Transcript for:
การปฏิบัติเพื่อความเข้าใจชีวิต

สิ่งหนึ่งนะครับ ที่ผมได้กับตัวเองมาเนี่ย ในเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติแล้วกัน สิ่งที่แบบว่าช่วงหลังมาเนี่ย เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองไปอย่างเห็นได้ชัดเลยนะครับ มันแปลกตรงที่ พอผมปฏิบัติมากขึ้น สิ่งที่ผมมองเห็นเนอะ เกี่ยวกับความเป็นชีวิตเนี่ย หรือว่าความเป็นอะไรที่เราเคยวิ่งตามหาทั้งหมด แม้กระทั่งจะเป็นเรื่องเงินนะ เรื่องเงินเอ่ย เรื่องความสำเร็จเอ่ย หรือเวลาเราไปดูตามโซเชียล แล้วเราก็เห็นแบบ ผู้คนที่เขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่อะ มากๆ อะนะ แล้วก็เคยเป็นแรงบันดาลใจที่ดีมากๆ สำหรับเราเนี่ย สิ่งหนึ่งที่พอได้เรียนรู้และปฏิบัติมาเนี่ย มันมองเห็นความสำเร็จเปลี่ยนไปนะ จากเดิมที่เราแบบพยายามยึดมั่น กับความสำเร็จนั้นๆ แล้วก็ต้องทำทุกวิถีทางให้ได้ ซึ่งความสำเร็จตรงนั้นมาเนี่ย หลายๆ ครั้งก็มีความโลภแล้วก็ความอยากประกอบอยู่ด้วยเสมอ แต่วันนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไป ความรู้สึกที่ผมมองเนี่ย จากเดิมเนี่ยเราเคยมองเห็นตัวเองแต่ในชีวิตนี้ ในพบชาตินี้ ในความสำเร็จในชีวิตนี้เท่านั้น จะทำยังไงก็ได้ให้มันเกิดขึ้นในชีวิตนี้อะไรอย่างเงี้ย ในวันนี้กลับมองเห็นว่าจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำในโลกใบนี้เนอะ มันก็แค่เกิดขึ้นอะ แล้วมันก็วันหนึ่ง แม้จะเป็นความสำเร็จก็ตาม มันก็จะเป็นความสำเร็จที่เราได้เสพ อยู่ในช่วงเวลานึง แล้วมันก็จะดับไป มันไม่มีอะไรที่จีรัง ยั่งยืน และคงทนถาวรเลย ไม่มีอะไรที่เราสามารถได้จะยึด จับ และเกาะเป็นที่พึ่งพิงได้จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่เราแบบจะสามารถเสพสม ให้มีความสุขและเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่เป็น ภาพลงตาหรือสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้นนะครับ ดังนั้นผมพูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า มีจตนาให้ทุกคนมาคิดเหมือนผม มาเห็นเหมือนผม มาเข้าใจเหมือนผมนะ ผมกลับแค่มองว่าการที่เราเข้าใจความจริงตรงนี้ ยิ่งกลับทำให้เรารู้สึกอิสระมากขึ้นในการให้ชีวิต เราจะไม่ได้มองการกระทำของเราในทุกๆ วัน หรือสิ่งที่เรากำลังจะไปสู่ความสำเร็จเป็นเรื่องของความอยากอีกต่อไป มันก็เป็นเพียงแค่หน้าที่ที่เราจะรับผิดชอบให้ดีที่สุดในชีวิตนี้ แต่เราจะสามารถวางใจได้ ถูกไหม เพราะเรามองเห็นความจริงแล้ว ว่าแม้ความสำเร็จก็ดี แม้เงินทองก็ดี แม้ทรัพย์สินก็ดี หรือแม้ชีวิตที่เรามีอยู่ในวันนี้ก็ดี เป็นเพียงการเกิดขึ้นเพื่อรอวันดับไปแค่นั้นเอง ถูกไหม ผมเชื่อว่าทุกคนเข้าใจความจริงข้อนี้ครับ หากเราไม่ได้มานั่งหลอกตัวเองเนอะ เราจะเห็นความจริงที่มันเป็นความเป็นศัตริธรรม เราไม่ได้มาพูดเพื่อจะให้ทุกคนเกิดความเบื่อหน่ายแต่อย่างใด แต่ผมอยากชี้ให้เห็นอีกมุมนึงว่า หากสิ่งที่เราเป็นอยู่เนี่ย มันทำให้เราเป็นทุกข์เนี่ย เราบอกว่า เฮ้ย มานั่งคุยเรื่องเกิดแก่เจ็บตายนะ มาคุยเรื่องความเสื่อม ความสิ้น ความดับ คุยทำไม น่าเบื่อจะตายถูกไหม ผมอยากให้มองอย่างนี้นะ หากเราเข้าใจความจริงตรงนี้อะ แล้วเรารู้สึกอย่างนั้นได้จริงๆ เราจะเป็นคนที่เป็นอิสระมากเลยนะ คือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่เราทำเนี่ย แม้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรา ถูกไหม เราเพียงแค่ต้องทำตามหน้าที่ ตามความรับผิ��ชอบ และสิ่งที่เราต้องการที่จะทำ หรืออยากจะมีประสบการณ์ในชีวิตนี้เพียงแค่นั้นเอง ส่วนสิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นผลลัพธ์ในอนาคตข้างหน้านั้น มันแทบไม่ได้มีความหมายถูกไหม หลายๆคนคือบางทีไปโฟกัสที่ผลลัพธ์อย่างเดียว แต่เราก็ลืมไปว่าจริงๆแล้วชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้น เราไม่ได้ยืนยาวมากพอที่จะดูความสำเร็จจริงๆด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เราต้องการบางครั้งเป็นเพียงแค่ประสบการณ์แค่นั้นเอง เราแค่อยากมีประสบการณ์ในสิ่งๆนั้นถูกไหม หลายๆคนคือบางทีคาดหวังที่จะต้องได้เงินเป็นหลักร้อยล้าน พันล้าน หรือโลภอยากจะได้ไม่รู้จบ ฉะนั้นที่ชีวิตของเราเราก็ไม่ได้อยู่ยาวขนาดนั้น และเงินเราก็ไม่คงไม่สามารถที่จะเอาไปใช้ต่อในชาติหน้าได้ถูกไหม และเงินของเราที่ทำมาทั้งหมดก็คงไม่สามารถที่จะเก็บ แล้วทำให้ชีวิตของเราหลังจากจบชาตินี้ไปเป็นชาติที่ดีได้ หากเรามองในคติของทางพุทธนะ ถ้าเรามองแล้วเราเชื่อในคติของทางพุทธว่า สิ่งทุกๆอย่างที่เกิดมามันมีเหตุส่งเรามา และหลังจากจบตรงนี้ไปมันก็มีเหตุที่จะส่งเราไปต่อนะครับ มันไม่มีความดับไปจริงๆ หรือมีความคงทนอยู่แบบนั้นตลอดไป เมื่อเราเกิดมาเราก็ทำบางสิ่งบางอย่างไปในพบชาตินี้แล้วเราก็ดับ ดังนั้นผมเลยมองเรื่องของความสำเร็จ ความสำเร็จที่ผมมองจากเดิมที่เรามองเพียงแค่พบชาตินี้ เรากลับมองยืดยาวออกไป เรากลับมองว่าถ้าสังษารวรรดิเป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอก เราจะต้องทำยังไงให้เราสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยจากวันนี้ จนถึงวันที่เป็นวันสุดท้ายของสังษารวรรดินี้ของเราแล้วกัน เป็นชาติสุดท้ายของสังษารวรรดินี้ ที่เราจะได้ไม่ต้องมาวินว่าให้ตายเกิดอีก เลยรู้สึกว่าจากเดิมที่เราจะต้องพยายามและเต็มที่กับทุกๆวัน ที่เราจะต้องทำเพื่อความสำเร็จ เพื่อเงิน เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราต้องการหรืออยากหรือปรารถนา เรากลับไม่ได้มองเหมือนเดิม เรากลับมองว่าอะไรก็ตามที่เราทำแล้วมันได้ทั้งสองทาง คือได้ทางของความเป็นความสำเร็จในชีวิตนี้ด้วย ซึ่งเราก็อาจจะต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่างคืออาจจะไม่ได้ตะบี้ตะวันเหมือนเดิม อาจจะทำด้วยความเข้าใจมากกว่าเดิม ซึ่งบางทีมันอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำถูกไหม แล้วก็มองความสำเร็จที่เหลือในพบชาติถัดๆไป อาจจะเป็นเรื่องของการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ การปฏิบัติเพื่อให้เห็นความจริง ให้จิตได้มีสัมมาทิศถิติดตัวไป ให้จิตได้มีกำลัง มีสิ่งที่ดีติดตัวไป เพื่อที่ ในครั้งหนึ่งที่จิตดับไปในพบชาติเนี่ย จิตที่มีความสมมุติเป็นเราในพบชาตินี้ได้ดับไป จะได้กำเนิดใหม่ เป็นจิตที่พาเราไปอยู่ที่ที่ดี เป็นจิตที่มีสิ่งที่ดีๆติดตัว เป็นจิตที่ได้รู้ได้เห็นความจริง ไม่หลงไปอยู่ในความเชื่อผิดๆ ความงวมงาย ก็เปรียบเสมือนอะไรครับ ถ้าเราจะอธิบายตรงนี้ให้ฟังแบบเข้าใจง่ายทั้งหมดเนี่ยคือ ความสำเร็จในชีวิตเนี่ย ที่เรามองว่า เราจะต้องมีเงินเป็นร้อยล้าน พันล้าน มันมีความหมายอะไรหรอ ความหมายที่แท้จริงของสิ่งนี้คืออะไร เราสร้างเงินมา สุดท้ายเรามีเงินปุ๊บ เราก็ต้องทิ้งเงินไว้ให้กับคนที่ เราก็ต้องมอบเงินให้กับคนที่ คนหาไม่ได้ใช้ แต่คนใช้ไม่ได้หา เราก็จะทิ้งเงินบางอย่างบางก้อนให้กับโลกนี้ แต่เราไม่ได้เป็นผู้ใช้ตรงนั้น แต่เราเป็นผู้หา สิ่งนี้ถ้าเกิดว่าเรามองว่าสุดท้ายเงินเราหาไปเพื่ออะไร เราก็จะได้คำตอบว่าจริงๆแล้ว เงินมีความจำเป็นกับเราในบางมิติ แต่ไม่ได้มีความจำเป็นกับเราในทุกๆมิติ ในชีวิตมันมีมิติอื่นๆอีกตั้งมากมาย อยากให้ทุกคนเข้าใจความจริงตรงนี้ เราจะได้เหมือนกับตื่นขึ้นมา จากการที่เราไม่ได้มองความจริงมาตลอดว่า ชีวิตเราเนี่ยเราเกิดมาเพื่ออะไร เราต้องการจะไปไหน แล้วเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเราจะได้รับรู้ว่า จริงๆแล้วความเป็นเงินที่เรากำลังวิ่งตามหากันในตลอดเนี่ย สุดท้ายเราหาเงินมาถูกไหม เราก็ใช้ ใช้แล้ววันหนึ่งตัวเราก็ดับไป เงินที่เราหามาได้ทั้งหมดก็สลายไป สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรนอกจากการที่สร้างมาแล้วก็รอวันดับไป สิ่งใดๆก็ตามที่เราสร้างแล้วให้มันเกิดขึ้นมา แม้กระทั่งเงินของเรา เราสร้างขึ้นมา มันก็อยู่กับเราได้ชั่วครั้งชั่วข่าว แล้ววันหนึ่งมันก็ดับไป สุดท้ายแล้วผมมองไม่เห็นสาระตรงเนี่ย แต่ผมไม่ได้หมายความว่าเงินตรงนี้ไม่สำคัญนะ แต่หลายๆคนมองความสำคัญของเงินมากเกินความจำเป็น ทำให้สุดท้ายแล้วเราเกิดทุกข์แบบไม่จำเป็นนะครับ ตรงเนี่ยไม่ได้อยากจะให้ทุกคนแบบว่ารู้สึกเบื่อนายนะ แล้วรู้สึกแบบ เอ๊ะ มาพูดเรื่องอะไรแบบนี้ แต่อยากให้สุดท้ายแล้วมันคือศัตรธรรมอะ ถ้าเรามองชีวิต ด้วยความเชื่อเพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียวโอเคไม่เป็นไร เราก็อาจจะรู้สึกว่าใช้ชีวิตเต็มที่ แล้วก็หาเงินเท่าไหร่ก็ใช้ให้หมด แล้วก็จบชีวิตนี้ไป ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในคติของทางพุทธเนี่ย เราเชื่อว่าสุดท้ายแล้วการเกิดขึ้นเนอะ มันก็มีการเกิดแล้วก็ดับ เกิดเพื่อรอวันดับเท่านั้น ตั้งอยู่ได้ไม่นาน คงทนอยู่ได้ไม่นาน มีสภาวะที่แม้จะเป็นความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน มันก็จะดับ พอดับปุ๊บแล้วยังไงต่อถูกมั้ย สิ่งที่เราพยายามมา ทั้งหมดทั้งมวลในชีวิตเนี่ย อย่างตัวอย่างเช่นเราตั้งใจมากๆเลย แล้วเราก็หาเงินได้จริงๆ สุดท้ายวันหนึ่งที่เราหาได้เราก็ตายไป คำถามคือ ไอ้เงินที่เราหามาทั้งหมด เราเอาไปได้ไหม เอาไปไม่ได้ถูกไหม แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำ แล้วจะติดตัวเราไปได้ แม้จิตดวงเนี่ยจะดับไปในพบชาตินี้ แล้วเกิดขึ้นมาใหม่ได้ ก็คือความรู้ความเข้าใจนี่แหละ การมีสมาธิฐิ การมีความเห็นตรงความเห็นที่ถูกต้อง ในสภาวะของเรื่องความทุกข์ก็ดี เรื่องของกายก็ดี ในเรื่องของจิตก็ดี ในเรื่องของรูปธรรมก็ดี หรือนามภรรภ์ก็ดี การที่เราได้เข้าใจแล้ว ตื่นรู้ในเรื่องนี้จริงๆ แม้ในพบชาตินี้เพียงพบชาติเดียวนะเราอาจจะเหนื่อยเราอาจจะแบบรู้สึกแบบมันยากเราอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ไม่ทำไม่ได้สักทีเนอะแต่เชื่อเถอะว่าหากเราทำครั้งนี้ในครั้งนึงแล้วสำเร็จในชีวิตเนี่ยซึ่งวันนี้เราเกิดเป็นชาวพุทธนะผมอยากจะให้ทุกคนกลับมาลองดูประเด็นตรงนี้ว่าการที่เราได้มาเกิ ไม่ต่ำกว่า 1 แสนกลับเนี่ย คือเราเป็นมนุษย์นะ เราเกิดในประเทศที่มีศาสนาพุทธนะ เราฟังธรรมแท้จากพระพุทธเจ้านะ ซึ่งปัจจุบันมีหมดแล้ว โซเชียลก็มีนะครับ แล้วก็เรามีความน้อมใจอยากปฏิบัติ และเราก็มีความที่จะเพียรในการปฏิบัตินี้นะครับ ดังนั้นการที่เรามาอยู่ในตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะครับ ถ้าใครฟังแล้วรู้สึกไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไรนะครับ อาจจะปัดผ่านหรืออะไรก่อนก็ได้ เราก็จะมาคุยในเรื่องของความเป็นพุทธกันนิดนึงนะครับ เป็นสิ่งที่ผมก็เหมือนกับรู้สึกได้ในทุกวันเนี่ย ก็แค่อยากจะบอกว่า ดังนั้นเนี่ย อะไรก็ตามที่เราทำแล้วมันคุ้มตลอดไป เราควรทำถูกไหม แต่อะไรก็ตามที่เราทำแล้วมันคุ้มเพียงแค่ชั่วคราว มันก็อาจจะเลือกทำได้ แต่เรากำลังจะหลงผิดอยู่หรือเปล่า เรากำลังจะหลงยึดในสิ่งที่มันเสื่อมตลอดหรือเปล่า แต่ความเห็นถูก ความเห็นตรง สิ่งที่เป็นความจริง เรายึดถือไว้มันไม่มีความเสื่อม ความจริง ศัตรฐรรม มันไม่เสื่อม สิ่งที่เรารับรู้มาเป็นความรู้ ความเข้าใจ และติดอยู่ในจิตของเรา ถ้าเราสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้ แล้วจิตหลุดจากความหลงอยู่ในอวิชา แม้เพียงเท่าไหร่ที่เราทำมันก็คุ้มถูกไหม แล้วพอเราเข้าใจสิ่งนี้ อย่างน้อยๆ ไม่ได้หมายความว่าการที่เราทำแบบนี้แล้วเราจะจนลง การที่เราทำแบบนี้แล้วเราจะรวยน้อยลง ไม่เกี่ยวนะ แต่เราจะโลภน้อยลง อันนี้ถูกต้อง ถูกไหม แต่ความโลภที่น้อยลงไม่ได้หมายความว่าเราจะหาเงินได้น้อยลง ไม่เกี่ยว แต่เราจะใช้ความอยากในการใช้ชีวิตน้อยลง เราจะมีความสุขมากขึ้น ทุกข์ที่เคยเกิดขึ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็จะทำร้ายเราได้น้อยลง เราจะมีสติมากขึ้น เราจะมีความเห็นที่ถูกต้องมากขึ้น ว่าสิ่งที่เข้ามาเป็นเราไหม ใช่เราไหม ไม่ใช่เรารึเปล่า ไม่ต้องไปยึด ไม่ต้องไปถือไว้ เห็นการเกิดดับตามความเป็นจริง ก็หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตัดสอนทั้งนั้นนะครับ และสิ่งนี้ รู้แล้วเนี่ย เมื่อจิตมีความรู้ความเข้าใจแล้วอะ ก็จะอยู่แบบนี้ตลอดไปนะ ถูกไหม เราเข้าใจว่าจิตที่ใส่เหตุที่ดีไว้อะ ก็จะมีผลที่ดีไว้รองรับตลอด ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยเล่าเนี่ยว่า หากเราจะหาข้อพิสูจน์สักอย่างนึงว่า เออ ชาติที่แล้วมีมั้ย หรือมีจริงมั้ย หรือไม่ยังไง ผมก็มานั่งดูนะ แล้ววันสิ่งที่ผม วันที่ผมเชื่อก็คือวันที่ผมนั่งดูรูปผมนี่แหละ ผมก็สงสัยนะว่า เออ ทำไมอ่ะ เด็กที่เกิดมาไม่น่าจะรู้จักสัตว์ทุกชนิดนะ ยังไม่เคยเห็นหมด แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าอะไรน่ากลัว ไม่น่ากลัวถูกไหม แต่ทำไมเขาเลือกที่จะกลัวได้บางสิ่งบางอย่างแล้ว ถ้าเราจะบอกว่า เฮ้ย เขากลัวเพราะบางสิ่งบางอย่าง บางอย่างมันดูไม่น่ารัก มันดูน่ากลัวอะไรอย่างนี้ แต่บางสิ่งบางอย่างก็ไม่ได้ดูน่ากลัว แต่บางทีเขาก็กลัว กลับกันบางสิ่งบางอย่างดูน่ากลัว แต่เขากลับไม่กลัว มันเลยเป็นเหตุผลที่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องมาถามตัวเองจริงๆ ว่า อืม แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้สุดท้ายแล้วแต่ละคน ผมเชื่อว่าทุกคนในบ้านมีเด็ก หรือเราก็เคยเป็นเด็ก ทำไมเราเกิดมาพร้อมกับบางคน ยกตัวอย่างผมกลัวแมงสาป แต่ก็จะมีวังคนเกิดมาที่ไม่กลัวแมงสาปเลย อย่างผมกลัวแมงสาปไม่กลัวจิ้งจก ก็จะเจอคนที่ไม่กลัวแมงสาปแล้วไปกลัวจิ้งจกถูกไหม ตั้งแต่เด็กเลยอะ โดยไม่มีเหตุผลด้วยนะ ชีวิตอาจจะแบบว่าไม่เคยที่จะมีประสบการณ์กับสิ่งนี้ด้วย ดังนั้นสองสิ่งเนี่ย สำหรับผมนะ ผมก็สามารถที่จะพอเข้าใจได้ว่า มันมีสิ่งที่สังสมมาแล้วกัน ในจิต แล้วจิตก็แสดงผลออกไปตามความเป็นจริงว่า พอมันเกิดการกระทบผ่านวิญญาณ ผ่านรูปเข้ามาปุ๊บ จิตที่มันมีข้อมูลตรงเนี่ย มันก็แสดงผลออกมาให้เกิดเวทนาว่าให้ทุกข์ เพราะมันมีระบบของขัน ที่แสดงผลตรงนี้ขึ้นมานะครับ พอเข้าใจแบบนี้ปุ๊บ เราก็รู้สึกว่า นั่นหมายความว่าอะไร หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ ในชีวิตนี้ การสร้างเหตุใหม่ การสร้างเหตุในปัจจุบันถึงสำคัญที่สุด การทำกรรมในปัจจุบันให้ดีที่สุด เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะว่าอะไร ผมบอกทุกคนแล้วใช่ไหม ถ้าทุกคนเปลี่ยนนิสัยวันนี้ เป็นใส่นิสัยของการเจริญอริยมัก ในการที่จะมีสมาธิพิ ในการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับอาริยสัตว์ 4 ขัน 5 เห็นทุกข์ตามความเป็นจริงไม่หนีความทุกข์ เห็นทุกข์มีไว้รู้ สมุทรไทยมีไว้ระ นิโลธทำให้แจ้ง มักทำให้เจริญ คืออะไรอย่างนี้ เปลี่ยนจิตที่หลงอยู่ในอวิชา จิตที่อยู่ในความไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ งมงาย มาตลอดสังสารวัตรที่ผ่านมา พบนับชาติไม่ได้ แค่เราเปลี่ยนเพียงแค่ชีวิตนี้ แล้วโอกาสมาถึงแล้วไง ถ้าโอกาสวันนี้มาถึงแล้ว แล้วเราปฏิเสธ เราก็ไม่รู้เนอะ ว่าเราอาจจะต้องรอถึงเมื่อไหร่ แต่ถ้าวันนี้โอกาสมาปุ๊บ แล้วเราก็คว้าไว้ มันก็อาจจะเป็นเพียง มันก็อาจจะเป็นชาตินี้ชาตินึงที่ เราสามารถเปลี่ยน สภาพจิตได้ เพราะ เราอาจจะบอกว่าเออ จิตเราอาจจะสังสมทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้ว แล้วก็อาจจะ สังสมมาเยอะแล้วนะ ก็อย่างที่พระจันต้นท่านบอกนะ พระจันต้นก็เพจธรรมนวานะครับ ที่ผมศึกษาของพระอาจารย์อยู่ พระจันต้นบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านเคยตัดนะ บอกว่า จิตเราอะ เคยผ่านมาทุกอย่างน่ะล่ะ ผ่านมาทุกอารมณ์ ผ่านมาทุกอาการนะครับ มีแค่ 4 อย่างที่ยังไม่มีโอกาสได้เป็นนะ ก็คือความเป็นพระสวดบัลนะ ความเป็นพระสักธาคามี อนาคามี แล้วก็พระอารหันธ์ ถ้าเราได้เป็นสี่อย่างนี้แล้วนะ เราก็คงไปนิพพานกันแล้วนะ ไม่ต้องมาเกิดอีก ไม่ต้องมาแก่ มาเจ็บ มาตาย มาทุกข์อีกนะครับ เพราะฉะนั้น การที่เราได้ทำสิ่งนี้อย่างจริงจัง แล้วสิ่งนี้จิตจะสังสมไป และเมื่อเรามีสิ่งนี้อยู่ในจิต ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่พบกี่ชาติแล้วจากนี้ ก็จะไม่ไปไหนถูกไหม เราก็จะอยู่ในฝั่งของความเห็นถูก ความเห็นตรง ก็คือเกิดมาชาติหน้าเนี่ย ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์นะครับ ถ้าเกิดว่าเราเป็นคนที่ ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการใช้ชีวิตในทางโลก อยู่ในสังสารวัฒน์เนี่ย แล้วมีความสุขมาก อยากจะอยู่ทางโลกนี้ ชีวิตไม่มีทุกข์เลยถูกไหม เราทำบุญไปถูกไหม แล้วเราก็รู้สึกว่า เดี๋ยวเราเกิดเป็นเทวดาเอ่ย เราเกิดมาเป็นมนุษย์ที่แบบ มีครอบครัวที่สมบูรณ์ มีเงิน มีความมั่งข้าง มีความร่ำรวย แต่อะไรคือความแน่ใจล่ะ เพราะสุดท้ายแล้วความเห็นที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จะไม่พาเราตกไปอายบายภูมิ แต่สุดท้ายแล้วอะ หากเราเป็นคนที่ได้รับสิ่งดีๆทั้งชีวิตนะ หรือแม้กระทั่งเป็นคนที่รวยที่สุด��นโลกใบนี้นะ แต่สุดท้ายคุณยังดำเนินชีวิตด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงอะ และยังอยู่ในความเป็นอวิชา ยึดถือสิ่งนี้ว่าเป็นตัวตน ไม่เข้าใจความจริง สุดท้ายทางไปอายบายภูมิก็ง่ายครับ มันไม่ได้ยากเลย และมันแบบ มันเป็นเพียงแค่ชั่วเวลารัดนิ้วมือเดียว สภาพจิตสุดท้ายก่อนตายก็คือตัววัดถูกไหม ดังนั้นจิตที่สังสมความเห็นที่ถูกความเห็นที่ตรง และยึดมั่นในพลัตนไตรปลอดภัย แต่ก่อนตอนที่ผมมานั่งปฏิบัติชั่วแรกๆ สมัยที่ยังไม่ได้มีโอกาสติดตามพระอาจารย์ต้นอะไรอย่างนี้ เพราะไตรปีโดกก็ไม่เคยอ่านหรอก แล้วก็ คือเนี่ย วันนี้บอกก่อนนะ คือถ้าใครเป็นแบบศาสนาอื่นอะไรอย่างเงี้ย เราอาจจะฟังแล้วไม่ตรงใจ แล้วรู้สึกว่าแบบผมคุยเรื่องอะไรอะไรอย่างเงี้ย ชาติที่แล้วอะไรอย่างเงี้ย ซึ่งถ้าของศาสนาอื่นไม่ได้แบบเชื่อเรื่องนี้ ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ วันนี้พอดีเปิดเรื่องคุยเรื่องทางพุทธหน่อยนะครับ คือผมก็เคยแบบ คือเราติดตามเรื่องความ สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเนี่ย ก็คือแต่ก่อนเราไม่เข้าใจว่า เฮ้ย นรกมีจริงหรือเปล่า หรือนรกแค่อยู่ในใจของเราอะไรอย่างเงี้ย สวรรค์มีจริงหรือเปล่า หรือสวรรค์แค่แบบ สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจอะไรอย่างเงี้ย ผมก็ศึกษาหาข้อมูลนะ แล้วก็ต้องบอกว่า เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าสุดท้ายเราอะไรจริงอะไรไม่จริงถูกไหม เพราะเราก็ ที่เราที่เคยผ่านมา เราก็ไม่เคยแบบ ไม่เคยแบบนั่งสมาธิไปจนเห็น หรือว่าเราไม่เคยแบบฝึกจนเราเห็นถึงตรงนั้นจริงๆ แล้วซึ่งเชื่อว่า ถึงแม้ว่าจะฝึกจนเห็นจริงๆ เรามาบอกมาเปล่าประกาศก็อาจจะไม่ได้มีใครเชื่อ แต่ว่าผมก็ขออ้างอิงจากพระไตยปิดก ที่พระสงสาวกของพระพุทธเจ้าได้มาทำการสังคัยนะ แล้วก็เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนทั้งหมดมาระบุ มาทำขึ้นมาเป็นพระไตยปิดก ให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสได้ศึกษา ก็ต้องบอกว่าวันนี้เราไม่รู้ความจริง ดังนั้นเราต้องใช้ความเชื่อ และความเชื่อที่ว่าเราก็เชื่อว่า เราเชื่อจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านพูด เราเชื่อจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน นะครับ ผมชอบคำนี้นะ สุดท้ายแล้วความจริงมันมีอยู่ อยู่ที่เราเลือกที่จะเชื่อไหม ซึ่งต้องยอดรับว่าแต่ก่อนผมก็เลือกที่จะไม่เชื่อจริงๆ คือผมรู้สึกว่าไม่เชื่อ ไม่เชื่อเรื่องนี้อะไรอย่างนี้ แต่ว่าคือผมคงไม่สามารถที่จะบอกให้ทุกคน แบบว่ามันนั่งเชื่อหรืออะไรก็แล้วแต่ อันนี้คือผมพูดในมุมมองของผมและแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวละกัน สุดท้ายแล้วผมชอบคำว่าความจริงมันมีอยู่ วันนี้ ไม่ว่าเราจะหนีจากความจริงมากเท่าไหร่ แต่ความจริงมันก็อยู่ตรงนั้น เหมือนเราบอกว่า วันนี้ความทุกข์มีไหม เราบอกว่า เฮ้ย ความทุกข์ไม่มี ถูกไหม เราให้ชีวิตไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเรากลับมาเจอสภาวะจริงๆ ของยกตัวอย่าง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เราหนีจากสิ่งนี้ไม่ได้ ถามว่าสุดท้ายเราต้องกลับมาทุกข์ไหม ต้องกลับมาทุกข์ แล้ววันที่เราหนี ความทุกข์มันมีอยู่จริงหรือเปล่า ความทุกข์มีอยู่จริง แต่เราเพียงแค่หนีมัน เราเพียงแค่แบบไม่เข้าใจมัน เราเพียงแต่แบบ ไม่อยากจะได้รับมัน อะไรอย่างนี้ แต่ถามว่าสภาวะตรงนี้มีอยู่หรือเปล่า มีอยู่ครับ นะครับ ก็ ดังนั้น การที่เรา สรุปหลักใหญ่ใจความเลยนะ ก่อนที่จะไปเรื่องต่อไปเนี่ย คือ ถ้าเราเป็นชาวพุทธอะ เราก็เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเนี่ย พระตายบีโดกมีพูดเรื่อง เอ่อ นรกสวรรค์ แล้วก็ ทุกๆ ทุกๆ พบภูมิ เนื้อจากมนุษย์ แล้วก็ลงไปล่างจากมนุษย์ แล้ววันนี้ถ้าเราเชื่อว่าสิ่งนี้มีจริง เราจะทำยังไงให้เราปลอดภัยจากสิ่งนี้ ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องประเด็นที่สำคัญนะครับ ก็อยากจะฝากทุกคนไว้ประมาณนี้ครับ โอเค อันนี้เรื่องแรกนะครับ เดี๋ยวนะมาดูคอมเม้นท์กันซะนิดนึงนะครับ ไม่รู้ว่าเนื้อหาเนี่ยว่าฟังอาจจะเป็นยังไงบ้างครับ ชอบฟังหรือเปล่าครับ หรือว่าฟังแล้วรู้สึกแบบ หน้าเบื่อจังเลย อะไรอย่างเงี้ย ดูแล้วไม่มีกําลังใจเลย อะไรอย่างเงี้ยเนอะ หรือยังไงก็ comment มาได้นะครับ สวัสดีค่ะคุณก๊อก วันนี้ไปเข้ากรรมฐานวันพระ 4 ชั่วโมงเต็มมาค่ะ โอ้ อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สวัสดีค่ะ เพิ่งเจอครั้งแรกค่ะ ขออนุญาตสอบถามครับ เดี๋ยวนะ เมื่อสักครู่มันเหมือนเห็นคําถามนะ อ่า โอเค ขออนุญาตสอบถามครับ การปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์จากจุดเริ่มต้นจุดแรก ต้องเริ่มจากตรงไหนครับ หรือเริ่มจาก ทำอะไรก่อนครับ อธิบายแบบนี้นะ ผมแนะนํานะครับ ถ้าเป็นมือใหม่เนอะ ก็จริงจริงติดตามพระจันต้นเนอะ เพจธรรมนาวา เดี๋ยวผมพิมพ์ไปให้นะครับ คือต้องบอกกับว่าจริงจริงอะ ผมก็เปิดกลุ่มเนอะ เปิดกลุ่มสมาธิเนอะ แต่ว่าเอาจริงจริงคือในแนวทางการฝึก เราก็มานั่งรวมพลังงานกันเฉยๆ แต่ถ้าเกิดว่าต้องการขั้นตอนการฝึกที่ถูกต้อง เพราะตัวผมเนี่ย ก็ไม่ใช่แบบว่า คนนั่งสมาธิเก่งกะอะไรนะครับ ก็เพียงแต่เน้นการฝึกร่วมกัน การปฏิบัติร่วมกัน แล้วก็มาแชร์ประสบการณ์ มาพูดคุยอะไรอย่างนี้ ผมเชื่อว่าการที่เราพูดคุยกัน เราจะสามารถเสริมปัญญาให้กันและกันได้ เพราะว่าเราให้ชีวิตทางโลก การที่เราได้มีความเข้าใจในเรื่องต่าง มากขึ้น เราให้ชีวิตในทางโลกได้ง่ายขึ้น ซึ่งเราอาจจะไม่ต้องมาเข้าด้านคุยเรื่องหลุดพ้นก็ได้ แต่ว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเข้าใจและปัญญาในวันนี้ ทำให้เราให้ชีวิตได้ง่ายมากขึ้น แม้ในโลกใบนี้ก็ตาม เราให้ชีวิตในโลก ผมไม่ได้ฝึกแนวทางพระจันทร์ต้นมาก่อน ขนาดแค่ผมเปิดกลุ่มมาแล้วมานั่งคุยกับเพื่อนๆ คือมีเพื่อนคุยเรื่องสัทยายธรรม คุยเรื่องธรรม คุยเรื่องกันให้ชีวิต คุยเรื่องปัญหา คุยเรื่องนู่นนี่นั่น เวลาคุยสุดท้ายทุกคนมีปัญหาต่างกันไม่กี่ประเภทหรอก แต่ว่าแค่อาจจะต่างเรื่องราว ต่างบริบท ต่างผู้คน ต่างเหตุการณ์อะไรอย่างนี้ แต่สุดท้ายความทุกข์เรามีไม่กี่แบบครับ และการที่เรามันนั่งคุยเราจะสามารถเข้าใจเรื่องชีวิตได้ นอกเหนือจากเรื่องของการฝึกนะ เพราะการฝึกสุดท้ายแล้วผมเชื่อว่า ทุกคนสามารถฝึกได้ เราสามารถมารวมกลุ่มแล้วก็มาฝึกร่วมกันได้ แต่แนวทางของพระอาจารย์ต้น ท่านก็คิดมาให้หมดแล้ว เราแค่เดินตามเส้นทางของพระอาจารย์ต้น ข้อแรกคือ เราระลึกถึงพระรัตนไตจนแนบจิตครับ ก็เราเป็นชาวพุทธ สิ่งที่เราจะเคารพรรคสักการะในศาสนาพุทธคือ พระอาตารัตไต ส่วนแนวทางการปฏิบัติ ลองไปติดตามดูของพระอาจารย์ ผมลงชื่อเพจไปแล้ว โอเค ทำไมคำว่าจิตมันเข้าใจยากจังคะ คำว่าจิตใช่ไหม จิตเข้าใจยากเพราะเราอาจจะยังไม่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับมันแล้วกัน คำว่าจิตเนี่ยก็คือระบบของขันห้านะ ขันห้าจะมีรูปหนึ่งนามสี่ รูปก็คือดินน้ำไฟลมเนี่ย กายนี้ ดินน้ำไฟลม ที่เราหลงยึดว่าเป็นเราเนี่ย เนี่ยเราไหมถูกไหม ถ้าเรายึดว่าเป็นเรา เราทุกข์นะ เวลาเกิดอะไรกับสิ่งนี้เราทุกข์ แต่ถ้าเรามองว่าเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ เป็นลม เวลามีความเปลี่ยนแปลงจากดินน้ำ ในกายเราเนี่ย เราจะไม่ทุกข์ เพราะเราเห็นว่ามันเป็นเพียงดินน้ำไฟลม ก็อาจจะมีความเจ็บปวด ความต่างๆ เกิดขึ้นตามวิญญาณที่ไปรับรู้อาการเหล่านี้นะครับ แต่สุดท้ายแล้วถ้าเกิดเราเข้าใจจริงๆ เราจะรู้ว่า เวลา อะไร เวลาดิน เรียกว่าไง เวลาหิน หินแตก หินที่เราเห็นแตกเราทุกข์ไหม ถ้าเราไม่ได้ทุกข์ก็คือว่าธาตุดินมันแตกลงถูกไหม ให้เราเห็นว่ากายนี้กับสิ่งที่เราเห็นตรงหน้า แม้ว่าจะเป็นก้อนหิน เป็นเม็ดดิน เป็นเม็ดทรายอะไรอย่างนี้ เป็นสิ่งเดียวกัน ถ้าเราเข้าใจ จิตเข้าใจสิ่งนี้ต้องทำเป็นจริง จิตก็จะไม่ทุกข์กับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายนี้นะครับ ก็จะ หลักการก็คือต้องละความเห็นผิดตรงนี้ ส่วน นอกเหนือจากรูปหนึ่งเนี่ย มีนามอีก 4 นามอีก 4 ก็คือ ขัน 5 เนี่ย รูปหนึ่งนาม 4 นาม 4 มีเวทนาขัน สัญญาขัน สังคารขัน วิญญาณขัน ในส่วนของขันอีก 4 ที่เหลือเนี่ย คือส่วน 4 สิ่งนี้เรียกว่าจิต เรียกโดยย่อว่าจิต ดังนั้นระบบของขันตรงเนี่ย เวลาที่เราสงสัยเราเคยรู้สึกทุกข์ไหม ความทุกข์เนี่ยเป็นเราไหม ถ้าเรายังไม่รู้วันนี้ ความทุกข์ก็คือเราสิถูกไหม แต่ความเป็นจริงไม่ใช่นะ ความทุกข์เป็นเวทนาขัน เป็นระบบของขันที่แสดงผลด้วยตัวของเขาเอง เวลาเราจำอะไรได้สักอย่างนึงอะ เป็นเราไหม ไม่ใช่เราเนี่ย เป็นสัญญาขัน เวลาเราคิดนู่นคิดนี่ ซึ่งคนเราใช้สังขาลขันกันเปลืองมากนะครับ ใช้กันเยอะ คิดนู่นคิดนี่ กลัวกังวลอนาคต คิดถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ปรุงแต่งสิ่งต่างๆ อะไรอย่างนี้ ใช่เราไหม ไม่ใช่เรานะ เป็นสังขาลขัน และสุดท้ายสิ่งที่เรารับรู้ แม้แต่ตาเราเห็น จมูกเราได้ยิน หูเราได้ยิน จมูกเราได้กลิ่น หูเราได้ยิน ลิ้นเราได้สัมผัสรสชาติ ร่างกายของเราได้สัมผัสสิ่งต่างๆ เนี่ย หรือแม้กระทั่งใจของเราที่คิดหรือรับอารมณ์ต่างๆ อยู่เนี่ย เป็นเราไหม? ไม่ใช่เรานะ เป็นวิญญาณขัน อะไรที่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรา ถ้าสิ่งนี้เป็นเรา เราต้องควบคุมได้ ง่ายๆ แค่นั้นเลยครับ อย่างนั้นเวลาเรารู้สึกเนี่ย เวลาเรารู้สึกทุกข์อะ เราอยากทุกข์ไหม? เราต้องการทุกข์นี้ไหม? เราไม่ได้ต้องการ แต่เขาทุกข์เองถูกไหม?

เวลาเราจำได้ จำเองไหม? เราตั้งใจจำไหม? หลายๆ ครั้งเราไม่ได้ตั้งใจจำ มันก็จำเองถูกไหม แล้วเวลาเราคิด เราตั้งใจคิดไหม นอกเหนือจากการตั้งใจคิดนะ ตั้งใจคิดนี่คือส่วนของเจตนา แต่หลายๆ ครั้งที่แบบอยู่ดีๆ ความคิดเข้ามาเอง เราตั้งใจไหม เราไม่ได้ตั้งใจถูกไหม คิดเอง แล้วเวลาเรารับรู้ เวลาตาเรามองเข้าไปกระทบประถู เราเห็น เวลาเกิดอารมณ์ที่ใจ เราตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นไหม เราไม่ได้ตั้งใจถูกไหม มันเป็นไปเอง พอเราเข้าใจตรงนี้ เราจะได้รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี่ไม่ใช่เรา เป็นเพียงขันห้า ที่เขาทำงานอยู่ แต่จิตเนี่ย ที่ไม่รู้ความจริงก็ไปหลงยึด จิตไม่รู้ไง คือจิตมีอวิชาอยู่ จิตมีความไม่รู้ความจริงอยู่ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือเราต้องให้ความรู้ความเข้าใจกับจิต จิตจะได้ไม่หลง เมื่อจิตมีความรู้ความเข้าใจ จิตรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรา จิตก็จะไม่ยึด ไม่ยึดกับสิ่งที่เกิดขึ้นและปรากฏขึ้น ผ่านระบบของขันตรงนี้ เข้าใจ พิมพ์เข้าใจหน่อยนะครับ ฟังแล้วสบายใจมากเลยครับ ขอบคุณครับ จิตเป็นของธรรมชาติ ควบคุมไม่ได้แต่ฝึกได้ ถูกต้องครับ ขอบคุณครับ อาจารย์ อาจารย์ใช่ไหมครับ อาจารย์ชะบาแก้ว จิตเป็นของธรรมชาติครับ เป็นของธรรมชาติ ควบคุมไม่ได้แต่ฝึกได้ ฝึกให้รู้สภาวะที่แท้จริง ฝึกเพื่อให้เห็น ให้หลุดจากความอวิชานั่นเองนะครับ สารวสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจกับจิตได้ รู้สึกว่าโชคดีที่ได้เข้ามาฟัง ขอบคุณครับ ชอบค่ะ ฟังได้เข้าใจง่ายๆ สวัสดีคุณก็ไม่ทราบว่าเคยเข้าคอร์สพระอาจารย์ต้นหรือครูงอ๋อหรือเปล่าค่ะ ของครูงอ๋อมันยังไม่เคยเข้านะครับ แต่ของพระอาจารย์ต้นก็ไม่เคยเข้าคอร์สของพระอาจารย์ต้นตรงๆนะ แต่เคยเข้าของพระอาจารย์รูปอื่นนะครับ ส่วนตัวคือไม่ต้องซีเรียสนะว่าจะต้องเข้าคอร์สถ้าไม่สะดวก ถามผมนะ การปฏิบัติที่ดีที่สุด เราปฏิบัติที่จิตของเรา เราจะปฏิบัติ ที่ไหนก็ได้ และทุกวันนี้คือไม่มีความจำเป็น แต่ถ้าเกิดว่าเราอยากจะไปก่าพระอาจารย์อะไรอย่างนี้คือคนละเรื่องนะ แต่หมายถึงว่าปฏิบัติ หลายๆคนบอกว่าต้องไปเข้าคอร์ตหรือเปล่า ต้องไปนู่นไปนี่หรือเปล่า ถามว่าไปได้ก็ดี แต่สุดท้ายหลักใหญ่ใจความของการปฏิบัติ มันขึ้นอยู่กับความเพียรครับ มันขึ้นอยู่กับการศึกษา ในคลิปก็มี ในทุกอย่างก็มี หนังสือปฏิบัตมีหมดแล้ว อาศัยความเพียรในการปฏิบัตนะครับ การที่เข้าคอร์ตหรืออะไรต่างๆ ก็เป็นส่วนเสริมนะครับ นั่งสมาธิไม่ต้องพาวนาคำมาเลยเลย ทําจิตให้ว่างก็พอได้ไหมค่ะ ได้ครับ ได้แน่นอน การทำทานรักษาศีลเจริญภาวนาช่วยให้พบชาติดีขึ้น ไหมครับทางโลก หรือว่าเป็นการสะสมไว้ชาติหน้าครับ อธิบายอย่างนี้เนอะ คือผมเคยฟังของพระจันต้นมานะครับ ซึ่งก็ต้องบอกว่าพระจันต้นท่านก็เอามาจากพระไต้ปีโดกอะแหละ แล้วก็เอามาย่อย มาขบตี แล้วก็มาแบ่งปันเราทุกคนละกัน การทำทานรักษาศีลเจริญภาวนาก็คือศีล ทานศีลสมาธิ ช่วยให้พบชาตินี้ดีขึ้นไหมครับทางโลก คำตอบก็คือดีขึ้นได้ครับ การทำทารักษาศีลเจริญภาวนา ช่วยให้พบชาตินี้ดีขึ้นไหมครับทางโลก ตอบว่าดีขึ้นครับ ดีขึ้นแน่นอน ดังนั้นในส่วนของโลกียะ โลกียะคือทางโลก การ ทำทารักษาศีลเจริญภาวนาเป็นกุศล ฟังดีๆนะ เป็นกุศล เราให้ทานคนอื่นไป เราช่วยเหลือคนอื่นไป เราได้บุญ เราได้กุศล คือเราทำความดี ได้กุศล รักษาศีล ได้กุศล เจริญภาวนา ได้กุศล ทำให้ชีวิตนี้ ในพบชาตินี้ ดียิ่งขึ้น ถูกต้อง แต่ถามว่า ในฝั่งของโลกกุฎระช่วยไหม ในฝั่งของโลกกุฎระ ไม่ได้ช่วยอะไรครับ เพราะแม้ทำความดี ทำทารักษาศีลเจริญภาวนาก็ยังอยู่ในความเป็นอวิชาอยู่ ยังอยู่ในความไม่รู้อยู่ ก็จะยังให้มีพบชาติเกิดขึ้น อย่าลืมนะ ทำดีก็มีพบชาตินะ ทำไม่ดีก็มีพบชาตินะ แต่สิ่งที่ตัดพบชาติได้จริง คือสัมมาทิศถิครับ คือเราต้อง ไปละที่ตัวความอยากของสมุทัยในอริยสัตว์ 4 ตัวนั้นแหละ ถ้าเราละแล้วเราเห็นความอยาก ละด้วยการรู้นะ เห็นความอยากตามความเป็นจริง แล้วไม่สารต่อความอยาก ตรงเนี่ย พบชาติจะดับลง พบชาติหนึ่ง แต่พบชาติรอเราไว้เยอะมากนะ เราต้องค่อยๆ ดับลงนะ เพราะสิ่งที่เราเป็นอวิชาที่เราสังสมมา แล้วเราใช้ความอยากในการกระทำต่อความทุกข์เนี่ย มันเต็มไปหมด ดังนั้นพบชาติของเราเนี่ย รอเราไว้เยอะมากๆ สิ่งที่เราสามารถทำได้คือ เรา ก็ต้องไม่ดำเนินชีวิตด้วย ความเป็นกุศลก็ดี อากุศลก็ดี แต่เราดำเนินชีวิตด้วยความเป็นจริง ความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ได้ยึดแม้กระทั่งกุศล ไม่ได้ยึดแม้ความเป็นอากุศล แต่อยู่ในฝั่งของความเป็นจริง ความเห็นที่ตรงและถูกต้อง สิ่งนี้จะเป็นความรู้ความเข้าใจ และจะทำให้พบชาติตัดลง ก็คือเขาเรียกว่าไปตัดตัวกิเลน ไปดับความอยาก ให้สุดท้ายเราสิ้นอาสาวะ ก็คือตัวที่เป็นความอยาก ตัวที่มันมีความทุกข์ที่รอก่อกกำเนิดอยู่ มันจะค่อย ดับลง ผ่านการฝึกไปเรื่อย เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่าเวลาเราทำทาน เราอยากจะช่วยคนดีขึ้นใช่ไหม ก็ยังประกอบด้วยความอยากถูกไหม ก็ยังเป็นความอยากที่ทำเพื่อสิ่งดี ซึ่งก็ถือว่าดี แต่ก็เป็นดีในฝั่งกุศล ก็จะนำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นกับเราได้ พอเข้าใจไหมครับ เริ่มเข้าใจค่ะ จะต้องศึกษาเพิ่มขึ้นมากมาย ครับ ก็จริงๆผมก็เอามาจาก แนวทางของพระอาจารย์ต้นนะครับ ลองไปติดตามดูได้นะครับ ผมลงเพจไว้แล้ว อะ มาอ่านฝั่ง Tiktok บ้างนะครับ สวัสดีเพื่อนทุกคนนะครับ สวัสดีครับ มีคำถามไหมเอ่ย สวัสดีครับ โอ้ ไม่มีเลย อาจจะเป็นแบบว่าขาจรซะเยอะนะครับ เวลานั่งสมาธิ มีภาพแวบมาในความคิด แล้วทักสิ่งเหล่านั้นในใจว่านี่คือสัญญา นี่คือสังขาร ทําได้ไหมคะ ทําได้ครับ ขอแนะนําแบบนี้นะ ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เข้ามาแล้วเป็นความคิดที่เรา มันมีสองอย่างคือเราโอเคกับความคิดเนี่ย อย่างเช่น เรานั่งสมาธิอยู่แล้วมันมีเรื่องสำคัญเข้ามา ไม่ต้องไปเอาออกนะครับ ก็คิดให้จบก่อน คิดให้จบก่อนแล้วก็ค่อยทักอารมณ์ก็ได้ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องที่เข้ามาโดยที่เรารู้สึกว่ามัน คือสิ่งที่ไม่ได้จตนาที่จะคิดเรื่องนี้แต่เข้ามา เราก็สามารถใช้การทักอารมณ์ได้ อย่างเช่น มีความจำได้แล้วก็บอกว่า เออ นี่ ถ้าเรารู้ความหมายของสัญญากับสังขารก็ไม่มีปัญหานะ เราก็อาจจะบอกว่า นี่คือสัญญา สัญญากำลังปรุงแต่งจิต จิตกำลังถูกสัญญาปรุงแต่ง หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือเป็นสังขาญก็ได้ ก็ใช้ประโยคตามแนวทางที่ของพระจันทร์ต้นเลยนะ นี่คือ หรือ ยกตัวอย่างนั้น นี่คือสังขาญ ก็อาจจะแปลว่าสังขาญเป็นความคิดปรุงแต่ง แล้วก็อาจจะบอกว่านี่คือความคิด นี่คือความคิด ความคิดกำลังเกิดขึ้นกับจิต จิตกำลังเกิดความคิด ความคิดกำลังปรุงแต่งจิต จิตกำลังถูกความคิดปรุงแต่ง ให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วมันมีสิ่ง บางสิ่งมาปรุงแต่งจิตอีกที จิตจะได้เกิดความรู้ ก็จะมีเพียงแค่ สุดท้ายเนี่ย เมื่อเรารู้เนี่ย มันจะมีเพียงแค่ความคิดเกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้เป็นความคิดนั้น นึกออกไหม เหมือนเวลาที่เขาฝึกกันอะ แล้วเขาบอกว่า เออ ถ้าเรามีสติอะ มันจะมีความทุกข์เกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้ ไม่มีผู้เป็นความทุกข์นั้น คือมีทุกข์แต่ไม่เป็นทุกข์ มีทุกข์แต่ไม่เป็นทุกข์ ไม่เหมือนกันนะ คือมีความทุกข์เกิดขึ้น มีความทุกข์แล้วมันก็มีผู้รู้ว่ามีความทุกข์เกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้ ถ้าหากความทุกข์นี้ไม่มีผู้รู้ ก็จะมีแต่ผู้ๆไปยึดความทุกข์นั้น เพราะจิตที่ไม่รู้ว่านี่ทุกข์คือไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา จิตก็เผยไปยึด จิตก็เลยหลงว่า โอเค นี่คือฉัน นี่คือฉันทุกข์ จิตไม่รู้ จิตอยู่ในอวิชา จิตก็เลยใช้ความหย่าในการทำต่อความทุกข์นะครับ ก็เลยเป็นผู้ทุกข์ แต่หากจิตที่ ยกตัวอย่างมีสติ จิตก็ได้เห็นความทุกข์นี้ แล้วก็มีแต่ความทุกข์เกิดขึ้นตามเหตุที่มันส่งมาในอดีต แล้วมันก็มีผู้รู้ความทุกข์นั้น แล้วก็ความทุกข์นั้นก็มีแต่เกิดขึ้น แต่ว่าไม่มีผู้ที่เข้าไปเป็น เพราะเมื่อมีสติ จิตจะเกิดความเข้าใจ ความรู้ ความเข้าใจนะครับ ใช่ค่ะ บางทีความคิดในอดีตไม่ประทับใจมารบกวนจิต พอเรารู้ เรารีบผลักออกได้ใช่ไหมคะ ผลักออกเนี่ยคือสิ่งที่เราทํามาเนิ่นนานแสนนานแล้วสิ่งนี้เคยหลุดไปไหมครับ ลองถามตัวเอง เวลาเราหนีความทุกข์อ่ะ เวลาเราทุกข์แล้วเราไม่อยากให้ทุกข์มันเกิด อยากจะให้ทุกข์มันหาย มันหายตามสั่งไหม ถ้าหายตามสั่งเชื่อเหลือเกินว่าโลกนี้จะไม่มีคนทุกข์นะครับ จริงไหม แต่ความจริงคืออะไรครับ ความจริงคือเวลาเกิดความทุกข์แล้วเราไม่ปฏิบัติต่อความทุกข์อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ทุกข์นั้นก็จะไม่ได้หายไป วิธีการที่พระจันตนแล้วพระสัมมาสมบูรณาเจ้าท่านสอนเราน่ะ ก็คือเวลาเกิดความคิดมารบกวนจิตแล้วมันเป็นทุกข์ เราต้องทำอะไรที่ผมบอกไปเมื่อกี้ครับ คือเราต้องทักอารมณ์เพื่ออะไร เพื่อให้เกิด ให้จิตเกิดการกำหนดรู้ กำหนดรู้ว่ามีบางสิ่งเข้ามาอยู่ในจิต ให้จิตเกิดความเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่จิตเป็นคนละสิ่งกัน ให้จิตเกิดความเข้าใจเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปยืดสิ่งนั้นนะครับ ดังนั้นทุกข์มีไว้กำหนดรู้ครับ ทุกข์มีไว้กำหนดรู้แล้วก็ยอมรับว่ามันมีทุกข์เกิดขึ้นนะครับ แต่หากเราวิ่งหนีเนี่ยเราจะยิ่งทุกข์มากกว่าเดิม หลายๆคนถ้าเคยลองวิธีนี้รู้ว่าเวลาเกิดความทุกข์แล้วยอมรับเนี่ย ความทุกข์หายไปครึ่งนึงแล้วนะ แต่หลาย คนที่ยังไม่หายเพราะไม่ยอมรับทุกข์และปฏิเสธทุกข์นั้น เคยเห็นไหม เวลาเราเจอการสูญเสีย ยกตัวอย่างเช่น แฟนบอกเลิกหรือว่าอาจจะเจอคนในครอบครัวเสียชีวิต ความทุกข์ที่มากที่สุดไม่ได้เกิดจากการที่เขายอมรับว่าคนที่เรารักได้จากไปนะ แต่เกิดจากอะไร แต่เกิดจากการไม่ยอมรับต่างหาก ถูกป่ะ ยิ่งเราหนีความจริงเท่าไหร่ เราจะยิ่งทุกข์ใจมากเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ต้องกวนกลับมาหาความจริงอยู่ดี เพราะความจริงมันหนีไปไหนไม่ได้ ดังนั้นการยอมรับกลับถึงทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือความกล้าหาญมากๆนะครับ แล้วจิตก็จะคลายจากความทุกข์ได้เร็วกว่า เพราะเราไม่ได้ใช้ความอยาก เราใช้ความรู้ความเข้าใจว่าชีวิตก็แบบนี้ นี่คือสัจธรรม เข้าใจสิ่งนี้แล้วความทุกข์มันก็จะเบาบางลงครับ สอนวิธีการนั่งสมาธิหน่อยค่ะ ปกติผมก็ คือผมเคยลงคลิปไว้เนอะ เดี๋ยวลองไปดูย้อนหลังก็ได้ครับ ในแอปสีแดงก็มี ผมจะขึ้นชื่อว่า เปิดเส้นทางการฝึกสมาธิของผมทั้งหมดนะครับ ผมก็จะอธิบายว่าผมเคยผ่านการฝึกแบบไหนมาบ้าง ส่วนวิธีการฝึกจริงๆมันไม่ได้ยากอะไรครับ เราแค่นั่ง แล้วเราก็กำหนดจิต ดังนั้นอิริยบทไหนๆ ก็สามารถฝึกสมาธิได้เพราะเราฝึกที่จิตนะครับ ไม่ว่าเราจะอยู่กับลมหายใจ เราอยู่กับคำบริกรรม หรือจะยังไง หน้าที่ของเราแค่ใส่เจตนาในการรับรู้สิ่งเหล่านั้นไปครับ เมื่อหลุดก็รู้ตัวก็กลับมาใหม่ ไม่ต้องปฏิเสธสิ่งที่เข้ามานะครับ เพราะว่าเราไม่ได้ควบคุมสิ่งที่เข้ามา เราทำได้เพียงแค่รับรู้สิ่งที่เข้ามานะครับ เมื่อกดแล้วลงมือทำร้ายใคร คือสติไม่พอใช่ไหม สติไม่พอใช่ไหม แต่ก็มีหลายครั้งนะ คือมันก็มีอยู่กรณีหนึ่ง ถ้าเกิดว่าสุดท้ายแล้วเรามีสติ แต่เราก็ยังเลือกที่ทำร้ายมีไหม ก็อาจจะมีถูกไหม คือบางทีเราตั้งใจที่จะทำด้วยสติจริงจริง ก็มี หรือไม่มีไม่รู้นะ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ถามว่า คือถ้าเกิดว่าเราขาสติ เราทำแน่นอน เราทำตามความอยาก เราทำตามแรงที่ส่งมา อย่างตัวอย่างเช่น เราเป็นคนที่ขี้โกรธ เวลาเกิดตรงนี้มากระทบ เราก็จะโกรธทันที แล้วเราก็จะเลือกที่จะลงมือทำร้ายอะไรอย่างนี้ ก็สามารถพูดได้ว่าสติไม่พอนั่นแหละ ดังนั้นถ้าเกิดว่าเราสามารถทักอารมณ์ได้ ว่านี่คือความโกรธ ความโกรธกำลังเกิดขึ้นกับจิต จิตกำลังเกิดความโกรธ ความโกรธกำลังปรุงแต่งจิต จิตกำลังเกิดความโกรธปรุงแต่ง ให้จิตได้รู้ว่าความโกรธกำลังมาปรุงแต่งจิต ให้จิตได้รู้ว่ามันมีความโกรธเกิดขึ้น เมื่อจิตรู้จิตจะไม่ไปเป็นสิ่งนั้นนะครับ ตามที่ได้แนะนำเรื่องทักอารมณ์ไปก่อนอันนี้นะครับ ขอบคุณค่ะ จะพยายามนำมาปรับใช้นะคะ ชอบเข้ามาฟังเพราะเนื้อหาเข้าใจง่ายค่ะ ขอบคุณครับ ก็พยายามย่อยมาเนอะ ผมก็ต้องย่อยให้ตัวเองก่อนแหละคือไม่ได้ตั้งใจจะมาย่อยให้เพื่อนๆนะ แต่ว่าอันดับแรกผมจะมานั่งฝึกปฏิบัติเองผมต้องมานั่งย่อยเองก่อน เพราะผมเป็นคนที่ถ้าไม่รู้เรื่องทำไม่ได้ ผมก็จะแบบต้องทำความเข้าใจก่อนแหละว่าแบบนั้นได้ไหมแบบนี้ได้ไหมอะไรอย่างนี้ครับ แต่ว่าฟังของผมก็มีข้าวเสียนะคือผมเป็นคนที่ไม่ได้ยกภาษาตรงๆมา แบบว่าไม่ได้ยกภาษาบารีมาไม่ได้ยกคำสอนตรงๆมา แต่ว่า มันก็จะเกิดจากการที่ผมตกผลึกกับตัวเองมา ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะครับ บางครั้งผมลงคลิปไปก็มีเพื่อน ทักขึ้นมาว่า เออ ตรงนั้นไม่ใช่นะ ตรงนี้ไม่ใช่นะ ผมก็บอกว่าโอเค ผมไม่ได้มีเจตนาจะบิดเบือนคำสอนเนอะ แต่ว่าสิ่งไหนที่ผมแชร์ไปแล้วมันไม่จริง หรือไม่ตรงยังไง ก็อยากจะให้ใช้วิจารณญาณดูครับ เพราะว่าผมก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง บางทีก็การที่ผมตีความหรือเข้าใจก็อาจจะไม่ถูกต้อง ก็มี ก็สามารถถักถ่วงได้นะครับ จิตเราเกิดดับทุกขณะ บางทีก็สนมากๆ ตามอารมณ์ไม่ค่อยทัน เรื่องปกติครับ ถ้าเราตามอารมณ์ทัน เราไม่อยู่ตรงนี้แหละครับ ถ้าเราตามอารมณ์ทัน เราคงเป็นพระอารหันต์แล้วถูกไหม เราต้องเป็นผู้ที่แบบว่า โอ้โห จิตเราฝึกมาเป็นอย่างดีแล้ว แล้วก็เห็นการเกิดดับอยู่อะไรอย่างนี้ ดังนั้นการที่เราตามไม่ทัน เป็นเรื่องปกติ แต่เราจะทำยังไงให้เราทันได้มากขึ้น อารมณ์ใหญ่ๆ อารมณ์ที่รุนแรงของเราเนี่ย เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ไหม รู้ทันได้ไหม เพื่อที่จะเปลี่ยนร้ายกายเป็นดี เพื่อที่จะทำให้สิ่งที่เราเป็นอยู่ไม่น่ารัก เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เกิดการทำตัวเป็นคนที่น่ารักขึ้นได้ ถูกไหม ก็ต้องอาศัยการฝึกครับ เอาจริงๆนะผมเห็นช่องอื่นเขานะ พิมพ์เยอะแยะเลยนะ อ่านกันไม่ทันเลยนะ อันนี้คุยตลกๆ พิมพ์เยอะแยะนะ อ่านกันไม่ทันเลยนะคอมเมนต์เนี่ย แบบว่าต้องขอโทษเลยนะที่อ่านคอมเมนต์ไม่ทัน หันมาดูช่องผม ต้องมานั่งอ่านหาคอมเมนต์ดู ว่าเอ๊ะ จะมีใครพิมพ์มาหรือเปล่า จะมีคนมาถามหรือเปล่า ต้องมานั่งรุนนะ จากในห้องก็ หาคนคุยด้วยไม่ค่อยได้ มาหน้าไลฟ์นะ ทุกวันนี้ก็ต้องมาหาคนคุยด้วยนะครับ น่าหลงสารไหมครับ แสวเล่นนะครับ ตลกๆ วันนี้พี่หงุดหงิดมาก ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เลย ทำไงคะ อาบน้ำครับ ถ้าเป็นผมหรอ อาบน้ำออกกำลังกาย อืม อาบน้ำออกกำลังกาย แล้วก็ไปสปาก็ได้ อันนี้คือวิธีแบบง่ายสุดนะ คือเขาเรียกว่าเปลี่ยนพลังงานภายนอก ให้จิตใจเบิกบานขึ้น หรือเปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนสภาวะ อย่าจมอยู่กับที่ ออกไปเดิน ออกไปกิน ออกไปพูดคุย ออกไปทำอะไรก็ได้ครับ คืออารมณ์มันไม่ได้อยู่ตลอดอยู่แล้ว เดี๋ยวสักพักนึงจะค่อยๆหายไป หรือไม่จะใช้การทักอารมณ์ก็ได้นะครับ ถ้าจะมาในแนวปฏิบัติ สวัสดีครับ โอเค ฝั่งนี้หมดแล้ว ไปดูฝั่งนี้นะครับ อีก 10 นาที กำลังคิดว่าเราจะต้องเข้าคอร์ตใหม่ เพราะไม่มีเวลาว่างพอ อยากจะเข้ากลุ่มปฏิบัติกับคุณก็ค่ะ คุณสอนอะไรบ้างคะ ผมไม่มีสอนครับ ก็มีแต่แบบนี้แหละครับ มีแชร์ มีพูดคุย แต่เรื่องการสอนสมาธิเนี่ย ผมไม่มีสอน เพราะว่าจริงๆแล้วตัวผมทุกวันนี้ก็ฝึกตามแนวทางพระอาจารย์ต้นครับ ก่อนหน้านี้ที่เปิดกลุ่มมา 2 ปีกว่า ก็ไม่มีอะไรคือมานั่งรวมกัน คือ 2 ทุ่มถึง 2 ทุ่มครึ่ง ก็อะไร 2 ทุ่ม 2 ทุ่มครึ่งก็คือเปิดกล้องนั่งสมาธิกัน ใครอยากนั่งแบบไหน จะได้แบบไหนก็นั่งกัน แต่ถ้าติดตรงไหน หลังจากนั่งเสร็จครั้งแรก สามารถพูดคุยได้ เพราะว่าเราเหมือนกับ Learning by Doing อะ คือเราต้องมาลองฝึกดูอะครับ แล้วเราจะรู้ว่า แบบนั้นดีไหม แบบนี้ดีไหม เราชอบแบบนั้นไหม จริตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมเลยแบบ ไม่อยากจะมานั่งตีกร่อง แบบนี้ว่าจะต้องนั่งแบบไหน อะไรอย่างนี้ อยากให้ทุกคนแบบ สบายๆ มากกว่า นะครับ ออกกำลังกายเวลาโมโห จะเหมือนคนบ้าพลังค่ะ นึกออกเลย คือเหมือนกับว่า เริ่มแบบยกของ ยกของ แต่ว่าก็ดีนะเวลาออกกำลังกายแล้วโมโห บางทีก็อาจจะแรงเยอะไง ไปออกแรงหน่อยใช่ไหม จะได้ยกได้เยอะขึ้น แต่อย่าไปโยนดำบงดำเบลอะไรเนี่ยครับ เดี๋ยวทับเท้าอาจจะยุ่งนะครับ เป็นคนคิดมาก คิดแต่สิ่งไม่ดีทำไง ทักอารมณ์ก่อนครับ คือต้องฝึกครับ คือคําว่าจิตเนี่ย จิตเนี่ย ธรรมชาติอะ ไหลลงสู่ที่ต่ำจริงๆ ครับ จิตที่ไม่ถูกฝึกอะ คือเรียกว่า การที่จิตจะคิดเรื่องดีได้เนี่ย มันต้องมีเหตุ แล้วก็มีสิ่งที่เราฝึกฝนมานะครับ ถ้าเกิดว่าไม่ฝึกฝนเลยเนี่ย จิตก็จะโดยธรรมชาติไหลลงต่ำอยู่แล้ว อืม ดังนั้นเราจึงต้องฝึกไงครับ ถ้าเราฝึก เราทักอารมณ์ให้เห็นว่า คือโดยปกติอะ เราไม่รู้กลไกของระบบขันไง ขัน 5 เนี่ย ไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นทุกข์ ทุกข์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ไม่ใช่เรา คือเวลาเกิดขึ้น ถ้าเราฝึกจนเราเห็นว่า ความคิดนี้ไม่ใช่เรา มันเป็นเพียงสังขันต์ ขันต์ที่ทำงานอะไรอย่างนี้ เราสติเราเห็นแล้วจับตรงนี้ได้ เราจะไม่ไปทุกข์เรื่องนั้นเลยครับ มันจะดับลงไปเร็วมาก แต่เหตุผลตรงนี้คือเราต้องฝึกไง ถ้าเราไม่ฝึกเลยอ่ะ อยู่ดีๆ สติไม่มีกำลัง 1 แล้ว 2 ปัญญาไม่เคยเดิน ไม่เคยแบบเจริญปราศนา 2 แล้ว ดังนั้น 2 สิ่งนี้ที่ไม่เคยทำเลยมันยากครับ ไม่สามารถที่จะใช้เพียงแค่ความคิดในการที่จะเข้าใจได้ เพราะเรื่องนี้เป็นปัจเจกอ่ะ ปัจเจกมากๆ เลย มันเป็นเรื่องของสภาวะการฝึก ไม่สามารถที่แบบเล่าให้กันฟังและเห็นภาพได้ ต้องคนฝึกเท่านั้น เหมือนวันนี้ผมบอกทุกคน อยากอิ่มไหม ไม่เคยกินข้าวเลยอยากอิ่มไหม เอาข้าวไปกินเคี้ยวๆ แล้วลองกลืนดู พออิ่มปุ๊บ แล้วผมมาอธิบายความอิ่มให้ทุกคนฟังได้ไหม ถ้าคุณไม่เคยกินข้าว ถูกปะ คุณก็ไม่รู้นะครับ ดังนั้นมันก็ต้องอาศัยการฝึกครับ วันนี้ทํายังไงใช่ไหม ก็คือต้องต้องฝึกอ่ะ อืม ท่านผมแนะนํานะ อย่างที่บอกคือเพจของพระอาจารย์ต้นนะครับ เพจธรรมนาวา มีวิธีการปฏิบัติทั้งหมด พระจัตรนท่านทํามาให้แบบว่ารัฐสั้นเข้าใจง่ายนะครับ ก็ลองไปติดตามดูนะครับ ขออนุญาตสอบถาม เป้าหมายการเจริญธรรมของคุณก๊อฟค่ะ ไปถึงขั้นไหนคะ เป้าหมายเหรอครับ เป้าหมายก็ต้องไปนิพพานเลยครับ ไม่มีเป้าอื่นนะ มีเป้าเดียว แต่ว่าเมื่อไหร่ไม่รู้นะ ชาตินี้ไม่ได้ก็ชาติหน้า ชาติหน้าไม่ได้ก็ต่อๆไป นะครับ ทำให้ คือผมไม่ได้แบบว่าเร่งรีบตัวเองนะครับ เพราะผมรู้สึกว่าผมทำไปเรื่อยๆ ผมทำไม่หยุดแล้วกัน แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องรีบ นึกออกไหม ค่อยๆทำไป ไม่ต้องแบบว่ากดดันตัวเอง ตะบี้ตะบันทำนะครับ เราค่อยๆทำนะครับ เชื่อว่าเดี๋ยวจะค่อยๆดีขึ้น อยากได้ถามว่าตอนนี้อยู่ตรงไหนใช่ไหม ของพระอาจารย์ต้นอยู่ขั้นตอนพิจารณากายครับ ยังอยู่กับการพิจารณากายอย่างสนุกสนาเลยครับผมบอกให้นะ ยิ่งพิจารณายิ่งสนุกนะครับ สนุกยังไงใช่ไหม เดี๋ยวไว้มาเล่าให้ฟัง พี่ก๊อกสวัสดีครับ สวัสดีครับ เมื่อก่อนไอ้นั่งสมาธิไม่ได้ เพราะจิตไม่นิ่งเลย อันนี้เริ่มจาก ฟังหลวงพ่อปาโมทเทศก่อนค่ะ อ่า อนุโมทนาบุญครับ จอนั้นก็สดมนต์ ตอนนี้นั่งสมาธิได้แล้วค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ เดี๋ยวไปตามเพจพระอาจารย์ต้นค่ะ อู้ อนุโมทนาบุญเลยครับ ไปติดตามได้เลยนะ ดี ดีแน่นอนครับ นั่งหนังสือปฏิบัติ ไม่ได้สปอนเซอร์นะครับ เรื่องเรื่องนี้พระอาจารย์ต้นดีมากๆ แจกฟรีอ่ะ แล้วก็ เยอะมากๆนะ มีหมดอะ ใครสงสัยเนอะ เรื่องอะไรเนี่ย เนี่ย ทางปฏิบัติเนี่ย มีบอกหมดละ ใครอยากปฏิบัติ ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4 ขั้นที่ 5 ขั้นที่ 6 จบ 6 ขั้นนี้ ผมว่ารู้เรื่องอะ รู้เรื่องเลยอะ ผมอยู่ตอนนี้ขั้นที่ 3 ถ้าจบ 6 ขั้นนี้ ผมว่าก็ โอ้โห ความทุกข์ในชีวิตคงเบาไปเยอะอะ คงเข้าใจ คงรู้ความจริงเกี่ยวกับชีวิตมากขึ้นเยอะ ตอนนี้ก็รู้สึกดีแล้วนะ ผมคิดว่าก็เลยต้องทำต่อไง แล้วก็หลายๆคนอ่ะ คือมีปัญหาในชีวิตทางโลก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็อนุญาตให้มีบทสวดที่ช่วยเนอะ ช่วยเกี่ยวกับการใช้ชีวิต พระพุทธเจ้านั้นก็รู้ว่า คนตั้งใจปฏิบัติเนี่ยเนอะ บางทีเจออุปสรรค มีหมด ผีเข้า ขอขมานายเวร อะไรอย่างเงี้ย ทำแท้ง มีหมดเลย เนี่ย ใครติดตรงไหน มาเลยนะครับ ส่วนพระพระฤทธิ์อะไรอย่างนี้มีหมด แล้วฟรีนะ คิดดูว่าหนังสือเล่มนี้เล่มนึงเท่าไหร่ถูกปะ แต่เขาแจกฟรี ถ้าใครแบบร้อนวิชาอยากรีบปฏิบัติ ไปโหลดเลยครับ หน้าเพจก็มีโหลด ผมก็โหลดมา โหลด PDF มาก่อน แล้วก็รอสักกึบๆเดือนก็ได้หนังสือมา ก็มาอ่าน โอเคมา ถามเยอะแล้วโดนโมโหใส่ เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าหน่ายพูด พยายามทำอย่างอื่น แต่ยังสะเทือนใจเศร้าเสียใจ อ่า ปกติครับ คือเราเรียกว่าไง ถามเยอะ คือหมายถึงว่าเราถามเยอะแล้วโดนโมโหใส่ เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่พูด ก็เหมือนกับ คือเหมือนกับว่าทำไมต้องถามเยอะ แต่ยังแค่นี้ไม่เข้าใจอีกหรอใช่ไหม แล้วพอเราโดนพูดมา เราก็รู้สึกว่าเราเสียใจ แต่ อยากจะบอกว่าศาสนาพุทธเราสอนให้โฟกัสที่ตัวเราเอง ถ้าเรามองความจริงตรงนี้ว่าความน้อยใจเนี่ย มันก็คืออารมณ์หนึ่งที่เข้ามาปรุงแต่งจิต ถ้าเราเห็นสิ่งที่เราทำเป็นจริงเนี่ยเราจะไม่น้อยใจเลย เราจะรู้ว่ามันก็คือความน้อยใจที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้ไปเป็นความน้อยใจนั้น ก็คือการมีสติที่เห็นนะ ดังนั้นการทักอารมณ์เนี่ยได้ผลแน่นอนครับ สำหรับมือใหม่เลยนะทักอารมณ์เลยครับ ความน้อยใจกำลังปรุงแต่งจิต จิตกำลังถูกความน้อยใจปรุงแต่ง ทำไปเรื่อยๆ ในนี้ก็มีนะ หัวข้อการทักอารมณ์ ก็ถ้าเอาที่แบบว่า พูดเร็วๆ ก็คือว่า นี่คือความน้อยใจ บอกไว้เลย นี่คือความน้อยใจ นี่คือความเสถือนใจ นี่คือความเศร้าเสียใจ ความเศร้าเสียใจกำลังเกิดขึ้นกับจิต จิตกำลังเกิดความเศร้าเสียใจ ความเศร้าเสียใจกำลังปรุงแต่งจิต จิตกำลังถูกความเศร้าเสียใจปรุงแต่ง เมื่อเราพูดแบบนี้ไป เดี๋ยวสังเกตดูนะ คือพอจิตรู้แล้วว่ามันมีอารมณ์มาปรุงแต่ง จิตก็จะเกิดความเข้าใจ แล้วสิ่งนั้นก็จะดับไป แล้วเราก็จะเห็นว่า อ้าว ไม่มีอะไรเลยนี่ อารมณ์เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ใช่ครับ อารมณ์เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมดับไปเป็นธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างคือกฎใต้รัก ไม่มีสิ่งไหนเหนือจากสิ่งนี้ได้ ไม่มีสิ่งไหนที่แบบ คือสิ่งนี้เป็นสัตว์ธรรม อือ เกิดมาต้องดับนะครับ อย่าไปคิดว่าเออ คงทนถาวรอยู่ยั้งยืนยงมั่นคงตลอดไปอะไรอย่างเงี้ยไม่มีครับ อ่ะต่อนะครับ สวัสดีค่ะคุณก๊อกติดตามมานานแล้วค่ะ โอ้ขอบคุณครับวันนี้มีคำถามท่องทาดแล้วไม่มีสติเลยค่ะทำยังไงดีคะ ท่องทาดแล้วไม่มีสติหรอครับคือยังไงครับท่องทาดเนี่ยต้องใช้สติมากไม่งั้นก็จะหลุด หมายถึงว่าท่องทาดไม่มีสติเลยก็คือว่าท่องแล้วหลุดหรอท่องแล้วหลุดหรือว่าท่องแล้วยังไงอันนี้ ผมขอเพิ่มเติมให้ผมนิดนึงนะ ผมจะได้แนะนำถูกนะครับ โอเค มาฝั่งนี้บ้าง เดี๋ยวนะ ในกลุ่มมีถาม เดี๋ยวผมอ่านแป๊บนึง เวลาใช้ชีวิตปกติ ถ้าไม่มีเรื่องเครียด จะควบคุมตัวเองได้ ควบคุมความคิดได้ แต่พอมีเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เพราะฝั่งใจว่ากลัวเรื่องนี้ไปแล้ว และมันเกิดขึ้นผลคือมือสั่นหายใจไม่ออก อ่ะโอเค สำหรับหนังสือสามารถติดต่อไปทางเพจได้เลยหรือเปล่าคะ ได้เลยครับหนังสือติดต่อคือ inbox หา admin ได้เลยนะ ในเพจเขาก็จะมี admin คอยตอบอยู่ ทีนี้อ่ะมาคุยเรื่องนี้นะครับ มาคุยเรื่องปกติเนี่ยไม่มีความเครียบควบคุมตัวเองได้ เรื่องปกติครับ อันนี้เป็นเรื่องที่ปกติมากๆ แต่พอมีความเครียดเนี่ย ควบคุมไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วเนี่ย เวลาที่เราคิดเรื่องใดเรื่องนึงมากๆ เนี่ย จิตมันจะอยู่ในความทุกข์ อยู่ในความจม ตรงนั้นเนี่ย มันส่งผลกับกายอยู่แล้วครับ คือหลายๆ คนเนี่ย เวลาคิดมากแล้วเครียดแล้วเกิดความกังวล บางคนเป็นแพนิกนะ เกิดมือสั่น หายใจไม่ออกอะไรอย่างนี้ครับ ผมแนะนำนะ คือความเครียดเนี่ย มันไม่ได้มาถึงแล้วเกิดเลย แต่ความเครียดเกิดจากการที่เราคิดไม่หยุด ดังนั้นเราต้องมีสติรู้ตัวเพื่อไปเห็นความคิดในชั้นต้น ในชั้นต้นคือเมื่อความคิดเกิด ก่อนที่เราจะคิดวนไปวนมา สำไปสำมาหลายๆรอบ ไม่รู้จะจบจากสิ้นตรงนี้ เราต้องตัดวงจรตรงนี้ให้ได้ก่อน ไม่งั้นมันจะพัฒนาไปเป็นความเครียด ความกังวล สิ่งที่สามารถช่วยได้คือผมเชื่อนะ ในชีวิตที่ผมทำมาเนอะ สิ่งที่ผมใช้แล้วค่อนข้างได้ผลดีนะคือ เราปฏิเสธไม่ได้หรอก ร่างกายที่ดีทำให้สภาพจิตใจดี พักผ่อนให้เพียงพอ อันดับแรกนะ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่านอนดึก นอนให้ได้สัก 7-8 ชั่วโมง อย่านอนดึก ทานอาหารที่โอเคหน่อย ให้ร่างกายมันไม่เกิดอาการอ่อนเพลียทั้งวัน สภาพจิตใจเหวี่ยงวี ซึ่งน้ำตาลก็มีผล เวลาเคี้ยเราจะกินน้ำตาลเยอะ เรื่องอาหารตรงนี้ถ้าปรับได้ปรับดื่มน้ำเยอะๆ แล้วก็ถ้าช่วยได้ ออกกำลังกายให้พอเหงื่อออก แล้วก็เวลาเหงื่อออกแล้ว ร่างกายจะหลังสาหรันความสวยออกมานะครับ แล้วก็การฝึก สุดท้ายในเรื่องของการฝึกเนี่ย การทักอารมณ์เนี่ยสําคัญมาก ถ้าเราทักอารมณ์ตั้งแต่เริ่มต้นนะว่า ให้เราเห็นความคิดอ่ะ ทักอารมณ์ไปเลยว่านี่คือความคิด ความคิดกําลังเกิดขึ้นกับจิต จิตกําลังเกิดความคิด ความคิดกําลังปรุงแต่งจิต จิตกําลังถูกความคิดปรุงแต่ง เมื่อเรารู้แล้วว่ามันมีสิ่งที่มาปรุงแต่งคือความคิดเนี่ย มันเข้ามาปรุงแต่งจิตเนี่ย แล้วจิตกําลังจะหลงไปในความคิดเนี่ย เราทักอารมณ์เพื่อที่ให้ เอ่อ จิตไม่หลงไปอยู่ในความคิดนั้น แล้วพอออกมา มันจะไม่พัฒนาเป็นความเครียดครับ ต้องฝึก แล้วเมื่อไหร่ที่เริ่มเครียด เปลี่ยนอิริยาบท อย่าอยู่เฉยครับ กระโดดก็ได้ หัวเลาะก็ได้ เต้นก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ให้ส่วนทางกับสิ่งที่เราอยากทำ เป็นการหลอกสมอง คือเวลาเราเครียด สมอง ร่างกายเราจะมีกลไกตอบรับกับความเครียดอยู่ พอร่างกายเรามีการต่อเลิกจากความเครียดอยู่ เวลาเราเครียด ร่างกายจะเป็นยังไง หายใจสั้น ถี่ มือสั่น หายใจไม่ออก ถูกไหม แล้วก็รู้สึกแบบปวดหัว รู้สึกแบบตัวห่อ ถูกไหม รู้สึกแบบหัวใจเต้นเร็ว ถูกไหม ดังนั้นเราจะแก้ตรงนี้ได้ยังไง อันดับแรกนะ เวลาเราเครียดตัวเราห่อใช่ไหม เราก็แก้ด้วยการยืดออกมา เรามองดินใช่ไหม เรามองฟ้า เดินอย่างนี้ดู มองฟ้า แล้วก็ออกไปขยับร่างกาย อยู่ที่เฉยใช่ไหม ออกไปขยับร่างกาย เราอยากอยู่ที่มืดๆใช่มั้ย เปิดไฟให้สว่าง เราอยากอยู่เฉยๆใช่มั้ย ไปออกกำลังกาย ไปเดินเล่น อะไรอย่างเนี้ย แล้วเดี๋ยวจะค่อยๆดีขึ้นครับ ก็ต้องทำไปในหลายๆทางอะ เออ ทำนั้นๆด้วย ทำอันนี้ด้วย แล้วก็ดูแลในหลายๆด้าน มันจะได้ดีขึ้น พร้อมๆ ดีขึ้นแบบส่งเสริมกันนะครับ เคยอะ พี่คนนี้เขามาแนะนำเนอะ แล้วก็แชร์เรื่องการทักอารมณ์อะ เขาบอกว่า เคยทักอารมณ์ กำลังจะเศร้า ความเศร้าหยุดทันทีค่ะ ขอบคุณนะครับที่มาแชร์หลักฐานนะครับ เห็นไหมว่าการทักอารมณ์เนี่ย เวลาเศร้าก็หยุดเศร้าได้ทันทีนะ แล้วมีพี่ที่เขาทำได้มาแล้วมาแชร์ด้วย อันนี้ผมก็อยากจะบอกว่ายืนยันว่าเป็นความจริงนะครับ การทักจิตเป็นการปรุงแต่งอีกทีไหมคะ คือเราไม่ได้ปรุงแต่งต่อจากสิ่งที่ปรุงแต่งอยู่ ฟังดีๆนะ เดี๋ยวอธิบายแล้วจะงง คือการทักจิตเนี่ยไม่ใช่การปรุงแต่ง คือเป็นการเรียกสติให้กับจิต ให้จิตได้เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง อ่า นะครับ ดังนั้นการทักจิตถือเป็นการปรุงแต่งไหม จริงๆ อ่ะ สติอ่ะ ก็เป็นธรรมชาติปรุงแต่งจิตอีกทีนึง แต่ว่าไม่ต้องไปสนใจตรงนี้นะ เพราะว่าสติที่เราไปไปสติ จิตที่มีสติเนี่ย ก็เป็นจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยสติอีกทีนึง แต่ถามว่า มันเป็นการ เรียกว่าไงอ่ะ เรียกว่า การทักจิตเป็นการปรุงแต่งอีกทีไหม คือเราไม่ได้ปรุงแต่งต่อจากเรื่องเดิมแล้วกัน มันเป็นการทำความรู้ความเข้าใจให้กับจิตนะครับ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีและจิตจะถอนออกมาจากการปรุงแต่งนั้น ทักอารมณ์ดีมากๆ ค่ะ ทำตามพระอาจารย์ต้นมานานแล้ว อ่าโอเค ขอบคุณครับ ฟังนี้ได้คำตอบไหมครับ ในห้องสมาธิถ้าได้คำตอบบอกหน่อยนะ เข้าใจ พิมพ์เข้าใจหน่อยนะครับ โอเค เดี๋ยวมาตรงนี้ ขอบคุณมากๆ ค่ะ แบ่งปันความรู้และความแนะนำดีๆ ยินดีครับ นี่เดี๋ยวอ่านก่อนนะครับ เข้าใจ โอเค เข้าใจ ก่อนนั่งสมาธิตั้งใจว่า อึ้ย เดี๋ยวนะ อ่ะ หนังสือแนะนำ โอเคๆ สวัสดีค่ะ คุณก๊อบ ขออนุญาตสอบถามค่ะ ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ภายในวัน แล้วก่อนนอนนั่งสมาธิจะบาปไหมคะ ขอบคุณค่ะ ไม่บาปนะครับ แยกออกจากกันก่อนนะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดคือ การรักษาศีลเนี่ย ศีลทั้ง 5 ข้อเนี่ย การที่จะได้กุศลจากการรักษาศีลคือ คืออะไรครับ คือการตั้งใจงดเว้นนะครับ แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้มีจตนาที่จะงดเว้น สิ่งนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ แล้วก็การทําสมาธิ แม้จะดื่มเหล้าอยู่แล้วทําสมาธิก็ไม่บาดนะครับ เนอะ ไม่ได้เกี่ยวกันว่าจะดื่มไม่ดื่มนะครับ คนละส่วนกันนะครับ แต่ถ้าเกิดว่าเราดื่มแล้ว เราไปสร้างสิ่งที่ไม่ดี ความเดือดร้อนหรือคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทําไม่ดี อันนั้นอีกเรื่องนะครับ เนอะ ก่อนนั้นสมาธิตั้งใจว่าจะนับจําวนครั้ง การท่องพลักษณะตายให้ต่อเนื่อง แต่พอนั่งสมาธิไปสักระยะหนึ่งก็จะลืมนับ แล้วกลับมานับใหม่ แสดงว่าสมาธิมีน้อยใช่ไหมคะ เรียกว่าสติแล้วกัน สติอาจจะไม่ได้อยู่ระลึกอยู่กับสิ่งที่เราทำอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องปกตินะ เดี๋ยวพอทำไปเรื่อยๆ ความตั้งมั่นจะค่อยๆ เกิดขึ้นตามระยะเวลาเอง เหมือนกับวันนี้เราไม่เคยให้สิ่งนี้กับจิตเลย เราไม่เคยให้ฝึกจิตฝึกสติเลย จิตก็ไม่มีสติ ดังนั้นการที่เราจะเริ่มให้จิตมีสติก็เหมือนเราพาจิตไปออกกำลังกาย เราออกกำลังกายปุ๊บมันไม่ได้กล้ามขึ้นตั้งแต่วันแรกถูกไหม ต้องค่อยๆขึ้นค่อยๆใหญ่ แล้วเดี๋ยวค่อยๆดีขึ้น วันหนึ่งดีขึ้นปุ๊บสติอยู่ด้วยตัวของเขาเอง แม้ไม่ได้ตั้งใจก็จะระลึกได้เอง มีได้เอง รู้ได้เอง อาศัยความเพียรเท่านั้นครับ จะค่อยๆดีขึ้น ที่มาของคำว่าจิตเดิมแท้มาจากไหนคะ ถ้าเข้าถึงนิป...

พาแล้วก็ไม่ต้องมาเกิดอีกแล้วใช่ไหมคะ หรือไปๆมาๆได้ไหมคะ คุณก๊อกช่วยเล่าที่หม่าของจิตเดิมแท้มาจากไหนหน่อยคะ โอ้โหอันนี้จะยาวยืดเลยนะครับ ถ้าผมพูดเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้คุย ก็อดที่จะตอบเพื่อนๆไม่ได้นะครับ งานหนักเครียดมากเลยกองทิ้งไว้เหมือนพยายามทิ้งทุกว์ไว้พอเคลียร์งานให้จบ ก็ไม่มีสมาธิอยากทำ ทำไงดีคะ คือ...เดี๋ยวผมมาตอบนี้ งานหนักเครียดมากเลย กองทิ้งไว้ เหมือนพยายามทิ้งถูกไว้ พอจะเคลียร์ให้จบ ก็ไม่มีสมาธิอยากทำ ทำไงดีคะ เข้าใจครับ ก็คือเป็นสภาวะแบบ มันมีความอากุศลน่ะ ความคิดอากุศลต่างๆ มันปรุงแต่งจิตอยู่ คือ... สิ่งที่เราเป็นมาตลอดมันกำลังปรุงแต่งจิตเราให้เป็นแบบนั้น ให้เศร้า มอง ให้ขี้เกียจ ให้เกิดความรู้สึกไม่ดีอะไรต่างๆ ดังนั้นสิ่งที่เราสามารถทำได้คือวันนี้ต้องไหว้ถวนน้ำครับ วันนี้เราไหว้ตามน้ำแล้วก็เป็นแบบเดิม สิ่งที่เราสามารถทำได้คือวันนี้ต้องไหว้ถวนน้ำ คือเราต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติหรือทำอะไรบางอย่างกับตัวเองครับ ผมเคยแบบแชร์เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองใน 3 เดือนเนอะในแอปสีแดง ลองเข้าไปดูครับ คือกลไกของการเปลี่ยนแปลงตัวเองอ่ะ วันนี้ มันไม่ได้แบบว่าอยู่ดีๆ แล้วจิตจะปฏิวัติตัวเองไปไปไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าอะไรที่เราสังสมไปแล้วเราไม่ได้ให้เหตุใหม่ มันไม่มีทางที่จะได้รับผลลัพธ์ใหม่ เราอยากได้รับผลลัพธ์ใหม่เราต้องใส่เหตุใหม่ ใส่เหตุใหม่คือวันนี้เราต้องมาตัดสินใจเลย ว่าเราจะเอายังไงกับชีวิต เราจะเอายังไงกับชีวิตคือเราจะเป็นแบบนี้ต่อไป เราแบบนี้โอเค เราจะทำแบบนี้ต่อไปแล้วเราก็โอเคไหม ถ้าเรารู้สึกว่าเฮ้ยไม่ไหวแล้วไม่ชอบตัวเองแบบนี้ไม่มีความสุขเลย อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียที ตัดสินใจครับ แล้วลุกขึ้นมา แล้วก็ทำความเข้าใจว่าวันนี้ มันจะไม่ได้สำเร็จแต่วันแรก เราเริ่มทำความสำเร็จให้เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย นะครับ ให้จิตได้เกิดการเรียนรู้ เกิดความเชื่อมั่น เกิดความมั่นใจและเกิดความศรัทธาในตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเกิดความ ความรู้สึกดีกับตัวเอง และเกิดความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่เราทำแล้วมันไม่ได้เลย หรือเราไม่อยากทำเลย มันจะเกิดความแอคทีฟมากขึ้น และเราจะมีความรู้สึกอยากจะทำมากขึ้น เพราะเรารู้สึกว่าเราอยากพิสูจน์ตัวเอง หรือเรียกว่าตัวอย่างเช่น เราเป็นคนที่พยายามกลับมารักษาสัญญากับตัวเองให้ได้มากขึ้น คืออย่างไรไม่รู้ เราพูดแล้วเราจะทำให้ได้ เราแค่ดำเนินตามการที่ทำให้ได้ เหมือนคนออกอลังกาย ขี้เกียจแค่ไหนก็ต้องออก ถามว่าเขาอยากทำไหม เขาไม่ได้อยากทำหรอก แต่เขาทำเพราะแหละ เขาพูดไว้แล้ว และเขาไม่อยากผิดสัญญากับตัวเอง นั่นแหละ จริงๆ มันง่ายๆ แค่นั้นนะครับ แต่เราต้องทำออกมาในวิธีใดวิธีหนึ่งนะครับ ให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้ ก็ถ้าจะให้แนะนำเลยว่าจะทำยังไงก็คือเราต้องสร้างวินัยมาก่อน ถ้าเราไม่สร้างวินัย เราทำอะไรมันก็สำเร็จยากครับ เหนื่อยวันนี้ทำเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน ให้มันเกิดความเปลี่ยนแปลงในใจอะไรบางอย่าง แล้วเดิมสุดท้ายเนี่ย พอเริ่มทำสำเร็จนะ ในเรื่อง นึง วินัยพอสร้างสำเร็จปุ๊บ เดี๋ยวเขาทำงานของเขาเอง เราจะไม่ต้องเหนื่อยทำอีกนะครับ โอเค ยังอยู่มั้ยครับ เดี๋ยวนะครับ คุณมมม นี่ยังอยู่มั้ยครับ ที่มาของคำว่าจิตเดิมแท้นะครับ ยังอยู่มั้ย ผมขออนุญาต คุยเรื่องนี้เลยดีมั้ย มันจะยาวนะ ยาวไหม เดี๋ยวพยายามพูดให้สั้นหน่อยละกัน คือ จริงๆ มันมีความเห็นมาในสองรูปแบบ บ้างก็เชื่อว่าจิตเดิมแท้เนี่ยมีอยู่จริง แต่ในทางของสิ่งที่พระอาจารย์ต้นท่านบอกว่าจิตเดิมแท้เนี่ยไม่ได้มีอยู่จริง ทีนี้จะมาอธิบายนะ จะมาอธิบายว่าทำไมจิตเดิมแท้ไม่ได้มีอยู่จริงแล้วก็ สิ่งที่ผมเข้าใจเนี่ย คือแต่ก่อนเนี่ย ก่อนที่ผมจะมาฝึกในแนวทางพระจันต้นเนี่ย ผมก็เข้าใจว่าจริงๆ แล้วตัวเราเนี่ย มีจิต จิตวิญญาณเนี่ย ที่แบบว่าติดตัวเรามาตั้งแต่ ตั้งแต่แบบเราเกิดมาในชาติแรก หรือชาติไหน ก็วนเวียนในสังสารวัฒน์นี้ เก็บข้อมูลต่างๆ นานามาใช่ไหมครับ แล้วก็อย่างมาเป็นเราในทุกวันเนี่ย เราก็จะมีจิต จิตของเราถูกไหม อืม ทีเนี่ย ในความเชื่อตรงเนี่ย ก็จะเชื่อว่าเมื่อตายไปเนี่ย จิตไม่ได้ไปไหน จิตก็คือเคลื่อนย้ายไปสู่ ร่างกายใหม่ เสื้อผ้าใหม่ พัฒนะใหม่ เหมือนเปลี่ยนร่างเฉยๆ ถามว่าจริงๆความคิดแบบนี้ มันกับการที่มองว่าจิตเดิมแท้ไม่ได้มีอยู่ สำหรับผมนะ ผมมองว่าความแตกต่างมันก็ไม่ได้มากอะไร เพราะว่าสุดท้ายไม่ว่าจะมีจิตเดิมแท้หรือไม่มีจิตเดิมแท้ ต้องอธิบายก่อนว่าการที่ไม่มีจิตเดิมแท้ก็คือ ตามความคติของทางพุทธนะนะ แต่ไม่รู้ว่าเห็นในทางพุทธบางทีก็ยังอธิบายมาคนละแบบ แต่ว่าผมต้องบอกก่อนนะว่าผมไม่ได้รู้เรื่องนี้นะ แต่ว่าผมฟังมาจากที่พระจันตนท่านบอก แล้วก็พยายามจะวิเคราะห์ว่าความจริงคือสิ่งไหน แล้วก็ถ้าถูกผิดยังไงอันนี้ขออภัยด้วยนะครับ คือตามทฤษฎีที่ว่าจิตเดิมแท้ไม่ได้มีอยู่จริง เรามองว่าอย่างไร เรามองว่าจริงๆแล้วจิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้คือสิ่งที่จริงไหม ถ้าเรามองว่าจริงๆ แล้วเนี่ย กฎไตรรักษ์ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน เป็นสัจธรรม ทุกสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ไม่มีสิ่งไหนอยู่ยั้งยืนยงและคงทนถาวรแบบนั้นอยู่อย่างนั้น คงสภาพอยู่อย่างนั้นไม่มีจริง ถ้าเราไปตามเรื่องของกำเนิดแม้แต่จักรวาล จักรวาลก็ก่อกำเนิดมาจากความการที่ไม่มีอยู่มาก่อน กำเนิดเกิดขึ้นแล้วก็แตกสลายแล้วก็กำเนิดขึ้นมาใหม่ วนเวียนอยู่แบบนี้ ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ ดังนั้นเนี่ย การที่เราจะบอกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนึง คือเรื่องกฎไตรรักษ์ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ดังนั้นการที่มีจิตที่แบบอยู่กับเรามาตลอด โดยไม่เกิดไม่ดับ แล้วก็เกิดการย้ายตรงนี้ไป ก็ถือว่าไม่ได้ตรงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนก็คือจิตเกิดดับ ทีนี้ถามว่าอะไรที่ทำให้เรารู้ว่าจิตเกิดดับตลอดเวลา ก็อย่างที่บอกคือจิตของเรา ที่สมมติว่าเป็นของเรา คือไม่ได้แบบว่าอยู่ดีๆเกิดมา แล้วคือเรียกว่าไง จิตรวบรวมคือจิตมีคลาวด์แล้วกัน ยกตัวอย่างเช่น จิตของเราก็จะมีคลาวด์ มีคลาวด์เซิร์ฟเบอร์อยู่นะ มีข้อมูลอยู่แล้วกัน เวลาที่ยกตัวอย่างเช่น ตากระทบรูปก็คือตัววิญญาณ ตาไปเห็นภาพถูกไหม ตาไปเห็นภาพเสร็จปุ๊บ อะไรล่ะ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนี้ เกิดความจำได้แบบนี้ เกิดความคิดแบบนี้ และเกิดการรับรู้ทางใจแบบนี้ ก็คือดึงข้อมูลใน Cloud นี้มาแหละ ถูกปะ Cloud ตรงนี้มีข้อมูลอยู่ จิตก็จะเกิดขึ้นมา แล้วก็รับอารมณ์นี้ 1 ครั้ง พอรับอารมณ์นี้ 1 ครั้งปุ๊บก็ดับ พอดับเสร็จปุ๊บ จิตก็ดับไปแล้วไง แล้วรอการกระทบครั้งใหม่ รอการเกิดครั้งใหม่ ก็เกิดขึ้นมา แต่เกิดมาจากการอิงอาศัยเหตุ ในเหตุในอดีตก็คือเกิดมาจากการมีเหตุและข้อมูลเก่าๆตรงเนี่ยเกิดขึ้นมารับแล้วพอหมดหมดหมดวาระก็ดับลงเป็นแบบนี้ตลอดแม้กระทั่งถึงบอกไว้ว่าอย่างที่พระจันตนท่านสอน่ะคือนั่นหมายถึงว่าจริงๆแล้วเนี่ยอย่างร่างกายของเราก็ดีนะถ้าเรามองในระดับของเซลล์จริงๆ เซลล์เราเกิดตายตลอดนะ มีเกิดแล้วก็มีดับ มีเกิดแล้วก็มีดับ อย่างผมดูผมเนี่ยง่ายสุดเลย ผมบนบนศีรษะเราเนี่ย คือผัดตลอดถูกไหม ในเซลล์ร่างกายเราก็ผัดตลอด แต่มันมันผัดจนแบบว่าเรามองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบ เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบครั้งใหญ่ไง มันค่อยค่อยเปลี่ยนถูกไหม จิตก็เหมือนกันเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ แต่ว่าพอดับปุ๊บ คือพอมีเหตุไหมอะ อย่างเช่น ไปเจอนั่นเจอนี่ มันก็เกิดขึ้นมาใหม่ แล้วก็เกิดมาพร้อมกับระบบของขันที่เข้ามา เกิดขึ้นกับจิต ปรุงแต่งจิต แล้วก็รับอารมณ์ต่อไป เกิดความคิดต่อไป เกิดการรับรู้ต่อไป แล้วก็ดับลง เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่เราจากโลกนี้ไปเลย ดังนั้นเวลาที่เราจากโลกนี้ไป จิตที่อยู่ในกายเราในวาราสุดท้าย ก็จะดับลง แต่ดับปุ๊บก็เหมือนเดิม คือดับปุ๊บก็เกิดขึ้นใหม่ทันที คือในทางพุทธก็เลยเชื่อว่าเราเกิด เราตายแล้วเราเกิดทันทีนะครับ อย่างการที่เราเห็นตามความเชื่อว่ามีแบบสัมภเวษี หรืออะไรอย่างนี้ ว่าตามบ้านตามอะไรอย่างนี้ หรือคนที่แบบว่า คนในครอบครัวตายแล้วก็ยังมาเจออะไรอย่างนี้ ก็มีอยู่สองประเด็น ประเด็นแรกคือคิดไปเอง กับสองคือ เขาเกิดแล้ว คือเขาดับแล้วเขาเกิดแล้ว เกิดแต่เกิดอยู่ในสภาวะที่เราเห็นนั่นแหละ พอนึกออกใช่ไหมครับ ดังนั้นทางพุทธเชื่อว่าจิตเนี่ย เกิดแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลานะครับ แต่พอดับแล้วตอนเกิดมันอิงอาศัยเหตุเดิมในการดับ นึกออกมั้ย ก็เหมือนดึงข้อมูลจากคราวมา แล้วก็เกิดขึ้นมาแล้วก็รับใหม่แล้วก็ดับอีก ถ้าเป็นแบบเนี่ยคือเลยเท่ากับหลักของที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ยอยู่ตามในกฎของไตรรักษ์นะครับ ว่าไม่มีจิตดวงไหนที่อยู่ยั้งยืนยงแบบนั้นตลอดมาอะไรอย่างเงี้ย แล้วก็จะเกิดอาการตรงนี้เกิดดับๆ ทีนี้คำว่านิพพานิพพานก็คือจิตเนี่ย เวลาเราจะไปนิพพานสิ่งที่เราต้องตัดเป็นอันดับแรกคือเราต้องตัดอวิชาก่อน เราต้องตัดความไม่รู้ก่อนความไม่รู้ในอะไรความไม่รู้ในขันห้า ความไม่รู้ในขันห้าว่าขันห้าเป็นตน ขันห้าเป็นตนคืออะไรรูปนี้กายนี้คือเราอันนี้คืออวิชาว่าจิตนี้คือจิตที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตเนี่ยคือเราความคิดนี้คือเรา ความจำนี่คือเรา การรับรู้ตาเห็นเป็นสิ่งที่เราเห็น แล้วก็สิ่งที่เรารู้สึกเป็นเรา การที่เรารู้แบบนี้ว่าเป็นเรา มันคืออวิชา ดังนั้นถ้าเกิดเราอยากจะไปนิพพานศ์ถูกไหม สิ่งที่เราต้องทำก็คือต้องมีสมาธิธิ ก็คือต้องเห็นก่อนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรา แล้วก็เอาสิ่งที่รู้ว่าไม่ใช่เรา ความเป็นจิตไม่ใช่เรา ความเป็นกายไม่ใช่เรา เพื่อใส่ข้อมูลและใส่ความรู้ให้กับจิต เพราะจิตเกิดความเข้าใจ จิตจะเข้าไป เขาเรียกว่า ประหารกิเลน่ะ เข้าไปตัดความอยากที่เกิดขึ้นมากับความทุกข์ เข้าไปตัดว่า ให้จิตได้รับรู้ว่า เฮ้ย สิ่งที่เกิดขึ้นมาความทุกข์เนี่ยไม่ใช่เรา มันเป็นระบบของขันที่มาปรุงแต่ง หรืออะไรอย่างนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเข้ามาปรุงแต่งจิตอีกทีนึง ให้เกิดความรู้ว่า เฮ้ย สิ่งที่เข้ามาเนี่ย มันเกิดขึ้นมาเองเนี่ยไม่ใช่เรา อันนี้คืออธิบายแบบ เข้าใจง่ายๆนะ แต่ว่าจริงๆมันก็มีรายละเอียดแหละ อันนี้คือสิ่งที่ผมเข้าใจ คือพอทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆอะ จิตก็จะเกิดลักษณะของ การไม่ไปใช้ความอยากหรือสร้างสมุทัยคือเหตุใหม่ของทุกข์ในครั้งต่อไป ก็จะดับพบดับชาติลง ก็จะตัดกิเลสลง ทำลายอาสาวะ กิเลส อนุสัย ราคาปฏิคาต่างๆ ที่มันสั่งสมอยู่ในข้อมูลในดวงจิตเรา ที่ทำให้เราเกิดความชอบนั่นไม่ชอบนี่ เกลียดนั่นไม่เอานี่ รู้สึกอิจฉาคนนั้น เป็นคนโกรธคนนี้ เป็นคนฮีโร่แบบนั้นแบบนี้ คือเข้าไปจัดการตรงนี้ พอจัดการถึงจุดนึง พอมันประหารจนหมดซิ้นแล้ว มันเขาเรียกว่า ยกตัวอย่างเช่น ผมชอบคำนี้มากเนี่ย ไม่รู้จะเข้าใจไหมลองดู คือถามว่าไฟอ่ะ ไฟตรงเนี่ยมีอยู่ไหม คนก็บอกว่าไม่มีถูกไหม แต่พอเราเอาไฟแช็คมาจุดอ่ะ มันมีไฟขึ้นมาใช่ไหม ดังนั้นกิเลสอ่ะ อวิชาเนี่ยที่ทำให้เกิดตรงนี้มาเนี่ย อวิชาเนี่ย คือ เชื้อ เชื้อไฟ เมื่อเราดับอวิชาคือเราดับเชื้อไฟ เมื่อเชื้อไฟไม่เหลือ ไฟยอมไม่ติด เมื่อไฟไม่ติด นั่นคือดับ ดับตลอดกาล พอเข้าใจไหม คือพอดับเสร็จปุ๊บ ไปนิพพานก็ไม่ต้องมาแล้ว แล้วก็ไปๆมาๆไม่ได้แล้ว เพราะว่า ดับไปแล้ว ไม่สามารถ คือไม่เลือกแล้ว ไม่มีดับ ไม่มีเกิด ไม่มีอะไร อยู่ในสภาวะที่ ไม่ต้องเป็นไว้แต่เกิดอีก เขาเรียกว่า จบเกมอะ ถ้าเรามองว่าชีวิตที่เราเกิดมาเป็นเกมถูกมั้ย เป็นเกมของความไม่รู้ ความจริง หรืออะไรก็แล้วแต่ การที่เราเข้าไป อยู่ในตรงนี้ก็คือเหมือนเราเล่นเกมนี้จบสมบูรณ์แล้ว นะครับ ก็ไม่ต้องกลับมาเล่นอีก ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก มาเกิดอีก มาแก่อีก มาเจ็บอีก มาตายอีก อะไรอย่างนี้ครับ เข้าใจไหมครับ ถ้าติดตรงไหนผิดตรงไหน หรือมีผู้รู้ท่านไหนที่เข้าใจตรงนี้ก็สามารถแย้งได้นะครับ อันนี้คือ ต้องบอกเลยว่าเป็นความเข้าใจส่วนตัวนะครับ แล้วสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเชื่อว่า จิตเดิมแท้มีจริงหรือไม่มีจริงเนอะ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน มันไม่ได้ทำให้ความการปฏิบัติมันเปลี่ยนไป แต่แค่เป็นทฤษฎีแล้วกัน เพราะสุดท้ายเราเชื่อว่าจิตเดิมแท้มี เราก็ต้องปฏิบัติอย่างนี้แหละถูกไหม ก็ต้องปฏิบัติให้รู้ว่าจิตนี้ไม่ใช่เราอยู่ดี ผมจะบอกว่า ก็ฟังเป็นเรื่องเล่าแล้วกัน มันก็ไม่ได้มี สําหรับผมมันไม่ ไม่ ไม่ ไม่ได้เป็นประเด็น เป็นประเด็นอะไรลักษณะนั้น แต่ถามว่า ถ้าเราปฏิบัติจริงจริงเราก็จะรู้ว่าจิตเกิดดับอ่ะ อืม มันจะมีช่วงที่แบบ จิตนี้ไม่ได้เสพอารมณ์ มีว่าง เนี่ย ไม่ได้มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็คือช่วงนี้จิตดับ อืม นะครับ แต่เพราะมันมีเชื้ออยู่ไง เชื้อก็คือว่าพอมีเชื้ออยู่ มีเชื้อไฟอยู่ มันก็รอผุดขึ้นมา รอเกิดขึ้นมา แต่ถ้าเราดับเชื้อไฟ ดับอวิชาจนหมดสิ้น ไม่เหลือเชื้อแล้วก็เหมือนไฟแช็ค ไม่มีน้ำมันอะ จุดเท่าไรก็ไม่ติดแล้ว นั่นแหละ สําหรับผมนะ ก็คือ แหละสภาวะนิพพาน เหมือนไม่มีเชื้ออีกแล้ว จุดเท่าไรก็ไม่ติดแล้ว เข้าใจไหมครับ พี่มัมมเข้าใจไหมครับ เข้าใจไหมครับ จบนะครับ จบไหม จบแหละ ก็ฟังสนุกๆนะครับ ไม่ต้องจริงจังมาก โอเคไหมครับพี่ เข้าใจไหมครับ เข้าใจเสร็จผมจะได้ลงแล้วนะ ถ้าพี่เข้าใจ พี่พีมเข้าใจหน่อยนะครับ หรือถ้าติดตรงไหน อยากรู้ตรงไหน ก็สอบถามมาเพิ่มเติมครับ น่าจะไปแล้วเนาะ โอเค งั้นก็โอเคเข้าใจ ขอบคุณนะครับ ก็วันนี้ประมาณนี้นะครับ พอบังคล ขอบคุณทุกคนมากๆนะครับ ที่มาติดตามกันในวันนี้นะครับ ก็เดี๋ยววัน วันไหนดี วันพรุ่งนี้พบกันนะครับ อาทิตย์นี้ก็ จันทร์ นางคาร พุทธภูมิลิฮัตรนะครับ ถ้าไม่ติดอะไรได้เจอกันแน่นอนนะครับ วันนี้ขอบคุณทุกคนมากๆครับ