ขอต้อนรับเข้าสู่ Not Life Advice EP ที่ 24 นะครับวันนี้เราก็จะมาคุยกันเรื่อง MBTI หรือว่า Myers-Briggs Type Indicatorในหัวข้อของ Cognitive Stack นะซึ่งยากแล้วก็เป็นหัวใจของสาธนี้เลยนะครับนี่ก็จะเป็นการปูพื้นฐานต่อจาก EP ที่ 2 แล้วก็ EP ที่ 22 เนาะที่ได้อธิบายเรื่อง Cognitive Function ต่างๆ ไปแล้วเนาะเรื่องนี้นะครับมันก็จะยากๆ หน่อย ลึกๆ หน่อยนะ แต่ว่าพี่ภูมิอยากจะ ปูพื้นฐานเหล่านี้ให้มันจบไปก่อน แล้วค่อยลงลึกไปในแต่ละ Type Codeไม่งั้นเวลาอธิบายแต่ละบุคลิกภาพ เราจะไม่เห็นที่มาที่ไปของอุปนิสัยนั้นๆEP นี้พี่ภูมิจะพูดเรื่อง Cognitive Stack ในส่วนของ 4 ตำแหน่งแรกที่เรียกว่า Primary Processes ส่วน EP หน้าก็คือ EP ที่ 25จะเป็น 4 ตำแหน่งหลัง หรือที่เรียกว่า Shadow Functionsถัดจากนั้นนะครับ อีพีที่ 26 จะเป็นเรื่องของ Type Code นะ จะอธิบายว่าอักษร 4 ตัวที่อยู่ใน Type Code เนี่ยจริงๆ มันคืออะไรนะครับ มันหมายถึงอะไร ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลยดีกว่าครับSAT MBTI เนี่ย เขาแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 16 แบบนะ ไม่ได้ตาม Type Code นะครับ แต่ว่าตาม Cognitive Stack ว่าแต่ละคนมี Cognitive Function แตกต่างกันอย่างไรใครถนัดฟังก์ชันไหน ใครไม่ถนัดฟังก์ชันไหน ก็เลยเป็นที่มาของบุคลิกภาพที่แตกต่างกันนั่นเองส่วน Type Code 4 ตัว มันเป็นแค่ Code ลับ ในการบอกว่า Cognitive Stack มันเรียงอย่างไรCognitive Stack จะประกอบไปด้วย 8 ตำแหน่ง เรียงกันตามนี้เลย Dominant, Auxiliary, Tertiary Inferior สีอันนี้เป็นตำแหน่งหลักก็คือ Primary Processesส่วนอีก 4 ตำแหน่งก็จะเป็นเหมือนตำแหน่งเงา ก็คือ Shadow Processesจะเป็นด้านมืดของเรานะครับ จะมี Opposing, Critical Parent, Deceiving แล้วก็ Devilishเริ่มกันที่อันแรกก่อนเลยนะครับ ก็คือ Dominant Functionตำแหน่งนี้เป็นพระเอกเลยนะ เป็นฟังก์ชันที่เราถนัดมากที่สุด ช่วงที่เราเกิดมาเนี่ย ช่วง 6 ปีแรกเนี่ย เราก็ยังจะไม่ Develop Cognitive Function อะไรทั้งนั้นนะครับคือเราเพิ่งเกิดมาเองใช่ไหม เพิ่งอูแวะเอามาช่วงนี้ก็จะเป็นช่วงที่แบบเรียนรู้ Basic Human Function หายใจยังไง กินยังไง เดินยังไงนะครับแต่ว่าพอเข้า 6 ขวบเมื่อไหร่ เราจะเริ่มพัฒนา Dominant Function ตำแหน่งนี้เป็นอันแรกเลยนะโตขึ้นมาเนี่ย เราก็เลยถนัดมันที่สุด เพราะเรา Develop มันก่อนเลยใช่ป่ะเราใช้มันเนี่ย 80% ในชีวิตเลยนะครับ แล้วเราก็จะสูญเสียพลังงานน้อยที่สุดเวลาที่เราอยู่กับมันมันจะกลายเป็นฟังก์ชันที่ออโตแมติกสำหรับเราเลยนะแต่แน่นอนนะครับ ถ้าเราใช้มันมากเกินไปเนี่ยก็สามารถที่จะเกิดผลเสียได้เช่นกันนะซึ่ง Dominant Function ของเราเนี่ยจะเป็น Super Power เลยDominant Function ของเราจะเก่งกว่าคนอื่นที่มี Cognitive Function เดียวกันในตำแหน่งอื่นนะครับเด็กๆ เนี่ยพอเริ่ม 6 ขวบเนี่ย ก็จะมีนิสัยที่เริ่มไม่เหมือนกันแล้วนะ เริ่มจะเล่นไม่เหมือนกันนะครับ ตาม Dominant ของตัวเองเด็กที่เป็น Sensing Dominant ก็จะมีทักษะกีฬา เต้นบันเล่ ยิมนาสติกเด็กที่เป็น Intuitive Dominant ก็อาจจะเล่นน้นตรีเก่งหรือว่าอาจจะเป็นเด็กเพ้อฝันจินตนาการไปต่างๆ นานานะครับThinker Dominant จะเป็นเด็กที่แบบ ขี้เถียงจะถามทุกอย่าง หรือว่าจะให้เหตุผลกับทุกอย่างส่วนเด็กที่เป็น Filler Dominant นะ จะเป็นเด็กที่ Soft นะครับเป็นเด็กจิตใจดี Kindhearted เห็นอกเห็นใจคนอื่น ทีนี้พอโตขึ้นมาหน่อย อายุสัก 12 ปีนะครับเราจะเริ่ม Develop ตำแหน่งที่ 2 ก็คือ Auxiliaryซึ่งเราจะพัฒนามันหลังจากที่เราพัฒนา Dominant Function ไปแล้วนะบางตำราก็จะเรียกตำแหน่งนี้ว่า Supporting Role หรือว่า Co-Pilot นะเราจะใช้มันเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือคนอื่นนะครับเช่นพี่ภูมิเป็น INTJ มี Extroverted Thinking ในตำแหน่งนี้นะ ก็จะมีความอยากจะจัดการเรื่องตัวเลข เรื่องจัดระเบียบชีวิตให้คนอื่นนะครับเช่น เวลาไปเที่ยวเนี่ย พี่ภูมิก็จะเป็นคนที่สรุปบัญชีและรับรายจ่ายใครออกอะไรก็ต้องได้เงินคืน ใครไม่ออกอะไรก็ต้องแชร์เข้ามาใช่ไหมทำเป็น Excel แบบยิ่งใหญ่เลยนะครับซึ่งตำแหน่งนี้มันก็จะไม่ได้เก่งเท่า Dominant Function หรอกเราเนี่ยจะสามารถไปจัดการคนอื่นได้ ให้ความเห็นคนอื่นได้นะแต่ว่าพอกลับมาหาตัวเองเนี่ย ดันเอาตัวเองไม่รอดนะครับจัดการตัวเองไม่ได้สังงั้นนะ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับตัวเองดีนะครับ ดังนั้นเนี่ย ผลทางพัฒนาตัวเองในสูตรของ MBTI เนี่ยก็คือให้เราฝึกใช้ auxiliary เนี่ย กับตัวเองด้วยนะ เอามาช่วย Dominant Function ของเรานะครับ ไอ้เจ้าตำแหน่ง auxiliary เนี่ย มันก็จะมา balance ตำแหน่ง dominant function เสมอนะซึ่ง 2 ตำแหน่งเนี่ย ก็จะมีอันหนึ่งที่เป็น perceivingอีกอันหนึ่งจะเป็น judging เสมอนะครับเราจะมีตำแหน่งหนึ่งที่ใช้รับรู้ข้อมูล อีกตำแหน่งหนึ่งที่ใช้ตัดสินใจคนที่เป็น perceiving dominant ก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเก็บข้อมูลถ้าคุณเป็น dominant sensing ก็คือมี extroverted sensing แล้วก็ introverted sensing เป็นหลักเนี่ย แล้วไม่ใช้ auxiliary ที่เป็น judging เลย คุณอาจจะเสียเวลาทั้งหมดไปกับการเก็บ factsถ้าคุณเป็น dominant intuition ก็คือมี extroverted intuition หรือว่า introverted intuitionก็อาจจะเสียเวลาไปกับการคาดเดาหา possibilities โดยที่ไม่ลงมือทำ ไม่ take action นะครับคนที่เป็น perceiving dominant ที่ unbalanced มากๆ ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมจะ perceive อย่างเดียวนะครับ คือใช้เวลาทั้งหมด ไปกับการนั่งดู นั่งเก็บข้อมูล แล้วไม่กล้าลงมือทำพวกนี้จะเป็นพวกมีอาการผัดวันประกันพุ่งแบบขั้นสุดเลยนะครับปล่อยไหลไม่ตัดสินใจ จนไม่สามารถใช้ชีวิตแบบปกติได้กลับกันนะครับ ถ้าคุณเป็น judging dominantคุณจะชอบใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตัดสินวิเคราะห์อะไรบางอย่างนะถ้าเป็น dominant thinking คือมี extroverted thinking หรือว่า introverted thinking อยู่ในตำแหน่ง dominant เนี่ย คุณก็จะวิเคราะห์หาเหตุผล หาคำวิจารณ์ไปทุกอย่างเลยนะถ้าเป็น Dominant Feelers คือมี Extroverted Feeling หรือว่า Introverted Feeling อยู่ในตำแหน่ง Dominantคุณก็จะวิเคราะห์สอดส่องอารมณ์ของคุณ หรือว่าคนใกล้ตัวคุณไปทุกเรื่องเลยนะครับพอได้ auxiliary ที่เป็น perceiving เข้ามา มันก็จะช่วยให้คุณเก็บข้อมูลมากขึ้นเพื่อการตัดสินใจจะได้แม่นยำขึ้นนั่นเองนะJudging Dominant ที่ไม่ Balance จะเอาแต่ ตัดสินนู่นนี่นั่นโดยไม่มีข้อมูลนะ จะกลายเป็นคนที่ติดอยู่ในกรอบในโลกของตัวเองไม่ฟังคนอื่น เป็นคน rigid, close-minded, inflexible เปลี่ยนใจไม่เป็นนะครับจากนั้นนะ เมื่อเราอายุ 25 ปีนะครับ เราจะเริ่มพัฒนาตำแหน่งที่ 3 ก็คือ tertiary นะบางตำราก็เรียกว่า relief row หรือว่า 10 years oldที่เรียกว่า 10 years old เนี่ยก็เพราะว่าเราจะพัฒนาฟังก์ชันที่อยู่ในตำแหน่งนี้เนี่ย ได้มากที่สุดเสมือนเป็นแค่เด็ก 10 ขวบเท่านั้นเองนะครับมันคือตำแหน่งที่เราใช้เล่นใช้ Recharge Energy ของเรานะมันจะเป็นฟังก์ชันที่มีความเป็นเด็กความสดใสขี้เล่นนะก็คือเด็ก 10 ขวบนั่นแหละช่วงอายุ 25 เนี่ยเราก็เริ่มเป็นยังอดอตแล้วนะเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้วช่วงนี้มันก็จะเริ่มมี Activity หรือว่า Passion ใหม่ๆที่แบบ Drawn Upon Function ในตำแหน่งนี้โดยที่เราไม่รู้ตัวนะTertiary มันก็จะมาช่วย Support Auxiliary อีกทีนึงนะครับ Tertiary เนี่ยอย่างที่บอกมันเป็นเหมือนเด็กสิบขวบเนี่ยก็เลยจะมีความรับผิดชอบแบบเด็กสิบขวบอ่ะทำบ้างไม่ทำบ้างเดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิกอยากจะเริ่มงานอะไรผ่านไปสักพักไปแค่ชั่วโมงเดียวก็ไม่เอาแล้วนะครับซึ่งเราจะเอาอะไรจากมันมากไม่ค่อยได้นะให้คิดซะว่าเหมือนกับครอบครัวที่แบบมีเด็กสิบขวบอ่ะกำลังจะไปเที่ยวกันถ้าไอ้เด็กสิบขวบคนนี้มันแฮปปี้ให้ความร่วมมือเนี่ยทุกอย่างมันก็สมูธ์ใช่ป่ะเคลื่อนตัวได้เร็วแต่ถ้าเด็กสิบขวบมันดันดื้อขึ้นมานะครับ ทุกอย่างมันจะช้า มันจะแย่ไปหมดเลย เหมือนทุกคนต้องมานั่งรอเด็ก 10 ขวบนี้ให้อารมณ์ดีขึ้นก่อนยกตัวอย่างนะครับ INTJ อย่างพี่ภูมิ จะมี Introverted Feeling อยู่ในตำแหน่งนี้นะครับIntroverted Feeling มันเป็นเรื่องของการตรวจสอบอารมณ์ตัวเองใช่ปะแล้วมันอยู่ในตำแหน่ง 10 years old เนี่ย ถ้าช่วงไหนมีอารมณ์อยากจะทำ หรือว่าได้ทำในสิ่งที่ชอบเนี่ยทั้งตัวพี่ภูมิ คือทั้ง Cognitive Stack เนี่ย มันก็จะทำงานแบบลื่นไหลมากเลยนะครับ แต่ว่าถ้า Introverted Feeling ไม่มา รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ชอบเลยเหมือนถูกบังคับทุกอย่างมันจะติดขาดไปหมดเลยนะครับ แล้ว Shadow Functions ก็จะเริ่มออกมาแล้วมันจะเริ่มมีความวิเคราะห์เชิงลบ และเรียงเหตุการณ์ว่าทำไมเรามาถึงจุดนี้ได้นะเรามาอยู่ในจุดที่เราไม่ชอบได้ยังไงนะ ซึ่งทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่เสียเวลามากเลยนะครับเรื่อง Shadow Functions เดี๋ยวพี่ภูมิจะเก็บไว้เล่าใน EP หน้านะครับ ตำแหน่งสุดท้ายก็คือ inferior นะ เราจะเริ่ม develop ตอนช่วงอายุ 50 ขึ้นไปนะครับบางตำราก็เรียกว่า aspirational ที่แปลว่าแรงบันดาลใจบางตำราก็เรียกว่า 3 years old หรือว่าเด็ก 3 ขวบคือเราจะพัฒนามันได้มากที่สุดเนี่ย เทียบเท่ากับเด็ก 3 ขวบเท่านั้นเองนะถ้า dominant function คือ function ที่เรามั่นใจที่สุด เก่งที่สุดinferior function จะเป็นตำแหน่งที่เราไม่มั่นใจที่สุดนะครับ ขออธิบายก่อน เรื่อง Polar Opposite มันคือคู่ฟังก์ชันที่สลับคั่วกันทุกอย่างเลยนะIntroverted เปลี่ยนเป็น Extroverted อันนี้สลับกันIntuition Sensing สลับกัน หรือว่า Feeling กับ Thinking สลับกันนะครับอันนี้เรียกว่า Polar Opposite ซึ่งเดี๋ยวจะได้ใช้คำนี้บ่อยในคลิปนี้นะตำแหน่ง Inferior จะเป็น Polar Opposite กับตำแหน่ง Dominant เสมอนะมันก็เหมือนแบบตะเกียบแท่งเดียวกัน ถ้าเราเก่งอะไรมากๆด้านนึงนะครับแปลว่าเราต้องหวยมากๆอีกด้านนึงใช่ปะ แล้วมันจะทำให้เราชื่นชมคนที่เก่งฟังก์ชันนี้ไปโรยปริยายเลยนะเพราะว่าเราไม่เก่ง พอเห็นคนอื่นทำได้เราก็จะชื่นชมเขานะครับมันเลยเรียกว่า aspirational คือเรา inspire กับสิ่งนี้นะครับเช่นพี่ภูมิเป็น INTJ inferior ก็คือ Extraverted Sensing เป็นเรื่องของการลงมือทำอย่างรวดเร็วนะเวลาที่เห็นใครลงมือทำอะไรเร็วๆ แล้วทำเสร็จ take action แล้วสำเร็จ พี่ภูมิจะชื่นชมมากเลยนะครับ เพราะรู้ว่าตัวเองเนี่ยทำไม่ได้ไง กลับไปที่เรื่องความมั่นใจนะDominance function เนี่ยเราจะมั่นใจมากเลย ถ้าเราใช้มันแล้วดันเกิดพลาดขึ้นมาซึ่งมันก็มีเปอร์เซ็นต์น้อยที่จะพลาดใช่ไหม แล้วมีคนมาด่าเรามาว่าเราอ่ะเราจะแบบไม่ค่อยสะโหกสะทานนะ เพราะเรารู้ว่า ลึกๆ แล้วเราเก่งเรื่องนี้มากเรามั่นใจมาก เราจะแบบเอาจริงเหรอ เธอจะมาด่าฉันเรื่องนี้จริงๆเหรอแต่ถ้ามีคนมาด่าเราในตำแหน่ง inferior นะครับ เราจะออกแนวแบบ ยอมรับ ยอมแพ้ ประมาณว่า ฉันก็ไม่เก่งเรื่องนี้จริงๆแหละไอ้เจ้า inferior จริงๆมันเป็นตำแหน่งที่เรา vulnerable นะคือมันเป็นอะไรที่แบบ aspiration กับเรามากๆ เรา care มันมากๆ เลยนะครับซึ่งเราสามารถที่จะทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในตำแหน่งนี้ได้นะครับมันเป็นการ relax เติมพลังอะไรบางอย่าง มันเป็นขุมพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเรานะครับมันคือเด็กสามขวบที่แบบเล่นซน energetic เนาะ เราก็เลยมีความอยากจะเล่น อยากจะใช้ฟังก์ชันนี้แบบค้นหาหรือเล่นอะไรถึงแม้ว่าเราไม่รู้ว่าจะใช้มันยังไง แต่เราก็อยากจะเล่นกับมันเช่นพี่ภูมินะครับ มี Extroverted Sensing เป็น Inferiorถ้าได้ลงมือทำอะไรเล็ก น้อย เช่นทำอาหาร เล่นกีฬาก็จะเติมพลังงานกลับมาได้นะครับแต่ว่าถ้าให้ทำอะไรใหญ่ แบบเป็นกิจวัตรประจำวันให้ใช้ตลอดเวลาอันนี้ก็ไม่ไหวนะครับ จะทำได้ไม่ดีแล้วก็จะเป็นการสูบพลังอย่างมากเลย ทีนี้ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นนะ ไอตัว primary processes ใน cognitive stack เนี่ยนะเพื่อนๆลองนึกภาพ 4 ตำแหน่ง นั่งกันเป็นในรถคันหนึ่งนะครับเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกแล้วกัน Dominant นะจะเป็นคนที่ขับรถนะครับ เป็นตำแหน่งคนขับAuxiliary เนี่ยจะเป็นตำแหน่งที่นั่งข้างๆคอยช่วยดูทาง ช่วยจัดการนะเบาะหลังของ auxiliary เนี่ยจะเป็นเด็ก 10 ขวบจะเป็น 10 years old แล้วก็เบาะหลังของ Dominant จะเป็น 3 years old นะซึ่งเราก็คงไม่เอาไอ้เด็ก 10 ขวบกับ 3 ขวบข้างหลัง มาขับรถข้างหน้าใช่ปะเราก็อยากจะให้เขาอยู่ใน Backseat ไปนะครับทีนี้ซีกขวาของรถก็คือ Auxiliary กับ 10 years old เนี่ย2 ตำแหน่งนี้จะเป็น Polar Opposite กันนะครับส่วนซีกซ้ายก็คือตำแหน่งคนขับกับ 3 years old นะครับ 2 ตำแหน่งนี้ก็จะเป็น polar opposite กันนะ ทีนี้ลองสังเกตว่าถ้า Dominant เนี่ยมีคั่วที่เป็น introvertedauxiliary จะเป็น extroverted ถ้า Dominant เป็น extrovert auxiliary ก็จะเป็น introvert นะครับแต่เพราะ auxiliary เนี่ยเป็น polar opposite กับ teriari ใช่ป่ะtertiari ก็เลยจะมีคั่ว introvert extrovert อันเดียวกันกับ Dominant นะครับอันนี้ก็เลยเป็นที่มาของสิ่งที่ MBTI เรียกว่า cognitive นั่นเอง มันคือเราถนัด Dominant สมมุตินะ ถ้าเราเป็น Introvert เราก็อยากจะใช้ฟังก์ชันที่เป็น Introvert ใช่ปะแล้วเราหันไปข้างหลัง เราไปเจอเด็ก 10 โคตรที่เป็น Introvert เหมือนกัน เราก็จะใช้แต่ Introvert นี่แหละเราก็จะติดอยู่ในโลก Introvert นะครับ แต่ถ้าเราเป็น Extrovert เราถนัดใช้ Extrovert คนขับเป็น Extrovert เนี่ยหันไปข้างหลัง ดันไปเจอเด็ก 10 โคตรที่เป็น Extrovert เหมือนกัน เฮ้ย มันคุยกันรู้เรื่องเราก็อยากจะใช้อันเนี้ย เราก็จะติดอยู่ในโลกของ Extrovert มุ่งทำแต่สิ่งที่อยู่ในโลกภายนอกโดยที่ไม่ได้โว๊คกลับมาสำรวจจิตใจตัวเองฉะนั้นในสาดของ MBTI อีก Strategy หนึ่งก็คือเราต้องฝึกใช้ auxiliary นี่แหละเพื่อเป็นการ break loop ของตัวเองออกมานะ เพราะ auxiliary มันจะเป็นคนละครั่วกับ Dominant ใช่ป่ะถ้าเป็น Introvert ให้ฝึกใช้ Extrovert ด้วย ถ้าเป็น Extrovert ให้ฝึกใช้ Introvert ด้วยนะครับให้ break ออกจาก loop นี้ออกมา แล้วให้เอาเด็ก 10 ขวบนี้เอาไว้แค่ใช้เล่น ใช้ผ่อนคลายนะครับ แล้วก็ใช้เด็กสามขวบเป็นขุมพลัง สร้าง Energy สร้างแรงบันดาลใจให้เรา ถึงจุดนี้นะครับ อย่าลืมกด Like กด Share กด Subscribe ให้พี่ภูมิด้วยนะเพื่อที่ว่าคลิปพี่ภูมิเนี่ย มันจะได้ถูกอัลคาเรทิมเนี่ยดีดขึ้นไปให้คนเห็นเยอะๆ นะครับเอาล่ะ ทีนี้มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องนึงเกี่ยวกับ Hobbiesหรือว่าพวกงานอดิเรทที่เราชอบเล่นในเวลาว่างนะตามช่วงอายุที่เรา Develop Function ใหม่ๆ เนี่ย ต่อไปนี้ก็จะเป็น List ของงาน Adderick แต่ละฟังก์ชันนะ เพื่อนๆ ลองดูว่ามันตรงไหมช่วงอายุที่เรากำลัง Develop ฟังก์ชันนั้นๆ เราเริ่มมี Interest หรือว่า Hobby เหล่านี้เข้ามาในชีวิตแบบไม่รู้ตัวหรือเปล่านะครับอันแรกนะครับ Sensing นะ ถ้าเรากำลัง Develop ฟังก์ชันที่เป็น Sensing อยู่ ไม่ว่าจะเป็น Introvert หรือว่า Extroverted เนี่ยเราจะเริ่มสนใจธรรมชาติ เราจะเริ่มอยากอยู่กับความเป็นจริง ไม่ฝัน ไม่เพ้อ จะชอบอะไรที่แบบ Hands-on เช่น พวกกีฬา ทำกับข้าว งานศิลปะ งาน Craft อะไรพวกนี้นะ ทำสวนอะไรอย่างนี้เราจะลงลึก เราจะเริ่มสังเกตรายละเอียดต่างๆ นะครับถ้าเรากำลัง Develop Intuition อยู่ เราก็จะเริ่มสนใจในปรัชญาในความหมายของชีวิตนะ พวกแบบ Spiritual Meaningอะไรที่มันแบบจับต้องไม่ได้ เราจะเริ่มเพ้อฝันหรือว่าชอบแบบไปดูงานอาร์ต ไปตีความความหมายงานอาร์ตนะเริ่มสนใจศาสนาขึ้นมาดื้อๆ เลยนะ หรือว่าอยากที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยากที่จะเรียนรู้นู่นรู้นี่ในแบบนี้ที่มันลึกๆ นะครับถ้าเรากำลัง develop function ที่เป็น thinking เราก็จะเริ่มวิเคราะห์สิ่งต่างๆ แบบลึกๆ แล้วนะเริ่มจะช่างตวงวัดนะครับ เริ่มดูความเท่ากันของสิ่งต่างๆ คนนี้เท่ากับคนนั้นในแง่ไหนคนนั้นได้เปรียบคนนี้ในแง่ไหน มันคือการวัดคนให้ค่าคนนะครับคนนี้เก่งกว่า คนนั้นรวยกว่า เริ่มดูเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมคนนี้ถึงทำแบบนี้ คิดแบบนี้นะครับเริ่มสนใจในความถูกต้อง ในพวกแบบสิทธิมนุษยชนหรือเริ่มเล่นบอร์ดเกม เริ่มเล่นหมากลุกนะชอบที่จะถก ชอบเถียง ดิพทอล์ก สนใจการเมืองนะครับสุดท้ายนะ ถ้าเรากำลัง Develop ฟังก์ชันที่เป็น Feeling เนี่ยเราจะเริ่มสนใจความรู้สึกผู้อื่นนะให้ Emotional Support ให้ความสำคัญกับมิตรภาพเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต Caring and Sharing นะครับ สนใจการพูดคุยการสื่อสารระหว่างกัน หรืออุทิศตนเพื่อส่วนรวมมากขึ้นนะอยากจะไปสอนคนอื่น หวนกลับไปดูแลความสัมพันธ์เก่าๆที่มันอาจจะขาดไป หรือหันกลับมาดูแลจิตใจตัวเองเป็นคนที่จะคิดบวกนะครับ พูดให้กำลังใจตัวเองแล้วก็คนอื่นหรือว่าที่เรียกว่า gratitude เยอะขึ้นนั่นเองนะเพื่อนๆก็ลองดูว่าตามช่วงอายุที่ develop function เหล่านี้เนี่ยมันตรงไหมนะครับ เรื่องช่วงอายุที่เราเดินลองฟังก์ชันต่างๆ เนี่ยมันก็เลยเป็นที่มาว่าทำไมเขาให้ทำ MBTI กันตอนอายุประมาณ 20 ขึ้นไปแล้วนะครับถ้าก่อนหน้านี้เด็กๆ เนี่ยวัยรุ่นที่ต่ำกว่า 20 ไม่แนะนำให้ทำนะครับเพราะว่าเรายังเดินลองฟังก์ชันไม่สุดใช่ป่ะช่วง 20 เนี่ยจะเป็นช่วงที่เรา Develop Dominant เรียบร้อยแล้วนะครับ แล้วก็อยู่ในช่วงที่กำลัง Develop Auxiliary อยู่ประมาณครึ่งหนึ่งฉะนั้นเนี่ยคนที่ทำเทสตอนอายุ 20 กับตอนอายุ 30 เนี่ย มีสิทธิ์ที่จะได้ Type คนละ Type กันนะคือ Function มันยัง Develop คนละ Stage อะ ผลที่ได้มันก็จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาใช่ปะทหารที่เนื้อจริงข้างในเราเนี่ย ไม่ได้เปลี่ยนเลยนะครับ Type ไม่ได้เปลี่ยนแค่ทำ Test ผิดช่วงเวลาเท่านั้นเองมันเหมือน Wine นะ Wine ขวดนึงนะครับ เราเก็บไว้สมมุติว่าซื้อมาแล้วเปิดเลยเนี่ย รสชาติก็แบบนึงแต่พอเก็บไว้สัก 5 ปี 6 ปี 10 ปี 15 ปี รสชาติมันจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆเนาะ อีกเรื่องก็คือการที่เรา develop function ตำแหน่งที่ 3 แล้วก็ 4 ค่อนข้างเลสในชีวิตนะฮะมันมีส่วนทำให้บางคนเนี่ยเกิด midlife crisis ขึ้นมานะ คือเราใช้ชีวิตแบบนึงมาโดยตลอดแล้วจู่ๆเนี่ยเราดันเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัวนะ หน้าที่อาชีพการงานที่เคยสนุกเคยชอบเนี่ยเราดันไปสนใจอย่างอื่นซะแล้วนะ ที่เคยเป็นคนไม่เห็นใจคนพอ tertiary แล้วก็ inferior develop ขึ้นมาเนี่ยเราดันเห็นใจคนอื่น ซังงั้นเลยนะ หรือกลับกันนะครับ เราอาจจะเป็นคนแบบขี้แกงใจคนอื่นมากอยากจะรักษาความรู้สึกคนไว้นะ แต่พอแก่ไปเนี่ยกลายเป็นแบบให้ความสำคัญกับตักกะ กลายเป็นขวานผ่าซากซังงั้นเลยนะถ้ารู้อย่างงี้เนี่ย เพื่อนๆจะได้รู้แล้วว่า เออ ตัวเราเองเนี่ยสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เสมอนะ ทีนี้คอนเซ็ปต์ที่สำคัญมากๆในสถานีก็คือมนุษย์หนึ่งคนเนี่ย ควรจะได้รับโอกาสในการ Develop Function ต่างๆตามธรรมชาตินะครับ ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม บางคนเนี่ยโชคหลายถูกปิดกั้นไม่ให้ Develop อาจจะเป็นเพราะครอบครัวหรือว่าโรงเรียน เห็นว่ามันผิดปกติไป พ่อแม่เรามี Type ที่ต่างจากเรานะครับครูมี Type ที่ต่างจากเรานะ เช่น เด็กที่กำลัง Develop Thinking เนี่ยจะเป็นเด็กขี้เถียงนะ ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแบบตรงไปตรงมาเนี่ยผู้ใหญ่ที่เป็น Führer อาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย ไอ้เด็กคนนี้มันไม่มีมารยาทเลยก็ต้องดุด่ามันนะครับ เด็กคนนั้นก็เลยไม่มีโอกาสได้ Exercise Dominant Function ของตัวเองนะหรือเด็กที่ Develop Intuition เนี่ย ถ้านักๆ เนี่ย เขาจะมีสิ่งที่เรียกว่า Imaginary Friends นะครับก็คือ เขาจินตนาการเพื่อนขึ้นมาเล่นกับเขา ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากสำหรับเด็ก Type นี้นะครับพ่อแม่บางคนถึงขั้นเอาเด็กพวกนี้ไปหาหมอเลยนะ เพราะรู้สึกว่ามันผิดปกตินะครับคนที่ตัวมาแบบนี้เนี่ย ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองแบบนี้เนี่ยจะไม่ได้มีการพัฒนาคล้อง Hip Function ที่ Healthy นะ ก็จะเกิดความสับสนในตัวเองไปตลอดชีวิตนะครับพี่ภูมิชอบคำนี้มากเลย เขาจะมี distorted view of own competenceคือ มองตัวเอง เข้าใจตัวเองผิดว่าตัวเองไม่เก่งนะครับมองความเก่ง ความ competence ของตัวเอง distorted ไปนั่นเองโอเค เราได้รู้จักกับ function primary processes 4 อันไปแล้วในคลิปนี้นะคลิปหน้าพี่ภูมิจะมาลงในเรื่องของ shadow functions อีก 4 ตำแหน่งนะ ก็เป็นพาร์ทที่สำคัญพอๆ กันเลยนะครับ มันคือด้านมืดของเราที่เราไม่อยากจะยอมรับมันนะ แต่ยอมรับมันซะเถอะ แล้วชีวิตจะดีขึ้นนะครับอย่าลืมติดตามกันนะครับคลิปหน้า วันนี้ไปก่อนครับ บ๊ายบาย