสินค้าเนี่ย จะส่งภายในไม่เกินวันนี้ อะไรอย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้องกังวลยังไงก็ส่งถึง เขาก็จะใช้ FedEx ส่ง แต่ข้อจำกัดมันก็ เขาอาจจะไม่ได้ส่งให้เราเจ้าเดียว เขาจะส่งทางมา เพราะว่าเขาจะมีในเรื่อง ใช้จ่ายในการขนส่งใช่ไหม เขาก็จะรอให้คนอื่นสั่งมาก่อน แล้วเขาก็จะค่อย ทยายอยส่งมา แล้วก็สินค้าได้ภายใน 7 วัน อะไรอย่างนี้ อันนี้คือในเรื่องของความเชื่อใจนะ แล้วก็ความเชื่อถือนะ เพราะราคาแพง เพราะจะโอนเต็มนะ โอนเงินคือเต็มจำนวนอย่างนี้ค่ะนักศึกษา ตรงนี้มันก็ต้องขึ้นอยู่กับใครจะทำ E-Commerce เนอะ เขาก็จะต้องทำให้เรา ซึ่งเป็นลูกค้าเนี่ย เกิดความน่าเชื่อถือด้วยอย่างนี้นะคะ โอเคสินค้าของจริงดี เพราะฉะนั้นถ้าเราจะสั่งออนไลน์เนี่ย เราก็มั่นใจในร้านเขาอะไรอย่างนี้ แล้วเขาก็ติดต่อกับเราตลอดเวลานะคะ มีปัญหาก็เราก็สามารถโทรหาเขาได้นะคะ เพราะราคามันหลักหมื่น อาจารย์ว่ามันก็แพงสำหรับเราเนอะในการซื้อของอะไรอย่างนี้ เพราะว่าถ้าเราซื้อเสื้อผ้าเราก็จะไม่เสียดายใช่ไหม ถ้ามันไม่แพงมากอะไรอย่างนี้ อันนี้ก็เป็นเรื่องของข้อจำกัดที่ถ้าเราทำก็ต้องสร้างความเชื่อใจให้กับผู้บริโภคนะคะ ยังไม่มีการประเมินผลการดำเนินงานว่า e-commerce เนี่ยโฆษณาแล้วดีหรือเปล่า แต่จันคิดว่าในปัจจุบันมันดีนะ เนื่องจากว่ามันก็ทำให้เราสามารถหาช่องทางในการโฆษณาผ่านกลุ่มเป้าหมายได้หลายๆ กลุ่มนะคะ หรือว่าเลือกกลุ่มเป้าหมายในการขายสินค้าหรือให้บริการได้มากขึ้นนั่นเองนะคะ อันนี้ก็จะเป็นภาพรวมทั้งหมดนะคะของ e-commerce ซึ่ง e-commerce เนี่ยมันจะเป็น 1 วิชานะคะของสาขาเรานะคะ ได้เรียนวิชา e-commerce กันหรือยังหรือว่ายังไม่ได้เรียน ได้เรียนนะวิชานี้ ที่ผ่านมาหรือว่ายังไม่ได้เรียน ยังอยู่กันไหมคะเนี่ย อยู่ครับ ได้เรียนหรือยังคะ นึกก่อนครับ อ่ะ ระหว่างนึกนะ แบบหัดไปทำด้วย อาจารย์แชร์ไว้แล้วนะคะ โอเค ได้เรียนยัง อันนี้เราปีอะไรเนอะ ปี 2 ครับ ยังไม่ได้เรียนมั้ง e-commerce น่ะ คุ้นไหมวิชาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เรียนกับอาจารย์เก๋หรือยัง เหมือนแต่ยัง เออ มันเป็นวิชาหนึ่งเลยนะ นักศึกษา อันนี้อาจารย์พูดคร่าว นะ แค่ 30-40 สไลด์ มันมีดีเทลมากกว่านั้นนะคะ แล้วเดี๋ยวอาจารย์เขาน่าจะสอนในเรื่องของ การทำ e-commerce เลยนะคะ เดี๋ยวถัด ไปนักศึกษาก็จะได้เรียน อย่างที่อาจารย์บอกเนอะ ท่านศักดิ์ก็จะสังเกตว่าวิชานี้เป็นวิชาที่ครอบจักรวาลเลยนะ จะต้องรู้นั้นรู้นี่อะไรอย่างนี้ แต่ว่ามันเป็นการรู้เบื้องต้นนะคะ ไม่ได้เป็นการรู้ลึก ในรายละเอียดเนอะ ในรายละเอียดก็จะต้องไปลงกับรายวิชานั้นๆนะคะ โอเคค่ะ วันนี้ก็แค่นี้ เดี๋ยวอาจารย์ขอเช็คชื่อนะคะ หยุดบันทึกสักครู่