ถ้าเข้าใจองค์ประกอบเหล่านั้นและเข้าใจความสัมพันธ์ขององค์ประกอบเหล่านั้นแล้วเรารู้ว่าวิธีสอนมันอยู่ตรงจุดไหนขององค์ประกอบเหล่านั้นอันนี้ถึงจะช่วยให้ท่านสามารถที่จะไปออกแบบและก็บอกได้ว่า แผนนี้ของฉันนะ ฉันใช้วิธีสอนวิธีนี้นะฉันใช้หลักการสอนแบบนี้นะ หรือฉันใช้กระบวนการสอนอย่างนี้นะแล้วเทคนิคการสอนของ��ันอยู่ตรงไหนคือถ้าไม่เห็นภาพรวมตรงนี้ มันจะใช้วิธีสอนที่เหมาะสมได้ ลำบากนะคะ สวัสดีคุณครูและท่านที่สนใจทุกท่านนะคะที่ได้เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ค่ะก็หัวข้อที่ดิฉันได้รับเชิญให้มาบรรยายในวันนี้นะคะก็เป็นเรื่องที่ คิดว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณครูโดยเฉพาะเลยแล้วก็เป็นเรื่องที่ก็กําลังอยู่ในความสนใจนะคะ เนื่องจากว่าเรามีเวลาประมาณ ชั่วโมงเสร็จๆ เป็นเวลาที่ไม่มากนัก ที่จะต้องพูดในเรื่องสำคัญๆ อย่างน้อย 3 เรื่องด้วยกันเดี๋ยวฉันก็คงจะขออนุญาตเข้าเรื่องเลยกันแล้วกัน เพื่อให้ทุกท่านได้รับฟังสาระความรู้อย่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในเวลาอันจำกัดเรื่องที่ได้รับเชิญวันนี้มีชื่อว่า การใช้วิธีสอนหลากหลายในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสู่สมรรถนะขอคุณครูและทุกท่านที่รับฟังอยู่สังเกตว่าในหัวข้อนี้มันมีคำสำคัญอยู่ 3 คำด้วยกัน คำแรกก็คือคำว่าวิธีสอนหลากหลายคำที่สองคือการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแล้วก็คำที่สามคือคำว่าสมรรถนะถ้าดูหัวข้อ พอแล้วตัวที่เป็นหลักที่จะต้องคุยวันนี้เป็นประเด็นหลักเลยก็คือเรื่องของการใช้วิธีสอนหลากหลายแต่ว่าการใช้วิธีสอนหลากหลายในที่นี้มันจะต้อง ใช้ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแล้วก็ต้องนำไปสู่เป้าหมายคือสมรรถนาของผู้เรียนฉันก็ตัวเอกจะเป็นเรื่องของวิถีสอนแต่ว่ายังไงเราก็จำเป็นที่จะต้องพูดถึงบริบทของการใช้วิถีสอนนั้นก็คือการจัดการเรียนรู้เชิงรุกแล้วก็เป้าหมายสมรรถนาของผู้เรียน ก็จะขอเริ่มจากข้างท้ายไปนะคะ คือคงจะต้องทำความเข้าใจเรื่องสมรรถนะก่อนว่าการที่เราจะสอนนะคะ แล้วก็ให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสมรรถนะเนี่ยมันก็เป็นอะไรนะคะ ก็เป็น คำสำคัญนะคะ สมรรถนะคืออะไรโอเค พูดอย่างง่ายๆที่สุดเลยนะคะ ก็คือว่าเวลาที่คุณครูสอนนะคะคุณครูก็สอนให้ความรู้นะคะ ช่วยฝึกทักษะแล้วก็ปลูกฝังเจตกติ ทักษะต่างๆให้แก่ผู้เรียน ผู้เรียนจะมีความรู้มีทักษะมีเจตคติตามที่คุณครูต้องการ แต่ว่าก็ไม่เสมอไปที่ผู้เรียนจะสามารถ สามารถนำเอาสิ่งที่คุณครูสอนนั้นไปใช้งานได้จริงจึงทำให้เป็นปัญหาที่เราพบกันทุกวันนี้ว่าผู้เรียนก็อาจจะสอบได้แต่ว่าก็ทำอะไรไม่ค่อยเป็นแล้วก็อาจจะไม่ได้มีคุณลักษณะอย่างที่เราพึงประสงค์มากนักทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่าการเรียนการสอนของเรามันยังไปไม่ถึงสมรรถนาถ้าอาจจะให้ผู้เรียนการสอนของเรา พูดเรียนเกิดสมรรถนะเนี่ย ผู้เรียนจะต้องสามารถที่จะนำเอาKSA เหล่านี้นะคะ ไปใช้ในงานในการทำงานจริงๆเอาไปใช้ในการเผชิญสถานการณ์หรือปัญหา อุปสรรคต่างๆ และความท้าทายต่างๆ เขาจะต้องสามารถทำได้สำเร็จถ้าเขาทำได้สำเร็จ เขาก็จะเกิดสมรรถนะเพราะฉะนั้นจากหัวข้อ เราก็จะเห็นว่า เป้าหมายของการเรียนการสอนจะอยู่ที่ผู้เรียนเกิดสมรรถนะทีนี้พอคุณครูเข้าใจแล้วว่าสมรรถนะมันคืออะไร สิ่งที่อาจจะต้องเข้าใจต่อเนื่องก็คือ สมรรถนะมันก็มีหลายประเภทนะคะแต่ว่าประเภทที่สำคัญๆที่เราจะต้องช่วยพัฒนาผู้เรียนเนี่ยค่ะ ก็มี 2 ประเภทหลักๆประเภทที่ 1 เราเรียกว่าสมรรถนะหลักนะคะ สมรรถนะหลักเป็นสมรรถนะทั่วไปนะคะที่ใช้ได้กับเรื่องและก็สาระ ต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางเลยนะคะ คือเป็นความสามารถนะคะของการใช้กระบวนการต่างๆนะคะในการที่จะนำไปผสานกันกับเรื่องต่างๆ ที่เราเผชิญในชีวิตนะคะสมรรถนั้นหลักที่ใช้ได้โดยทั่วไปเนี่ย ก็มีเยอะแยะนะคะ ในร่างกรอบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานก็ได้กำหนดสมรรถนะหลักเอาไว้ 6 สมรรถนะทั่วไปมีสมรรถนะเรื่องการจัดการตนเอง สมรรถนะการคิด สมรรถนะการทำงานรวมพลังเป็นทีมมีสมรรถนะการสื่อสาร การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งแล้วก็รู้สึกกับการดูดสินค้า อยู่ร่วมกับธรรมชาติและวิทยาการอย่างยั่งยืนมี 6 สมรรถนะนี้นะคะถ้าผู้เรียนได้ 6 สมรรถนะนี้ผู้เรียนก็จะสามารถที่จะนำเอาความสามารถเหล่านั้นไปใช้ในการทำกิจการงานต่าง ๆไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างดีถ้าเขามีสมรรถนะที่อยู่ในระดับที่สูงพอนะคะอีกสมรรถนะนี้ หน้าหนึ่งเรียกว่าสมรรถนะเฉพาะนะคะ สมรรถนะเฉพาะนี่ก็คือเป็นสมรรถนะเฉพาะเรื่องนะคะเฉพาะวิชา เอ่อ เฉพาะสาระนะคะ ซึ่งเป็นความรู้ความเข้าใจในสาระวิชาอย่างที่เราเคยสอนอยู่เนี่ยนะคะ แต่ว่ามันจะต้องไม่ใช่แค่ได้เฉพาะ ksa ในเรื่องนั้นเท่านั้นแต่มันจะต้องสามารถนํา lksa ในเรื่องนั้นเนี่ย ไปใช้การใช้งานได้จริงนะคะ เพราะฉะนั้นสรุปก็คือว่าเป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนก็คือให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนาหลักและสมรรถนาเฉพาะได้ทั้งสมรรถนาทั่วไปและสมรรถนาที่จำเป็นเฉพาะเรื่องเพื่อที่จะเอาไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตและนี้เวลาที่เราสอน สมรรถนะหลักกับสมรรถนะเฉพาะเนี่ยค่ะ เราคงจะต้องสอนคือมันจะไปควบคู่กันนะคะเราจะใช้สมรรถนะหลักในการที่จะช่วยพัฒนาสมรรถ สมรรถนาเฉพาะให้ชัดเจน ให้เป็นที่เข้าใจดีขึ้นและให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในขณะเดียวกัน เมื่อเราฝึกฝนให้ผู้เรียนใช้สมรรถนั้นหลัก ไปพัฒนาสมรรถนะเฉพาะ ตัวสมรรถนะหลักเองก็จะเข้มแข็งขึ้นก็จะแข็งแกร่งขึ้นนะคะ เข้มแข็งขึ้นแล้วก็พัฒนานะคะได้มากขึ้นมากขึ้นเนี่ยตลอด ตลอดไปนะคะตอนนี้เวลาที่เราสอนเนี่ย เราจึงจำเป็นต้อง นำเอาสมรรถนะหลักกับสมรรถนะเฉพาะ มาประสานกันมาประสานกันแล้วก็เกิดเป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ซึ่งผลลัพธ์การเรียนรู้ตัวนี้ก็จะ เป็นเป้าหมายของการเรียนการสอนนะคะ ในเรื่องต่างๆต่อไปในสไลด์นี้ก็ได้ให้ตัวอย่างนะคะ เพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น อีกสักนิดหนึ่ง อย่างสมรรถนะหลักเนี่ยหากสมมติว่าสมรรถนะการคิดอย่างมีวิจารณญาณเนี่ยนะคะมันหมายถึงอะไร สมรรถนะการคิดอย่างมีวิจารณญาณการคิดอย่างมีวิจารณญาณนะคะ ก็คือสมรรถนะ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ วิภาเรื่องหรือประเด็นต่าง บนฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงและก็หลักฐานที่เชื่อถือได้และสามารถให้ข้อเสนอแนะที่เหมาะสมที่เกิดผลดีกว่าเดิมอันนี้เป็นคุณสมบัติของสมรรถนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณซึ่งเราก็จะต้องฝึกฝนผู้เรียนให้เกิดสมรรถนานี้ตอนนี้ เวลาที่เราจะพัฒนาสมรรถนานี้ เราก็จะสามารถพัฒนาได้ผ่านสมรรถนาเฉพาะคือเรื่องราวต่าง ของการเรียนรู้เราจะต้อง Integrate สมรรถนาหลักนี้เข้าสู่สมรรถนาเฉพาะยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าในสมรรถนาเฉพาะเราเรียนรู้เกี่ยวกับ ปัญหาชุมชน ในวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ปัญหาชุมชนเราก็อยากจะให้ผู้เรียนได้เข้าใจปัญหาชุมชน รู้รายละเอียดของปัญหาชุมชนวิเคราะห์ปัญหาชุมชน จนสามารถที่จะระบุปัญหาของชุมชน ที่ส่งผลกระทบต่อความสุขในการอยู่ร่วมกันและก็เสนอวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสม คุณครูมีเป้าหมายที่จะพัฒนาสมรรถนาหลักการคิดอย่างมีวิจารณญาณแล้วก็มีเป้าหมายที่จะพัฒนาสมรรถนาเฉพาะในเรื่องของปัญหาชุมชนสองอย่างนี้เมื่อประสานกันก็จะได้เป็นผลลัพธ์การเรียนรู้เพราะฉะนั้นผลลัพธ์การเรียนรู้ ก็จะมีลักษณะ ทํานองนี้นะคะ คือ ผู้เรียนจะต้องสามารถที่จะระบุปัญหาของชุมชนที่ส่งผลกระทบต่อความสุขในการอยู่ร่วมกัน และเสนอทางเลือกใหม่ในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม ได้ผลดีกว่าเดิม บนฐานของข้อมูลเหตุผลหลักฐานที่เชื่อถือได้ และความเหมาะสมกับบริบททางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเห็นไหมคะ คือทั้งสอง สองอย่างเนี่ยประสานเข้ามาอยู่ในผลลัพธ์การเรียนรู้ เพราะฉะนั้นจากผลลัพธ์การเรียนรู้อันนี้ก็จะเป็นเป้าหมายนะคะในการสอนของคุณครู คุณครูก็สามารถนําไปใช้นะคะ เป็นหลัก เป็นเรียกว่าเป็นเป้าหมายนะคะในการที่จะไปออกแบบแผนการสอน ออกแบบการเรียนการสอนเนี่ยต่อไปนะคะค่ะ ก็ในเรื่องของ ของสมรรถนะนะคะก็ขอเนื่องจากว่าไม่ใช่เป็นเรื่องหลักของการบรรยายในวันนี้นะคะก็จะขอพูดโดยคร่าวๆอย่างนี้เพื่อให้คุณครูเนี่ยมองเห็นภาพว่าในการที่จะใช้วิธีสอนนะคะแล้วก็ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกเนี่ยค่ะมันจะต้องนำไปสู่เป้าหมายคือสมรรถนะนะคะแล้วสมรรถนะคืออะไรอันนี้ก็ได้ชี้แจ่งแล้วนะคะค่ะแล้วก็ราวก็เห็น เราจะเห็นว่าถ้าเป้าหมายชัดเจนก็คือคุณครูก็มีก็จะต้องเรียกว่าคิดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ชัดเจนออกมานะคะซึ่งตรงนี้ก็จะนำไปใช้เป็นหลักในการออกแบบ การเรียนการสอนต่อไป ต่อไปนะคะ เราจะพูดถึงประเด็นที่สองประเด็นที่สองก็คือเรื่องของ อาการจัดการเรียนรู้เชิงรุกนะคะ ในเรื่องการจัดการเรียนรู้เชิงลุก จริงๆ เรื่องนี้ก็มีมานานพอสมควรแต่ว่าก็อาจจะมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกิดขึ้นบ้างอย่างเช่น เรามากจะถามกันว่า จัดการเรียนรู้เชิงลุกเป็นวิธีสอน วิธีสอนแบบนี้มันสอนแบบไหนเหรอ สอนยังไงเหรอนะคะถึงจะเป็นการจัดการเรียนรู้เชิงรู้ แล้วก็อยากให้บอกเป็นวิธีนะคะว่าบอกมาสิให้ทำยังไง 1 2 3 4 5 นะคะ วิธีจะดำเนินการเนี่ยทำยังไง 1 2 3 4 5 นะคะคือเมื่อเรามองเรื่องนี้ว่าเป็นวิธีเนี่ย มันจะหมายถึงวิธีเดียว แต่จริงๆแล้ว วิธีมันมีหลายวิธีแล้วก็คำว่า Active Learning นี้มันมีความกว้างคือมันไม่ใช่วิธีแต่มันเป็นหลักการในการจัดการเรียนรู้และหลักการในการจัดการเรียนรู้นี้มันจะต้องไปอาศัยวิธีการต่างๆเข้ามาช่วยเพราะฉะนั้นมันจะตอบไม่ได้ว่าวิธีสอนแบบ Active Learning คืออะไรบอกมาเลย 1 2 3 4 นะคะ ให้ทำยังไงมันบอกไม่ได้นะคะเพราะว่ามันเป็นหลักการมันไม่ใช่วิธีนะคะ แต่ถ้าเราดำเนินการตามหลักการนี้ แล้วเราเข้าใจหลักการนี้ เราก็จะไปแสวงหาวิธีต่างๆ 108 วิธีวิธีอะไรก็ได้ทั้งหมดเลย ถ้ามันตอบสนองต่อหลักการนั้นเพราะฉะนั้นอันนี้ก็จึงขอเรียนชี้แจงว่าการเรียนรู้เชิงรุกมันเป็นหลักในการเรียนรู้อ่า เป็นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ที่ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้รับความรู้คือคำว่า Active ก็จะคู่ๆ ไปกับคำว่า Passiveถ้าเรา Passive เราก็เฉยๆ แล้วแต่อะไรเข้ามาเราก็รับเข้ามาแต่คำว่า Active มันไม่ใช่ Passive อยู่เฉยๆ แต่มันจะต้องต้องตอบออกไปมี Action ออกไป มี Active ว่า Passive อาจจะเฉย แต่ Active ต้องกระชับกระเฉงกระตือรือร้นทำนองนั้นนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ยค่ะ ก็อาจจะอธิบายได้ธรรมนองนี้ว่าการเรียนรู้เชิงรุกมันเป็นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ไม่ใช่ Passive ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้รับเฉยๆผู้รับความรู้จากครูหรือผู้สอนเท่านั้นแต่จะต้องมีบทบาทเชิงรุกคือเป็นผู้ที่จะต้องจัดกระทำต่อสิ่งเราต่างๆที่เข้ามาซึ่งก็หมายถึงเรื่องที่เราเรียน เรียนเนี่ยมันมีสิ่งร้าวต่างต่างเข้ามาเขาต้องเป็นผู้จัดกระทํามีต่อต่อสิ่งนั้นแล้วก็ดําเนินการเรียนรู้อย่างตื่นตัวนะคะมันไม่ตื่นตัวนะก็นั่งนั่งอยู่สักพักหนึ่งเราก็จะรู้สึกเอ่อหงอยนะคะแล้วก็ง่วงมึนอะไรเงี้ยนะคะแต่ถ้านี่มันจะต้องกระชับกระเชงกระชุ่มกระชวยนะคะอะไรทําล่างนั้น เพราะฉะนั้นคำสำคัญก็คือคำว่า เขาจะต้องมีความตื่นตัวแล้วก็ไม่ได้ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาแล้วก็ลับเฉยๆมันต้องมีการโต้ตอบ มีการจัดกระทำต่อสิ่งที่เข้ามา มัน นะคะ ทีนี้การที่ในความคิดตรงนี้นะคะขอโทษค่ะ ทีนี้ที่เราพูดว่าตื่นตัวนะคะคำว่าตื่นตัวถามว่า อะไรตื่น นะคะ อะไรตื่น นะคะ เราก็เคยมีใช่ไหมคะ สมัยที่ Active Learning เข้ามาใหม่ๆนะคะคุณครูก็เข้าใจแล้วค่ะเพราะฉะนั้นก็บอกว่าไม่ได้ ให้นักเรียนฟังเฉย อะไรเฉย ๆไม่ได้ต้องให้นักเรียนได้เรียกว่ากระโดดโลดเต้น ได้มีร่องเพลง ได้อะไรให้มันสดชื่นรื่นรมนะคะแล้วก็ แล้วก็ มันเลื่อนไป โทษนะคะ เพราะฉะนั้นการตื่นตัว การตื่นตัวมันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีแล้วก็ถามว่าอะไรตื่นอย่างเช่นตอนคุณครูตอนเริ่มใหม่ คุณครูก็จะเข้าใจว่าต้องให้ผู้เรียนได้เรียกว่าเคลื่อนไหวใช้กิจกรรมให้สนุกสนาน รื่นรมอะไรตลายก็ปรากฏว่าเด็ก ก็ ก็รื่นรมกันใหญ่เลยนะคะ สนุกกันใหญ่เลยแต่พอศึกษานิเทศไปถึงก็บอกว่า มันยังไม่แอคทีฟเลยนี่ไงคุณครูก็งง ยังไม่แอคทีฟอีกเหรอเนี่ยได้กระโดดรถเต้นขนาดนี้ ได้ทำเคลื่อนไหวขนาดนี้เนี่ยมันยังไม่แอคทีฟอีกเหรอนะคะ คำตอบก็คือแอคทีฟค่ะแปลเป็นแอคทีฟทางด้านกายการเคลื่อนไหว ทางกายแล้วก็อาจจะมีแอคทีฟทางอารมณ์ก็คือได้สนุกสนานนะคะ แต่ว่าการเรียนรู้เนี่ยแอคทีฟทางกายสนุกสนานอย่างเดียวมันไม่เพียงพอเพราะว่าการเรียนรู้เนี่ยมันเป็นกระบวนการทางสมองนะคะ ถ้าสนุกสนานไปแต่ว่าไม่ได้คิดไม่ได้อะไรมันก็ไม่เกิดการ การเรียนรู้อะไร นะคะ เพราะฉะนั้น Active มันก็จะมีทั้งหมด 4 ด้านนะคะเพราะว่า 4 ด้านนี้เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเรียนรู้นะคะ มีด้านไหนบ้างอันที่ 1 นะคะ เราเรียกว่าการตื่นตัวทางกาย Physically Activeมี Action ทางกายนะคะ เพราะอะไร เพราะว่าการ ที่ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวร่างกาย ทํากิจกรรมต่างต่างที่หลากหลายนะคะแต่ต้องเหมาะสมกับวัยและความสนใจของผู้เรียนนะคะ มันจะช่วยให้ร่างกายกระปี้กระเป๋านะคะประสาทการรับรู้ตื่นตัว เมื่อประสาทการรับรู้ตื่นตัวความพร้อมที่จะรับความพร้อมที่จะเรียนรู้มันก็จะเกิดขึ้นนะคะ สมมุติว่าอย่างงี้นะคะ ฟังอาจารย์ธิสนาไป 3 ชั่วโมงฟังไป ฟังไป อากาศก็เย็น เคิริม ๆอาจารย์ธิสนาเสียงก็ออย ๆแล้วก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย แล้วก็นั่งฟังไป เป็นไงคะ สักพักนึง สักพักนึงก็จะเกิดอาการง่วงแล้วก็อาจจะไปไหนก็ไม่รู้ คิดไปเรื่องอื่นต่ออะไรอย่างนี้นะคะเพราะฉะนั้นความที่จะการต่อให้ สมมุติเราเกิดง่วงขึ้นมาอย่างนี้นะคะต่อให้สิ่งที่วิทยากรบรรยายดีขนาดไหนมันก็ไม่เข้าสมองหรอก เพราะมันมึน มันง่วง มันอยากตรงนี้ค่ะก็เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่าการได้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวนะคะแต่ต้องเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมกับกับวัยนะคะเหมาะสมกับเรื่องที่เรียนเหมาะสมกับความสนใจของเขาด้วยบางเรื่องถ้าสนใจเนี่ยมันก็จะ ไปได้ยาวนะคะ ไม่ต้องการการเคลื่อนไหวที่มีการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวมากนักนะคะบางเรื่องก็ความสนใจหายเร็ว นะครับ เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหว ทางกายเนี่ยค่ะ การตื่นตัวทางกายเนี่ย มันจะช่วยให้ประสาทการรับรู้เนี่ยมันทำงานได้ดี เมื่อทำงานได้ดี สิ่งอะไรที่เข้ามาเราก็รับได้ดีแล้วก็เรียนได้ดีนะคะ เพราะฉะนั้นนี่คือเหตุผลว่าทำไมเนี่ยเราถึงต้องคอยดูนะคะ ช่วยเหลือผู้เรียนให้มีการเคลื่อนไหวนะคะทำกิจกรรมต่างๆ เนี่ย อย่างเหมาะสมนะคะ ตรงนี้ความยากจะอยู่ตรงที่ว่ายังไงเหมาะสม ซึ่งอันนี้เป็นรายละเอียดนะคะตอนนี้ถัดไปนะคะ เราดูการเคลื่อนไหว ทางกายไม่พอ เพราะยังไม่ได้เรียนรู้อะไรการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสมอง เพราะฉะนั้นต้องให้เคลื่อนไหวทางสมองเคลื่อนไหวทางสมองให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิด ในการที่เขาจะสร้างความหมายความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ให้เขาได้ตั้งคำถาม ให้เขาได้สงสัยช่วยให้เขาได้เชื่อมโยงสิ่งใหม่กับสิ่งเก่าที่มีอยู่ ทำอะไรสารพัฒน์ 108 เนี่ย ด้วยวิธีการ 108 เนี่ย จนกระทั่งเขาเกิดความเข้าใจและการที่เขาได้คิดเอง มันคิดขึ้นมาเอง มันเชื่อมโยงเองนะคะ มันสร้างความหมายได้เอง ตัวเนี้ยมันก็ทําให้ผู้เรียนเนี้ยจะเกิดความเข้าใจในเรื่องนั้นแล้วสามารถจะอธิบายนะคะ อ่าเสนอ อ่า แสดงความทิศเห็นตามความเข้าใจของตัวเองเนี้ยได้อย่างดีไม่ใช่จากการ อ่า อ่าน ฟัง แล้วก็จํา แล้วก็บอกตามความจํานะคะตรงนี้ก็เป็น อ่า เป็น เป็นประเด็นที่สําคัญมากมากเลยนะคะ เรื่องของการที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ Intellectually Activeการตื่นตัวทางสติปัญญามันมีวิธีการหลาย 108 พันอย่างนะคะทีนี้ในทางนอกจากสติปัญญาแล้วนะคะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะคะ บางคนก็อาจจะชอบที่จะเรียนรู้กับคนอื่นและบางคนก็ชอบเรียนรู้แบบเดียวๆ นะคะ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าอะไร การเรียนรู้และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นสิ่งที่จะช่วยให้การเรียนรู้นั้นมันเรียกว่ามันสนุก เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม มัน enjoy เวลาที่แหม คนน้นพูดที คนนี้พูดที แต่โตตอบกันอะไรดีกว่านั่งคิด นั่งคิดมันก็ต้องมีเวลานั่งคิด แต่ว่ามันก็ต้องมีเวลาที่จะปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดของตัวเองด้วยอาการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมก็จะช่วยขยายขอบเขตของความรู้ให้กว้างเพราะว่าไม่มีใคร ใครคิดว่าไม่น่าจะมีใครนะคะที่จะคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและได้รอบด้านหมดโดยไม่มีโจทย์โหลเลยนะคะคนเรามันคิดได้สารพัดเพราะฉะนั้นบางอย่างเราคิดได้แบบนี้แต่เพื่อนได้แบบนี้แบบนั้น โอ้เราก็ได้เข้าใจนะคะว่าโอ้เราลืมไปนะว่ามันยังมีความคิดแบบนี้อยู่มันก็ได้ขยายความคิดของตัวเองเนี่ยให้กว้างควางออกไปนะคะอันนี้ก็เป็น สิ่งที่ดีต่อการเรียนรู้ของเราตอนนี้อีกอันหนึ่งที่อาจจะเป็นเรื่องที่ยากหน่อยแล้วก็ไม่ค่อยมีใครเรียกว่าให้ความสำคัญมากนักส่วนใหญ่ให้ความสำคัญทางสติปัญญาทางสังคมก็พอประมาณทางกายก็ไม่ได้ยากนักแต่อันที่ยากนี่คือตัวนี้ ทางอารมณ์ค่ะ สลายขึ้นไหมคะ ไม่ใช่นะคะ นี่ไม่ใช่การตื่นตัวทางอารมณ์นะคะ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมากๆเลย เพราะว่าอารมณ์ความรู้สึกนี่มันคือตัวเราเลยไม่มีใครมีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกับเรานะคะอารมณ์การเรียนรู้เนี่ยที่มากๆ มันเจาะเข้าถึงใจ เจาะเข้าถึงจิต เจาะเข้าถึงอารมณ์ของคนนั้นมันจะทำให้สิ่งที่เรียนรู้มันมีความหมาย มีความหมายมากเอาง่าย อย่างนี้นะคะ เราทุกคนก็ มีเพื่อนมานะ มีเพื่อนมาปรึกษาเราเนี่ย คนนั้นก็มานินทาเรา หาว่าเราเป็นอย่างโง่น หาว่าเราเป็นอย่างนี้นะคะเราก็รับฟังเพื่อน แล้วเราก็เห็นใจเพื่อนนะ ก็บอกก็ปลอบเพื่อนนะ เออ อย่า อย่าไปคิดมากเลยนะ นินทากาเลเหมือนเพน้ำไม่ชอบช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหินอะไรก็ว่าไปนะคะ ก็ปลอบเพื่อนไปนะคะเสร็จจากที่ปลอบเพื่อนไป บังเอิญเดินไปเข้าห้องน้ำนะคะมีเสียงคนคุยกันอยู่ในนั้น เอ๊ะ มีชื่อเราด้วยเนี่ย เลยยืนฟัง โอ้ กำลังนินทาเราเลยนะฮะ กำลังนินทาเราเลยเราจะรู้สึกยังไงคะนินทากาเลเหมือนเทน้ำไม่เทอีกต่อไปแล้วเป็นไงคะมันพรุ่งขึ้นเลยใช่ไหมคะนั่นแหละค่ะความหมายมันอยู่ตรงนั้น เห็นไหมคะบอกคนอื่นได้สารพัฒนะ แต่ถ้ามันเกิดกับตัวเราเนี่ย คนละเรื่องเลยเพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่มันเจาะเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของเราสิ่งนั้นมันมีความหมายกับเราเพราะฉะนั้นก็นี่ค่ะ การจัดการเรียนรู้เนี่ยที่มันสามารถจะสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่มีความหมาย กับสิ่งที่เรียน ตัวผู้เรียนกิจกรรมนั้นจะเป็นกิจกรรมที่เรียกว่ามีอิทธิพลมากต่อการปรับเปลี่ยนความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของเขาซึ่งถ้าคุณครู สามารถทำในเรื่องนี้ได้นะคะ จัดกิจกรรมที่มันเข้าถึงใจผู้เรียนได้นะคะก็แล้วแต่ว่าจะเป็นความรู้สึกแบบไหนที่เราต้องการ ที่ผู้เรียนต้องการนะคะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่เราต้องการถ้าเราสามารถที่จะสร้างกิจกรรมแบบนั้นขึ้นมาได้กิจกรรมนั้นจะเป็นกิจกรรมที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีมาก เลยเพราะฉะนั้นสรุปก็คือ การจัดการเรียนรู้เชิงรู้ ก็หมายถึงการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีโดยช่วยให้ผู้เรียน Active ใน 4 ด้าน คือ กาย สติ ปัญญา สังคม อารมณ์เพราะฉะนั้นท่านคงจะเห็นว่า มันบอกไม่ได้ว่าวิธีไหน มันจะต้องไปดูว่าท่านจะสอนเรื่องอะไร แล้วก็ในการสอนเรื่องนั้นมีเป้าหมายยังไง แล้วท่านจะคิดกิจกรรมอะไรใช้วิธีอะไรที่จะไปช่วยทำให้เขา แอคทีฟทั้งสี่ด้านถ้าสามารถจะทำให้เขาเกิดแอคทีฟทั้งสี่ด้านการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นมันจะดีมาก สําหรับตัวเขาเองนะคะ เอาล่ะค่ะ ก็อันนี้ก็เป็นบทสรุปนะคะของเรื่องของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เอานะคะ ตอนนี้ก็มาถึงส่วนที่สามส่วนที่สามก็คือส่วนที่ว่าด้วยเรื่องวิธีสอน นะคะวิธีสอนจะเข้าไปช่วย จะเข้าไปช่วยในการจัดการเรียนรู้ที่ ที่มีลักษณะเชิงรู้ นำไปสู่สมรรถนาได้อย่างไรมันค่อนข้างจะจริงๆ ถ้าพูดเรื่องวิธีสอน ก็ไม่ยากนะ ก็จะบอกว่า วิธีสอนวิธีที่ 1 2 3 4 5 นะ แล้วก็วิธีที่ 1 หมายถึงอย่างนี้ อย่างนี้ ก็ว่าไปนะคะว่าไปได้เรื่อย เลย แต่นะคะ พอครูต้องไปคิดออกแบบการเรียนการสอนนะคะต้องไปวางแผนการเรียนการสอนเนี่ยกลับพบว่านะคะ คุณครูไม่รู้ว่าวิธีสอนมันอยู่ตรงไหน จะเอาไปใช้ตรงไหนใช่ไหมคะเพราะอะไรคะ เพราะว่า ถ้าเผื่อว่าเราพูดเรื่องวิธีสอนอย่างเดียวนะคะ มันเหมือนลอยๆ นะคะ แต่พอจะเอาไปใช้เนี่ยมันต้องเอาไปใช้สัมพันธ์กันกับกับองค์ประกอบอื่นๆ เนี่ยอีกมากมายเลยนะคะ จึงจำเป็นนะคะก่อนจะพูดเรื่องวิธีสอนก็เลยอยากจะ อ่า เรียกว่า องค์ประกอบอื่นนะคะ จะพูดถึงเรื่ององค์ประกอบอื่นที่มันสัมพันธ์กับวิถีสอนนะคะถ้าเข้าใจองค์ประกอบเหล่านั้น และเข้าใจความสัมพันธ์ขององค์ประกอบเหล่านั้นแล้วเรารู้ว่าวิถีสอนมันอยู่ตรงจุดไหนขององค์ประกอบเหล่านั้นอันนี้ค่ะ ถึงจะช่วยให้ท่านสามารถที่จะไปออกแบบ แล้วก็บอกได้ว่าแผนนี้ของฉันนะ ฉันใช้วิธีสอนวิธีนี้นะ ฉันใช้หลักการสอนแบบ นี้น่ะ ฉันใช้หรือฉันใช้กระบวนการสอนอย่างนี้น่ะแล้วเทคนิคการสอนของฉันอยู่ตรงไหนนะคะ คือถ้าไม่เห็นภาพรวมตรงนี้เนี่ยมันจะใช้วิธีสอนที่เหมาะสมได้ อ่า ลำบากนะคะเพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่าจะขอ อ่า ให้ตัวนี้ก่อนนะคะ ขอสไล อันนี้นะคะ คุณครูทุกท่าน ดิฉันคิดว่าคุณครูทุกท่านก็คงเข้าใจคือมีพื้นฐานกันทุกคนนะคะ เรารู้ว่าในเรื่องของการจัดการเรียนรู้มันต้องอาศัยสาดการสอนหลายเรื่องด้วยกันนะคะสำคัญ ก็คือ ในการสอนเราต้องมีหลักเราต้องมีหลักการสอนหรือมีทฤษฎีการสอนที่ Back up หน่อยนะคะไม่ใช่ว่านึกอยากจะทำอะไรแล้วก็ ลอยๆ ไปเรื่อยๆ แล้วแต่จะคิดนะคะ มันก็ต้องมีหลักที่เราสามารถจัดสิบายได้ว่าทำไมเราถึงสอนแบบนี้นะคะอันที่สองนะคะ เราจะต้องมีแนวทางหรือกลยุทธ์นะคะในการสอนแล้วเราก็มีตัวช่วยอีก เช่นเรามีกระบวนการสอน เรามีรูปแบบการสอน เรามีวิธีสอน เรามีเทคนิคเรามีกิจกรรมการเรียนการสอน มีสื่อเทคโนโลยี มีการวัดประเมินผลทั้งหมดนี้คุณครูคุ้นเคยถูกไหมคะ ตอนนี้ถ้าคุ้นเคยคุ้นเคยนะคะเอาแผนการสอนมาวางนะ แล้วก็เสร็จแล้วมาวางคําถามแรกจะถามคุณครูนะคะคุณครูคะ แผนอันนี้คุณครูใช้หลักการสอนอะไรคะหลักการสอนตรงไหนมันอยู่ตรงไหนในแผนคะ คุณครูอาจจะตอบไม่ได้นะคะ ตอบไม่ได้ ชี้ไม่ได้ว่าตรงไหนคือหลักการคือทฤษฎีที่ใช้ ตรงไหนเป็นกระบวนการ ตรงไหนเป็นวิธีวิธีอยู่ตรงไหนคะ ตรงไหนเป็นเทคนิค อันไหนเทคนิคอยู่ตรงไหนอันไหนเป็นกลยุทธ์คะ ตอบไม่ได้ถูกไหมคะ ทางนี้ทางนั้นก็เพราะว่าในการสอนของเราเนี่ยจริงๆคุณครูก็คิดออกนะคะจริงๆคำตอบมันอยู่ในแผนหมด แต่ว่ามันมองไม่ออก มันชี้ไม่ถูกนะคะ เพราะอะไร เพราะว่าระบบ ระบบในการคิดของเราเนี่ยคือมันไม่เป็นระบบอะ นะคะ เราทุกอย่าง ทุกอย่างเนี่ย มันเรามีอยู่ในตัวเราอะ ก็ดึงออกมาใช้ แต่ว่าเราบอกไม่ได้ว่าดึงอะไรออกมาอะไรยังไงเพราะว่าความที่การคิดของเรา มันอาจจะยังไม่เป็นระบบพอแต่จริง คุณครูมีทุกอย่างในนั้นทีนี้ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ ชัดเจนมันจะอธิบายได้มันจะชี้ได้ ชี้ถูก แล้วเราก็จะรู้ว่าถ้าเราจะใช้วิธีสอน เราจะใช้ตรงไหนเทคนิคมันจะไปอยู่ตรงไหน อันไหนคือกระบวนการ อันไหนคือกลยุทธ์ อันนี้เราจะบอกได้เนื่องจากเวลามีน้อย ฉะนั้นจะขอยกตัวอย่างให้ดูอย่างเร็วๆถัดไป อันนี้ค่ะ เป็นกระบวนการในการออกแบบการเรียนการสอนนะคะคือปกติเราก็จะมีจุดมุ่งหมายใช่ไหมในการสอนเรามีจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์แล้วเราก็มีสาระการเรียนรู้ที่จะทำให้วัตถุประสงค์ จุดประสงค์อันนั้นเนี่ย บรรลุผลนะคะแล้วถ้าเรามีสองอย่างนี้แล้วเนี่ย เรารู้ว่าเราจะต้องสอนอะไรแล้วก็ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรนะคะ เรามีเป้าหมาย แต่ตัวนี้ปุ๊บเนี่ย หลังจากนั้นทำยังไงคะ คุณครูก็ไปคิดกิจกรรมเลยส่วนใหญ่จะข้ามนะคะ จากตรงนั้นแล้วก็ไปได้กิจกรรมออกมาเลยกิจกรรมเยอะแยะไปหมดเนี่ยนะคะ จริงๆแล้วในการออกแบบมันก็มีระบบของมันนะคะ คิดเป็นลำดับขั้นตอนนะคะสิ่งที่เราจะทำได้ก็คือพอเรามีจุดมุ่งหมายนะคะ แล้วก็มีสาระที่สอดคล้อง ช่วยให้จุดมุ่งหมายนั้นเนี่ยบรรลุผลนะคะ เรารู้แล้วว่าเราจะสอนอะไรนะคะแล้วก็สอนให้ไปได้ในระดับไหน เราก็ต้องมาวางก่อนใช่ไหมเอ๊ะถ้าจะสอนอย่างงี้เนี่ย มันจะไปยังไงดีเนาะเส้นทางมันจะไปยังไง การที่จะไปยังไงดีเนี่ย มันก็ต้องมีหลัก ต้องหาหลักว่าเราจะไปยังไงดีจริงๆ หลักนี้มันมีเยอะแยะหมดเลยการที่เราจะเดินทางจากตรงนี้ไปสนามหลวงมันไปได้ทางเดียวไหมคะมันไปไม่ได้ มันไปได้สารพัดทาง ร้อยทางเราจะเลือกเส้นทางไหน เราจะเลือกเส้นทางไหน เราจะใช้หลักไหนเส้นทางเราจะเลือกเส้นทางไหน มันก็ต้องมาจากว่าเราจะใช้ ใช้หลักไหนก่อน เพราะฉะนั้นการวางโกรยุทธ์ในการสอนมันจะต้องอาศัยทฤษฎีอาศัยหลักการ อาศัยแนวคิด หรือบางทีนวัตกรรมต่างๆที่มีอยู่ก็มาช่วยเราได้แล้วก็พอได้แนวแล้วการที่เราได้แนว ได้เส้นทางว่าจะไปยังไงตัวนี้มันจะมากำหนดระบบ ระบวนการสอน เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการ อ่า จากตรงนี้นะคะจะไปสนามหลวง แล้วจะใช้หลักโดยการ โดยสารรถประจําทางนะคะเพราะเราไม่มีตังแยะ อ่า จะต้องอาศัยรถประจําทางเราก็จะต้องว่า ถ้าอาศัยรถประจําทางก็ขึ้นสายไหนตรงไหน แล้วก็ไปต่อสายไหนตรงไหนแล้วก็ไปถึงไหนถึงนั้นจนจะทั้งไปถึง ถึงปลายทาง ตรงนี้ก็คือเราก็จะได้กระบวนการสอนเป็นสเต็ปอย่างคร่าวๆจากกระบวนการสอนเราก็จะไปขยายให้เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนซึ่งในขั้นตอนนี้มันก็ต้องอาศัยวิธีสอน ต้องอาศัยรูปแบบการสอนอาศัยเทคนิคการสอน อาศัยสื่อ อาศัยกิจวิทยา อาศัยเทคโนโลยีทั้งหลาย เพื่อให้การเดินทางตามเส้นทางนั้น มันเป็นไปอย่างราบรื่นรื่นรมแล้วไปถึงเป้าหมายได้อย่างมีความสุข แล้วก็หลังจากนั้นก็มีเรื่องการกำหนดวิธีการวัดและประเมินผลก็จะยกตัวอย่างให้เห็นอย่างเร็วๆก็คือว่ายกตัวอย่างว่าสมมติว่าจะสอนเรื่องการเขียนเรียนความการสอนประเด็นแรกก็คือว่าเราก็จะต้องรู้ว่า เราต้องมีการวิเคราะห์เนื้อหาสาระ ว่าในการเขียนเรียงความมันจะต้องมีสาระอะไรแล้วก็เราจะพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์อะไรอันนี้ก็เป็นเรื่องที่คุณครูก็อาจจะเคยทำแล้วแต่การวิเคราะห์สาระจะช่วยทำให้เราเห็นความครอบคลุมของเรื่องที่เราจะสอน ซึ่งจากตัวอย่างตรงนี้ ส่วนใหญ่ที่พบนะคะจะพบว่าถ้าไม่มีการทำการวิเคราะห์เนื้อหาเรื่องการพัฒนาคุณสมบัตินะคะ ที่มันจะเกิดขึ้นจากการเขียน มันจะมีคุณสมบัติที่ดีๆเกิดขึ้นมากมายอันนี้เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเวลาเราสอนการเขียนเรียงความก็ไม่ใช่แค่ว่าต้องการให้เขาเขียนเรียงความให้ได้ดีแต่จริงๆการเขียนเรียงความตัวนี้มันสร้างคุณลักษณะ สร้างลักษณะนิสัยอะไรๆได้อีกหลายอย่างเลยเพราะฉะนั้นการวิเคราะห์เนื้อหา จะช่วยนะคะ จากนี้นะคะ เราก็ไป สมมุติไปตั้งวัตถุประสงค์นะคะวัตถุประสงค์ ก็โอเคนะคะ ให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกิลลิงความนะคะ แล้วก็เขียนเรียงความได้แล้วก็พัฒนาคุณสมบัติของผู้เขียนที่ดีนะคะ ทีนี้ตรงนี้ เขียนในลักษณะเป็นวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมนะคะแต่ถ้าเผื่อว่าต้องการจะทำเป็นสมรรถนะ สูตรสมรรถนะก็ต้องเพิ่มนะคะหรือปรับการเขียนให้เป็นสมรรถนะมากขึ้นนะคะแต่ว่าตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นประเด็นที่ อยากจะให้ concern ในตอนนี้นะคะ เพราะสิ่งที่อยากให้ดูนี่ก็คือตัวนี้ค่ะนี่นะคะก็คือสิ่งที่เป็นการออกแบบ ดีไซน์ออกแบบถ้าเราจะให้ผู้เรียนเขียนเรียงความให้ดีนะ ผู้เรียนเขาจะเขียนได้ไงเขียนเรียงความให้ดีได้ไง คุณครูท่านหนึ่งก็อาจจะบอกว่า ก็ต้องให้เขารู้หลักก่อนสิว่าการหลักการเขียนเรียนความที่ดีเนี่ย มันต้องคำนึงถึงอะไรบ้างมันจะต้องทำยังไง ถ้าไม่รู้หลักแล้วเขาจะเขียนดีได้ไงอันนี้แสดงว่านะคะ คุณครูเนี่ย เชื่อในหลักการเรียนรู้แบบนี้ละไหนคือให้เรียนจากหลักจากกฎ แล้วก็ไปหาตัวอย่างนะคะ เชื่อแบบนี้นะ ถ้าเชื่อแบบนี้โอเคเอาแบบนี้เลยนะ เชื่อแบบนี้ อ่า เพราะฉะนั้นในการ อ่า ในบทเรียนการเขียนเรียนความอันนี้เนี่ย ก็ใช้หลักการเรียนรู้แบบนี้และไหนนะคะ แล้วก็ฝึกทักษะกระบวนการเพราะว่าต้องการให้เขียนให้ดีด้วยการเขียนก็เป็นทักษะกระบวนการแล้วก็ต้องส่งเสริมคุณลักษณะนิสัยด้วยนะคะเอาล่ะ พอเราได้คิดแบบนี้ปุ๊บเนี่ย เขาบอก เฮ้ย เขาต้องเรียนรู้ด้วย เขาต้องมีหลักก่อนนะฮะ มีหลักก่อน ไอ้ตัวเนี่ยค่ะ มันก็จะนํามาสู่แนวในการที่จะจัดการเรียนการสอนแนวทาง แนวทางหรือ จริงจริงตัวเนี้ยก็ถือเป็นกลยุทธ์ได้ เป็นยุทธศาสตร์นะฮะ เป็นแนวทางที่ว่า ฉันจะไปอย่างงี้นะ นะฮะ ฉันจะไปอย่างงี้ อย่างนี้นะ หนึ่งฉันก็จะต้องให้หลักการเขียนเรียงความก่อนแล้วก็ฉันจะให้ฝึกเขียนนะ ฝึกเขียนเฉยๆไม่พอต้องให้เขียนเยอะๆนะคะเพราะว่ามันต้องการทักษะ ทักษะกระบวนการต้องการเขียนได้ดีต้องดีเยอะแล้วก็ต้องให้การอันเนี่ยเขาจะเขียนดีเยอะๆเขาก็ต้องมีการประเมินแล้วก็มีการปรับปรุงบ่อยๆนะคะ แต่ว่าเราต้องสร้างเกตกติด้วยเพราะฉะนั้นก็ต้อง ต้องให้กำลังใจชื่นชมนะคะให้เขาเห็นคุณค่าของของสิ่งที่เขาทำอ่า ได้ ได้ความคิดละไอความคิดอันเนี้ยแนวอันเนี้ยค่ะ มันก็ให้เส้นทางแล้วล่ะให้เส้นทางแล้วว่า อ๋อการเรียนการสอนแบบเนี้ยมันจะไปเส้นทางนี้นะคะเพราะเส้นทางนี้ก็คือ หนึ่งนําเข้าสู่บทเรียนอันนี้เป็น ละนะคะหนึ่งนําเข้าสู่บทเรียนและสอง คุณก็ให้ความรู้ คือให้ความรู้และหลักการเขียนเรียนความที่ดี3. ให้ผู้เรียนเลือกหัวข้อการเขียน4. ฝึกเขียน5. ให้ครูให้ข้อติชม ให้ข้อเสนอแนะ6.
ให้ปรับปรุงการเขียน7. ให้วิเคราะห์ประเมินตนเองและก็ให้ฝึกเขียนบ่อย ๆแล้วก็ในที่สุดก็วัดและประเมิน คือจริงๆ ตัวแนวนั้นมันบอกแล้วก็บอกแล้วว่ามันน่าจะไปยังไงก็ได้เส้นทางดังอย่างนี้นะคะ สมมุติอย่างนี้ทีนี้ลองสังเกตนะคะขอสไลด์อีกทีค่ะสังเกตอย่างนี้นะคะหนึ่ง นำเข้าสู่บทเรียนในการนำเข้าสู่บทเรียน ใช้วิธีอะไร คือตรงนี้คือตัวกระบวนการ 1-9 เป็นตัวกระบวนการแต่มันยังไม่มีรายละเอียดอะไรเลยคือยังไม่สามารถที่จะดำเนินการสอนได้ ให้คันตอนหลักๆ ว่าถ้าไป 1 2 3 4 5 อย่างนี้นะไม่หลงทางถึงสนามหลวงแน่นะคะได้แล้วอันนี้ก็ต้องทำตัวนี้ให้สมบูรณ์นะคะทำตัวนี้ให้สมบูรณ์ต้องทำยังไงก็ต้องมาดู1.นำเข้าสู่บทเรียนจะนำด้วยวิธีอะไรดีนะคะอันที่ 2.นักเรียนต้องมีความรู้และหลักการเขียนเรียงความ ใช้วิธีอะไรคะ ตรงนี้ใช้ได้ อาจจะใช้ก็คือ ง่ายๆที่สุดคือครูบรรยายครูบรรยายให้ความรู้หลักการเขียน ถ้าอย่างนี้ปุ๊บ ครูต้องใช้วิธีอะไรคะ วิธีสอนแบบไหนคะ ก็วิธีสอนแบบบรรยายไงฮะ ง่ายๆก็คือวิธีสอนแบบบรรยายนะคะอ่า เอานะคะ อ่า ทีนี้ให้ผู้เรียนฝึกเขียนตามหลัก มันก็มีวิธีสอนแบบฝึกปฏิบัติ แบบให้ฝึกปฏิบัตินะคะครูให้ข้อติชมให้ข้อเสนอแนะ วิธีที่จะให้ข้อติชมให้ข้อเสนอแนะมันก็สามารถจะใช้เทคนิคได้ ได้หลากหลาย เช่น อาจจะใช้เทคนิคให้ข้อติชมแบบแซนวิชก็ได้หรือให้เทคนิคอย่างอื่นก็ได้ เห็นไหมคะเพราะฉะนั้นจะเห็นไหมคะว่า พอเรามีหลักนะคะหลักให้แนว แนวให้คันตอนนะคะ แล้วในขั้นตอนนั้นเราก็จะมาเสริมด้วยวิธีสอนเทคนิคการสอนต่างๆคือวิธีสอนมันไม่ใช่วิธีสอนบรรยาย ไม่ใช่วิธีสอนแบบบรรยายก็คือการบรรยายพูดบอกจบ มันไม่ใช่วิธีสอน อันนั้นมันก็คือบรรยายคืออะไรคืออะไรอย่างนี้นะคะวิธีสอนมันก็ต้องแบบบรรยายมันมีมากกว่าที่ว่ามันแค่พูดวิธีสอนแบบฝึกปฏิบัติไม่ใช่มีแค่ว่า อ้าว ไปเขียนมา จง มันจะต้องมีอะไรที่ประกอบที่จะทำให้การดำเนินการนั้นมันบรรลุเป้าหมายหรือประสบควรสำเร็จ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตรงนี้เราเห็นไหมคะว่าอะไรมันอยู่ตรงไหนเพราะฉะนั้นวิธีสอนหลากหลายก็จะเข้ามาอยู่แถวนี้ค่ะมันจะต้องได้กระบวนการมาแล้วก็ดู ว่ากระบวนการแต่ละขั้นตอนนั้น วิธีสอนอะไรที่จะช่วยให้บรรลุตรงนั้นได้ดีแล้วเราเลือกได้ เช่น สอนแบบปัญญาณก็ได้ ไม่บรรยาย ครูให้เด็กไป คนควายเองก็ได้หรือครูเชิญวิทยากรก็ได้ หรือครูใช้สื่อแทนก็ได้หรือครูให้ผู้เรียน ร่วมกันคิดอภิปรายก็ได้ใช่ไหมคะ เห็นไหมคะ หลากหลาย แล้วแต่ว่าเราจะเลือกนะคะค่ะเอาละค่ะ ตรงนี้นะคะจะเห็นว่าครูใช้หลักนีรไนนะ แต่สมมุติว่าครูไม่ใช้หลักนีรไนนะ ครูบอกว่า สอนมาตั้งนานแล้วอย่าแบบเนี้ย มันก็ยังไม่ค่อยเห็นได้ผลเลยเอาใหม่ ให้เด็กสร้างความรู้เองดีกว่า นะคะ ให้เด็กสร้างความรู้เองดีกว่าให้เด็กหา หาให้ได้เองนะคะว่า หลักในการที่ หลักในการเขียนเรียงความที่ดีเนี้ยมันเป็นยังไงนะคะ ถ้ารักษณะอย่างงี้ก็เรียกว่า ครู ใช้หลักการเรียนรู้แบบอุปนัย แทนที่จะเป็นนิรันไนท์มาเป็นอุปนัยพอมาเป็นอุปนัยปั๊บ แนวการสอนก็เปลี่ยนเช่น เราอาจจะให้ผู้เรียนเรียนรู้เองจากสื่อหรือ กิจกรรมต่างๆที่เราคิดขึ้นนะคะให้ผู้เรียนเนี่ย อย่างตัวอย่างอันนี้เราก็บอกว่าก็เราไม่ต้องบอกเขาหรอกว่าเรียงความที่ดีไม่ดีเป็นยังไง ให้เขาหาเอง เขาจะได้จำได้พอเขาจำได้แล้วเนี่ย เพราะเขาคิดเองเวลาเขาเขียนเนี่ย ไอ้สิ่งที่คิด ที่จำได้เนี่ยมันก็จะออกมาในทางการเขียนด้วยนะคะมันจะเขียนได้ดีกว่า เพราะว่าเขาเข้าใจ เราก็ให้เขาฝึกวิเคราะห์ตัวอย่างเรียงความเอาเรียงความดีกับเรียงความไม่ดีมาแล้วเขาวิเคราะห์เขาวิเคราะห์เองกว่าจะวิเคราะห์ได้ออกมาเขาก็จะได้ตัวอย่างได้เลยตลัยเขาก็จะเข้าใจเพราะฉะนั้นปุ๊บเนี่ยจากตรงนี้ปุ๊บนะ กระบวนการเรียงการสอนผิดไปต่างจากเดิมวิธีสอนต่างจากเดิม มันก็แล้วแต่ว่าอะไรมันจะเหมาะกับขั้นตอนตรงนั้นอันนี้โดยคร่าวๆนะคะ สมมุติอีกแบบนึงนะคะโอ้ บังเอิญคุณครู คุณครูคนนี้เก่งนะ คุณครูช่างอ่านก็เลยได้ไปค้นพบว่า โอ้ มันมี เรียกว่านักวิชาการเขาคิดรูปแบบ การเรียนการสอนขึ้นมารูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้การได้ดีมากในการที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์นะคะเพราะฉะนั้นการเขียนจะไม่เขียนธรรมดาเลย จะเขียนออกแบบออกนอกแนวเลย เรียกว่า Creative มาก รูปแบบนี้ชื่อว่า รูปแบบ Synecdocheรูปแบบการสอน ถ้าเผื่อได้เป็นรูปแบบ เขาจะมีการดีไซน์มาให้เสร็จแล้ว ว่ามีขั้นตอนอะไร แล้วก็ได้รับการพิสูจน์ทดสอบมาแล้วถ้าเรารู้นะคะว่ามันสามารถจะ serve purpose ของเราตรงนี้ได้เราก็เอามาใช้ได้เลย เพราะฉะนั้นขั้นตอนการเรียนการสอนคนละเรื่องเลยกับอีก 2 ชิ้นแรกนะคะ ดูแปลกใหม่แต่ว่าด้านก็แสดงว่าเราก็ต้องไปศึกษารูปแบบนี้นะคะก็จะออกมานะคะ ซึ่งต่างกัน โอเคนะคะแล้วนั้น แล้วก็ตกลงเห็นแล้วใช่ไหมคะว่ารักษณะของการเรียนการสอนเป็นอย่างไรแล้ววิธีสอนมันอยู่ตรงไหนนะคะเพราะฉะนั้นเราก็จะมาดูเรื่องวิธีสอนนะคะวิธีสอน วิธีคือกระบวนการนะคะ สอนคือการที่เราช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆนะคะเทียบกับการทำอาหารนะคะ การทำอาหาร การปรุงอาหาร วิธีทำอาหารก็มีหลายวิธี เช่น ผัด ทอด นึ่ง ต้ม นะคะแสดงไม่เหมือนกันใช่ไหมคะ ผัด ทอด นึ่ง ต้ม นะคะแต่ละวิธีมันจะมีวัตถุประสงค์ เฉพาะวิธี และมีองค์ประกอบสำคัญ คือสิ่งที่จำเป็นต้องมีขาดไม่ได้เพื่อใช้ในการดำเนินการให้เกิดผลต่างวัตถุประสงค์นะคะนี่ค่ะ วิธีแต่ละวิธีจะต้องมีจุดสำคัญอย่างนี้นะคะ มีวัตถุ วัตถุประสงค์เฉพาะวิธีมีองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้นะคะ ถ้าขาดไปมันจะไม่เป็นวิธีนั้นมันก็กลายเป็นวิธีอะไรก็ไม่รู้ใช่ไหมคะและก็ขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้นะคะ ยกตัวอย่างให้ดูนะคะอย่างนี้ว่าอย่างเช่นวิธีทอดนะคะการทอดวัตถุประสงค์ก็คือเราทอดอาหารเนี่ย วัตถุประสงค์มันคืออะไร การทอดมันช่วยอะไรคะมันช่วยทำให้อาหารที่ทอดนั้นเนี่ย มันมีความเกรียม มีความกรอบใช่ไหมคะ แต่ถ้าวิธีผัดล่ะ วิธีผัดมันไม่เกรียมไม่กรอบนะคะมันอยู่ในลักษณะขลุกเคล้าใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการเกรียมกรอบเราต้องมาเลือกวิธีทอด ไม่ใช่วิธีผัด ถ้าเราต้องการคลุกเคล้า เราต้องเลือกวิธีผัดไม่ใช่วิธีทอด อย่างนั้นใช่ไหมคะเพราะฉะนั้นนี่คือความต่าง มันจะมีวัตถุประสงค์เฉพาะของเขาทีนี้ในการทอดนะคะ การทอดจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีองค์ประกอบที่จำเป็นอย่างเช่นของที่จะทอด ภาชนะที่จะต้องใช้ทอด ความร้อน แล้วก็น้ำมัน อะไรอย่างนี้นะคะ ซึ่งผัดก็เช่นเดียวกันก็จะต้องมีแต่ว่าจะเห็นว่ามันต่างกันนะ มันเห็นต่างกันเช่นของที่จะทอด มันของชนิดเดียวกันแต่ของที่จะผัด มันอาจจะชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได้อะไรอย่างนี้ค่ะ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ามันมีความคล้ายและมีความตัดนะคะเราก็จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญ และขั้นตอนสำคัญในการที่จะทำ ทำให้การทอดสำเร็จ ซึ่งก็อันนี้ก็พอทราบๆอยู่นะคะทีนี้วิธีสอนแต่ละวิธี มีวัตถุประสงค์ องค์ประกอบและขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ ถ้าเรารู้ว่าอะไรขาดไม่ได้ ถ้าขาดไปแล้วมันจะไม่เป็นวิธีนั้นเพราะฉะนั้นในการสอน ถ้าเราบอกว่าเราจะใช้วิธีสอนแบบ Aเราจะต้องรู้ว่าอะไรที่ขาดไม่ได้ของ A ถ้าขาดไปมันไม่เป็นวิธีนั้น ถ้ามันขาดไปแล้วเราบอกเราใช้วิธีนั้น อันนี้ claim ไม่ถูก ไม่ใช่นะคะก็ แล้วก็ การที่ครูสอน ถ้าเรารู้ว่าอะไรขาดไม่ได้แล้วเราทำตามที่ สิ่งที่ขาดไม่ได้นั้นเนี่ย มันจะทำให้เราพูดได้ว่าเราใช้วิธีนั้นแต่มันอาจจะยังไม่เรียกว่าอะไรคะ ไม่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือทอดปลา ก็ทอดลงไป ตามองค์ประกอบที่เล่ามาให้ฟังเมื่อกี้นี้ว่ามันขาดไม่ได้ทำอย่างนั้นหมดเลย มันก็ได้ปลาออกมา แต่ปลานั้นอาจจะเป็นไงคะอาจจะสีมหรือสวย อาจจะหนังติดกระทะ อะไรหลายๆอย่าง เพราะว่ามันขาดซึ่งเทคนิควิธีการอะไรที่จะช่วยเสริม ให้สิ่งที่ทำนั้นมันดีขึ้นเพราะฉะนั้นวิธีสอนก็เหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นเราก็จำเป็นต้องมีความรู้ทักษะเทคนิคกล วิธีเคล็ดลับอะไรที่จะใช้ประกอบแต่ข้อสำคัญมันคือ มันต้องมีสิ่งที่ขาดไม่ได้ก่อนแล้วก็เข้ามาเสริมตัวนี้เข้าไป อันนี้ก็จะทำให้การสอนนั้น ใช้วิธีสอนนั้นบรรลุผล สรุปก็คือ ถ้าเราจะใช้วิธีสอน เราจะต้องรู้ปรับหมายของวิธีนั้นเราจะต้องรู้วัตถุประสงค์ของวิธีนั้น และรู้องค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ของวิธีนั้นขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ แล้วก็รู้เทคนิค กลยุทธ์ต่างๆที่จะไปเสริมประสิทธิภาพของวิธีสอนนั้นให้ได้ผลสูงสุดแล้วก็ข้อสุดท้ายก็คือน่าจะต้องมีความสุขของวิธีนั้น ต้องรู้ข้อดีข้อจำกัดเพราะว่าวิธีแต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดของตัวเองมีจุดดีของตัวเองและมีข้อจำกัดของตัวเองนะคะข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณครูในการเลือกวิธีสอนนะคะซึ่งยกตัวอย่างอันนี้ก็เป็น สมมุติวิธีสอนโดยใช้การอภิปรายกลุ่มย่อย จะไม่มีเวลาพอแต่ว่า นี่ค่ะที่จะให้ความหมายตามที่ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่มีเทคนิคข้อเสนอแน้เยอะแยะอย่างนี้นะคะ สรุปก็คือวิธีสอนมีเยอะแยะ ในที่นี้ให้ไว้ 14 วิธี14 วิธีก็คือ บรรยาย สาธิต ทดลอง เนรนัย อุปนัย ทัศนศึกษา อภิปรายกลุ่มย่อยแล้วก็มีวิธีบทบาทสมมุติ มีกรณีตัวอย่าง มีละคร มีบทบาทสมมุติ มีสถานการณ์จำลอง มีเกมมีศูนย์การเรียน มีบทเรียนแบบโปรแกรม จริงๆมันมีมากกว่านี้เยอะแยะ แต่ถ้าสนใจ 14 วิธีสอน อันนี้ที่มีรายละเอียดอย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่นี้นะคะก็จะมี 14 วิธี ซึ่งวิธีอื่นๆนะคะ คุณครูไม่ต้องไปหาที่ไหน คุณครูทำเองก็ได้ ต้องวิเคราะห์เหมือนอย่างที่วิเคราะห์ให้ฟังเมื่อสักครู่นี้คุณครูก็จะทราบว่าถ้าจะใช้วิธีไหนวิธีนั้นมีวัตถุประสงค์อะไรตรงนี้สำคัญที่สุดใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์แล้วก็วัตถุประสงค์ของวิธีสอนกับวัตถุประสงค์ของบทเรียนมันต้อง Match กันของสิ่งที่จะสอนมันต้อง Match กันตรงนี้ที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากนั้น เราก็สามารถที่จะหาความรู้เพิ่มเติมเสริมได้นะคะ ซึ่งทั้งหมดนี้เนี่ยค่ะมันจะเกิดปัญหาตรงที่ว่า มันจะมีวิธีหลายหลายวิธีที่มันคล้ายๆดูคล้ายๆแล้วก็ซ้อนกันอยู่ ซึ่งถ้าไม่วิเคราะห์ให้ดีเนี่ยก็คือมันดูเหมือนกันหมด ดังนั้นเวลาที่ ที่คุณครูสอนเนี่ย คุณครูก็จะสอน เรียกว่าไม่ตรงไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ ของวิธีสอนนั้นนะคะยกตัวอย่างเช่น มันจะมีวิธีสอนอยู่ประมาณ 4-5 วิธีนะคะ มันมีลักษณะคลายคลึงกัน เช่น วิธีสอนแบบใช้ละครแบบบทบาทสมมุติ แบบใช้กรณีตัวอย่าง นะฮะ แบบเกมแบบสถานการณ์จําลอง ทั้งหมดนี้เนี่ย ใช้เรื่องสมมุติทั้งหมด ใช้สถานการณ์สมมุติที่สมมุติจากความเป็นจริงทั้งหมดแปลว่าจุดเน้นน่ะว่าถูกสงมันต่างกันซึ่งตรงนี้ถ้าไม่เข้าใจปั๊บพอสอนไปเสร็จข้อสำคัญคือมันต้องมีการสรุปมันต้องมีการอภิปรายสรุปบทเรียนที่ได้จากจากการใช้วิธีนั้นๆปรากฏว่าตรงนี้ค่ะที่สรุปกันไม่ตรง อย่างเช่นบทบาทสมมุติ เช่นละคร ละครการอภิปรายมันจะต้องอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงของผู้เล่นเรื่องราวหรือเนื้อหาการแสดงละครต้องแสดงให้สมบทบาท แต่ถ้าเป็นบทบาทสมมุติมันต้องอภิปรายเกี่ยวกับ เกี่ยวกับเรื่องของความรู้ ความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของผู้แสดงแต่เราก็จะพบว่า เวลาให้เล่นบทบาทสมมติกลับไปคอมเม้นต์ว่าแสดงไม่สมบทบาท อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้คือความคลาดเคลื่อนมันคนละว่าถูกประสงค์ บทบาทสมมติไม่ได้ต้องการให้เขาแสดงสมบทบาทแต่ แต่ต้องการให้เขาสะท้อนสิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับตัวแสดงนั้นออกมาเพราะฉะนั้นเป็นความเข้าใจของคนเล่นนะคะมันคนละเรื่อง แต่ถ้าราคอนนี้มันต้องสมบัตินะคะเพราะว่าเน้นที่ตัวเรื่องราว เนื้อหาการแสดงอะไรพวกนั้นกรณีตัวอย่างเน้นที่วิธีวิเคราะห์ปัญหากับวิธีคิด คิดแก้ปัญหา อย่างนี้เป็นต้นนะคะถ้าสถานการณ์จำลองนี่ อันนี้เป็นวิเคราะห์สถานการณ์นะคะแล้วก็การใช้ข้อมูลในสถานการณ์นั้นในการตัดสินใจนะคะแล้วก็เทียบไปสู่ความเป็นจริงนะคะเพราะว่าสถานการณ์จำลองเนี่ย วัตถุประสงค์เพื่อให้เรียนรู้ความเป็นจริง ว่าความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้นะคะ อันนั้นตรงนี้ค่ะก็คือจุดที่เป็นจุดสำคัญสำคัญนะคะส่วนรายละเอียดนั้นเนี่ย คิดว่าทุกท่านก็คงพอจัดที่จะศึกษาอาหารได้โดยทั่วไปแต่ว่าจุดที่นำเสนอในที่นี้เนี่ยมันคือตัวคอนเซ็ปต์สำคัญๆนะคะซึ่งถ้าคุณครูเข้าใจแล้วก็คิดว่าจะสามารถที่จะเลือกใช้วิธีสอนหลากหลายได้นะคะ ไม่ลำบากเลยนะคะ แล้วก็ตรงกับประถุประสงค์ที่ต้องการทุกประการค่ะคิดว่าได้เวลาพอสมควรนะคะก็คงขออนุญาตวันนี้จบแต่เพียงเท่านี้นะคะ