กินเท้าที่สุดท้าย กินเท้าที่สุดท้าย กินเท้าที่สุดท้าย กินเท้าที่สุดท้าย กินเท้าที่สุดท้ สวัสดีครับ ทุกคน วันนี้ เราจะมาทำรายการของเรา เพื่อให้คุณภูมิกับเรา จิ้ง สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุกคน สวัสดีครับ ทุ สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาก่อน และกลับมาก่อน เพื่อนๆ ขอบคุณที่จะมาก่อน และกลับมาก่อน สวัสดีครับ วันนี้เราจะทำ สวัสดีครับ ก็ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งาน Marchipolicy Forum ครั้งที่สองประจำปี สองพันห้าร้ายหกสิบเจ็ดนะฮะ ก็วันนี้เราเปลี่ยนสถานที่ให้มันปลอดโปร่งโลกมากขึ้นนะฮะ ก็หวังว่าจะได้มี flow ของการพูดคุยที่ แลกเปลี่ยนกันได้ดีขึ้นด้วยนะฮะ วันนี้ก็เช้านี้เราก็ได้ เปิดแพร่ตัวรายงานการประชุมนโยบายการเงินสภาพย่อ พร้อมกับตัวรายงานนโยบายการเงินนะฮะ ที่ที่สภาพล่าสุด แล้วก็ เดี๋ยวทั้ง พร้อมอยู่กับคุณ น้ําปรายนีกับคุณสรัส ก็จะมาค่อยอธิบายแล้วก็ อ่า คลีสิ่งที่กรรมการได้ ได้มอง ได้พิจารณาในการประชุมครั้งที่แล้วแล้วก็ ในระยะที่ผ่านมานะฮะ อ่า ผมขอแค่เริ่ม เท้าความเล่าภาพใหญ่ภาพรวมของตัวเศรษฐกิจที่คณะกรรมการมองไว้ก่อนก็ล่ะนะครับ ก็ จะแบ่งเป็นสามช่วง ถ้าจะเล่า ของเศรษฐกิจ คือช่วงแรกคือช่วงจุดตั้งต้น เมื่อปลายปีที่แล้วนะฮะ ก็เป็นช่วงที่เศรษฐกิจ ขยายโดนในอัตราที่ต่ำกว่าที่ทุกคนคาด มีมีแรงชุด มาหลายหลายประการนะฮะ ไม่ว่าเป็น ทางด้านการคลังแล้วก็การส่งออกด้วย อ่า ที่สอง ก็ช่วงที่เราอยู่นะ ตอนนี้เป็นช่วงเร่งสปีดหรือว่า ขึ้นมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็ น่ะ จุดนี้ก็ อ่า ฟื้นตัวมาได้ ได้ ระดับหนึ่ง น่ะ งั้น ตรายมาทแรก ตรายมาทที่สอง เนี่ย ก็เป็น เป็นช่วงของ อ่า การที่เศรษฐกิจ เนี่ย ก็ ก็ขยายตัว อ่า เร่งขึ้น น่ะ จากฐานที่ต่ํา แล้วก็ช่วงที่สาม ปลายปีนี้ แล้วก็ต้นปีหน้าเป็นช่วงที่ เศรษฐกิจจะโน้มเข้าสู่ระดับศักยภาพ อ่า ในหลายหลายมิติฮะ ไม่ว่าจะแค่ตัวอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ แล้วตัวเงินเฟ้อ แล้วก็ตัวภาวะการเงินโดยรวมด้วยนะฮะ อ่า ก็ ในภาพรวมที่ที่ผมเรียนเนี้ย ก็มีความแตกต่างค่อนข้างเยอะ ในมิติสาขาเศรษฐกิจ ในกลุ่มอาชีพ แล้วก็ใน อ่า ผู้ประกอบการ อ่า อ่า ขนาดกลางขนาดใหญ่ขนาดเล็กนะฮะ ก็เดี๋ยวคุณปลานิกจะมา มามามาช่วยขยายความตรงนั้นนะฮะ อ่า ผมก็อยากจะจะ มองภาพใหญ่ว่า ที่จริงเศรษฐกิจเนี่ย ทางที่ผ่านมา อย่างจุดตั้งต้นต่ำ เร่งตัวขึ้น แล้วก็ค่อยๆ นมเข้าสู่ศักยภาพ ในภาพรวม เราคิดว่าเศรษฐกิจไทย ก็ถือว่าฟื้นอย่างนั้น แต่ว่าไม่ได้มองว่าแบบ มาเศรษฐกิจดีในภาพใหญ่ เพราะว่าตัวที่ มันเป็นปัจจัยชุดรังเศรษฐกิจ ที่เราเผชิญ ปัจจัยเชิญโครงสร้าง แล้วก็ ความการกระจายรายได้ไม่ดีต่างๆ เนี่ย ก็เป็นปัญหาที่เราต้องแก้ไขต่อไปนะครับ ก็แค่อยากจะเรียนว่า ที่เรามอง เรามองแค่เทียบในภายใต้โครงสร้างข้อจำกัดที่เรามีในปัจจุบัน ก็ขอเรียนเชิญคุณรายนี้ก่อน แล้วก็ตามให้คุณสลัดนะครับ ก็ สวัสดีทุกท่านนะคะ ค่ะ ก็ขออนุญาตเริ่มเลยนะคะว่า เอ่อ ขอภาพภาพแรกด้วยค่ะ ค่ะ ค่ะ ก็โดยรวมนะคะ ตามที่ เอ่อ ดร ปิติ ได้เรียนไปค่ะ ว่า เศรษฐกิจไทยโดยรวมเนี้ย ก็ มีนมขยายตัวดีจัด ปีก่อน ถ้าเทียบกัน ปีนี้ก็คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.6% ปีหน้าที่ 3% โดยหลักๆมีแรงสนับสนุนมาจากตัวอุปสรรคในประเทศ และภาคการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวไปได้ต่อเนื่อง แต่ว่าก็ แล้วแล้วก็มีสัญญาณบวกอันหนึ่งที่ อ่า อาจจะค่อนข้างน่าดีใจก็คือเรื่องของ เราร่วมเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในภาคการผลิตอ่ะค่ะ แล้วก็ภาคการส่งออกบางหมวดนะคะ แต่ว่าก็ยังมี อ่า ความ ไม่แน่นอนอยู่ในระยะข้างหน้าค่ะ ก็ยังคงต้องติดตามพัฒนาการต่อไปอ่ะค่ะ อาจจะขอหน้าถัดไป อย่างที่เรียนไปว่า อ่า ปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวสองจุดหกเปอร์เซ็นต์นะคะ เที่ยวกับปีก่อนก็อยู่ที่หนึ่งจุดเก้าเปอร์เซ็นต์ แล้วก็ปีหน้าอยู่ที่สามเปอร์เซ็นต์อ่ะค่ะ หลักหลักก็มาจากภาคการ ท่องเที่ยวที่ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ ที่ ที่ ปีนี้จะขยายตัว เอ่อ มีจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เอ่อ เพิ่มขึ้นเป็นสามสิบห้าจุดห้าร้านคน แล้วก็สามสิบเก้าจุดห้าร้านคนในปีหน้านะคะ ซึ่งตรงนี้ก็ปรับดีขึ้นทางจํานวน แล้วก็ค่อยจะจ่ายต่อ ต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาค่ะ แล้วก็ อีกตัวหนึ่งที่เป็นแรงกับเกื้องสําคัญก็จะเป็นเรื่องของการบริโภคภาคเอกชนค่ะ ก็ เอ่อ ครั้งนี้เนี่ยปรับดีขึ้นจาก เอ็มพีอาร์ครั้งก่อน จากข้อมูลจริงแต่มั่นหนึ่งที่ดีกว่าค่านะคะ โดยการบริโภคยังมาจากกลุ่มคุมีรายได้ สูงแล้วก็ อาจจะยังกระจุกตัวอยู่ในการใช้จ่ายในหมวกภาพวาริการเป็นหลักอ่ะค่ะ ในขณะที่เรามองว่าการใช้จ่ายสินค้าคงทนโดยเฉพาะ เอ่อ กลุ่มที่เป็นยานยนต์นะคะ ก็น่าจะยัง เอ่อ มีภาพที่ไม่ได้ดีเท่า เอ่อ ตัวการบริโภคด้านอื่นอื่นนะคะ สําหรับแรงส่งอีกอันนึง ก็จะมาจากการได้จ่ายภาครัฐนะคะ ถ้าดูจากภาพจะเห็นเป็นภาพสีฟ้าอ่อนนะคะ ที่ตั้งแต่ไตรมาสสองที่พอเราบอกว่า มารายจ่ายประจําปีมีผลบังคับใช้ค่ะ ก็เราก็คาดว่าจะมีการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐ ซึ่งจากการติดตามข้อมูลของเราก็พบว่า อ่า ยังเป็นไปตามที่ที่เราคาดว่ามีการเร่งเบิกจ่ายนะคะ อย่างไรก็ดีเนี่ย ก็ต้องติดตามเรื่องของการส่งออกกับการผลิตอย่างที่ได้กล่าวไปว่าเรามองว่าปีนี้น่าจะขยายตัวอยู่ในระดับต่ำอ่ะค่ะ โดย เอ่อ หลักหลักก็ยังเป็นเรื่องของปัญหาเชิงโครงสร้างด้านความสามารถในการแข่งขันอ่ะค่ะ ที่ เอ่อ เลยทําให้เราคาดว่าการส่งออกอ่ะจะค่อยค่อยทยอยดีขึ้นนะคะ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีค่ะ จากเรื่องของความต้องการสินค้าโลกที่ปรับดีขึ้น แล้วก็เรื่องของวัตถาจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่กลับมา แต่ว่าอย่างที่เคยเรียนไปว่าไทยอาจจะไม่ได้ประโยชน์ไม่มากนัก เนื่องจาก เอ่อ ไทยไม่ได้ ได้อยู่ใน เอ่อ ห่วงโซการผลิตตรง ในส่วนที่เป็น เอ่อ สินค้าเทคโนโลยีสูงสูงอย่าง นะคะ แล้วก็ นอกจากนี้เนี่ย ยัง บางหมดสินค้าเองก็อาจจะต้องเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้าจากจีน เพิ่มขึ้นด้วย แล้วก็ในครั้งนี้เนี่ยเรา ประเมินว่าสินค้าบางกลุ่มอย่าง ยานยนต์นะคะ ก็มีแรงกดดันเพิ่มเติมจากความตั้งการจากต่างประเทศ ชะลอลงด้วยนะคะ หลักหลักเราประมาณการว่าตัว ตัวการส่งออก ปีนี้จะขยายตัว 1.8% แล้วก็ปีหน้าอยู่ที่ 2.6% ซึ่ง เอ่อ ถ้ามามาแหลกหน้าเนี้ย แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ ก็จะสมดุล เครื่องยนต์ต่างๆ ก็จะสมดุลขึ้นนะคะ อย่างที่เรียนไปมีเรื่องของการได้จ่ายภาครัฐ แล้วก็การส่งออกสินค้าที่จะกลับมามี contribution เป็นบวกค่ะ อาจจะขอหน้าที่แล้วก่อนนะคะ แล้วก็ถ้ามองไปจากแท่งภาพทางด้านซ้ายค่ะ ด้วยฐานที่ต่ำในปีที่แล้วเนี่ย เราคาดการณ์ว่าในไตรมาส 2 3 และ 4 ปีนี้ค่ะ ถ้าดูเป็น Year on Year ตัวเลขก็จะค่อยๆ ดีขึ้นนะคะ หลักๆ ก็อาจจะประมาณ ไตรมาส 2 อยู่ที่ประมาณ 2 แล้วก็ ตรายมาทสามอยู่ที่ประมาณใกล้ใกล้สาม แล้วก็ตรายมาทสี่จะเป็นประมาณเกือบเกือบสี่เปอร์เซ็นต์นะคะ แล้วก็ปีหน้าอยู่ที่สามเปอร์เซ็นต์ตามที่ เอ่อ เรียนไปนะคะ ก็ใกล้เคียงกับระดับศักยภาพของไทยอะค่ะ ขอหน้าถัดไปอะค่ะ ค่ะ อย่างที่เรียนไปว่าเราเริ่มเห็น เอ่อ สัญญาณการฟื้นตัวในภาคส่งออก แล้วก็การผลิตบางหมวดอะค่ะ จากภาพซ้ายอะค่ะ เอ่อ ถ้าการส่งออกรวมรวมก็จะเริ่มทยายฟื้นตัวอย่างที่เรียนไปนะคะ โดย อ่า ถ้าแบ่งเป็นสามกลุ่มนะคะ จะเห็นว่ากลุ่มที่ยังไปได้เนี่ย จะเป็นเส้นสีเขียวนะคะ จะเป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่รวมฮาร์ดดินร้ายนะคะ ตรงนี้การส่งออกเพิ่มขึ้นตามการส่งออก อ่า อุปกรณ์โทรลักษณ์พลังธภพ แล้วก็ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์นะคะ โดยมีแรงสนับสนุนจากการขยายการลงทุนของ อ่า น้ํารงทุนต่างชาติจากปัญหาภูมิลัทธศาสตร์นะคะ แล้วก็เราคาดว่า อ่า ในช่วงปลายปลายปีก็จะค่อยค่อยดีขึ้นตามวัตถาจัดอิเล็กทรนิกส์ของโลกนะคะ สําหรับ กลุ่มที่ การส่งออกทยอยฟื้นตัว แต่ว่าได้รับแรงกดดํา มีปัจจัยกดดันเพิ่มเติม จะเป็นหมวดยานยนต์กับหมวดโซล่าเซลล์นะคะ ซึ่งหมวดยานยนต์เนี้ย อุปสรุปในตลาดส่งออกเริ่มชะลอลง โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนะคะ ก็เป็นอะไรที่ต้องจับตา แล้วก็ในส่วนของโซล่าเซลล์เอง การส่งออก ก็อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการตับโต้ทางการค้า ตัวแอนตี้ดัมปิ้งหรือ เอ่อ คัลเตอร์เวลลิ่ง ดิวตี้นะคะ ซึ่งตรงเนี้ย อ่า เรามีรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในรายงานนโยบายกันเงินในบล็อกซ์สองนะคะ เรื่องความท้าทายต่อการส่งออกรถยนต์แล้วก็ชิ้นส่วนของไทยอะค่ะ ส่วนกลุ่มที่ยังหวดตัวค่ะ ก็จะเป็น เอ่อ ตามเส้นสีแดงด้านซ้ายอะค่ะ ตรงนี้เนี่ย เป็นกลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างด้านความสามารถในการแข่งขันนะคะ อย่างเครื่องลุ้งห่มกับปิโตเคมีอะค่ะ โดยเครื่องลุ้งห่มจะเป็นประเด็นเรื่อง เอ่อ ต้นทุนของเราแข่งขันไม่ได้ แล้วก็มีสินค้านำเข้าจากจีนเข้ามาแข่งเพิ่มเติมนะคะ แล้วก็ตรงนี้เนี่ย ก็จะสอดคล้องกับตัวการเปิดปิดโรงงานนะคะ ที่เราเห็นพลวัติของในเรื่องของเครื่องลุ้งห่ม อันเนี้ยแย่ลงอะค่ะ แล้วก็ ซึ่งตรงเนี้ยสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ค่อนข้างชัดเจนเหมือนกันว่าเราอาจจะไม่ได้แข่งได้ในในอันนี้นะคะ ยกเว้นว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการนะคะ สําหรับปิโตเคมีเองก็เป็นเรื่องของความต้องการนําเข้าจากจีนที่ชะลอนลงอย่างที่เคยเรียนไป แล้วก็มีเรื่องของในจีนที่ เอ่อ เข้ามากลายเป็นคู่แข่งของเราทั้งในตลาดส่งออกของเราเองแล้วก็ในตลาดในไทยด้วยนะคะ สถานการณ์ส่งออกที่ อ่า ปีก่อนติดลบแล้วก็ปีนี้ขยายตัวได้ในระดับต่ําอ่ะค่ะ ที่ผ่านมาก็เลยทําให้มีสินค้าคงเหลืออยู่ในภาพการผลิตอุตสาหกรรมอยู่ในหลายโหมดสินค้าเหมือนกันนะคะ ซึ่ง อ่า ก็เป็นผลให้การผลิตภาพอุตสาหกรรมเนี้ยติดลบ อ่า หกไตรมาต์ติดต่อกันค่ะ แต่ว่าล่าสุดก็มีสัญญาณบวก โดยถ้าดูเส้นดําค่ะ จะเห็นว่า อ่า มีสัญญาณว่าจะผ่านจุดต่ําสุดแล้วนะคะ แต่ว่าการขยายตัวในระยะข้างหน้าก็ยังค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ซึ่งถ้าเจาะลึกลงไปในภาคการผลิตอ่ะค่ะ กลุ่มที่ ที่ไปได้ดีแล้วก็ทยอยดีขึ้นก็จะเป็นเส้นสีเขียวนะคะ เป็นกลุ่มอาหารเครื่องดื่มปิโตเรียม เครื่องปรับอากาศนะคะ ค่อยค่อยดีขึ้นตามอุปสรุนที่ดีขึ้น แล้วก็เรื่องของสต๊อกสินค้าที่เคยสูงอยู่ก็ค่อยค่อยทยอยลดลง ในขณะที่ตัวกลุ่มยานยนต์เองตัวเส้นสีเหลืองนะคะ ก็มีนาวนมลดลงนะคะ โดยมีทั้งปัจจัยเชิงวัตถัดจักร แล้วก็ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ต้องแข่งขันกับสินค้าจากจีนที่มี Excess Capacity โดยเฉพาะกลุ่ม EV นะคะ แล้วก็จะมีกระแส EV ในตลาดส่งออกสําคัญด้วยที่อาจจะทําให้ เอ่อ ความสําหรับในการส่งออกของเราตรงนี้ก็น้อยลงไป สําหรับกลุ่มที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นเส้นสีแดงค่ะ อย่างสิงธอเครื่องมื้องผมแล้วก็เหล็กนะคะ ถึงแม้จะมีน้องน้อง bottom out เนี่ย แต่ว่าการผลิตก็ค่าว่าจะยังอยู่ในระดับต่ํา เมื่อเทียบกับอดีตนะคะ ซึ่ง เอ่อ โดย ภาพ รวม เนี้ย อยากจะ เรียน ว่า การ ส่ง ออก แล้ว การ ผลิต ถือ ว่า มี สัญญาณ ที่ ดี ขึ้น แล้วก็ ดี กว่า ปี ก่อน นะคะ แต่ว่า ใน ภาพ ย่อย เราก็ ยัง เห็น กัน ฟื้น ตัว ของ แต่ละ หมวด ที่ ไม่ได้ เหมือนกัน มาก นัก ค่ ซึ่งการฟื้นตัวของแต่ละภาคเศรษฐกิจที่ไม่เท่ากัน อย่างที่เรียนไปว่าภาคการท่องเที่ยวค่อนข้างที่จะไปได้ดี ในขณะที่ภาคการผลิตและภาคส่งออก อาจจะยังขยายตัวได้ระดับต่ำ และที่ผ่านมาก็อาจจะติดลบไปนะคะ ก็ทำให้การฟื้นตัวของรายได้ และการจ้างงานของแต่ละศักดิ์เตอร์ก็แตกต่างกันไปด้วยค่ะ อันนี้เอามาให้ดูภาพซ้ายเป็นจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคมนะคะ จะเห็นว่าถ้าโดยรวมในเส้นสีดํา การจ้างงานโดยรวมก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่ ซึ่งก็ เอ่อ นําโดยกลุ่มที่เป็นการจ้างงานในภาคบริการนะคะ ซึ่งถ้าดูจากภาพซ้ายจะเห็นว่า เอ่อ เส้นที่เป็นโทนสีเขียวทั้งหมด นะคะ จะเป็นอันที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว ทั้งภาคการค้า โรงแรม ร้านอาหาร และกิจกรรมนันทนาการ แล้วก็บริการอื่นอื่นนะคะ ในขณะที่ถ้าเราลองดูกลุ่มที่ เผชิญปัญหาเชิงคงสร้างค่ะ เราลองมาให้ จะเห็นว่าเป็นเส้นสีแดง ที่เป็นโทนสีแดงค่ะ ก็จะเห็นว่า เอ่อ การจัดงานตรงนี้ก็ต่ําลง อย่างชัดเจนนะคะ แล้วก็ อาจจะฟื้นตัวได้ยากถ้าเกิดไม่ได้มีการปรับตัวของผู้ประกอบการนะคะ ซึ่งที่ผ่านมาจากการเอ่อ พวกผู้ประกอบการของเราแล้วก็เพราะว่ามีหลายลายเลยค่ะ ที่ เอ่อ ปรับตัวโดยปรับรายการผลิตนะคะ แล้วก็มีการไปเน้นผลิต ไฮ ไฮ แวลู โปรดักต์เพิ่มขึ้นเพื่อหนีตลาดที่จะต้องแข่งขัน เอ่อ สินค้าที่ ต้องแข่งกับจีนนะคะ หรือคู่แข่งกันอื่นอื่นนะคะ หรือว่าบางบางลายที่ปรับรายการผลิตไม่ได้ก็มีการพยายามลดต้นทุนหรือว่านําเทคโนโลยีมาใช้ค่ะ เราก็เห็นการปรับตัวในส่วนนั้นด้วย เราก็หวังว่าเราจะเห็นการปรับตัวของ เอ่อ ทั้งแต่ละเซกเตอร์ที่ที่ตอนนี้เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างอยู่นะคะ แล้วก็ถ้าดูในจํานวนคนที่อยู่ในกําลังแรงงานภาพขวาค่ะ อันนี้เรามาให้ดูว่า เอ่อ สี่สิบล้านคนเ��ี้ยอยู่ในเซกเตอร์ใดบ้างนะคะ ก็จะเห็นว่าตรงเฉดสีแดงเนี้ยอาจจะมีประมาณ หกล้านคนที่อยู่ในกลุ่มการผลิตค่ะ ซึ่งที่ผ่านมาอย่างที่เรียนไปว่า มพิไอติดลบต่อเนื่องหลายไตรมารค่ะ ก็ที่ผ่านมาก็อาจจะมีรายได้ที่แย่กว่ากลุ่มอื่น ที่อยู่ในภาคบริการสีเขียวนะคะ แล้วก็ อ่า บางส่วนของสีแดง ที่เป็นภาคการผลิตเองนะคะ ก็อาจจะ ไปยังภาคบริการอื่นอื่น โดยเฉพาะ เอ่อ ภาคการค้าอะไรต่างต่าง เช่น ร้านค้าที่อยู่รอบรอบโรงงาน ก็อาจจะซบเศร้าไปด้วยค่ะ ตรงนี้ก็มี ที่ทําที่ที่เกิดขึ้นนะคะ แต่ว่าโดยรวมเนี้ยก็อยากจะเรียนว่า การจังงานโดยรวมเส้นสีดําภาคซ้าย ก็ยังดีขึ้นจาก ถอดเนื่องจากช่วง ที่หลังโควิดมานะคะ โดยมีแรงกลับเคลื่อนมาจากตัวการจังงานในภาพบริการเป็นสําคัญนะคะ แล้วก็มีส่วนช่วยสนับสนุนการบริโภคในประเทศให้ไปได้ แต่ว่าในภาพย่อยย่อยเองในบางเซคเตอร์เนี้ย ก็เรายังคงต้องติดตามพัฒนาการการปรับตัว การการปรับโครงสร้างการผลิตของ เอ่อ โรงงานต่างต่างแล้วก็ตัวแรงงานด้วย เพราะว่าตรงนี้ก็จะมีผลกับสายภาพการเติบโตของไทยในอนาคตนะคะ ซึ่ง เอ่อ นอกจาก มิ ติ ที่ เมื่อกี้ เรียน ไป นะคะ ก็จะมี เรื่องของ การฟื้น ตัว ที่ แตกต่าง กัน ใน เชิง กลุ่ม อาชีพ พื้นที่ แล้วก็ ประ ลาย ได้ ด้วยนะคะ เวลา เรา ดู เรา ดู เอ่อ ใน ทุก มิ ติ ทั้ง ขนาด เล็ก ขนาด ใหญ่ อะ ค่ะ เพื่อ ให้ เห็น ว่า เอ่อ เกิด อะไร ขึ้น ออน เดอะ กราว ด์ จริงจริงนะคะ ซึ่ง เอ่อ สิ่งที่เราเห็น ภาพ ซ้าย นํามา ให้ดู เป็น เรื่องของ เอ่อ การฟื้นตัวของรายได้ของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระค่ะ ถ้า เอ่อ เราหมุด ปีหก หกสอง เป็นปีก่อนโควิดอ่ะค่ะ แล้วก็ลองดูว่า ปัจจุบันปี ถึงปีหกหกอ่ะค่ะ ที่มีข้อมูลเนี้ย การฟื้นตัวของรายได้แต่ละจังหวัดเป็นยังไงอ่ะค่ะ ก็พบว่า เอ่อ การฟื้นตัวของรายได้ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ดีกว่าก่อนโควิดตามโทนสีเขียวในภาพนะคะ ในขณะที่ เอ่อ บางจังหวัดเองรายได้ยังไม่ฟื้นตัวไปเท่าก่อนโควิดโดยเฉพาะในภาคอีสานที่การฟื้นตัวอาจจะช้ากว่าภาคเงินอื่นนะคะ แล้วก็เราไปเจาะดูก็จะเห็นว่าเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระที่อยู่ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างสิงธรรมัวก่อสร้างแล้วก็ขนส่งผู้โดยสารนะคะ นอกจากนี้เนี้ยเราก็ยังดูเรื่องของ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเป็นลายผู้มีภาคด้วยค่ะ จากภาพขวาบนนะคะ จะเป็นในด้านของผู้ขาย เรามองเรื่องของความ เราดูว่าความเชื่อมั่นของผู้ขาย ผู้ค้าปลีกค่ะ เขามอง แต่ละ มีภาคยังไงค่ะ ก็พบว่า เอ่อ ผู้ขายมองว่า ย ัดขาย เนี่ย น่าจะมีทิศทางที่ปรับดีขึ้นจากเดือน เดือนก่อน ซึ่ง เอ่อ กําลังซื้อเอง อาจจะยังกระจุกอยู่ในกรุงเทพ ปริมณฑล แล้วก็ภาคกลางนะคะ ในขณะที่ภาคอีสานกับภาคใต้ก็ มีทิศทางที่ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นน้อยกว่านะคะ แล้วก็ภาพขวา ร่างถ้าดูจาก เอ่อ ด้านผู้ซื้อ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเองแยกกระตํากลุ่มแรงต่างต่างค่ะ ก็เห็นว่า เอ่อ กลุ่มผู้มีผู้บริโภครายได้ปันกลางถึงสูงค่ะ ก็ยังมีความเชื่อมั่นที่ เอ่อ สูงกว่าระดับห้าสิบนะคะ แล้วก็ เอ่อ ในส่วนของผู้มีรายได้น้อย เงินเดือนน้อยกว่า รายได้น้อยกว่าหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือนนะคะ ก็ เอ่อ มีทิศทางที่ปรับลดลงนะคะ ตรงนี้ก็ เอ่อ เป็น อันหนึ่งเหมือนกันที่เรามองว่าทําไมปีนี้ตัวการบริโภคภัยอุชนฯ อัตราการขยายตัวจะชะลอลงจากปีก่อนที่ได้เร่งไปนะคะ ก็ เอ่อ แล้วก็เรามองว่ากลุ่มผู้บริโภคภัยก็ยังจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปันกลางถึง สูง ค่ะ ตามความเชื่อมัน ซึ่ง เอ่อ ขอสรุปภาพเศรษฐกิจนะคะ จัดที่ได้คลี่ทั้งภาพ เอ่อ แล้วก็ ค่ะ ในภาพใหญ่ เนี้ย เศรษฐกิจไทยก็ มีแนวโน้มขยายตัว ได้ดีกว่าปีก่อนนะคะ โดยปีนี้อยู่ที่สองจุดหกเปอร์เซ็นต์ ปีหน้าอยู่ที่สามเปอร์เซ็นต์ ค่ะ แล้วก็ เอ่อ แต่ว่าเราก็ต้องหากดีว่าถ้าดูในมิติต่างต่างเนี่ยก็ยังจะเห็นเรื่องของ เอ่อ การฟื้นตัวที่มันแตกต่างกันในภาพย่อยนะคะ ก็ เอ่อ ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตอุตสาหกรรมเทียบกับภาคบริการหรือว่าในมิติของการจั้งงานรายได้หรือว่าเชิงพื้นที่อะค่ะ ดังนั้นเนี้ย เอ่อ เราจะต้องดูเรื่องของ แล้วก็ติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดต่อไปนะคะ ครับผม ในส่วนถัดไปนะครับ ก็จะเป็นเรื่องของอัตรายเงินเฟ้อนะฮะ เงินเฟ้อทั่วไปเนี่ย ถ้าหากจะพิจารณาเฉลี่ยรายไตรมาสนะครับ ก็จะมีแนวโน้มปรับเข้าสู่อ่า กรอบเป้าหมายนะครับ ในไตรมาสสี่ของปีนี้นะฮะ แต่ถ้าหากเราพิจารณาเป็นรายเดือนแน่นอน มันก็จะมีการอ่า ปรับขึ้นปรับลงนะครับ อย่างพฤษภาเนี่ย อ่า ที่ผ่านมาหนึ่งจุดห้านะครับ ในระยะถัดไปเงินเฟิร์สสุดมิถุนายนเนี่ย ก็คาดว่าจะอ่า ลดต่ําลงมานิดหนึ่งนะฮะ กสมภานิษย์คาดไว้อยู่ประมาณ 1 ต้นๆ บางสนักคาดไว้อาจจะต่ำกว่า 1 เล็กน้อย อันนี้ก็เป็นผลของเดือนพฤษภาคมปี 66 ที่มีการมาตรการช่วยเหลือค่าไฟมากเป็นพิเศษ ในระยะถัดไปในไตรมาสที่ 4 ตั้งแต่เดือนตุลาคมไปต้นไป เงินเฟ้อก็จะกลับมาขึ้นสูงกว่า 1 อันนี้ก็เป็นลักษณะว่าแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะต่อไปก็ค่อนข้างที่จะมีแนวโน้มทิศทางที่เป็นตามคาดนะฮะ อีกประเด็นหนึ่งก็คืออัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปลานกลางนะครับ ก็ยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกรอกเป้าหมายนะครับ ซึ่งถ้ามาดูในหน้าถัดไปนะฮะ ก็จะเห็นได้ว่า เอ่อ แม้ว่าในช่วงที่เงินเฟ้อสูงนะครับ อย่างเช่นในปีหกห้า เดือนสิงหาคมที่ผ่านมานะครับ ที่เราเห็นพีคของตัวอัตราเงินเฟ้อทั่วไปประมาณเกือบถึงร้อยละแปดนะครับ หลังจากนั้นเนี่ย เอ่อ ใช้เวลาไม่ถึงเจ็ดเดือนนะครับ เงินเฟ้อทั่วไปเนี่ย ก็สามารถที่จะกลับมาเข้าสู่กรอกได้นะครับ สาเหตุส่วนหนึ่งเนี่ย ก็เนื่องมาจากว่า กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อปัจจุบันเนี่ย ทําหน้าที่ได้ค่อนข้างดี นะฮะ ถ้าเราจะดูในแง่ของ เอ่อ มีเดิมเทิม เนี่ย ที่แสดงให้เห็นโดยเส้น ��อ่อ สีเขียวสีเหลืองนะครับ สีแสดที่อยู่ตรงกลางนะฮะ เอ่อ ก็จะเห็นได้ว่าค่อนข้าง นะครับ อยู่ที่ประมาณ เอ่อ ร้อยละสองนะครับ อันนี้ก็เป็นสัญญาณว่า เอ่อ ในแง่ของการดําเนิน นิยบายการเงิน และในแง่ของเงินเพื่อคาดการณ์ระยะปันกลาง เนี่ย เอ่อ เราค่อนข้าง นะครับ ในหน้าถัดไปในส่วนของตัวภาวะการเงินและเสถียรภาพระบบการเงิน อันนี้ก็จะมี Key Message สองอันด้วยกัน ประเด็นแรกเป็นเรื่องของปริมาณ และประเด็นนี้สองก็จะเป็นเรื่องของคุณภาพและเสถียรภาพ ในแง่ของปริมาณ กลไกศีลเชื่อถือว่าทำงานได้ปกติ ศีลเชื่อธุรกิจโดยรวมขยายตัว ถ้าจะดูศีลเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ จะเห็นได้ว่าในไตรมาส 1 ได้กลับเป็นบวก อยู่ที่ประมาณ 0.4% จากเดิมไตรมาส 4 อยู่ที่ประมาณลบ 1.7% เราก็เห็นสัญญาณที่กลับมาขยายตัวของศีลเชื่อภาคธุรกิจ ในขณะที่สินเชื่อภาครัวเรือนในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาขยายตัวชะลอลง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องติดตามต่อไป อย่างสินเชื่อพอๆใน Q1 ขยายตัวประมาณ 1% ในขณะที่ Q4 ขยายตัวประมาณ 2% ในส่วนของคุณภาพสินเชื่อ และในแง่ของเรื่องสัตวินภาพ ก็จะเห็นได้ว่ากระบวนการปรับลดสัดส่วนนี่ต่อรายได้ หรือ Deleveraging ดำเนินการต่อเนื่อง ในแง่ของคุณภาพสินเชื่อ ด้อยลงมาก เราเห็นสัดส่วนของ NPI ปรับขึ้น ปรับช้าๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องติดตามต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มของกลุ่มปลอบาง ซึ่งก็ได้แก่คลัวเรือรายได้น้อย และธุรกิจ SME บางกลุ่ม ในหน้าถัดไปนะครับ เอ่อ สองหน้าก็จะเป็นการขยายความนะครับ เอ่อ หน้าแรกจะเป็นในเรื่องของธุรกิจ แล้วก็หน้าถัดไปจะเป็นในเรื่องของครัวเรือน ถ้ามาดูธุรกิจกันก่อนนะครับ ด้านซ้ายเนี่ย ก็จะเห็นได้ว่า แสดงถึง เอ่อ สินเชื่อภาคธุรกิจนะครับ เป็นปริมาณ นะครับ ที่มีการ เอ่อ เติบโตต่อเนื่องนะครับ จริงจริงแล้วเนี่ย ข้อมูลล่าสุดก็จะเห็นได้ว่า ดังจุดสีแดงเนี่ย มีการขยายตัวที่ เอ่อ สอดคร้องกับเทรนด์ในอดีตด้วยซ้ำนะครับ ผิดแต่ว่าช่วงหลังเนี่ยมีการ เอ่อ ชะลอลงเล็กน้อยนะครับ ก็คือเป็นผลมาจากการที่มาตรการช่วยเหลือนะครับ มาตรการทางการเงินในช่วงโควิดที่ผ่านมา ลักษณะดังนั้นก็คือสินเชื่อธุรกิจเนี่ย มาสู่ เอ่อ ของมันตามปกตินะฮะ อันนี้คือ คือ คือในแง่ของ นะครับ ในแง่ของ ถ้ามาดูภาพร่างนะครับ ด้านซ้ายเนี่ย อันนี้จะเป็น แล้ว เอ่อ ภาพซ้ายเนี่ยจะแบ่ง เอ่อ สีฟ้านะครับ จะแบ่งลักษณะของ เอ่อ วงเงินขนาดใหญ่มากกว่าห้าร้อยล้านบาทนะครับ ในขณะที่ภาพขวาอันเล็กเล็กเนี่ย เป็นวงเงินขนาดเล็กมากมานะครับ น้อยกว่าห้าร้อยล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่า เอ่อ วงเงินสินเชื่อขนาดใหญ่เนี่ย สินเชื่อธุรกิจเนี่ย เนี่ย ก็มีการ เอ่อ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องนะครับ ข้อ อันเนี้ย แต่ละแท่งแสดงถึงข้อมูลของ นะครับ เอ่อ เป็น เอ่อ เป็นข้อมูล เอ่อ นะครับ สําหรับปี นั้น นะครับ จะเห็นได้ว่าใน ของปีนี้นะครับ ปี หกเจ็ด เนี่ย เนี่ย เนี่ย ค่อนข้างที่จะดีกว่าในช่วงก่อน ที่สําไป นะฮะ อย่างไรก็ดีนะครับ สิ่งที่เราจะต้องติดตามต่อไปก็คือในเรื่องของภาพขวานะครับ ก็คือว่าสินเชื่อของ SME นะครับ ที่จะเห็นว่ามีการเติบโตค่อนข้างที่จะทรงๆนะครับ ไม่ได้มีการเติบโตเหมือนกันในภาพซ้ายนะครับ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องติดตามต่อไป ในภาพขวา จะเป็นเรื่องของคุณภาพ ดังที่เรียนไปก็จะเห็นได้ว่า ในส่วนของคุณภาพ จริงๆ ค่อนข้างโดรม ในภาพรวมค่อนข้างส่งตัว เส้นนี้คือเส้นสัดส่วนของ SM บวก NPL จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เราจะต้องติดตามก็คือ แน่นอน ในกลุ่มของสินเชื่อ SME ที่เราจะเห็นได้ว่า ตัว SM บวก NPL ก็มีการปรับขึ้นบ้างนะครับ แต่ว่าไม่ได้เป็นการปรับขึ้นแบบเก้ากระโดดอย่างใดนะฮะ ในหน้าถัดไปนะครับ ก็จะเป็นเรื่องของโครเรือนนะครับ ก็จะเห็นได้ว่าสินเชื่อภาคโครเรือนเนี่ย แต่จะแสดงให้เห็นในภาพซ้ายนะครับ ก็มีแนวโน้มที่ปรับชะลอลงนะครับ โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อ หายนะครับ เช่าซื้อที่แสดงให้เห็นโดยเส้นสีแดงนะครับ แล้วก็สินเชื่อของบัตรเครดิตที่จะแสดงให้เห็นโดยเส้นสีชมพูนะครับ ซึ่งอันนี้ส่วนหนึ่งเนี่ยก็เป็นในเรื่องของ Credit Risk ของผู้กู้ที่สูงขึ้น แล้วก็อีกส่วนหนึ่งก็เป็นในเรื่องของการสอดคล้องกับการ De-leveraging นะครับที่กําลังเกิดขึ้นนะครับ ในส่วนของภาพขวาเนี่ย อ่า อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราก็ติดตามต่อเนื่องนะครับ อ่า โดยเฉพาะในส่วนของ อ่า คุณภาพสินเชื่อของ นะครับ ที่แสดงให้เห็นโดยเส้นสีแดง ที่จะเห็นได้ว่าก็ค่อนข้างที่จะทรงตัวอยู่ใน อ่า ระดับสูงนะครับ อ่า อยู่ที่ประมาณสองเปอร์เซ็นต์นะครับ ในขณะที่ตัว เอสเอ็มบวก เอ็นพีเอล เราก็อยู่ที่ประมาณสิบหกเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยเนี่ย สัญญาณก็คือว่ามันค่อนข้างที่จะ ในช่วงที่ผ่านมานะครับ ไม่ได้ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องนะครับ อย่างในช่วงปี อ่า สองพันยี่สิบสอง ในส่วนของการดำเนินนโยบายการเงินนะฮะ โดยหลักแล้วเนี่ย การดำเนินนโยบายการเงินในภาพรวมเนี่ย คงจะต้องผสมผสานเครื่องมือนะครับ อย่างเหมาะสม เนื่องจากว่า Central Bank เนี่ย ก็มีหลาย Objectives นะครับ และเราจะต้องพิจารณาถึงที่มาของปัญหาด้วยนะครับ จะได้จิบใช้เครื่องมือเนี่ย อย่างสอดคล้องปัญหาที่เกิดขึ้นนะครับ การที่เราพึ่งพาเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งนะครับ มากเกินไปเนี่ย ก็อาจจะสร้างผลข้างเคียงได้ นะครับ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติถ้าเราคงกระตาดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่างเกินไปนะครับ การก่อนนี้ก็เร่งขึ้น แม้ว่าจะช่วย เอ่อ ในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นบ้าง แต่แน่นอนมันก็มีที่เราจะต้อง เอ่อ ต้องติดตามนะครับ รวมถึงในแง่ของ เอ่อ ที่เราอาจจะต้องใช้ในยามจําเป็นเนี้ย ก็หมดไปนะฮะ ในส่วนของอัตราต่อเบี้ยนยุบาย ณ ระดับปัจจุบัน ถือว่าค่อนข้างที่จะสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ อย่างที่คุณปานีได้เรียนไป เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเฟ้อ ก็มีแนวโน้มปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ตั้งแต่ Q4 ไปทั้งไป การควรการ Death Deliverance ขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเราก็ประเมินว่าอัตราต่อเบี้ยนยุบาย ณ ระดับปัจจุบัน น่าจะเอื้อต่อการรักษาสิทธิภาพในระยะยาวด้วย ในหน้าถัดไป อันนี้ก็แสดงให้เห็นถึง การผสมผสานระหว่างเครื่องมือต่างๆ ซึ่งอันนี้ก็เป็นบทความ Special Issue ในรายงานนโยบายการเงินในครั้งนี้ด้วย ก็จะเห็นได้ว่า เป้าหมายของนโยบายการเงินก็มี 3 ประการด้วยกัน สิรภาพราคาเงินเฟ้อในระยะปันกลาง ในเรื่องของการแขนตัวของเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพ แล้วก็ในแง่ของการลดความเสี่ยงเชื่อมระบบในรบการเงิน ในยุบายการเงินก็คงจะเป็นเครื่องมือหลักในการที่จะดู Balance ต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจมหาภาค จะยังไงก็ดีถ้าไม่มีปัญหาเกิดขึ้น เช่นในจุดต่างๆ เช่นสมมุติว่าถ้ามีความไม่สมดุลในตลาดเงินตาต่างประเทศ และเปลี่ยนเครื่องบ่ายพันธุ์ผล เกินวัตจัยพื้นฐาน เหล่านี้มันก็มีเครื่องมือที่สามารถที่จะหยิบใช้ได้ ก็คือ FXI FX Intervention แต่แน่นอนอัตราดอกเบี้ยก็มี บทบาทสำคัญเหมือนกันในการที่จะสร้างบริบท Environment ที่จะทำให้ตัว FXI เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงปัจจุบัน ในช่วงที่ Interstrate Differential ก็อยู่ในระดับสูง ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันก็จะเป็นการเสริมสร้างเสริมภาพ แล้วก็ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพของตัว FXI ด้วยในเวลาเดียวกัน อันนี้ก็เป็นตัวอย่างนะครับ ซึ่ง อ่า หลักหลักก็คือว่า การผสมสารเครื่องมือเนี่ยเป็นสิ่งจําเป็น เราจะต้อง อ่า พิจารณาถึงที่มาของปัญหานะครับ แล้วก็เลือกใช้ อ่า ตัว อ่า อินส์ทรูมเมนต์ของเราเนี่ยให้ตรงจุด อย่างในหน้าถัดไปก็เป็น Illustration อย่างอันหนึ่งนะครับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเนี่ยเป็นเรื่องของภาคการเงินที่อาจจะมีปัญหาหนี้ครัวเรือนนะครับ ดังนั้นเนี่ยสิ่งที่เราพยายามเน้นก็คือว่าการปรับโครงสร้างหนี้เนี่ยก็จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดนะครับ อย่างตัว Responsible Lending ที่เราใช้อยู่นะครับก็มีการเน้นในเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้นะครับอันนี้แสดงให้เห็นโดยในตารางด้านซ้ายนะครับสีเขียวเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของก่อนการเป็นหนี้หนึ่งครั้งนะครับ ให้มีการเอาปรับ เอ่อ ปรับโครงสร้างหนี้หนึ่งครั้งนะครับ แล้วหลัง หลังเป็นนี้เสียเนี่ย ก็มีการปรับโครงสร้างหนี้อีกครั้งหนึ่งด้วย มีอ่า อินส์ทรูมเมนต์เพิ่มเติมก็คือในลักษณะของว่าถ้าสมมุติว่า อ่า ผู้กู้นะครับ มีลักษณะเป็นนี่เรื้อรังนะครับ คือมีการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมาเนี่ย อันนี้เราก็มีความช่วยเหลือในลักษณะของการเทลเลอร์เมสว่าผู้กู้สามารถที่จะคอนเวิร์ตนะครับ ไอ้ตัว เอ่อ วงเงินสินเชื่อที่เป็น เอ่อ นะครับ ให้เป็นลักษณะของ ที่มีการ เอ่อ ปิดจบนี้ได้เร็ว มีการผ่อนจ่ายดอกเบี้ยนะครับ เอ่อ ในเอกตราที่ไม่สูงมาก แล้วก็สามารถที่ปิดจบได้ใน 5 ปีนะครับ อันนี้ก็เป็น Facilities เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การปรับโครงสร้างหนี้เกิดขึ้นได้นะครับ ในแง่ของ Progress ในแง่ของ Debt Restructuring อันนี้แสดงให้เห็นในภาพขวานะครับ ก็จะเห็นได้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้ใน Trimart 1 ที่ผ่านมาเนี่ย ก็จะมีจำนวนบัญชีถึงประมาณเกือบ 4 ล้านบัญชีนะครับ 37 ล้านบัญชีแล้วก็มีมูลค่านี้ถึงประมาณ 900 ล้านบาท อันนี้ก็เป็นอัตราที่ค่อนข้างที่ ongoing แล้วเราก็หวังว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง มูลค่าของพาระนี่ที่มีการปรับคล่องสร้างหนี้ประมาณ 900,000 ล้านบาทนี้ ถ้าสมมุติว่าคิดกับตัว NPL ที่เข้ามาในไตรมาส 2 ของระบบทางค้าพาณิชย์ ถือว่าเป็นประมาณ 2 เท่ากว่าด้วยซ้ำ ก็ถือว่าค่อนข้างที่จะช่วยให้การปรับคล่องสร้างหนี้ สิรภาพระบบการเงินเป็นไปได้อย่าง ongoing ในหน้าถัดไปนะครับ เป็นเรื่องของกลยุทธ์การดำเนิน นโยบาย การเงินนะครับ โดยสรุป ตัวอัตราดอกเบี้ยนนโยบายเนี่ย ก็จะมี เอ่อ หน้าที่นะครับ สําคัญสองประการด้วยกันนะครับ กลยุทธ์ในการดำเนินนโยบาย ก็สองประเด็นด้วยกัน ก็คือ อันแรกนะครับ ดูแลภาพแมคโคร แล้วก็ทั้งในหน้าของ เอ่อ เศรษฐกิจและการเงินเนี่ย เศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืนนะครับ เงินเฟ้อระยะปันกลางอยู่ในกรอบ แล้วก็ เอ่อ ลดการสะสมความเสี่ยงชนระบบนะครับ ในระบบการเงิน ในขณะเดียวกันนะครับ กลยุทธ์ของเราเนี่ยก็คือว่าเราอยากจะดำเนินนโยบายในลักษณะที่เป็น Robust Policy นะครับ คือไม่ว่าจะมีความเสี่ยงเกิดขึ้นด้านบวกหรือด้านลบนะครับ เช่นการใช้จ่ายภาครัฐมากกว่าคาดนะครับ หรือ Interest Rate Differential เนี่ยยังเกิดขึ้นต่อเนื่องนะครับ ความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์ที่อาจจะ Intensify อัตรา W2.5 เนี่ยก็ถือว่าค่อนข้างที่จะสมดุลนะครับ ในการรองรับทั้งความเสี่ยงด้านบวกแล้วก็ด้านลบนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นหรือปรับลงเนี่ย อันนี้ก็จะเป็นในช่วยในการที่ลดความเสี่ยงที่จะต้อง reverse proceed นะครับ ถ้าหากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นถัดไปนะฮะ ดังนั้นโดยสรุปนะครับ ในหน้าสุดท้ายนะครับ ก็คือคณะกรรมการก็มีมติที่ผ่านมาให้คงอัตราดอกเบี้ยนะครับ และพร้อมที่จะพิจารณาในแง่ของพัฒนาการเศรษฐกิจและเงินเฟิร์สข้างหน้านะครับ ในการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนิบายที่เหมาะสมต่อไป ขอบคุณครับ ครับ ขอบคุณครับ ก็ อ่า เรียนเชิญ ลํา บัตร ถ ัด ไป แลก เปลี่ยน คํา ถาม มุม มอง กัน ได้เลยนะครับ ก็ ก็ จะขอ มา ให้ หน่อย ได้ไหมฮะ แล้วก็ จะ แนะนํา ตัว ท่าน ท่าน สั้น ก่อน ที่ ให้ คํา ถาม นะครับ ช่วย ขอ ไม ค ฟ น ด์ เนี้ย ผม ปียสัก มานาซัน จาก InnoSX นะครับผม ก่อนอื่นก็มี 3 คำถามนะครับ แต่ก่อนอื่นก็ขอแสดงความยินดีและชื่นชมกับแบงค์ชาติและ Dr. ปิตินะครับผม ในส่วน Dr. ปิติก็ยินดีที่ได้เลื่อนขึ้นนะครับผม และก็ดีใจที่ท่านยังมาแถลงข่าวเป็นเลยขากรงออยู่นะครับ และก็ยินดีกับแบงค์ชาติที่คาดการณ์ภาพที่ได้ถูกต้องนะครับ ทั้งในแง่ของภาพของ GDP โดยเฉพาะใน GDP ในเตรมาสที่ 1 ที่มีโมเมนตัมที่ค่อนข้างดีแล้วก็ฟื้นตัวต่อ แล้วถ้า Path เป็นแบบนี้ทั้งเศรษฐกิจแล้วก็เงินเฟ้อที่ Dr. Surat ว่าก็อาจจะกลับเข้ามาสู่ ในอัตราตัวเงินเฟ้ออาจจะเข้าถึงเป้าแต่ว่าถ้าเฉลี่ยก็อาจจะยังไม่ถึง 0.6% เลยต่างๆ คราวนี้ประเด็นก็คืออย่างที่ Dr. Surat ว่าเลยถ้ามันมี 3 เป้าหมายของธนาคารกลาง เป้าหมายที่ 1 ที่ 2 ถึงแล้ว ก็คือเหลือเป้าหมายที่ 3 ก็คือเป้าหมายในเรื่องของการดูแลเสถียรภาพการเงิน ถ้าสิ่งที่แบงค์ชาติเน้นหลักคือเรื่องของสัดส่วนนี่ควรเรินต่อรายได้ไม่ให้สูงขึ้น นั่นแปลว่าในทางพฤตินัยแบงค์ชาติแอบตั้งเป้าหมายสินเชื่อหรือเปล่า ถ้าผมลองคิดง่ายๆ ว่าให้ ถ้าจะไม่ให้สินเชื่อต่อรายได้แล้วให้รายได้เป็น GDP ใช่มั้ยฮะ ง่ายๆ เลย ฉะนั้นสินเชื่อปีนี้ก็ควรไม่โตเกิน 2.6 ซึ่งเป็นเหลียวนะครับ บวกเงินเฟ้อ 0.6 ก็ประมาณ 3.2 หรือเปล่า ส่วนในปีหน้าก็สินเชื่อก็ไม่ควรเกิน 3 บวกเท่าไหร่ 1.6 เงินเฟ้อปีหน้า 2 อะไรก็เป็น 4.2 อะไรประมาณแบบนี้หรือเปล่า อันนี้คือเป้าหมายเงินเฟ้อหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นภาพเช่นนั้นเนี่ย โอเคถึงแม้ภาพต่างๆ เรื่องของตัว NPL ตัว SM อะไรต่างๆ ที่ดร.สุรัสตร์ว่าก็คือมันขึ้นอยู่ แต่ว่าเป็นสิ่งที่แบงค์ชาติคาดการณ์ไว้แล้ว จับตาไว้แล้ว แต่ว่าในตอนการประชุม หลังการประชุมนโยบายการเงิน ดร.ปิติก็ได้มาเรียนให้สื่อมูลชนทราบว่า ตัวเรื่องของสภาพคล่องที่ตึงตัวในหลายฝ่าย อย่างเช่นในหลายสิคเตอร์ อย่างเช่นพวกอโลหะ วัสดุก่อสร้าง ก่อสร้างและอสังหา อะไรพวกนี้ ยานยนต์อะไรต่างๆที่มีปัญหาไป แสดงว่าผมก็นั่งคิดต่อ ผมอันนี้ก็ To be fair แบงค์ชาติอย่างที่ท่านพูดตลอดว่า เครื่องมือดอกเบี้ยมันเป็น Brand True มันเป็นเครื่องมือที่ทื้อและทุบทีมันทั้งหมด นั่นแปลว่าถ้ารถดอกเบี้ยไม่ได้ เพื่อช่วยเซคเตอร์เหล่านี้ไม่ได้ ก็คือจะปล่อยให้เขาตายหรือเปล่า อันนี้คือคำถามแรก ในเชิงใหญ่เห็นภาพ เพราะว่าถ้าทุบทีอย่างเช่นรถดอกเบี้ย บางเซคเตอร์มันจะโตดีขึ้น แล้วก็แบงค์ชาติอาจจะกังวลเรื่องฟองสบู่ กังวลเรื่องหนี้ควรเรือน กังวลเรื่องอะไรต่าง เนี่ย แต่ว่าในเชิงที่ตึงนโยบายการเงินอย่างนี้ ในทางหนึ่งบางเซคเตอร์มันกำลังจะตาย ซึ่งแบงค์ชาติโชว์เองนะฮะ รวมไปถึงที่ ที่ ที่ อ่า ผอสอปานี โชว์ โชว์ด้วยนะฮะ ผม เอ่อ เป็น ผมเห็นผมก็เศร้า นะฮะ ผมก็ต้องเรียนตามตรง นะฮะ จริงจริงก็ มาสู่ อ่า คําถามที่สอง ก็คือเรื่องของภาคอุตสาหกรรมโดยรวมที่มันค่อนข้างแย่ อันเนี้ยก็ ก็เราก็เห็นโดยทั่วไปเนี้ย เพราะว่าเราเป็น มันเป็น มันไปกับที่อื่นอื่นแล้วเรา แข่งขันไม่ได้ ซึ่งผมก็ยังยืนใน ผมว่า นั่นแปลว่าอย่างหนึ่งคือมันมี แล้ว Common Factor ของประเทศไทยคืออะไรในสินค้าส่งออกที่แย่กว่าคนอื่นเขา ก็คือค่าเงินหรือเปล่า ผมยังค่อนข้างเชื่อตรงนี้ NER ของเราที่แข็งค่าเกินกว่าที่อื่นที่ 16-17% ผมก็ยังไม่เห็นว่าแบงค์ชาติจะอัดเรสประเด็นนี้ของผมได้ค่อนข้างชัดนะครับผมนะฮะ แต่ Non-tradable sector ก็กำลังจะแย่อย่างเช่นอสังหา ซึ่งถ้าไปดูในเรื่องของพวก Housing Complete ดูง่ายๆ เป็นรายปีเลยนะครับผมนะ จะเห็นว่า Housing Complete สูงสุดในปี 2017 ที่ประมาณ 130,000 ยูนิต หลังจากนั้นชะลอลงมาต่อเนื่อง ปี 2017 เกิดอะไรขึ้น LTV ออกมา หลังจากนั้นภาพเรื่องของการ supply ออกมาลำบากเลย แน่นอนมันมีเรื่อง COVID มันมีเรื่องอะไรต่างๆ แต่หลังจากนั้นช่วงหลังๆก็ไม่ฟื้น ปีที่แล้วติดลบหน่อยๆด้วยซ้ำ ติดลบ 0.6 มั้ง ซึ่งแน่นอนมันเป็น Point ของทั้งดอกเบี้ยขาขึ้นอะไรต่างๆ ซึ่งมันก็กระทบอย่างที่ Dr. Surat ได้โชว์ในเรื่องของสิ่งเชื่อด้วยนะครับผม นั่นแปลว่าผมก็คิด ผมอาจจะคิดเกินเลยไปหรือเปล่า ว่ามันกลายเป็นเหมือนกับ 3 red line light ของจีนหรือเปล่า เพราะจีนเขาต้องการจะคุมภาคสังหาฯ ฟรองสบวรสังหาฯ แล้วเขาก็ออก 3 red line หลังจากนั้น Evergrande ล้ม Country Garden ล้ม แล้วก็ลามไปที่อื่นๆ เท่าที่สุดท้ายคือเป้าหมายเงินเฟ้อที่อาจจะมีประเด็นกัน ระหว่างรัฐบาลกับแบงค์ชาติที่มีการปรับเป้าขึ้น ประเด็นนี้เหมือนเราได้คุยกันในคราวที่แล้วใช่ไหม ที่ผมได้ขออนุญาตเรียนถามดร.ปิติไปในคราวที่แล้ว ดร.ปิติก็ชี้มาว่า พอยท์หลักของการที่ ประเด็นที่ผมอยากได้หรืออยากให้เห็นในประเทศไทยคือมันต้องเป็นมันไม่ใช่โลเลสโลโกรสอย่างงี้ดอกเบี้ยก็ต่ำเงินเฟ้อก็ต่ำใช่ไหมคะ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจก็ต่ำรายได้ต่อหัวก็ไม่โตถ้าเรายอมให้เงินเฟ้อขึ้นมาบ้างมันจะช่วยหรือเปล่านะครับผมอย่างเช่นว่ามันแน่นอนมันก็จะทำให้ค่าแรงเพิ่มมากขึ้นอันนี้ขออนุญาตเรียนความเห็นแล้วกันนะครับเผื่อท่านจะเอาไปคิดหรือว่าเป็นประเด็นต่อไปที่จะทำนโยบายก็คือว่า ในขั้นแรกปล่อยให้มันมี demand pool inflation ขึ้นมาบ้างได้หรือเปล่า พอ demand pool inflation มันขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง แล้วค่อยไปขึ้นดอกเบี้ยสูงๆเพื่อคุมมัน พอคุมมันตอนนี้สิ่งที่ถ้าทำได้ดีซึ่งผมยอมรับว่ายาก แต่ถ้าทำได้ดีมันจะเหมือนเฟ็ดหรือเปล่า คือเขาสามารถคุม ภาพเงินเฟ้อได้ให้ Demand Pool ยังอยู่ระดับหนึ่งแต่ค่อยๆลง ในขณะที่เงินเฟ้อจะผ่านผลก็ขึ้นอยู่กับ Cost Push ซึ่งถ้าเป็นภาพนั้นค่าแรงจะโตกว่าเงินเฟ้อ มันถึงเป็นภาพที่ทำให้ GDP เศรษฐกิจอเมริกากดไม่ลงตอนนี้ นอกจากนั้นก็คือเรื่องค่าเงินอันนี้ก็เรียนไปแล้ว ว่าเพราะนโยบายการเงินเราตึงตัวเกินไปมันก็ทำให้ค่าเงินเรามีปัญหาหรือเปล่า แข่งค่าขึ้นเกินกว่าคนอื่น ถ้าเราปรับเป้าหมายเงินเฟ้อให้ขึ้นมาอย่างเช่น 2-4 หรือ 3-5% แล้วคุมให้มันอยู่ให้ได้ คือถ้าเผื่อมันจะวิ่งขึ้นไปเกิน 4-5% เราพร้อมที่จะขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ เราคุมได้ไหม แล้วสุดท้ายก็คือมันก็จะมีรูม ให้ดอกเบี้ยสามารถสูงขึ้นได้เป็น Point อย่างที่ท่านผู้ว่าว่าไว้เลยว่า ถ้าเงินเฟ้อสูงดอกเบี้ยจะสูงนะ แต่ Point ของดอกเบี้ยที่สูงขึ้นบ้างมันมีข้อดี 2 จุด จุดแรกก็คือคนสูงอายุที่เขาไม่มีรายได้อื่นนอกจากเงินฝากเขาก็จะได้มีดอกเบี้ยมีรายได้มากขึ้น Point ที่ 2 ก็คือมี Room ให้แบงค์ชาติลดดอกเบี้ยได้ถ้าเศรษฐกิจแย่ ก็มี 3 ประเด็นที่ขออนุญาตเรียนถามครับ ขออนุญาตตอบในประเด็นสุดท้ายก่อนแล้วกัน เรื่องเป้าหมายเงินเฟ้อ จริงๆ ที่คุณปริยสักษ์ได้กล่าวเมื่อคู่ ทำให้นึกถึงในเรื่องของ ตอนนั้นลักษณะของ Responsible Manageable Policy และ Irresponsible Manageable Policy ผมเข้าใจว่าคุณปริยสักษ์ไม่ได้หมายความว่า ให้เป็นลักษณะ Irresponsible Manageable Policy ขนาดนั้นที่ปล่อยให้เงินเฟ้อสูงขึ้น แต่ว่าให้สูงขึ้นบ้าง แต่ว่าอย่างไรก็ดี เรื่องเงินเฟ้อเป็นเรื่อง ต้องระวังนิดหนึ่งนะครับ เพราะว่าการที่ประการแรก สิริทธิ์ไทย ณ อ่า คอนจังเชิร์ตปัจจุบันเนี้ย ราคาเนี้ยได้สูงขึ้นมาเยอะแล้วนะครับ ในปีสองพัน ตั้งแต่ช่วง อ่า หลังโควิดนะครับ การที่จะปล่อยให้เงินเฟ้อสูงขึ้นนะครับ ต่อปีสูงขึ้นไปเรื่อยเรื่อยเนี้ย ก็จะเป็นสิ่งที่ อ่า ทําลายนะครับ Possible income ของครัวเรือน และปัจจุบันอย่างที่คุณปรานีเรียน เศรษฐกิจก็มีกลุ่มเบาะบางอยู่ มีครัวเรือน มีภาคธุรกิจ ต้นทุนที่เข้าสูงขึ้น เกรงว่าก็อาจจะเป็นตัวที่ทำให้เศรษฐกิจ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ไม่เป็นไปตาม ไม่ smooth เท่าที่ควร อันนี้ก็เป็นสิ่งที่จะต้องพึงระวังในยะยาว คืออย่างน้อยที่สุด เราจะต้องพิจารณาถึงคอนเทคสต์ปัจจุบันด้วยนะครับ ประเด็นที่สองในเรื่องของการดำเนินยกบายการเงิน การที่เราปล่อยให้เงินเฟ้อปรับเปลี่ยนไปจากโหมดปัจจุบัน มันเป็นไปได้ อย่างใน literature ก็มีการพูดถึงว่า Stable Inflation Regime ข้อดีของเงินเฟ้อไทยก็คือว่า เราสามารถ ข้อดีของเงินเฟ้อ Inflation Dynamics ไทย Medium-term Inflation Expectations ค่อนข้างอย่างที่ผมเรียนนะครับ ถ้ากลับไปดูหน้านั้นเนี่ย ค่อนข้างที่จะคงที่ที่ประมาณสองนะครับ จะเห็นว่าเรามีความ เอ่อ นโยบายเป็นความเงิน และมีความตั้งใจที่จะรักษาเงินเฟ้อเนี่ย ให้อยู่ในกรอบเป้าหมายนะครับ ซึ่งที่ผ่านมาเนี่ย กรอบนี้เนี่ย ทําหน้าที่ได้ดีนะครับ การที่ เอ่อ เราไป นะครับ ไปสู่ เอ่อ เนี่ย ก็เป็นสิ่งที่อาจจะทําให้เกิด เราหลุดลอยไปจาก เอ่อ ของเราที่ดีอยู่แล้วนะครับ ที่ ได้ดีอยู่แล้วนะครับ ก็เป็นการที่ไปเปิด Pandera Box เปล่าๆ นะครับ อันนี้ก็เป็นสาเหตุที่ว่า ลักษณะปัจจุบันเนี่ย เงินเฟ้อปัจจุบันเนี่ย ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าเป้าอยู่แล้วนะครับ อยู่ในกรอบเป้าหมาย แต่ขอเรียนว่าเงินเฟ้อเนี่ย Dynamics ของเงินเฟ้อเรื่อยละสั้นเนี่ย ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดนะฮะ เพราะว่าเงินเฟ้อเรื่อยละสั้นเนี่ย ถูกบอมบาดไปด้วยช็อกต่างๆ ที่เข้ามาได้นะครับ โดยเฉพาะ Supply Shock โดยเฉพาะ Sector Specific Shock นะครับ Medium-term inflation expectations ของเราอยู่ในเกณฑ์ D กรอบปัจจุบันทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี ค่ะ อ่า ในส่วนของ เรื่อง manufacturing ที่แย่ค่ะ เมื่อสักครู่ที่เรียนไป อ่า อาจจะ ไม่น่าจะว่าทําให้ดูไม่ชัดหรือเปล่าว่า เป็นจริงจริง เรื่องของ อ่า การผลิตของเราที่ ที่แย่แล้วก็เป็น tradable ค่ะ tradable ก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของ อ่า ความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งความสามารถในการแข่งขันก็มี มีหลาย มีหลายมิติอ่ะค่ะ ทางด้านราคาก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง เรื่องต้นทุนเองก็เป็นส่วนหนึ่งแล้วก็ เรื่องของ เอ่อ พรูดักต์ที่ขายอะค่ะ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทําให้แข่งขันได้อะค่ะ ซึ่ง เอ่อ ที่ผ่านมาค่ะ จะเห็นว่า เอ่อ ในหลายหลาย เซคเตอร์ของการผลิตอะค่ะ ผ้าอุตสาหกรรมเนี้ย ก็ไม่ได้มีผลมาจาก ด้านราคาเพียงอย่างเดียวค่ะ จริงจริง อาจจะเป็นเรื่องของความนิยมของสินค้าที่เราผลิตอาจจะน้อยลงหรือกระแสโลกเปลี่ยน อย่างเช่น เราผลิต รถยนต์สันดับภายในอะค่ะ แต่ว่า เอ่อ โลกก็ไปทางกระแสอีวีมากขึ้นนะคะ เอ่อ อย่างปีหน้าเองก็จะมี เรื่องของ เอ่อ ตัวตลาดออสเตรเลียซึ่งเป็นตลาดรถกระบะของเราอะค่ะ ก็จะเริ่ม เรื่องของการปล่อยคาร์บอนนะคะ ซึ่งตรงนี้เองถ้าเราไม่ได้ปรับ เรื่องของโครงสร้างการผลิตอะค่ะ ก็ ต่อให้ เอ่อ ค่าเงินอ่อน ก็อาจจะไม่ได้ช่วยทําให้เราส่งออกได้เพิ่มขึ้นนะคะ แล้วก็ เอ่อ ถ้าเราลอง เราเคยทํา ของข้อมูลในอดีตนะคะว่าในช่วงที่บาทอ่อนมากมากค่ะ การส่งออกเองเนี้ยก็ไม่ได้ไปกับเรื่องของค่าเงินบาทที่อ่อน จะเป็นเรื่องของอุปสรรค์ของตลาดโลกที่มีผลมากกว่าค่ะ ก็เลยขอเรียนว่า เอ่อ การที่ค่าเงินบาทอ่อนก็อาจจะไม่ได้ช่วย เรื่องของการส่งออกได้มากนัก อาจจะมีข้อดีตรงที่ เอ่อ ผู้ส่งอ่อจะได้การแปลงค่าเงินดัลลาร์มาเป็นบาทได้เพิ่มขึ้นนะคะ แต่อันนั้นอาจจะเป็นเรื่องของการเพิ่มสภาพคล่องในระยะสั้น แต่ว่าจริงๆแล้วเนี่ยตัวศักยภาพในการแข่งขันการผลิตเองค่ะ เป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าแล้วเราควรจะให้ความสำคัญตรงนั้นค่ะ แล้วก็นอกจากเรื่องของค่าเงินบาทอ่อนแล้วเนี่ย ถ้ามองเรื่องของ Side Effect ของ การที่บาดอ่อนนะคะ ก็อาจจะทําให้ต้นทุนการนําเข้าน้ํามัน ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตของการผลิตต่างต่าง ปรับสูงขึ้นด้วย สุดท้ายแล้วเนี้ย ความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนเองก็จะหายไปอยู่ดีอะค่ะ ก็เลย ก็อาจจะเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจด้วยถ้าเกิดว่าเรายอมให้เงินเฟ้อสูงๆในประเทศค่ะ แล้วก็ประชาชนเองก็จะมีความเดือดร้อนเนื่องจากราคาสินค้าต่างๆก็จะเพิ่มพื้นค่ะ เรื่องของค่าเงินบาทเองอาจจะไม่ได้ช่วยให้การส่งออกเราดีขึ้นค่ะ คงต้องปรับที่ตัวคอของปัญหาจริงๆค่ะ เดี๋ยวผมจะให้คำถามต่อ แต่ผมจะเก็บตก เพราะว่ายังไม่ได้ตอบหลายประเด็น แต่เพราะว่าในคำถามท่านอื่นอาจจะมีความคล้ายขึ้น ผมไม่ลืมมันเดี๋ยวจะมาช่วยเก็บตก ถึงที่ยังไม่ได้ตอบ ท่านอื่นมีคำถามจะ ไหมฮะ ค่ะ ดร. มุฒิวา นะคะ จาก จาก ค่ะ อ่า พอดีวันนี้ก็มีสองคําถามนะคะ คําถามแรกก็เป็นเรื่องของตัว ว่าถ้าเกิดว่ามี ในคิวสี่ อะค่ะ จะช่วยทําให้ GDP ปีเนี้ย ขึ้นเท่าไหร่ อะนะคะ เพราะว่า เข้าใจว่า สภาพัฒน์อาจจะมองว่าขึ้นอยู่ที่ สูงจุดสองห้า นะคะ แล้วก็เรามอง ตัวนี้ที่เท่าไหร่ แล้วก็อีกตัวหนึ่งเป็นเรื่อง ตัว นะคะ ที่เหมือนเห็นของแบงค์ชาติ เนี้ย ปรับ เพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะ แต่ว่าของสภาพ เนี้ยคือเหมือนยังติดลบอยู่ ก็คืออยากจะรู้ว่าตัวที่ต่างกันตรงเนี้ยเป็นอะไรบ้างอะค่ะ ขอตอบในส่วนของ Public Investment ก่อน จริงๆ สิ่งที่ต่างกัน ถ้าตอบสั้นๆ ก็เป็นเรื่องของ SOE SOE Investment ที่ต่างกัน เราก็ได้คุยกับทางสภาพัฒน์ แล้วได้คุยกับตัว SOE ที่เป็นตัว Key หลักก็คือตัวปรตท. สาเหตุที่แตกต่างกันก็คือว่าเรามี Assumption ที่ต่างกัน ในแง่ของว่าสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศของตัวปรตท. ทางสมภาษาอาจจะมีความว่ามีการสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศที่ก็ค่อนสูง ซึ่งอันนี้ถ้าลงสัดส่วนเยอะก็จะไม่นับอยู่ใน GDP ทางแบงก์ชาติก็ได้คุยกับปรตท.
เป็นระยะ เราได้ข้อมูลจากปรตท. รายสัปดาห์ สัดส่วนการลงทุนของปรตท. ในต่างประเทศ อยู่ที่ประมาณไม่ได้สูงถึงขนาดนั้น อีกประเด็นนึงที่เป็น SOE นะครับ ก็คือในแง่ของตัว General Government GG นะครับ GG ที่เราสมัครไม่ได้ต่างกันเท่าไร และจริงๆ ในเรื่องของอัตราการเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐ ดังที่แสดงให้เห็นใน โอ้ ดังที่แสดงให้เห็นในตัว MPR นะครับ แต่ไม่ได้โชว์ในนี้ก็คือว่าอัตราการเบิกจ่ายล่าสุดเนี่ย เราดูข้อมูลรายสัปดาห์ 21 วิทยุณาเนี่ย อยู่ที่ประมาณ 34% ก็คือค่อนข้างๆ จะออกมาค่อนข้างๆ ดีนะครับ เป็นประถามค่า แล้วเราคิดว่าถ้าไปเป็น เป็นตาม นี้ เนี่ย อ่า ก็จะ Path ของตัว Public Investment เนี่ย น่าจะคล้ายเคลียงกับตัว FY20 นะครับ FY63-2563 ที่มีงบมารชานะครับ ดังนั้นโดยสุดก็คือว่า อีกประเด็นหนึ่งก็คือในเรื่องของฐานต่ำปีที่แล้วนะฮะ ปีที่แล้วเนี่ย iPub เนี่ยติดลบถึงประมาณ 46% นะฮะ คือถ้าจะ ถ้าสมมุติว่า ไอพับยังติดลบอยู่ แสดงว่าการเบิกจ่ายต่อแต่ละไตรมาสในไตรมาสที่สอง ไตรมาสที่สามปีประดิษฐิน จะค่อนข้างน้อยต่ำกว่าปีตกประกอบอีก โดยสรุปก็คือว่าสาเหตุที่มีการแตกต่างกัน ก็ในเรื่องของ SOE Investment SOE Investment มาจากไหน ก็คือสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศของรายวิศิษฐ์และภิษฐศาสตร์อังกฤษ รายใหญ่ รายหนึ่ง ส่วนเรื่อง Digital Wallet ก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอกครับ ไม่ใช่แค่เรากับสภาพัฒน์ แต่ว่าแบบว่านักวิเคราะห์หลายสำนักก็จะมองว่า ในเมื่อมาตรายมาตร 4 มันก็ค่อนข้างจะปลายปีก็ไม่ได้ต่างกับตัวเลขที่ท่านได้เรียนเมื่อกี้มากหรอกนะ แล้วก็ พลของ Digital Wallet ส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นในปีหน้ามากกว่านะครับ แล้วก็ Multiply ให้รวมก็ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ที่มองไว้ ประมาณ 3.3-3.4 ประมาณนั้นนะครับ ครับ ใช่เลยครับ ครับ อ่า รัฐกิจนะครับ จากบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิมพัทรธรรมนะครับ ก็ อ่า หลักหลักวันนี้มีสองประเด็นใหญ่ใหญ่นะครับ อันแรกอาจจะเกี่ยวกับการประมาณการเศรษฐกิจนะครับ คิดว่า อ่า อันนี้เป็น อ่า รอบที่แบงค์ชาติเนี่ยมีการโชว์ให้เห็นนะว่า อ่า การเติบตัวของเศรษฐกิจลายไตรมาสเนี่ยมีลักษณะเป็นยังไงใช่ไหมครับ ก็คือว่าจะไปดีที่สุดก็คือช่วงไตรมาสสี่ปีนี้นะครับ แต่ว่า คราวนี้คําถามก็คือว่า จริงถ้าเกิดว่าเราทําตัวเลข หรือว่าดูตัวเลขเนี่ยก็จะทราบว่า เศรษฐกิจที่เติบโตดีขึ้นในช่วงใจมาส 4 ปีนี้ ใจมาส 1 ปีหน้า ส่วนหนึ่งมันมาจาก Base Effect ของฐานที่ต่ำใน Public Investment ที่มันต่ำลงไปเยอะใช่ไหมครับ คราวนี้ถามว่าถ้ามอง Momentum ต่อไปในระยะข้างหน้าคือใน Quarter 2-3-4 ปีหน้า มันมีแนวโน้มที่จะชะลอลงไหมในมุมวงของแม่ชาตินะครับ แล้วก็อันนั้นเช็คอินทูอร์แคล้วเข้าไปหรือยังในการดำเนินนโยบายการเงินในครั้งที่ผ่านมาครับ ประเด็นแรกนะครับ ประเด็นที่สองอาจจะเกี่ยวกับนัยยะต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ในแง่ของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ ลักษณะที่มันแตกต่างกัน คือ รอบนี้ที่เราเห็นเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัว จะเห็นว่ามันมีการฟื้นตัวที่มันแตกต่างกันค่อนข้างเยอะในแต่ละภาคเศรษฐกิจ ก็คือกลุ่มที่เป็นภาคบริการเติบโตได้ดีมาก แต่กลุ่มที่เป็น Manuvasturing ดูเหมือนว่าติดหลบค่อนข้างเยอะ ในช่วงที่ผ่านมาคราวนี้ พอภาพเป็นอย่างนั้น เอามาบวกกันทั้งหมดภาพเศรษฐกิจก็ยังพอเป็นบวกได้อยู่ แต่ก็ดูเหมือนว่ามีบางกลุ่มที่ค่อนข้างชะลอดตัวลงเยอะแบบนี้ครับ ก็คือ ในกรณีแบบนี้เทียบกับกรณีที่การฟื้นตัวมันทั่วถึงกับ กรณีที่เศรษฐกิจมันฟื้นตัวแบบ เนี้ย ต่อการดำเนินยกแบบการเงินมันแตกต่างกัน ยังไงบ้างครับในในมุมมองของแมงชะครับ ครับ ขอบคุณมากครับ คำถามที่ดีทั้งคู่นะฮะ คำถาม อ่า คำถามแรกก็ช่วยให้เราอธิบาย อ่า ตัวเลข มากขึ้น สตะยอมแล้วปีนี้ค่อนข้างจะ จะคลุมเคลือยากลำบาก เพราะว่าเรื่องฐาน ปีที่แล้วเนี้ย มันจะสร้างให้ อ่า ตัวเลขมันดูกว่าจะ อะไรอ่ะ บิดเปรี้ยวจาก จากความเป็นจริง คือ ปกติถ้า เอ่อ เวลา เราดู อ่า เศรษฐกิจ เราจะเน้นดู แรงส่ง ตรายมาสต่อตรายมาส คล้ายคล้ายแบบ อ่า ปริมาณการใช้จ่าย ที่หมุนเวียนเป็น ในตรายมาสนี้ เทียบกับตรายมาสที่ผ่านมา แล้วกับตรายมาสหน้าเป็นยังไง เพราะมัน มัน มัน มันแสดงถึง อ่า ม กิจกรรม อ่า ม ที่เกิดขึ้นจริงจริง ในระยะ สั้น พอไปดู ปีต่อปี มันก็เหมือนเทียบไป ฟรูที่เกิดขึ้นในดราม่านนี้เทียบกับเมื่อปีที่แล้วดราม่าเดิมซึ่งมันค่อนข้างจะห่างกัน การที่จะดูแค่แบบ แนวโน้มในระยะถัดไปมันก็อาจจะคลุมเกลือ คราวนี้ อ่า เรื่องของตัวเลข ปีต่อปีที่ ที่ ได้ ได้เรียนนําเสนอไปประมาณหนึ่งสองสามสี่ พูดง่ายง่าย ตรายมาสหนึ่งสองสามสี่ขึ้น แต่ว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ สองเปอร์เซ็นต์ สามเปอร์เซ็นต์แล้วก็สี่เปอร์เซ็นต์ใน ในปีนี้เนี้ยดูเหมือนเป็นเป็นเก้าอะไร ขั้นบันไดที่ ที่ดูเหมือนจะเร่งขึ้นใน ใน อ่า อ่า ช่วงหลังของปี ถ้ามองปี ปีต่อปีก็ก็เร่งขึ้น แต่มันได้ขึ้นเพราะว่า ฐานของปีที่แล้ว ตรายมาสสามกับตรายมาสสี��� มันค่อนข้างต่ํา คือเหมือนกิจกรรมมันก็ มันก็หมุนเวียนปกติแหละ แต่พอไปเทียบกับฐานที่ต่ำ มันก็เลยดูสูง งั้นคําถามที่เมื่อกี้ อ่า กรณ์วัตถกิจถามเรื่องของแรงส่ง momentum dry mart ต่อ dry mart อ่า เป็นยังไง ก็คือแผ่วลงฮะ ใน อ่า dry mart สาม และ dry mart สี่ ถ้ามองพูดตัวเลข กลมกลมครบคร่าว อ่า อ่า dry mart แรกเราก็ทราบ ดีเยอะโตประมาณหนึ่งจุดห้าเปอร์เซ็นต์ ทั้ง year on year แล้วก็ dry mart ต่อ dry mart dry mart สอง เราบอกว่าก็ยัง ขยายโตประมาณหนึ่งหนึ่ง หนึ่งเปอร์เซ็นต์นี่แหละ อ่า ในแง่ของ dry mart ต่อ dry mart นะฮะ สิ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ตรายมาตร ตรายมาตร เท่ากับประมาณสองเปอร์เซ็นต์กว่ากว่า ปีต่อปี แล้วก็ ตรายมาตร ที่สาม ตรายมาตร ที่สี่ ก็จะลดต่ํากว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ อาจจะมา เฉลี่ย เฉลี่ย ศูนย์จุดเจ็ด อ่า แล้วก็ศูนย์จุดหก ก็ได้ คือมันก็จะค่อยค่อยจะเห็นว่า อ่า อัตราการเร่งของรถยนต์เนี้ย มันมันก็จะเร่งขึ้น น้อยลง แต่ว่าอัตราการหมุนเวียนอ่ะ สูงขึ้นนะฮะ อ่า อย่างงี้ อันก็คือ ถามว่า แรงส่งที่ที่ที่ประมาณสูงจุดเจ็ดเนี้ย อ่า เป็นยังไง ก็ใกล้เคียงกับเฉลี่ยระยะยาวยี่สิบปีของประเทศไทยเลย อ่า จะบอกว่า อาจจะใกล้เคียงศักยภาพก็ได้ ก็ถือว่าเป็นอัตราการขยายตัวที่โอเคในภาพรวม อย่างตัวเลข 4% หรือ 3% ในตรายมาส 3-4 อาจจะดูสูงกว่าความเป็นจริงในแง่นั้น พอปีหน้าที่ว่า 3% ก็จะเหมือนเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับศักยภาพ ก็ทอดมาคำถามที่ 2 ว่าในเมื่อความแตกต่างมันมีค่อนข้างเยอะในแต่ละ อะไรอ่ะ สาขาการผลิตเนี้ย อ่า แล้วก็ แตกต่างที่ผมเรียนตั้งต้นใน อ่า ใน ภาคครัวเรือนด้วย อ่า ที่ที่ อ่า มี อ่า ตั้งระดับรายได้แล้วก็ วิชาชีพที่แตกต่างกันเนี้ย อ่า สิ่งที่เหมือนคณะกรรมการต้อง พยายามดูว่า เออ แล้ว ไหน อ่า ผู้ประกอบการ ส่วนไหนและกรอเรือนเทศไหนที่ตอบสนอง มีผลกระทบกับอัตราดกปี้มากเป็นพิเศษ อัตราดกปี้รวมทั้งผลทอดต่อจากอัตราดกปี้ที่จะมีต่อค่าเงิน ต่อ Financial Conditions โดยรวมด้วย มันก็เหมือนกันต้องมาพยายามดู ลึกลงไปว่าสาเหตุของ ในภาคการผลิตเนี่ยมันเป็นเพราะอะไร ดอกดอกเปี้ยวมันมันจะเป็นอะไรอ่ะ เป็นยาที่ถูกต้องหรือเปล่านะ ถ้ายกตัวอย่างของภาคการผลิต ทุกท่านก็ทราบดีมันเกี่ยวเนื่องกับภาคส่องออกพอสมควร แล้วก็ เมื่อกี้ที่คุณปียสักก็ถามถึงความ ความสามารถในการแข่งขันของภาคส่องออกเราเนี่ย มันเป็นเรื่องที่เป็นทั้งตลาด ทั้งโครงสร้าง ทั้งอะไรที่อาจจะนอกเหนือกับต้นทุนทางการเงิน เพราะถ้าเราไปถามผู้ประกอบการเอง เขาก็จะไม่ได้บอกว่าต้นทุนทางการเงินเป็นประเด็นแรกๆ จะเป็นประเด็นข้างท้ายๆ เป็นเรื่องการเข้าถึงตลาดบ้าง และต้นทุนอย่างอื่นบ้าง ในสาขานี้นะฮะ ก็เป็นตัวอย่างว่า ถ้าเป็นอย่างงั้นเนี่ย เราถามว่าค่าเงินช่วยไหม ก็ไม่ได้ช่วยมาก ในในบางเศกเตอร์ ยกตัวอย่างถ้าเป็นรถเป็นโตรเคมีที่แบบช่วงหลังนี้แย่มากมาก ปีที่แล้วปีนี้ ก็เป็นเพราะว่าจีนเองเขาปรับนวิบายของเขาภายในประเทศว่าจะผลิตเอง ตลาดเราก็หายไปเลย อุตสาหกรรมยานยนต์ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างค่อนข้างเยอะ การเข้ามาของอีวี อ่า ไอซ์สไพร์เชนทั้งหลายและแล้วก็อ่า มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงสร้างโครงสร้างที่ ที่ ดอกปี้อ่ะจะมีผลได้ไม่ได้เยอะมากนะฮะ คือข้อจำกัดของดอกปี้อ่ะ ก็ท่านท่านทราบดีมันมันไม่สามารถไปเจาะจงตรงจุดใน ใน ใน แต่ละ สาขาเศรษฐกิจได้ แต่ก็ ก็เลยต้องดูว่า เออ ตรงไหนที่มัน ที่มันโหลด แล้วก็มันก็โหลดโดยธรรมชาติตรงภาคการเงิน เป็น เป็นข้อต่อแรก เราก็ต้องดูว่าเอ่อ ตรงสินเชื่อเอง ตรง flow ของเม็ดเงินเนี่ย มันเป็นอุปสรรคมากน้อยแค่ไหนกับสิ่งที่ ที่เห็น อ่า ในภาคที่เช่น furniture อ่า สิ่งทอ มันไม่ใช่เรื่อง เรื่องต้นทุนทางการเงิน อันนี้ อันนี้เรียนตามตรง มันก็เลย อ่า อ่า อ่า แทบต้องพยายามให้ ให้เงินมันไหลไปได้เท่าที่ไหลได้นะฮะ แต่ว่า อ่า ก็นั้นที่สุดก็ต้องมาดูภาพรวมแหละว่าว่า อ่า เครื่องมือการ setting ตอนเนี้ยมัน อ่า มันเหมาะสมกับแบบแนวอารมณ์เศรษฐกิจหรือเปล่านะฮะ อ่า ครับ อ่า จากช่องสามค่ะ ดูเหมือนตัวภาคการผลิตอ่ะค่ะ ค่อนข้างจะมีปัญหาแล้วก็จะเห็นข่าวโดน เพราะว่าเป็นเรื่องของเชิงโครงสร้าง รวมไปถึงการปรับ อ่า ด้วยนะคะ ทีนี้ ถ้ามองเป็นระดับความรุนแรงที่มันจะมีผลต่อการปรับลดคนงานและก็จะส่งผลต่อรายได้ประชากรส่วนใหญ่อีกทีแล้วก็จะไปชุดรังเศรษฐกิจเนี่ยค่ะ มัน warning ระดับไหนแล้วแล้วก็ควรจะมีมาตรการอะไรที่ปรับเชิงโครงสร้างนี้ไหม เพราะว่าสังเกตว่าภาคการผลิตค่อนข้างที่จะเหมือนต้องใช้เวลาในการปรับค่ะ แต่ว่ารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นแผลที่สะสมๆคือมันจะมีผลต่อเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหนและเห็นเร็วแค่ไหนเนี่ยค่ะ ครับ โอเค คือใช้ภาคการผลิต ดูง่ายง่ายสะท้อนในตัวชนี MPI มันที่ Manufacturing Production Index ที่ ที่ติดลบมานานๆ แล้วก็ช่วงหลังดูเหมือนจะจุดต่ำสุดแล้วอาจจะกระเตื้องขึ้นบ้าง มันสะท้อนภาคการผลิตที่เป็นปัญหาชะงงสร้าง เพราะว่าที่จริงแล้วภาคการผลิตของประเทศไทยมีสัดส่วนไม่ได้เยอะเท่าที่อื่น แล้วก็แรงงานที่อยู่ในภาคการผลิตที่ประมาณ 10% แล้วก็ ไอ้ ปัญหาเชิงโครงสร้างของของภาคการผลิตเนี้ย อ่า เราต้องมี New Industry ใหม่ๆ ที่เหมือนสามารถเป็นเครื่องยนต์ เครื่องจักรของการขยายตัวได้ สิ่งที่ภาคการผลิตพอจะทำได้คือ พยายามต่อยอดจากสิ่งที่มีให้ไปสู่ Next Step ในสาขาที่ใกล้เคียงที่สุด มันก็คือการปรับตัว Transition ซึ่งตอนนี้ภาคการผลิตเราอยู่ในช่วงปรับตัวจริงๆ ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมมันใช้เวลา แต่มันก็ต้องแยกเยอะตอนที่คุณปรานีเมื่อกี้ลองเรียนดูว่าในแต่ละภาคการผิดมันไม่เหมือนกัน บางภาคความท้าทายอาจจะเยอะ บางภาคอาจจะเป็นปัจจัยเชิงวัตถจักรมากกว่า ตอนนี้เราก็เห็นเรื่องของวัตถจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไซเคิลของโลกเริ่มฟื้นขึ้น ก็จะเห็นตัวเลขส่งออกช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาที่ดีขึ้นค่อนข้างเยอะ ตอนนั้นก็จะเป็นห่วงน้อย แต่ถ้าเป็นเรื่องของเปตรูเคมี เรื่องของสิ่งทอ ก็จะเป็นตัวอย่างว่ามันต้องเป็นนำ หาวิธีที่จะสร้างความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น คือเราก็เป็นห่วงภาคการผลิตแหละ แต่ก็ต้องมองว่านอกจากภาคการผลิต ภาคบริการของประเทศไทยค่อนข้างจะใหญ่ แล้วก็ต้องหาวิธีให้พัฒนาไม่ใช่แค่ภาคการผลิต แต่ภาคบริการด้วย ให้ไปสู่ภาคบริการที่อาจจะมี Value Added สูงขึ้น เพราะว่าถ้าพอถึงแรงงาน ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคบริการประมาณ 60% ก็เป็นความท้าทายที่ต้องทำกับธนาคารกลาง เราก็ทำได้แค่ประมาณหนึ่งนะ อันนี้เป็นเรื่องของจะสร้างกฎเกณฑ์กฎิกาบรรยากาศ ในการทำธุรกิจที่เอื้อดหรือการปรับตัว คุณปรานิจจีนมีอะไรเสริมไหมครับ คือ คิดว่า เอ่อ เรื่องของ อย่างที่คุณปิติเรียนไปอะค่ะว่า เอ่อ ตัวบางภาคอุตสาหกรรมเนี้ย อ่ะ จะต้องมีการปรับตัวจริงจริง ซึ่งตรงนั้นน่ะใช้เวลา แล้วก็ เรื่องของ ของแรงงานอะค่ะ ตัวทักษะของแรงงานเองก็ จะต้องมีการปรับ ครบ ครบคู่กันไปนะคะ เพราะว่า เอ่อ หลายหลายอัน ถ้าเกิดเรามองว่าเราอยากจะ เอ่อ ผลิตของที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอะค่ะ หลายหลายอย่างก็เป็นสินค้า เทคโนโลยีสูงอะค่ะ ซึ่งอ่าจําเป็นจะต้องใช้ตัวรายงานที่มีทักษะเฉพาะเพิ่มขึ้นอะไร อย่างเงี้ยค่ะก็อ่าจะเป็นเรื่องที่ต้องทําควบคู่กันไปเพื่อแก้ปัญหา เชิงโครงสร้างอันเนี้ยค่ะซึ่งก็คงเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเพราะเป็น เรื่องของ เอ่อ การอัพสกิล รีสกิล การ เอ่อ เตรียมคนตั้งแต่ เอ่อ การศึกษาตั้งแต่ยังเด็กจนถึง เอ่อ เรียนจบอย่างเงี้ยค่ะ ก็ ก็ ค่ะ ก็ขอเสริมประมาณเนี้ยค่ะ สวัสดีครับ นัทพล จากหลักทรัพย์ cgsi นะครับผม สองคําถามนะครับ จะต่อเนื่องกับคําถามเมื่อตะกี้นิดหนึ่ง ภาคการผลิตครับ พอดีผม cross ตัวเลข boi ตัวส่งเสริม fdi ที่ตัวเลขจาก boi มา ค่อนข้างที่จะเป็น new high เหมือนกัน แล้วก็แต่เผอิตว่าเราก็มีเรื่อง ปัญหาเชิงคงสร้างของอุตสาหกรรมอยู่แล้วเนี่ย ไม่แน่ใจว่าตัว boi เนี่ยมันเริ่ม absorb ตัวแรงงาน จากภาคการผลิตไปได้มากน้อยแค่ไหนครับผม แล้วก็ทางแบงค์ชาติมองว่า BOI ที่สูงเมื่อปีที่แล้ว จริงๆปีนี้เนี่ย Year on Year ก็ยังสูงอยู่เนี่ย มันจะเป็นตัว Boost ตัว GDP Growth ได้มากน้อยแค่ไหนนะครับ อันนี้คำถามแรก แล้วก็อีกคำถามหนึ่งครับ อาจจะขอกลับไปที่คำถามที่ทาง Dr. Piyasak ครับ ถามตั้งแต่แรกครับว่า ในเมื่อของ Household debt มันเป็นภาพของ Deliveraging บนสภาวะ ในบายการเงินตอนนี้เนี่ย ทางแบงค์ชาติมองว่าตัวสินเชื่อของ อ่า รายย่อยเนี้ยมันจะ อ่า ลดลงไปมากน้อยแค่ไหนอ่ะครับผม ในในปีถึงสองปีข้างหน้านี้ ขอบพระคุณครับ ค่ะ อ่า เรื่องของ อ่า ค่ะ เราก็ติดตาม อ่า การขอรับการส่งเสริมของ อ่า ก็เห็นว่าเป็น นะคะ แล้วก็ อ่า มาประมาณครึ่งหนึ่งน่าจะเป็นอุตสาหกรรมใหม่นะคะ ซึ่งก็เป็นเป็นเป็นเรื่องที่ดีที่เราอยากเห็น เอ่อการเข้ามาของการลงทุนที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เอ่ย เอ่อ เรื่องของ เอ่อ อาหารสมัยใหม่อะไรต่างต่างนะคะ แล้วก็ เอ่อ ตรงนี้เนี่ย เอ่อ จากการที่ที่เราทราบมาก็คือ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของยอดที่ขอรับการส่งเสริมอะค่ะ จะลงทุนภายในหนึ่งถึงสองปีข้างหน้าค่ะ ซึ่งจริงจริงอย่างปีนี้เราก็เริ่มเห็น เอ่อ การลงทุนที่มาเมื่อปีที่แล้วแล้วค่ะ แล้วก็ เอ่อ เริ่มเริ่มจะมา อย่างอย่างที่เรียนไปว่าการส่งออกตัว อย่างเมื่อกี้ที่เรียนไปก็คือเป็น เรื่องของการย้ายฐานของไต้หวันเข้ามาในไทยอย่างเงี้ยค่ะ ก็ก็ทําให้การส่งออกของเราก็ปรับดีขึ้น แล้วก็ช่วยเรื่องการจ้างงานด้วย แล้วก็ถามว่าสามารถแอบสอบการจ้างงานได้มั่งน้อยแค่ไหน ก็ อ่า ตรงนี้ก็ต้องช่วย เรียกว่าช่วยได้แน่นอนนะคะ เพียงแต่ว่า อ่า การกระจุกตัวของพื้นที่ที่ขอรับการลงทุนอาจจะ ไม่ได้กระจายตัวทั่วถึงมากนัก ตรงเนี้ยน่ะ เอ่อ ถ้าเกิดว่าส่วนไหนที่โรงงานเดิมที่เคยผลิตอยู่มีปัญหาค่ะ ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องมีการที่ให้แรงงาน หมายถึงว่าแรงงานเองอาจจะต้องย้ายเข้ามาในพื้นที่ที่มีงานเพิ่มขึ้นค่ะ ซึ่งตรงนี้เองก็ ถ้ามองในระดับครัวเรือนก็อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทําได้เพราะว่าจะมีเรื่องของแบบอ่าลูก เรื่องของภรรยาอะไรต่างต่างค่ะ ซึ่งซึ่งก็คิดว่าโดยรวมเนี้ย เอ่อ การขอรับการส่งเสริมของบีโอไอก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วก็เราก็อยากเห็นเข้ามามากขึ้นแล้วก็สามารถช่วยรองรับตัวแรงงานได้ค่ะ ครับ คือเรื่องของแรงงานเนี่ย อ่า เขื่อว่า ถอยมาหน่อย คือคือสามดีมาก ผมเลยจะแบบคิดต่อทิ้งหนึ่งเพราะว่า อ่า สําคัญที่สุดคือให้ให้คนมีงานทําในแต่ละประเทศใช่ไหม แต่ละเศรษฐกิจ อ่า คือที่เราว่า เอ้ย อ่า ลักษณะเศรษฐกิจแบบไหน หรือเครื่องยนต์เศรษฐกิจสาขาไหน จะสามารถรองรับแปลงงานได้เยอะเยอะ อ่า ที่จริงแล้วในอดีต แบบเป็นร้อยร้อยปีนะฮะ คำตอบคือภาคการผลิต อุตสาหกรรม manufacturing นี่คือเป็นวิธีของการเติบโต เจริญเติบโตของเศรษฐกิจมาแบบร้อยๆปี คือจะเป็นลักษณะว่าเริ่มจากเกษตรเยอะ แล้วก็ย้ายมาภาคการผลิต แล้วก็ไปภาคบริการ นี่คือแบบมันเป็นการพัฒนาเชิงเส้นตรงที่เหมือนเป็นสูตรมาตลอดนะฮะ แต่จะระเบียนว่ามันมีสองเรื่องที่เป็นประเด็น ประเด็นนึงคือ ท่านิสุ แม้ในสูตรเดิม ประเทศไทยก็มีการสะดุดนิดนึง เพราะว่าตอนนี้รายงานประมาณ 30% อยู่ในภาคเกษตร ภาคเกษตรมีมูลค่า GDP ประมาณ 8-9% ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วสูงๆ รายงานเกษตรจะประมาณแค่ 4-5% ผลผลิตอาจจะใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่างคือว่าพูดถึงการที่จะให้ความเป็นอยู่ของเราดีด้วยในประเทศ นอกจากการย้ายมันต้องเรื่องประสิทธิภาพของการผลิตในแต่ละสาขายต้องพัฒนา สวัสดีครับ ภาคเกษตรเราถือว่า ต่ํา ต่ํามากมากอยู่นะฮะ อันนี้เป็นเป็นเด่นหนึ่งที่ไม่อยากให้ลืมตรง ตรงภาคเกษตร อ่ะ แต่ถามว่า แล้วโมเดลเดิมที่ให้เหมือนภาคผลิตขยายตัว แล้วก็ อ่า เนี้ย แรงงานเนี้ย มันเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน ที่ผ่านมาเกาหลี แล้วก็เราก็เดินทางแบบนั้นมาตลอดน่ะ แต่ว่า มัน มัน ตัวนิยมอยู่อย่างเยอะ มันเหมือนมี อ่า อ่า มี มี จํากัด เพราะว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้วก็ อ่า โครงสร้าง อ่า การอุปโภค บริโภค การผลิตมันเปลี่ยนไปกันขึ้นข้างเยอะ จะมีสิ่งที่เขาเรียกกับอันต่างประเทศว่า คือแบบ ประเทศที่กําลัง พัฒนากําลังก้าวเดินไปสู่ ไอ้ ไอ้ ภาคการผลิตตั้งแต่ว่าเหมือนมัน มัน มันไปแค่ระดับหนึ่งแล้วก็ไปต่อไม่ได้ ก็จะเลยมีแรงงานเยอะไปอยู่ในภาคบริการ แต่เป็นภาคบริการลักษณะที่ Valued ไม่สูง มันไม่เหมือนในประเทศปัศนาแล้วที่ Valued เป็น Design เป็นอะไรที่ Valued สูงมาก ก็นี่ผมก็เลยลองชวนคิดว่าเออ การที่จะให้ภาคการผลิต absorb แรงงานเยอะๆต่อไปมันดูไม่ค่อยจะง่ายด้วย เพราะว่าวิธีการผลิตตอนนี้มันใช้คนน้อยลง ใช้เครื่องจักรมากขึ้น การแข่งขันในโลก Geopolitics ก็เห็นความท้าทายของจีนที่ตอนนี้ก็พยายามจะเป็นโรงงานของโลกมากขึ้นไปอีกด้วย การแข่งขัน ตอนนี้ประเทศไทยก็ถูกครบเยอะมากนะ การที่มีสินค้าจากจีนมาแข่งกับภาคการผลิตภาคอาคารเราเนี่ย ก็เรียน เรียนว่า เราก็คิดว่าควรจะพยายามผลักดันภาพภาคการผลิตให้ให้ดีขึ้นแหละ แต่ไม่อยากให้ละเลยภาคบริการภาคเกษตรที่ มีคน ทุกคนเยอะเยอะแล้ว แล้วถ้าเหมือนเราสามารถแบบไปไป อ่า สร้าง หรือสร้าง เอ่ย แนวอะไร ตรงนั้นได้ อ่ะ มันอาจจะเหมือนก้าวข้ามให้ ไอ้เส้นตรงที่ที่เหมือนเคยเดินนะ เพราะว่ามันมันก็ อ่า คือ ก็พยายามช่วย อ่า ทางภาค ไอ้ อ่า พอว่าภาคบริการ มันเป็นภาคที่อาจจะมีอะไร อ่ะ เพราะว่า มันสามารถทําให้ ข้าขายบริการข้าม ข้ามประเทศได้มากขึ้นนะ เขาก็อยากจะเรียนตอนนั้นด้วย กลับมาเรื่อง เรื่อง อ่า เรื่อง ที่คุณบีศักดิ์ถามว่าเรา กรณวมีเป้าหมายเรื่องของสินเชื่อ เรื่องของหนี้ครัวเรือนอะไรหรือเปล่า เริ่มก่อนคือในแง่ของสถิตภาพด้านการเงินที่กรณวมองมันมีหลายส่วน ถ้าเป็นส่วนของหนี้เองก็จะแบ่งเป็นสองส่วน ครัวเรือนชัดเจนว่าเป็นปัญหาหนี้สูงในบางกลุ่มและสูงในทั่วไปด้วย แต่เป็นทางภาคธุรกิจมันเป็นปัญหาเรื่องหนี้สูง เป็นปัญหาเรื่องของกลไกการจัดสรรค์ สินเชื่อ ก็คือการเข้าถึงสินเชื่อโดยเฉพาะของ SME นะฮะ ก็แยกกัน อ่า ในแง่ของตัว อ่า นี่ครัวเรือนที่สูงเนี้ย อ่า สิ่งแรกที่คิดว่าเราทําได้ก็พยายามอย่างน้อยนะ ให้ปัญหามันแย่ลงนะฮะ อ่า เราตนัดดีว่า นี่มันเป็นจุดปร่อบางของ อ่า กลุ่มครัวเรือนค่อนข้างเยอะ แล้วก็มีความยากลำบากอยู่นะ ณ จุดนี้ อ่า แล้วความยากระบากส่วนใหญ่มามาจากมูลหนี้ที่ที่ที่สูง ดอกเปี้ยวก็ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งแต่ว่าส่วนใหญ่ก็จะต้องต้องจ่ายต้นจ่ายต้น แล้วตัวเนี้ยมันตัวที่ที่ที่สร้างปัญหา ก็เลยเขียวว่าต้องหาวิธีการแก้มูลหนี้ให้ได้ฮะ เพราะตรงดอกเนี้ยมันมันมันไม่ได้เป็น ตัวที่จะสามารถสะสากปัญหาได้ เราไม่ได้มองว่านโยบายการไง จะเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาหนี้โครเรือน อันนี้เรียนให้ชัดนะ ว่าเลยไม่ได้มีเป้าหมายว่าเครื่องมือการเซ็ตดอกเบี้ย เพื่อมีตั้งว่าให้หนี้โครเรือนเป็นเป็นอะไร ตัวเล็กอะไร แต่แค่รู้ว่ามันก็มีส่วนในการ อ่า ไอ อ่า การทําให้การเปลี่ยนแปลของหนี้ มันก็ขึ้นกับดอกเบี้ยบ้าง ก็อย่างน้อยไม่ให้ ไม่ให้แบบในภาพรวม อ่า อ่า ตัวหนี้โครเรือนมันแย่ลง ให้มีเวลาให้มาตรการเฉพาะจุดไปช่วยแก้มูลหนี้แล้วก็มีให้รายได้ค่อยเติบโตให้ให้มันช่วยบรรเทาปัญหาลงนะฮะ อ่า ก็ แล้วสินเชื่อ หรือว่าไอ้ อ่า เม็ดเงินของของ อ่า สินเชื่อโครเรียน ก็ให้มันโตต่อเนื่องนะฮะ ตอนนี้ก็ตัวเม็ดเงินก็ยังมีเข้าไปอยู่ แล้วก็อัตราการขยายตัวประมาณสองสามเปอร์เซ็นต์ก็เป็นอะไรที่คิดว่า อ่า ซอดคล้องกับกับเศรษฐกิจ ซอดคล้องกับการที่ในภาพรวมเนี่ย ไอ้ปัญหานี่คุณเรินจะจะแบบ อ่า ไม่ประถุขึ้นมานะฮะ อ่า งั้นก็ตอบ ไม่ได้มีแป้วหมายเรื่องของ ไอ้ ไอ้ ไอ้ ชัดเจนเรื่องของตัวนี้นะครับ คณิตฐานจากช่องเก้า ขออนุญาตสอบถามต่อเนื่อง เจาะลงไปเป็น Line Sector ในภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมไปถึงแรงงานด้วย ตรงนี้เรารู้ว่าเศรษฐกิจเราขยายตัวในอัตราต่ำ แต่ว่าฝั่งยานยนต์เอง เขามองว่าหลัก มองมาจากที่แบงค์ปล่อยสินเชื่อน้อยลง ทำให้ส่งผลกระทบ ซึ่งยอด 5 เดือน เราเห็นตัวเลขทั้งผลิตและจำหน่ายลดลงไปเยอะมาก ตรงนี้มุมมองแบงค์ชาติมองอย่างไรบ้าง ครับครับใช่ คือภาคภาคยานยนต์ตอนนี้เจอ อ่า ความท้าท้ายที่ก็ค่อนข้างหนักหน่วงในในหลายหลายปีที่ผ่านมาเลยนะฮะ อ่า คําถามคือว่าไก่กับไข่มันอยู่ที่ไหน ต้นต่อของปัญหาอยู่ที่ไหน อ่า แน่นอน ไอตัวสินเชื่อของยานยนต์น่ะ มันลดลง อ่า การปฏิเสธสินเชื่อก็ก็มีมากขึ้น อ่า แต่ก็ ต้องถามว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวมันเองนะ การอนุมัติสินเชื่อที่อาจจะเข้มขึ้นเทียบกับอดีต หรือว่าปริมาณสินเชื่อที่ปล่อยไปที่น้อยลงเนี่ย มันเกิดขึ้นในบริบทที่สภาวะอุตสาหกรรมเป็นยังไง ด้านฝั่งผู้ผลิตและฝังผู้กู้เป็นยังไงบ้าง ถ้าที่เราสอบถามมาแล้วก็คุยกับผู้ประกอบการ แล้วก็คุยกับทางแบงค์พาณิชย์เองด้วยเนี่ย มาตรฐานสินเชื่อโดยรวมไม่ได้เปลี่ยนนะฮะ อ่า ที่มันเปลี่ยนคือคุณภาพของ อ่า ลูกหนี้ที่จะมาขอกู้ อ่า ก็ก็มี มีแย่ลง ก็เลยทําให้ ให้การแบบ ไอ้ อ่า ปฏิเสธเนี้ยก็อาจจะมีมากขึ้น อ่า นี่คือส่วนที่มันอาจจะสําคัญที่สุดคือ โดย ที่สูงขึ้น อ่า อันที่สองคือใน อ่า อ่า ราคารถเองอ่ะ อ่า มันก็ อินเดสตรีกําลังถูกกดดันอยู่ใช่ไหม อ่า ถ้ามองราคารถมือสอง อ่า มันก็ค่อนข้างจะซบเสานะฮะ มันทําให้แบบปกติมันมี segment หนึ่งที่แบบ เวลาคนซื้อรถใหม่เอารถเก่าไปเทิน เพื่อได้เงินแล้วก็เอาส่วนนี้ไปโปะซื้อรถใหม่ใช่ไหม ถ้าราคารถมือสองมันตกต่ำเนี่ย มันก็ทำให้ต้องใส่เงินเพิ่มขึ้นถึงจะซื้อรถใหม่ได้ ตรงนี้ก็เลยทำให้ความสามารถในการที่จะซื้อ และความอยากที่จะซื้อรถใหม่ก็นอนลงไปด้วย ในขณะใดกันก็มีเนี่ย เอ๊ะ EV เข้ามา disrupt ตลาดกำลังเยอะ ราคาค่อนข้างถูก อ่า มันก็ ก็เลยสร้างความยักษ์ละบากตรงนี้ คุณปรานีจะมีอะไรเสริมตรงนี้ได้ไหมครับ อาจจะเสริมนิดนึงว่า อย่างเราเห็นการแข่งขันราคาของ EV ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบตเตอรี่เองหรือว่าตัวรถยนต์เองค่ะ ตอนนี้ก็รถ เป็นระดับแสนะคะ ซึ่ง เอ่อ ตรงนี้เองเนี้ย คนที่มีกําลังซื้อเองก็อาจจะรอ เพื่อที่จะดูว่าราคาจะลดลงกว่านี้หรือเปล่า หรือว่าถ้าเขาคิดว่า เอ่อ มูลค่าของรถที่เขาซื้อวันนี้ พอถึงเวลาจะไปขายจริงจริง อาจจะได้น้อยลงหรือเปล่า ก็จะมีความลังเลอยู่ตรงนั้นด้วยค่ะ ก็ ก็จะเป็นปัจจัยที่ เอ่อ เพิ่มเติมมาจากที่คุณปิติเรียนเมื่อสักครู่ค่ะ ว่า ตอนนี้อยู่ในช่วงที่ค่อนข้างที่จะท้าทายพอสมควรนะคะ สําหรับ อุตสาหกรรมนี้ค่ะ ครับ คือส่วนหนึ่งมันมีการเร่งแบบปล่อยสินเชื่อแล้วก็ซื้อรถไปก่อนหน้านี้ด้วยพอสมควรนะฮะ คือต้องมองมันก็ส่วนหนึ่งมันเป็นการ อะไรอ่ะ กลับเข้ามาสู่อัตราที่ที่ อ่า ปกติมากขึ้นนะฮะ แล้วก็ อ่า อิกตลาดนึง อิกตลาดสว่างออกรถพลิกอัพไปสู่ต่างประเทศ อันนี้ก็มีแปดเน็นว่า ไอ้ อ่า ความ อ่า แข่งขันและความต้องการต่างประเทศตอนนี้ก็ก็ อาจจะยังไม่ได้ดีเท่าที่คาดไวนะ แต่ดูก็มีโอกาสว่ามันจะค่อยๆดีขึ้น เพราะว่าทั้งโลกแล้วก็ทางภายในประเทศ ถ้าดูแนวโน้มที่คุยไว้เมื่อกี้เนี่ย มันน่าจะค่อยๆดีขึ้น แต่คงใช้เวลาอีกสักพักนะครับ เจอหน่อยครับ อ่า ขอยัดถามเพิ่มเติมที่บอก ใช้เวลาอีกสักพักนี้เรามี มีในใจไหมคะว่าต้องใช้เวลาสักขนาดไหน อ่า คือนี่ผมว่าต้องไป คุยกับผู้รู้ในอุตสาหกรรม เพราะมันมี อย่างที่เรียกว่าหลายประจํามาก แต่อย่างที่เรียนคือเรามองว่าในภาพรวมเนี้ย อ่า มัน มัน จริงมันต้องมองไป มันภาพรวมดูยากเลยสะ ใน ใน ในอุตสาหกรรมยานยนต์มันมีความแตกต่างกันในแต่ละประเภท เป็นค่อนข้างเยอะ รถ อ่า รถ อ่า EV หรือว่ารถ อ่า แบบ แบบตั้งเดิม อ่า คือผมว่ามันมีประเด็นที่เนี่ยขลากันระหว่างโครงสร้างกับวัฒนาจักร อะไรที่เป็นเชิงวัฒนาจักรผมว่ามันจะดีขึ้นไม่ได้ใช้เวลานานมากนะฮะ เลือกถึงการส่งออกผมว่าน่าจะค่อยๆดีขึ้น แต่ถ้าถามเรื่องเทรนด์ของ EV ที่เข้ามา disrupt อันนี้ผมว่าเป็นโครงสร้างก็ต้องดูว่ามันจะ มันจะไปต่อยังไง อันนี้คงคงใช้เวลาปรับตัวอีกสักพักนะฮะ ต่างประเทศก็เจอปัญหานี้นะฮะ ที่ ที่ยุโรป ที่อเมริกา เรื่องเรื่อง อ่า อ่า เป็นอุตสาหกรรมนี่ถูก disrupt พอสมควรนะครับ ขออนุญาตนิดหนึ่งก่อนแล้วกันนะครับผม จริงๆ ขออนุญาตอาจจะมาเสริมหรือว่ามาเรียนแล้วกันเป็นมุมมองที่เห็นนะครับผม แล้วอาจจะเป็นไม่รู้สิอาจจะเป็นคำตอบของปัญหาที่เราคุยกันอยู่ในตอนนี้หรือเปล่านะ ถ้าเราลองมองเทียบกับจีนอย่างนี้นะครับผม ซึ่งแน่นอนทุกอย่างในโลกนี้ที่เราคุยกันอยู่ก็โดนเรื่องของประเด็นด้านจีนมาตลอดใช่ไหมครับ เทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่แล้วจีนก็ disrupt ด้วยแล้วก็ใช้ Policy ด้วยนะครับผม เราเห็นภาพว่าตัวเรื่องของสินค้าสําคัญสามการของเขา ที่เขาต้องการจะเป็นเป็น Product Champion ของเขา ใช่ไหม 3 New อะไรของเขา ตัว Semiconductor EV แล้วก็ Battery ใช่ไหมฮะ ที่ที่ อ่า ประเทศโลกตะวันตกเขาก็พยายามเอกกิดกันหรือว่าแบบ อ่า ตั้ง Thalif ขึ้นมาแข่งอะไรต่างๆ คําถามที่น่าสนใจซึ่งผมก็ยัง อ่า ผมเดานะฮะ หรือว่าคิดเอาว่าคําตอบมันคือยังงี้ คําถามคือ รัฐบาลเขาช่วย Sector เหล่านี้ยังไง ซึ่ง ก็มานั่งคิดว่าเราไม่มีทางรู้เลย ผมเสิร์ชดูข่าวเลยว่าพวกเราก็ไม่มีทางรู้ลึกๆว่าเขาช่วยยังไง แต่ว่าถ้าคิดแบบภาพในอดีต สิ่งที่เป็นภาพหลักของประเทศจีนคือ Financial Repression เขากดสินเชื่อดอกเบี้ยให้ต่ำๆ แล้วก็ให้สินเชื่อเฉพาะกับเซคเตอร์ที่เขาเห็นว่าเหมาะสม สมัยก่อนคือเขาให้กับ SOE เขาให้กับ Local Government จนเกิดหนี้ควรเรือนหนี้อะไรต่างๆที่มามหาศาลใช่ไหม อันนี้เป็นข้อเสียแต่ว่าในภาพนึงนี่คือมันเป็นการ Direct Finance เข้าไป พวก sector เหล่านี้ที่เป็น 3 New ผมเข้าใจว่าเขาน่าจะได้เงินค่อนข้างถูกมาก ในการที่จะมาคิด R&D ในการที่สามารถจะมาผลิตอะไรต่างๆมันถึงทำให้เขามีแต้มต่อมี Advantage เหนือกว่าผู้ผลิตอื่นๆนะฮะ ในทางกลับกันก็มาลองคิดอย่างภาคอสังหาในจีน พอเขาต้องการจะคุมไม่ให้มันโตขึ้น อยากให้บ้านเป็นที่อยู่อาศัย ไม่ใช่เป็นที่ที่เก่งกำไร สิ่งที่เขาทำคือ Tree Red Line ที่ได้เรียนไป คุมสินเชื่อว่าผู้ประกอบการไหนที่เติบโตเร็วเกินไป ก็คุมสินเชื่อจนมันก็มีผลเสียในปัจจุบัน คราวนี้ประเด็นที่น่าสนใจคือวันก่อนก็ได้ฟังรองผู้ รองประธานสภาอุตสาหกรรมมานะ ท่านก็พูดบอกว่า สิ่งที่เหมือนก็มีคำถามมา สิ่งที่ท่านต้องการก็คือว่าอยากให้แบงค์ไปพร้อมกับผู้ประกอบการ อยากให้แบงค์ปล่อยสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ไม่อยากให้คุมมากขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะนำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นบ้าง แต่มันก็จะทำให้ผู้ผลิตได้ไลฟ์ไลน์ ได้เลือดเข้ามาเติม แล้วก็สามารถที่จะไปต่อได้ อันนี้เรียนเฉย แล้วกัน ไม่ได้อันนั้นนะครับผมนะ แล้วสุดท้ายนิดเดียวขอถาม LTV พอดีเพื่อนฝากถามมาว่าสรุปไม่มียกเลิกใช่ไหมครับ ยกเลิกหรอ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ มหาผลปล้น คือ LTV เป็นมาตรการที่เราทบทวนอยู่ว่าเรื่อยๆ มันเหมาะหรือไม่เหมาะ แต่ว่าก็ต้องดูไปว่าจะมีแตกๆ อย่างที่เรียนคอร์ตเตอร์จิ้ง LTV มันก็ต้องดูว่า จุดไหน LTV บ้านหลังแรกต่ำกว่า 10 ล้านคือ 110% ไม่ได้มีอะไรที่เป็นประณะ มันไม่มี ถ้าบ้านหลังแรก 10 ล้าน ซึ่งคนส่วนใหญ่ประมาณ 80% อยู่ในหมวดนั้น บ้านหลังที่ 2 90% หรือ 80% แล้วแต่ ก็คิดว่ามันไม่ใช่เป็นปัญหาต้นต่อของภาวะในแง่ของภาคสังหาฯ เรื่องของการสนับสนุนแต่ละสาขาของเศรษฐกิจที่คุณบีสาหกเรียนเมื่อกี้นี้ มันคือ industrial policy ที่ตอนนี้กลับมาเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่คุยกันแพร่หลาย ทางสหรัฐเขาก็ทํา a chips act inflation act ที่จะสนับสนุน a cluster หลายหลาย cluster a semiconductor battery ยุโรปเขาก็มีวิธีการของเขา industrial policy คืออะไรในภาษาไทย นโยบายที่แบบไปสนุน อ่า มีประวัติยาวนานมาก แล้วก็ที่มันมีความหลากหลายมากกว่าแค่ แค่สินเชื่อต่ํานะฮะ คือมันมีมิติว่า มันเป็นการปฏิเสธที่พยายามจะสนับสนุน Subsidy หรือ Tax บางอย่าง เพื่อให้แรงจูงใจระหว่างภาคมันไปที่ที่ต้องการ เราก็ต้องเลือก Industry ที่มีประโยชน์แบบกว้าง ซึ่ง Upstream ไม่ใช่ Downstream แล้วก็มีมิติ Public Goods อาจจะสร้างอะไรที่เป็น Infrastructure หรือว่า ก้าวข้ามอะไรที่แต่ละบริษัทตัวเองไม่สามารถจะก้าวข้ามได้ คือไม่อยากจะ คิดว่า Industry Policy คือแค่ให้สิ่งเชื่อต่ำ อันนี้มันไม่ใช่เลยนะ ในประสบความที่เห็น มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งนะ มันมีหลายมิติ แล้วก็เรื่องอธนาคารภายนิด ผมว่าก็ทหพอร์แต่ละทหพอร์ก็มองหาโอกาสอยู่แหละ ที่จะสนับสนุนนำแต่ละธุรกิจอะไร คือถ้าทหพอร์ไหนของคุณปิญญาศาสตร์คิดว่าเออ ธุรกิจนี้ หน้าปล่อยเศรษฐ์เชื่อ ก็ก็คงน่าจะปล่อยเต็มที่ แต่ให้สอบคล้องกับ ที่มีนะฮะ เพราะว่าไม่ได้มีอะไรที่ไปปิดกั้นตรงนั้นเลย อ่า ก็ ก็เรียนว่า เออ เป็น เป็นเรื่องที่เพราะว่าต้องคุยกันในประเทศอ่ะ ว่าเราอยากจะแบบมีวิธีการสนับสนุนสาขาเศรษฐกิจ อะไรแบบไหน วิธีการไหนที่คิดว่าจะยั่งยืนแล้วก็ส่งผล อ่า ส่งผลมากที่สุดต่อหนึ่งเม็ดเงินแบงค์ฟาสตร์บัคนะครับ นิดหนึ่งครับ ถ้าไม่ใช่สินเชื่อ แสดงว่าแบงค์ชาติก็โอเคกับนโยบาย Industrial Policy ในภาพรวมใช่ไหมครับ คือจริงๆผมไม่ค่อยชอบนะ แต่ว่าถ้าเผื่อ ถ้าหากมองฟังจากที่ดร.ปิติว่า อันนี้ไม่ใช่เรื่องแบงค์ชาติ เรื่องอะไรนะ ผมว่าคือถ้าพูดคุยเรื่อง Industrial Policy มีการใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายในโลกนะ ก็ใช้กันมานาน ทำอยู่ อาจจะทำดูไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะบางอย่างที่ผมเรียนนะคะ ที่มี การสนับสนุน public infrastructure ที่เป็น common อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งตัวอย่างของ industrial policy กลายๆก็ได้นะฮะ ก็เรียนว่ามันไม่ได้ ไม่ได้มีอย่างไรปิดกั้นว่าจะมีนโยบายลักษณะนั้น แต่ว่าต้องทำให้มันเหมือนสร้างปัญหาผลค่าเคียงร้อยที่สุด ไม่ให้เปลืองงบประมาณแล้วก็ให้มันได้ผลดียั่งยืนที่สุดมากกว่า ครับ ก็ เมทัส จากทิสโก้นะครับ เผอิญอยากเรียนถาม assumption ของทางแบงค์ชาตินะครับว่า given condition แบบไหน หรือว่า เหตุการณ์ยังไงที่จะต้องเกิดขึ้นเนี่ย ก่อนที่แบงค์ชาติจะเห็นควรว่า ดอกเบี้ยนโยบายมันสูงเกินไป มันควรจะปรับลงนะครับ ขอบคุณครับ ครับ คือที่ อ่า เมื่อกี้คุณสุรัสตร์ได้เรียนไปว่า หน้าจุดดีถามว่าการณ์งอ มองอะไรอยู่ คือภาพเศรษฐกิจที่เรียนว่าในไตรมาสที่สามที่สี่แล้วก็ต้นปีหน้า เป็นภาพที่กัน อ่า โน้มเข้าสู่ศักยภาพ โน้มเข้าสู่ไอ้แนวโน้ม ของ ของเศรษฐกิจเนี้ย สิ่งที่ต้องดูว่าจุดยืนที่มีไว้ตอนนี้เป็นจุดยืนที่ Neutral กลาง การหมุดหมายจุดยืนที่เป็นกลางมันสอบคล้องกับสมทิศฐานเรื่องของศักยภาพเศรษฐกิจในระดับหนึ่งอยู่ สิ่งที่คณะกรรมการจะต้องพิจารณาก็ดูว่าเมื่อภาพมันชัดขึ้นว่าศักยภาพซึ่งมันมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ก็ต้องดูว่า ศักยภาพที่เราเคยคิดไว้กับศักยภาพที่เป็น มันเปลี่ยนไปหรือเปล่า มีนัยะ เพราะว่า อันนั้นคือตัวหลัก เพราะตอนนี้มันไม่ใช่ลักษณะว่านโยบายการงานจะมาเสริม มากระตุ้นเศรษฐกิจ หรือว่าจะไปชุดรังเศรษฐกิจ คิดว่าให้ช่วงเจริกิจมันอยู่ที่สมดุล นิวบายกลางก็น่าจะเป็นกลาง ไม่อยากจะแบบชดรัง แต่ให้มันอยู่ในระดับที่พอดี ผมเลยคิดเรียกว่า ถ้าไม่มีช็อกอื่นเข้ามาเนี่ย หลักหลัก การจะจะจะปรับหรือไม่ปรับตรอกเปี้ยมันขึ้นอยู่กับ ไอ้ภาพ ภาพตรงนั้น ภาพเหมือนปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจว่ามัน อ่า มันควรจะไปกับตรอกเปี้ยประมาณเท่าไรนะฮะ แต่ถ้ามีช็อกอะไรเข้ามา ไม่ว่าเศรษฐกิจเร่งขึ้นมากมากจาก จาก อ่า อีโน้ว การใช้จ่ายที่สูงขึ้นมาก หรือว่ามีช็อกด้านลบ อ่า ส่งออกแบบแย่มากมาก อะไรเนี้ย ก็ต้องมาปรับเป็นใหม่ได้ อันนี้ อันนี้ก็ อ่า ขึ้นอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นนะฮะ สื่อที่นี่จาก Bloomberg ค่ะ มีสองคําถาม ก็คือ เอ่อ ถ้าที่ดู Inflation Target ของไทย เนี่ย ถ้าเทียบกับประเทศอื่น อ่ะ เรา ต่ํากว่า Emerging Market ด้วยกัน แล้วก็ถ้าดู Lower Bound ของเรา มันหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เนี่ย มันไปในทางที่แบบ แทบจะต่ําที่สุดในโลกเลย แล้วก็ถ้าดู Mid Point ของเราที่สองเปอร์เซ็นต์ เนี่ย มันจะไปเท่ากับ Advanced Economy เหมือน US UK อะไรอย่างเงี้ยค่ะ เดามีเหตุผลตรงนี้ไหมว่าทำไมเราถือไม่ใกล้เคียงกับประเทศที่อยู่ใน development state เดียวกัน อ่า คําถามที่สองคือ ถ้าดูเงินเฟ้อของเราย้อนกลับไปสิบปีอ่ะ มันค่อนข้างจะต่ํามาก มันก็เลยทําให้มี เอ่อ คนคิดไซซ์ว่า มันเป็นเพราะว่า นโยบายการของเรามันไทยเกินไปหรือเปล่า มันทําให้แบบ เงินเฟ้อของเรามันถึงได้ต่ําขนาดนี้ แล้วมันก็อาจจะแบบ ชุดรังเป้าของเราที่อยากจะเติบโตให้มันสูงกว่านี้ได้ในอนาคต บริษัทอยากจะอธิบายให้คนที่คิติไซด์ เหล่านี้ครับ ฟังไว้ยังไงบ้าง ขอบคุณค่ะ ครับ ขอบคุณครับ ซิบบอกว่าไม่ใช่คิติไซด์นะ ผมว่าเป็นอินพุทธ์ เป็นมุมมองที่ชวนคิดแล้วก็เป็นคำถามที่ดีมากนะว่า การเซ็ตเป้าเงินเฟอร์ของแต่ละประเทศ มันดูประใจอะไรบ้างนะครับ ถ้าจริงถ้าแบบมอง อะไรอ่ะ โดยตะกะอย่างเดียวเนี่ย อ่า เงินเฟ้อ ในดุลยภาพ จะเป็นเท่าไรเนี่ย มันมันจะไม่ค่อยไม่ค่อย อ่า เกี่ยวยงกับเศรษฐกิจ เท่าไหร่ดักหรอก คือเศรษฐกิจจะโต 2 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ 7 เปอร์เซ็นต์ สามารถรองรับเงินเฟ้อที่ 1 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ 2 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ นี่คือในภาพใหญ่ว่าเงินเฟ้อมันแค่เป็นอะไรที่ มันเป็นตัวรอง มันไม่ได้เป็นตัวคำหนด มันไม่ได้เป็นประจายพื้นฐานของศักยภาพการเคลียร์ตรงเศรษฐกิจ แต่ระดับเงินเฟ้อที่เหมือนแต่ละธนาคารกลางหมดไว้ ก็เพื่อที่จะคิดว่าเป็นระดับเงินเฟ้อที่เอื้อให้เศรษฐกิจสามารถขยายโตได้ตามศักยภาพ ไม่ได้เป็นอุปสรรค แล้วถ้าอัตราเงินเฟ้อที่มันสูงเนี่ย พอสูงเกินไปมันก็มาพร้อมกับความที่มันก็จะมีความแกว่ง แล้วความพันธุ์ปวดขึ้นข้างเยอะโดยธรรมชาติ เพราะมัน ผันผวนมันก็ทําให้การวางแผนของ ของทุกทุกคนยากขึ้นด้วย นี่คือเหตุผลหลักหลักที่หนึ่ง ไม่อยากให้เฟรดสูงเกินไป เฟรดสูงแล้วมันก็จะ จะ จะ อ่า ทําให้ อ่า อ่า ความความเหวี่ยง ความผันผวนมามาเยอะด้วย อันที่สองมันมีหลายอย่าง ก็ว่า อ่า มันจะสร้างการ อะไรอ่ะ อ่า โอนย้าย ความมั่งคั่งระหว่างคน คือ คือ หลายหลายอย่างในในระบบเศรษฐกิจเราเนี้ย มัน มันทํากับตัวเลขอะไรอ่ะ มันยึดโยงกับ กับ อ่า อะไร ยึดโยงกับระดับราคาที่ไม่ได้คํานวณถึงเงินเฟ้อ อ่ะ เอาตัวอย่าง ไอ ไอ อ่า อ่า ภาษีของเราเนี้ย เราจะมองว่า เออ ถ้ารายได้ต่ํากว่าสามหมื่นบาท ก็จ่ายภาษีเท่านี้ รายได้มากกว่าห้ามิ้นบาทจ่ายเท่านี้ คือกรอบนั้นอ่ะ มันเป็น อ่า เอ้ยอ่า ยิดโยมกับระดับราคาสามหมื่น แต่ถ้าเงินเฟ้อสูงไปเรื่อยเรื่อย รายได้สามหมื่นอาจจะเป็นรายได้ห้ามหมื่นก็ได้ แต่ว่าถ้าจริงแล้วในในความจริงมันคือสามหมื่นเหมือนเดิมแหละ ในง่ายอันมาตรสือ แต่ว่าไอ้ตัวกรอบของไอ้ไอ้ประสีมันไม่ได้ปรับไปได้ด้วย คือคือพูดง่ายง่ายกันถ้าเงินเฟ้อมันสูงมันก็สร้างไอ้ไอ้อย่างการปิดเปลือนในในในบางมิติด้วย อ่า แต่ถามว่าเงินเฟ้อของประเทศไทยที่ที่ต่ํามาในอดีตเนี้ย อ่า เป็นอะไรที่ที่แปลกประหลาดหรือเปล่า เรียนว่าไม่ได้แปลกประหลาดนะในบริบทโลก 20 ปีที่ผ่านมา คล้ายๆ กับปัจจุบันนี่แหละ ถามว่าทำไมเงินเฟ้อโลกต่ำ เงินเฟ้อไทยต่ำ หนึ่งก็คือจีนเข้ามาในระบบการค้าโลก นี่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน และตอนนี้ก็กำลังเกิดขึ้นมาอีกละลอกหนึ่ง ก็จะเห็นชัดเจนว่ามีรางกดตังสินค้าบางหมวดหมู่ให้อยู่ในระดับที่ต่ำ ตั้งพวกสินค้าอุตสาหกรรม และก็มีและคอมพิวเตอร์ที่มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นด้วย อย่างนั้น อัตรายเงินเฟ้อโลก อัตราเงินเฟ้อไทยก็ต่ำไปด้วย อ่า อัตราเงินเฟ้อเพื่อนบ้านก็ก็ต่ำไปด้วย ในบางประเทศที่ อ่า ถ้าถ้าเทียบเคียงในประเทศเพื่อนบ้านที่อัตราเงินเฟ้อเขาสูงกว่า อ่า เนี้ย อ่า มันก็เหมือนเขามองเป็นปัญหานะฮะ คือจริงเขาอยากให้เงินเฟ้อมันต่ำกว่านี้แต่ว่า อ่า มันมี อ่า มีอาจจะถูกแรงกระแทกหรือว่า อ่า ที่ที่ที่ทําให้เขายังไม่สามารถจะจะจะ ปรับกรอบให้ต่ำลงได้นะ แต่ว่าคือถ้าเราเซ็ตอัตราเงินเฟ้อโดยที่ไม่คำนวนถึงประจาย พื้นฐานที่กําลังผลักดันราคาในบางประเภทเนี่ย มันก็จะทําให้เราต้องเซ็ตนโยบายเหมือนค้านกับตัวประจายพื้นฐาน ยกตัวอย่างช่วงที่สิบปีที่ผ่านมาเนี่ย ถ้าอยากให้เงินเฟ้อขึ้นไปสู่ อ่า สองหรือสามเปอร์เซ็นต์ ในเมื่อสินค้าโลกราคารดลงประคังเยอะเนี่ย อ่า ดอกเปี้ยต่ํามากมาก ก็ต้องไปพยายามให้สินค้าหมวดหมู่อื่นขึ้นทดแทนหมวดหมู่ที่ลดลง ให้ราคาของอาหาร ราคาของ เฟรนาเจอร์สูงขึ้นเพื่อชดเฉยราคาของทีวีที่ลดลงเป็นตัวอย่าง มันก็จะสร้างแบบเป็นปัญหาอีกแบบหนึ่งนะฮะ ก็เลยต้องยิดโยงกับกับไอ้เทรนด์ที่ที่เราเผชิญด้วย คือที่ผ่านมาก็เลยก็เลยดูว่าไอ้หนึ่งถึงสามเปอร์เซ็นต์เนี่ย มันมันแล้วก็ในยี่สิบปีที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยเงินเฟ้อเราก็อยู่ที่สองเปอร์เซ็นต์ มันก็คือค่อนข้างจะสอบคล้องกับสิ่งที่ที่เหมาะสมกับประเทศไทยนะฮะ ครับ สารัส จัง ครับ เขาเสริม ประเด็นว่าทําไมเงินเฟ้อแต่ละประเทศไม่เหมือนกันนะฮะ ก็คงต้องมาดูว่า ไหนที่เป็น หลัก นะฮะ อย่างตอนนี้เนี่ยที่มีการคุยกันเยอะ ก็คือในเรื่องของ นะครับ คือ อย่างสารัสเนี่ย เอ่อ ของเขาเนี่ยก็ค่อนข้างคาอยู่ที่ระดับสูงนะครับ ประมาณ อ่า สี่เปอร์เซ็นต์ครึ่ง นะฮะ ที่ของไทยเนี่ย เนี่ย เอ่อ อินฟเลชั่นของเราเนี่ย เอ่อ ประมาณแค่ศูนย์จุด เอ่อ สองเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ซึ่งต่างกันเยอะ นะฮะ สาเหตุนะฮะ ก็เพราะว่า เอ่อ ตลาด แต่ละประเทศเนี่ย ก็ไม่เหมือนกันนะครับ ตลาดของเขามีข้อจำกัดในเรื่องของ Housing ของเราจะเป็นลักษณะของ Supply ของเรา ของ Rent จะมีค่อนข้างเยอะ ในแง่ของ Construction Cost ก็เหมือนกัน ถ้าสมมุติว่าเรา plot ในเรื่องของ Construction Cost Building Material Cost จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2000 เดิม Construction Cost ของเราเหล็กเหล็กอะไรปูนก็ค่อนข้างสูงขึ้น ก็เป็นเทรนด์มาเรื่อยๆ หลังๆ ค่อนข้างที่จะทรงเลยนะครับ เราก็ suspect ว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของจีนหรือเปล่านะครับ ที่เป็นเรื่องของทำให้ตัว construction cost ของเราไม่ได้สูงขึ้นนะครับ ก็เป็นเรื่องของ input market ที่แต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกันด้วยนะครับ อันนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำไมเงินเฟิร์สของไทยถึงสามารถที่จะปรับลดลงได้อย่างเร็ว ดีซินฟเลชั่นเกิดขึ้นเร็วภายใน 7 เดือนนะครับ ในแถบที่อย่างสหรัฐหรือประเทศที่พัฒนาแล้วนะครับ ที่ตราบบ้านของเขาเนี่ยก็ค่อนข้างที่จะมีลักษณะของ sickness เนี่ยค่อนข้างสูงครับ ค่ะ คือ ประเด็นหลักที่ มี ลืม เอ่อ พูดไปก็ว่า นัย บา ย การเงิน ไม่ได้ อ่า เป็นประเด็นที่ทําให้เงินเฟ้อมันต่ํา น่ะ ไม่ได้ เราไม่ได้ เป็น แค่ ที่ตอบ คุณสาม ปริยสักษ์ แต่ต้น ว่า เรา กําลัง ออก ไม่ได้ เซ ต ดอก เปี้ย เพื่อ ดึง ให้เงินเฟ้อ อยู่ในระดับที่ต่ํา เงินเฟ้อที่ต่ําเป็นปัจจัย ที่มาจากเชิงโครงสร้างบ้าง แต่ปัจจัยที่มาเป็นช็อคชั่วคราวบ้างนะฮะ setting ของเงินเฟ้อ เรื่อง demand pool ของ inflation ของประเทศไทย ก็ไม่ได้เป็นประเด็นที่ ที่เราเห็นได้ชัดมากในช่วงที่ผ่านมานะครับ ก็ ครับ วันนี้ออนไลน์ไม่มีคําถามค่ะ น่าจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ โอเคครับ ขอบคุณมากนะครับ ครับ สวัสดีครับ