ผมเคยสงสัยนะครับว่าทำไมคนบางคนถึงประสบความสำเร็จคนอื่น ทำไมนักวิชาการหลายคน ตันธุรกิจจำนวนมาก หรือนักเรียนพร้อมๆ ยังดูเหมือนเขาทำงานได้โดยที่ไม่ต้องหยุดพัก คือหลายคนผมอาจจะคิดว่าเป็นที่ความสามารถของเขานะครับ แต่ผมบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่ และในคลิปนี้นะครับผมจะมาสรุปหนังสือ Fear Good Productivity ของคน Ali Abdol พร้อมทั้งใครเป็นสนักครับผมว่าทำยังไงให้เรารักสิ่งที่เราทำ และทำยังไงให้เราสามารถทำมันได้ดีกว่าทุกๆคนนะครับ หนังสือเล่มนี้นะครับ คือแค่เราเห็นชื่อเราก็พอเดาได้เลยครับผมว่า เราต้องกูดก่อน ถึงจะปรอดักษ์ทีปได้ คุณเอลียบดอลก็เลยพูดถึงหลักการในการทํางานของเขาครับผม ว่าเขาเชื่อว่าการที่ใครจะประสบความสําเร็จได้ หรือทําอะไรได้ดีมากมากนะครับ เขาต้องรักในเนื้องานนั้นจริงจริงครับผม แบบคุณเอลียบดอลที่รักในการทําคลิปและทํายูทูปมากมากเนี้ย มันก็เลยทําให้เขาเป็นคนที่ประสบความสําเร็จมากมากในสายงานนั้น และหนังสือเล่มนี้นะครับผม ก็แปลกออกเป็นสามแชปเตอร์หลักหลักครับผม ก็คือ Energize, Unblock แล้วก็ Sustain ซึ่งแต่ละแชปเตอร์เนี้ย ก็จะช่วยอธิบายว่าเราจะสามารถรักในงานของเราได้ยังไง ส่วนแรกของหนังสือนะครับผม ก็คือเป็นส่วนที่ชื่อว่า Energize เป็นส่วนจะพูดถึงปัจจัยต่างต่างที่ส่งผลต่อ Productivity ของเราครับผม และหัวข้อย่อยครับผม หรือสามแฟคเตอร์หลักๆที่ส่งผลต่อเรื่องนี้เนี้ย มี Play, Power และ People ครับ เรื่อง Plane ครับผม มันเป็นเรื่องที่บอกว่า เราควร Approach ทุกอย่าง ด้วยความจริงใจ หรือการที่เราอยากทํามันจริงจริงครับผม เพราะลองนิกดูสิครับ ถ้าสมมุติวันดีคืนดี เราไปที่โรงเรียน และอาจารย์บังคับให้เราอ่านสองพันสไลด์ และจําไปสอบพรุ่งนี้นะคะ โดยที่ไม่บอกว่าวัตถุประสงค์มันคืออะไร แค่บอกให้เราจําเฉยๆ เนี่ย เราก็จะไม่รู้สึกอยากจําจริงนะคะ เพราะมันเป็นการเสียเวลา และไม่รู้ประโยชน์ของมันคืออะไร แต่กลับกันนะครับ ถ้าสมมุติอาจารย์แพทย์ของผมเนี่ย พาเพื่อนทุกคนขึ้นวอร์ดไปดูคนไข้ แล้วทั้งเพื่อนเจอคนไข้คนหนึ่งนะครับผม ที่รู้สึกว่ามีอาการป่วยที่สงสัยจริงจริงว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างเช่นมี Hyperpigmentation แล้วก็มีอาการแอบนอลมอลต่างๆ ครับ ถ้าเจออย่างนั้นเนี่ยครับผม เราจะรู้สึกสงสัยมากๆ เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนไข้เหล่านั้น และการให้เราไปอ่านหนังสือ ทบทวนมาเพื่อคุยกับอาจารย์ในวันถัดมาเนี่ยครับ จริงจะไม่ใช่ปัญหาเลยครับ เพราะว่าเราอยากรู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนไข้ร้ายนี้ แล้วเราอยากจะหาวิธีรักษาเขาจริงๆ ในส่วนต่อมาคือถ้าสมมุติเราอ่านหนังสือเสร็จแล้วเนี่ย เรามาเจออาจารย์ แล้วกลายเป็นว่าอาจารย์บอกว่าสิ่งที่เราอ่านมาทั้งหมดเนี่ยมันผิด เราไม่ควร take it too serious ครับผม เราควรมองว่าความผิดพลาดเนี่ย เป็นเรื่องปกติกับทุกคน และความผิดพลาดเนี่ยครับผม มันไม่ใช่สิ่งที่แย่ครับผม แต่เป็นสิ่งที่ดีมากๆเลย เพราะการที่มีคนมาบอกว่าเราผิดได้เนี่ยครับ แต่ว่าเขาสามารถแนะแนวเราให้พัฒนาเป็นสิ่งที่ถูกต้องได้ครับผม หรือว่าแนะแนวชี้แจงว่าเราควรพัฒนาให้ดีขึ้นได้ครับ มันก็เป็นโอกาสในการให้เรา จะพัฒนาตัวเอง และส่วนที่สามก็คืออย่างที่ผมบอกไปนะครับว่า ด้านของเพลย์คือการให้เราต้องจริงใจทุกทุกอย่างให้เราทํา หรือว่าทําอะไรเพราะเราอยากทําจริงจริง เราต้องตัดในการทําหลายหลายอย่าง ผมให้เป็นการให้เราอยากทําอันจริงจริงดู พอยกทุกอย่างก็คือ สมมุติเวลาเข้าคณะแพทย์นะครับผม มันต้องมีการสัมภาษณ์ และคนสัมภาษณ์เนี้ยก็จะมาก็จะชวนเราคุยแล้วก็ดูว่า พัฒนาคติของเราเนี้ย เหมาะสมกับการเป็นแพทย์ไหม และความสํามารถของเราต่างต่างเนี้ย ตรงกับสเปคของมหาธิรัยเขาต้องการหรือเปล่า ซึ่งจริง แล้วมันก็เป็นช่วงที่ตึงเครียดมาก เลยนะครับ แต่ว่าถ้าสมมุติเรานำ Mindset นี้ไปนะครับผม แล้วเราเข้าพร่งสัมภาษณ์ไปด้วยความรู้สึกที่เราอยากเรียนดูเกี่ยวกับสถาบันนั้นจริง อยากรู้ว่าอาจารย์แต่ละคนเนี่ย แครกเตอร์เป็นยังไงแต่สถาบันนั้น และอยากรู้ว่าจริง แล้วเนี่ย แครกเตอร์ของตัวเราเหมาะสมกับสถาบันนั้นหรือเปล่า ถ้าเราเข้าไปด้วย Mindset นี้นะครับผม ไม่ว่าเราจะได้รับเข้าเรียนที่นั่น หรือไม่ได้รับเข้าเรียนที่นั่น เราก็จะไม่รู้เสียใจครับผม เพราะเราอยากทำความรู้จักสถาบันนั้นจริง และอยากหาสถาบันที่เหมาะสมกับตัวเราจริง ครับผม หกข้อต่อมาคือเรื่องของ Power ครับผม ซึ่งหลักการก็ไม่ยากครับผม ก็คือถ้าเรามั่นใจว่าเราทำอะไรสักอย่างได้เนี่ยครับ เราจะมีความสุขมากขึ้นเวลาเราทํามัน แล้วพอเรามีความสุขมากขึ้นเวลาทํามันเนี่ยครับ เราจะทํามันออกมาได้ดีมากขึ้น มันเป็นคอนเซ็ปท์ที่ชื่อว่า Self Efficiency ครับผม ที่ถ้าสมมุติเราเชื่อมั่นว่าเราสามารถทํามันได้ เราจะทํามันได้ดีขึ้นครับ มันมีตัวอย่างหนึ่งในโลกโซเชียลที่ฟังตํามาตกครับผม ก็คือคุณ David Calkins เขาเป็นคนที่วิ่งมารทอนได้นานมากมากครับผม แล้วตอนแรกเนี่ยเขาก็เชื่อว่าตัวเองอาจจะทําไม่ได้ แล้วเขาคอย ตัวเองอยู่โดยการตะโกนว่า แบบนี้ไปเรื่อยเรื่อยครับผม จนเขาสามารถทํามันได้ เพียงเพราะว่าเขาเชื่อมั่นในตัวเองมากมากครับผม แล้วเขา ของร่างกายตัวเองไปเยอะ จนเขาต้องรับการผ่าตัดเยอะมากมากเลยครับผม และดังนั้นเนี่ยครับผม คุณ จึงนํา นี้มาปรับใช้ตัวเองครับผม โดยตั้งชื่อคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ชื่อว่า The Confidence Switch ก็คือเป็นการที่เขาลองถามตัวเองดูครับ ก่อนที่จะเริ่มทําอะไรสักอย่างว่า ถ้าสมมติเขามั่นใจตัวเองมากมากครับผม แล้วเขารู้ว่าเขาไม่สามารถทําพลาดได้ เขาจะทํามันยังไง แล้วพอเขาคิดวิธีทําออกนะครับผม เขาก็จะลองทําตามวิธีนั้น แล้วผลลัพธ์ของมันก็จะออกมาดีครับผม เพียงเพราะว่าเราเชื่อมั่นในตัวเอง ดังนั้นเนี่ยครับผม ใจความหลักของเรื่องพาเวอร์เนี่ยคือ การให้เราเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็รู้จักคอนโทรล Mindset ของเราเองครับผม ในส่วนต่อมาเรื่องของ people ครับผม คือในการให้เราจะทําสิ่งให้เราอยากทําได้ หรือ Productive มากขึ้นได้ เนี่ย เราต้องมีเพื่อนที่ถูกต้องครับผม คือคุณ Addy of Doll เนี่ย บอกว่าทุกทุกคนเนี่ย จะมีกลุ่มเพื่อนที่ใช่อยู่สําหรับตัวเอง ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนที่คอย push ให้เราทําในสิ่งที่เราอยากจะทําจริงจริงครับผม และหน้าที่ของเราเนี่ย ก็คือหากลุ่มนั้นให้เจอ แล้วพอเจอปุ๊บ เราก็ต้องวางตัวกลุ่มนั้นให้ถูกต้องครับผม คือหลักการนี้มันมาจากความเชื่อที่ว่าเราเป็นค่าเฉลี่ยของ 5 คนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดครับ คุณอัลลิฟตอลเลยพูดถึงเรื่องนี้ เพราะว่าถ้าสมมุติค่าเฉลี่ยของเราเนี่ยไม่ใช่คนที่เราอยากจะเป็น เราจะมีคนแบบนั้นอยู่รอบชีวิตของเราก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้เราประสงค์ความสำเร็จใน Goal ที่เราตั้งไว้ขนาดนั้นครับ แต่อีกอย่างนึงที่อัลลิฟตอลพูดถึงก็คือเรื่องของ Combrant Mindset พอเราเจอเพื่อนกลุ่มนั้นปุ๊บนะครับ วิธีวางตัวที่ถูกต้องคือการมีคอมรัฐ mindset หรือการเชื่อว่าเราทุกคนเป็นสหายกัน เราไม่จำเป็นต้องแข่งกันครับผม แทนจะมองว่า I win you lose เราจะมองว่า I win you win หาวิธีช่วยเหลือกัน ผลักดันกัน และ push และพัฒนาตัวเองไปด้วยกันครับผม และทุกอย่างจะดีขึ้นครับ พระยกตัวอย่างดูนะครับว่าถ้าสมมติผมอยู่ที่คณะแพทย์นะครับ แล้วผมมีเพื่อนผม 2-300 คนเนี่ย ถ้าสมมติผมพยายามชิงนี้ชิงเด็น อยากเรียนได้เป็นที่ 1 โดยการ ไม่แบ่งชีวิตสรุป ไม่ช่วยเหลือเพื่อนอะไรเลยนะครับ คือแน่นอนผมอาจจะสอบได้คะแนนท็อปท็อปครับผม อาจจะไม่ได้ที่หนึ่ง แต่อาจจะคะแนนท็อปท็อปมากมากเลย แต่พอถึงเวลาที่ทุกคนจบเป็นแพทย์ครับผม แล้วต้องทํางานร่วมกัน ผมจะไม่มีสหายหรือไม่มีเพื่อนที่สามารถทํางานร่วมกันได้ดี ละท้ายที่สุดเนี้ยครับ ต่อว่าผมเก่งแค่ไหนเนี้ย ถ้าไม่มีทีมหรือไม่มีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือกันได้ และช่วยรักษาผู้ป่วยได้เนี้ย ผมก็ไม่สามารถมีแพทย์ที่ดีได้จริงไหมครับ ในส่วนที่สองหนังสือครับผม เป็นส่วนที่ชื่อว่า Unblock ครับผม ซึ่งส่วนนี้เนี้ยจะเป็นส่วนที่เรามาดูกันว่าอะไรจะเป็นตัวแปรให้ทําให้เราไม่ประลักษณ์ ครับผม และวิธีจัดการอุปสรรคเหล่านั้นครับ ส่วนแรกของ Unblock ครับผม คือเรื่องของ Uncertainty หรือความไม่แน่นอนครับ คือเวลาที่เรารู้สึกว่าเราอยาก Procrastinate หรือยาหูนะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราก็หาสาเหตุเจอครับผมว่าอย่างเช่น เราไม่ได้มีวินัยมากพอ หรือเราไม่มีแรงบันดาลใจหรือว่า Motivation ในการทํา ซึ่งส่วนนั้นนะครับผม ก็เป็นสาเหตุสองข้อนะครับ แต่ว่ามันไม่ใช่สาเหตุที่ specific มากพอครับผม ที่ทําให้เรารู้ว่าต้องแก้ไขตรงไหน เราถึงจะอยากทํางานเหล่านั้นครับ แล้วคุณ Andy Abdor เนี่ย ก็มองเห็นจุดนี้ครับผม เขาก็เลยคิด framework หนึ่งขึ้นมา ชื่อว่า the five wise method framework ครับผม ก็เป็น framework ที่จะให้เราถามตัวเอง ห้ารอบครับผมว่าทําไมเราถึงทําสิ่งที่เราทําอยู่ เราไม่เลือกจะทํางาน อย่างเช่นผมไม่อยากทําการบ้านครับผม ผมก็ถามตัวเองว่า ทําไมผมไม่อยากทําการบ้าน ก็เพราะว่าผมรู้สึกผมไม่ชอบ ทำไมผมไม่ชอบ ผมรู้สึกว่าเรียนไปแล้วเนี่ย ทําการบ้านไปแล้วเนี่ย มันไม่ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้นเลย ทำไมผมไม่เข้าใจมากขึ้นเลย ก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมได้เรียนรู้ดีขึ้นครับผม ถ้าสม ผมได้ลองทําอะไรสักอย่าง เนี่ยครับ เห็นไหมครับ แค่ผมถามสามรอบเนี่ย ผมก็เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้นแล้ว อาจจะลองหาวิธีที่ทําให้ผมได้ลงมือทํามากขึ้น ทําให้ผมอยากทําการบ้านอีกครั้งนี้ครับ ฉะนั้นเพื่อนก็สามารถลองเอาอันนี้ไปทําตัวเองได้ครับผม เวลาที่กําลังอุ้งงาน สิ่งที่สองที่คนอัลลี่อัพดอร์ผมมักจะพูดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกไม่อยากทำงานเนี่ยคือเรื่องของ fear หรือความกลัวว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไง ตัวอย่างนี้เห็นได้ชัดมากเลยครับผมกับเรื่อง youtube นะครับ คือช่วงแรกเนี่ยผมเองก็รู้สึกว่าถ้าผมลงคลิปไม่ดีแล้วผมทำคลิปไปแล้วแล้วคนดูน้อยหรือว่าไม่มีใครชอบคอนเทนต์ที่ผมทำเนี่ยผมจะทำไปทำไมผมก็เลยไม่กล้าทำสักทีครับผม น่าจะเห็นว่าในแชนแนลผมเนี่ยมีไม่ได้ลงคลิปไปประมาณปี 2 ปีเพราะว่าผมยังไม่สามารถก้าวข้าม fear นี้ได้ครับผม แต่วิธีที่คุณแอรี่อัพดอลแนะนํา นะครับผม ว่าใช้แก้ เนี่ย คือลองถามตัวเองครับผมว่า ก็เราทํามันไปแล้ว เนี่ย มันจะมีผลอะไรกับเราบ้าง ในสิบนาทีต่อจากนี้ ในชั่วโมงต่อจากนี้ ในสิบวันต่อจากนี้ หรือในสิบปีต่อจากนี้ครับผม เพราะสิ่งที่เรากังวล เนี่ย เรากังวลภาพราคตัวเอง ทั้งที่จริงจริงแล้วเนี่ย มันก็ไม่ได้มีคนสนใจผมเยอะขนาดนั้นด้วยซ้ำของผม ในแชนแนลของผมเนี่ย เพราะตอนนี้คนดูก็มีซับอยู่เก้าพันหนึ่งหมื่นคน ซึ่งเปรียบเทียบกับแชนแนลใหญ่ใหญ่ที่มีคนดูเป็นสิบหรือร้อยล้านคนนะครับ และคุณอัลลี่ อัพดอร์ก็เลยได้พูดว่า จริงๆ แล้วเนี่ย เพียงแค่ลองถามตัวเองดูว่า มันจะส่งผลอะไร What's the worst that can happen? หรือว่ามันจะมี consequence อะไร ในระยะเวลาต่างๆ ต่อจากนี้จะช่วยให้เราก้าวข้าม fear พวกนี้ไปได้ครับผม แล้วก็เริ่มทำงานที่เราต้องทำจริงๆ ส่วนที่ 3 ของ Unblock นะครับผม ก็คือเป็นปัญหาในเรื่องของ inertia หรือว่าความเฉย คือหลักการในฟิสิกส์นะครับผม จะบอกว่า สิ่งของที่มันอยู่นิ่งครับผม หรือ stationary object นะครับ มันจะมี inertia เยอะมากๆ ครับผม หรือจะมีความเฉลี่ยเยอะมากๆเลย ในการที่เราจะพลักมันออก และให้มันขยับในตอนแรก มันก็เหมือนกับการที่เราเริ่มทำอะไรสักอย่างนะครับผม การที่เราเริ่มทำมันนะครับผม เป็นจุดที่ยากที่สุดแล้ว และการทำมันต่อเนี่ย มันไม่ได้จุดที่ยากขนาดนั้นครับผม อย่างตอนนี้เนี่ย การที่ผมลุกขึ้นมา แล้วก็เปิดกล้องอัดตั้งแต่ต้นคลิปมาเนี่ยครับ มันจะเป็นจุดที่ยากให้สุดของผมแล้ว และตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ามันเป็น flow แล้ว เริ่มอัดเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วก็เริ่มไปได้เรื่อยๆ ครับผม ลองยกตัวอย่างให้เห็นก็คือ เวลาคนที่เป็นนักเขียน เขียนหนังสือเนี่ยครับ เขาจะมีสิ่งที่เขาเรียกว่า writer's block คือเหมือนเขาเขียนแล้วคิดอะไรไม่ออก แล้วหน้ากระดาษมันเป็นหน้าเปล่าครับผม แล้วไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนยังไง แต่วิธีที่หลายๆคนเนี่ยเชื่อว่าจะแก้อันนี้ก็คือ ลองคิดให้ดีว่าจะเขียนยังไง ความสําหรับของการเขียนไม่ดีนั้นคือ เราก็สามารถเริ่มต้นการเขียนได้ครับ เหมือนกับการงานทุกอย่างครับผม แค่เริ่มต้นแล้วทุกอย่างจะด ส่วนที่สามของหนังสือครับผม หรือส่วนสุดท้ายเนี่ย จะพูดถึงเรื่อง sustain ครับผม ว่าเราจะสามารถ sustain ตัวเองยังไง หรือทำยังไงก็น่าให้เราสามารถทํางานที่เรารักแล้วเราชอบหนักมากมาก แต่ทํามาได้เรื่อยเรื่อยโดยที่ไม่เครียดเกินไปครับผม ซึ่งก็จะมีหัวข้อย่อยอยู่สามหัวข้อคือ conserve, recharge แล้วก็ align ครับผม ในเรื่อง conserve เนี่ยครับผม คุณ Ali Abdol เขาได้มองเห็นความสัมพันธ์ของการที่เราต้องเก็บพลังงานของเรา ไว้ใช้กับสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันคุ้มข้างจริง คุณ แอลลี่ อัพ ดอ ร์ ก็เลย แนะนํา วิธี หนึ่ง ครับผม ชื่อว่า The hell yes Hell Yes คือเป็นคำที่เขาใช้พูดเวลาให้เขารู้สึกว่าอะไรที่มันใช่มากๆและถูกใจมากๆครับผม แต่ว่าถ้าสมมติมีคนสั่งงานเราและถ้าเราเลือกได้เลยครับผม เลือกทำเฉพาะงานให้เรารู้สึกว่า Hell Yes เราอยากทำจริงๆ และงานอื่นๆที่ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นนะครับผมก็ปฏิเสธให้หมดเลยครับ และทำอย่างนั้นเนี่ยเราจะสามารถ Conserve Energy ของเราไปอยู่บนงานที่เราอยากทำจริงๆได้ครับ ในส่วนต่อมาครับผมก็คือเป็นส่วนของ Recharge ครับผม คือเวลาให้เราทำงานหนักๆมาเนี่ยครับมันก็เป็นปกติเรารู้สึกว่า พลังงานเราหมดแล้ว drain energy ครับผม เราควรต้องหาอะไรทําที่มัน รีชาร์จเราจริงจริง ซึ่งหลายหลายคนเนี้ยอาจจะเข้าใจผิดว่า การให้เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาครับผม แล้วก็ถ่ายติ๊กต่อดูนู่นดูนั่นใน social media จะช่วยรีชาร์จเรา แต่จริงจริงแล้วเนี้ยครับผม กิจกรรมที่แต่ละคนทําแล้วมันรู้สึก ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เขาชอบครับผม อย่างส่วนตัวผมเนี้ย กิจกรรมที่ มากเลยคือการถ่ายวีดีโอคลิปแบบนี้ เพราะผมรู้สึกว่าสนุกกับการได้พูดหน้ากล้อง แล้วก็มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น โลก ครับผม มันก็เลยทําให้ผมรู้สึกว่าหลังทํานี้เสร็จแล้วเนี้ย ถ้าผมจะไปทำอะไรต่อหาเพื่อน หรือว่าอาจจะไปกินข้าว หรือว่าจะอ่านหนังสือต่อเนี่ย ผมสามารถทําได้อย่างเต็ม energy เพราะรู้สึกว่าการทําสิ่งนี้เนี่ย มัน recharge energy ให้ผมแล้ว แล้วมันก็จะมีหลักการหนึ่งของคุณเอลี่อับดอง ผมที่เขาแนะนําอยู่ว่า บางทีเราไม่ต้องกดดันตัวเองในการหาว่าเราอยากทำกิจกรรมอะไรที่มัน Recharge ตัวเรา อย่างบางคนอาจจะรู้ตัวว่าชอบเล่นกีฬา แต่บางคนที่ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรเรารู้สึก Recharging อันนั้นใช้หลักการชื่อว่า Write-Off Principle ซึ่งหลักการนี้แค่บอกว่าบางทีการนอนนิ่งๆ นอนเฉยๆ ใช้ชีวิตแบบสมองตาย น่าจะเป็นทาง Recharge พลังงานที่ดีที่สุดครับผม เพราะอันทำให้เราได้ผลักผ่อน และเราไม่ต้องไปวาวุ้นคิดถึงอะไรครับ สุดท้ายเป็นเรื่องของ align นะครับผม เป็นหัวข้อที่กุญแอลลี่อัพดอลพูดถึงว่า ถ้าสมมุติเราอยากทําอะไรที่เราชอบ เรารักมากมากครับผม ให้ได้นานนาน โดยที่เราไม่เหนื่อย เราต้องทําอย่างเท่านั้นให้สิ่งนั้นนะครับผม มัน align กับ goal ของชีวิตของเรา และวิธีที่เขาแนะนําว่าให้หา goal ของชีวิตของเราเนี่ย มีอยู่สองแบบด้วยกัน แบบแรกคือ the eulogy method ครับผม คือให้เพื่อนเพื่อนลองนึกดูกับผมว่า ถ้าสมมุติวันหนึ่งนะครับ เราเสียชีวิตไป บนสุดสารของเราครับผม ที่เป็นแผ่นหินนั่นนะครับ แผ่นศีลานั้นเนี่ย อยากให้เขียนว่าอะไร และอยากให้คนอื่นจดจำเราเป็นคนยังไงครับผม แล้วค่อนลองนึกดูครับผมว่า สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้เนี่ย มันจะทำให้คนอื่นจดจำเราแบบนั้นได้หรือไม่ อีกอย่างหนึ่งเป็นเรื่องของ Odyssey Plan นะครับผม เป็นสิ่งที่คอยให้เราสำรวจดูว่าตอนนี้เนี่ย จริงๆแล้วเรามีทางเลือกในการใช้ชีวิตแบบไหนบ้าง และเราเลือกใช้ชีวิตแบบไหน เขาก็จะถามให้เราเขียนออกมาผมว่า ตอนนี้เนี่ย ทางเดินที่เราเลือกตอนนี้เนี่ยเป็นยังไง เราอธิบายออกมาครับ ทางเดิมที่ถ้าสมมติเราไม่เลือกทางนี้เนี่ยผมอีกทางหนึ่งที่เราสามารถเลือกในอดีตเนี่ยจะเป็นยังไง และสุดท้ายผมทางเดินที่สมมติเสี่ยงที่สุดแต่เรามีความสุขมากที่สุดเนี่ยมันจะเป็นยังไง คือคล้ายๆกับว่าถ้าสมมติเป็นผมนะครับทางเดินตอนนี้คือผมเรียนอยู่ที่คณะแพทย์แล้วผมก็ทำ youtube ไปด้วยแล้วผมรู้สึกมีความสุข Alternative ก็คือผมอาจจะมองว่า ผมอาจจะไปเข้าคณะอื่น หรือผมอาจจะไปเรียนต่างประเทศ แล้วก็อาจจะมีชีวิตที่แตกต่างกันมากเลยครับผม ส่วนทางเดินที่รู้สึก Radical และมันสุดต่งมากที่สุดเนี่ยค่ะ ก็คืออาจจะเป็นการที่ผมเล่าจากคณะแพทย์มาทำ YouTube เต็มเวลาเลยครับผม ซึ่งมันก็จะสุดโต แต่ว่าหลักการนี้เนี่ยครับผม เขาแค่อยากให้เรารู้ใช่ว่า Possibilities ในชีวิตของเรามีอะไรบ้าง และลองนึกดูว่าสิ่งที่เราเลือกอยู่ตอนนี้เนี่ย เรามีความสุขมากที่สุดหรือเปล่า ก็ประมาณนี้นี่แหละครับผม อันนี้คือหนังสือ Feel Good Productivity ของคุณอรียับดอร์ ก็คือเราต้อง Feel Good ก่อนถ้าจะ Productive ได้ และส่วนตัวผมชอบหนังสือเล่มนี้มากเลยนะครับผม และผมรู้สึกว่าผมน่าจะกลับมาอ่านด้วยๆเลยครับผม เพราะว่ามันให้ข้อคิดดีมากๆเลย และสำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ถูกแจ็คคลิปวิดีโอแบบนี้นะครับ ก็อย่าลืมกด Like และ Subscribe แชนแนล Nerdy Nut นะครับ ถ้ามีคอนเทนต์ไหนที่สนใจอยากให้ผมทำจริงๆเนี่ย ก็สามารถ Comment บอกได้ตลอดเลยนะครับ ก็สําหรับเพื่อนเพื่อนคนไหนเนี้ย ที่ดูคลิปนี้ถึงจบก็ขอบคุณมากจริงจริงนะครับ แล้วไว้ตอบติดตามคลิปใหม่ได้อาทิตย์หน้าวันพุธตอนสี่โมงยุนเลยครับผม ไว้เจอกันนะครับ แล้วลิงค์หนังสือที่อยู่ใน description นะครับผม ถ้าสนใจไปกดซื้อได้ ผมแนะนําทุกคนให้ไปอ่านเลยครับ เนื้อหามันดีจร