Transcript for:
การยืมคำในภาษาไทย

สวัสดีครับน้องๆวินเนอร์ติวเตอร์วันนี้เรามาเรียนวิชาภาษาไทยกันครับเรื่องที่เราจะเรียนกันก็คือคำภาษาไทยที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศครับน้องๆ ทราบไหมครับว่าภาษาไทยที่เราใช้พูดและใช้เขียนกันอยู่ในทุกวันนี้มีหลายคำเลยนะครับที่ยืมมาจากคำในภาษาต่างประเทศและนำมาสร้างเป็นคำใหม่ในภาษาไทยอย่างคำว่าทุเรียน ราชาแห่งผลไม้ไทยก็ไม่ใช่คำไทยแท้แต่เป็นคำยืมที่มาจากคำในภาษามะลายูว่าดูเรียน ซึ่งแปลว่าผลไม้ที่มีหนามครับหรืออย่างคำว่ากะปิ อาหารที่เราคุ้นเคยกันดี คำนี้ก็มาจากคำในภาษาเมียนมาว่า ง่าปิ ซึ่งแปลว่าปลาหมักครับสาเหตุที่ภาษาต่างประเทศปะปนในภาษาไทย ก็มีอยู่หลายสาเหตุเลยครับไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสภาพภูมิประเทศ ที่มีอนาคตติดต่อกับประเทศต่างๆการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณการเผยแพร่ศาสนา และการเข้ามาของวัฒนธรรมของชาติอื่นๆการศึกษาและวิทยาการต่างๆ จากคนไทยที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศ หรือในเรื่องของความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างไทยกับต่างประเทศรวมถึงการอพยพของคนต่างถิ่นเข้ามาในประเทศไทยก็ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางภาษาและมีการยืมคำของชาติอื่น มาใช้ในภาษาไทยเป็นจำนวนมากครับจะว่าไปแล้ว การยืมคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทยมีมาอย่างยาวนานแล้วนะครับดังหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในศิราจารึกพ่อขุนรามคำแหง เมื่อพุทธศักราช 1826 ก็มีการใช้คำภาษาบารี ภาษาสันสกริจ และภาษาเขมรปะปนกับคำภาษาไทยอยู่หลายคำครับน้องๆอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่าคำไหนเป็นคำยืมมาจากภาษาต่างประเทศและคำที่ยืมนี้เป็นคำที่มาจากภาษาอะไรใช่ไหมล่ะครับงั้นเรามารู้จักวิธีสังเกตลักษณะและคำในภาษาต่างๆที่นิยมใช้ในภาษาไทยกันเลยดีกว่าครับเริ่มต้นที่คำยืมจากภาษาบารีและภาษาสันสกริจซึ่งเป็นภาษาที่มีใช้ ในภาษาไทยมากที่สุดกันก่อนนะครับ ในการเข้ามาของภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตในประเทศไทยมาจากการเผยแพร่ศาสนาจากประเทศอินเดีย โดยภาษาบาลีเข้ามาทางศาสนาพุทธส่วนภาษาสันสกฤตเข้ามาทางศาสนาพราม แล้ววรรณคดี ของอินเดียเรื่องรามัยนะและมหาภารตะครับ ทั้งสองภาษาเป็นภาษากลุ่มอินโดยูโรเปียนเหมือนกัน จึงมีลักษณะของคําที่ใกล้เคียงกันมากแต่ก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่นะครับ วิธีการดูว่าคําไหนเป็นภาษาบาลีหรือภาษาสันสกริต ให้สังเกตตามนี้นะครับน้องน้องภาษาบาลีมีพยานชนะสามสิบสองตัว และมีสละแปดตัวได้แก่ อ่าอ่าอีอีอูอูเอโอ หลักการสังเกตลักษณะของคำภาษาบาลีที่สำคัญก็คือภาษาบาลีจะมีหลักตัวสะกดและตัวตามที่แน่นอนครับเรามาดูตารางพยานชนะของภาษาบาลีไปพร้อมกันนะครับพยานชนะทั้งหมด 32 ตัวในภาษาบาลีแบ่งได้เป็น 5 วัก 5 แถว และมีพยานชนะเศษวัก 7 ตัวตามนี้ครับส่วนเครื่องหมายวงกลมหรือนิขหิตที่อยู่ในเศษวักจะไม่นับเป็นพยานชนะครับ เพราะในภาษาไทยไม่มีใช้นั่นเองแต่ในภาษาบาลี จะใช้เครื่องหมายนี้เขียนไว้บนพยานชนะ เพื่อใช้แทนเสียงตัวสะกด ง.ง.จากตารางพยานชนะในภาษาบาลีที่น้อง ได้เห็นอยู่นี้ตัวสะกดและตัวตามจะอยู่ในวักเดียวกันเสมอหากพยานชนะแถวที่ 1 เป็นตัวสะกดพยานชนะแถวที่ 1 จะเป็นตัวตาม เช่น ทุกข์ หัด บุพพ้า หากพยานชนะแถวที่ 3 เป็นตัวสะกด พยานชนะแถวที่ 3-4 จะเป็นตัวตาม เช่น พยักษ์ อัชชาศัย รัฐธิหากพยานชนะแถวที่ 5 เป็นตัวสะกด พยานชนะตัวใดก็ได้ที่อยู่ในวักเดียวกันจะเป็นตัวตาม เช่น สัญชาติ สัมผัส คำพีและหากพยานชนะเศษวักดิ์เป็นตัวสะกด ตัวตามก็จะอยู่ในเศษวักดิ์เหมือนกัน เช่น ไอิกา มะลิกา ชิวหา ส่วนภาษาสรรษะกริจจะแตกต่างจากภาษาบาลี ตรงที่ตัวสะกดและตัวตามอยู่ข้ามวักกันได้ครับเช่น วิทยุ อาตมา คณาจารย์ คำเหล่านี้เป็นคำภาษาสรรษะกริจครับนอกจากหลักการเรื่องตัวสะกดและตัวตามแล้ว ภาษาบาลีและภาษาสรรษะกริจก็มีจุดที่แตกต่างกันอีกนะครับมาดูไปพร้อมกันเลยครับว่ามีอะไรบ้างภาษาบาลีมีพยานชนะ 32 ตัว ส่วนภาษาสรรษะกริจมีพยานชนะ 34 ตัว ตัวอักษรที่เพิ่มเข้ามาอีก 2 ตัวคือ สอสลาและสอฤษี เช่น อังกฤษ กษัตริย์ ศิลปะ ประเทศภาษาบาลีมีสละ 8 ตัว ส่วนภาษาสันสกริตมีสละ 14 ตัวสละที่เพิ่มเข้ามาก็คือ รึ รื รึ รื ไอ เอา เช่น กฤษณา ปลายสนียวชน ภาษาบาลีนิยมใช้ ล จุ ลา เช่น จุ ลา กี ลา ค ลุ นส่วนภาษาสรรศกฤตนิยมใช้ ท ม น โ โ เช่น จุ ทา กรี ทา ครุ ธภาษาบาลีนิยมใช้พยานชนะ 2 ตัวซ้อนกัน เช่น ค ี นิ พ พา น ม ั จ ุ รา ตส่วนภาษาสรรศกฤตนิยมใช้อักษรควบและอักษรนำ เช่น ท นิ ท รา ป รา ท นา ภาษาบาลีใช้คำว่า ริ แทนคำที่มีรอหัน เช่น พริยา จริยาส่วนภาษาสันสกฤต จะใช้คำที่มีรอหัน เช่น ภรรยา จัญญา ภาษาบาลีจะผสมด้วย สละอิ อุ แทนตัวรึ เช่น อิทธิ อิสิส่วนภาษาสันสกริต จะใช้ตัวรึ เช่น ฤทธิ ฤสิพอแยกเป็นข้อๆแบบนี้แล้ว พอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นกันแล้วใช่ไหมล่ะครับน้องๆแต่เดี๋ยวก่อน นอกจากวิธีสังเกตที่พี่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ พี่ก็มีเทคนิคการดูคำภาษาศัลสกฤตอีก 3 ข้อมาบอกครับข้อแรก หากพยานชนะสอเสืออยู่หน้าพยานชนะดอเดก ต่อเต่า ท้อถุงคำเหล่านี้จะเป็นภาษาศัลสกฤตครับ เช่น สะดม สตรี สถานข้อสอง คำที่มียอยักษ์กรรณ หอหีบกรรณ มักเป็นคำที่มาจากภาษาศัลสกฤต เช่น แพทย์ อาทิตย์ สเน่ สังเคราะห์และข้อสุดท้ายคำที่มีตัวสะกด 2 ตัว และตัวสะกดที่ 2 เป็นรอเรือก็มักจะเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤตเช่นเดียวกันครับเช่น จักร สมุทร เนธรู้จักวิธีแยกคำภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตกันไปแล้วครับงั้นเรามาลองทดสอบความเข้าใจกันดูดีกว่าครับคำว่า มัชชิม กับคำว่า มัธยม ที่แปลว่ากลางๆน้องๆรู้ไหมครับว่า คำไหนคือภาษาบาลีและคำไหนคือคำภาษาสรรสกฤษเฉลย มัชชิม เป็นคำภาษาบาลีโดยสังเกตจากตัวสกดและตัวตาม ช.ช้าง ช.กเชอที่อยู่ในวักเดียวกันครับส่วนมัธยม เป็นคำสรรสกฤษเพราะตัวสกดและตัวตาม ไม่ได้อยู่ในวักเดียวกันมาต่อกันที่คำยืมจากภาษาเขมร ซึ่งเป็นภาษาที่มีใช้ในภาษาไทยอยู่หลายคำเพราะว่าไทยกับเขมรเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานและมีลักษณะทางภาษาที่เป็นคำโดดเหมือนกันครับแต่ภาษาไทยและภาษาเขมรก็มีข้อแตกต่างกันอยู่ดังนี้ครับลักษณะคำภาษาเขมรในภาษาไทยมักสะกดด้วยจอจาน รอเรือ รอลิง ยอหญิง เช่น ตรวจ ขจร ตำบล สำราน มักออกเสียงแบบอักษรนำโดยพยางแรกออกเสียงอ่ะ ถึงเสียงและพยางที่ตามมาออกเสียงแบบมีหอหีบนำเช่น ขนม ถนน ฉะเหลวมักนำหน้าด้วยคำว่าบัง บัน บำ บันเช่น บังคม บันดาล บำบัด บันเลงมักแผลงเป็นคำไทยได้เช่น คำที่ขึ้นต้นด้วยขอไข่แผลงเป็นกระเช่น คดาน เป็น กระดานคจอก เป็น กระจอกคำที่ขึ้นต้นด้วย ผ่อพึ่ง แผลงเป็น ประเช่น พจน เป็น ประจนพสาน เป็น ประสานคำที่ขึ้นต้นด้วย ประ แผลงเป็น บันเช่น ประทุก เป็น บันทุกประจง เป็น บันจงมักเป็นคำที่ขึ้นต้นด้วย สรอำเช่น กรรมจัด คำนับ ชำนาน ดำเนิน ทำนาย สำรวจ อำนวยแต่ก็มีบางคำที่เรายืมทั้งคำเดิมและคำที่แผลงแล้วมาใช้ครับเช่น เกิด กำเนิด เดิน ดำเนิน ตรา ตำราก็เรียกได้ว่าคำยืมจากภาษาเขมรในภาษาไทยที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันมีอยู่มากมายเลยทีเดียวว่าไหมครับมาต่อกันที่ภาษาต่อไปที่เราคุ้นเคยกันครับนั่นก็คือ คำยืมจากภาษาจีน ภาษาจีนเข้ามาในประเทศไทยจากการทำการค้าและการย้ายถิ่นฐานของคนจีนเข้ามาอยู่ในประเทศไทยครับวิธีสังเกตคำยืมที่มาจากภาษาจีนก็คือมักจะเป็นชื่ออาหาร เช่นเกี้ยว ก๋วยเตี๋ยว สาระเป่ามักเป็นชื่ออุปกรณ์เครื่องใช้ เช่นเก้าอี้ ตะหลิว เข็งมักเป็นคำที่เกี่ยวกับการค้า เช่น ห้าง ยี่ห้อ เท่าแก่มักเป็นคำที่ใช้วันยุคตรีและจัตวาเช่น เกี๊ยะ โต๊ะ ก๋งนอกจากยืมคำในภาษาต่างๆจากประเทศที่อยู่ใกล้กับไทยแล้วคำยืมจากภาษาอังกฤษก็เป็นคำที่นิยมใช้มากในภาษาไทยครับเนื่องจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้กันทั่วโลก จึงมีการหลั่งไหลของภาษาเข้ามาผ่านการศึกษา สื่อบนเทิง และธุรกิจครับโดยส่วนใหญ่คำยืมจากภาษาอังกฤษที่ใช้ในภาษาไทยมักเป็นคำทับสับภาษาอังกฤษ เช่น ช็อกโกแลต แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ โซดา ไมโครโฟนแต่ก็มีคำทับสับภาษาอังกฤษหลายคำที่ใช้คำไทยแทนได้ครับ เช่น แสตม ใช้คำว่า ตราไปสนิยกร Motorcyle ใช้คำว่า จักรยานยนต์Fax ใช้คำว่า โทรศัพท์ การจะเลือกใช้คำทับสับหรือคำไทย ก็ควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมของบริบทนะครับตอนนี้ก็รู้จักลักษณะของคำยืมในภาษาไทย ที่มาจากหลากหลายประเทศกันไปแล้วแต่เอ่ คำไทยแท้ล่ะครับ มีลักษณะเป็นยังไง มาๆพี่จะอธิบายให้ฟังครับคำไทยแท้ส่วนมากเป็นคำพยางเดียว มีความหมายในตัวเอง อ่านแล้วเข้าใจได้ทันที สะกดตรงตามมาตรา ไม่มีตัวกรรณ ไม่นิยมคำควบกล้ำ เช่น ลม ยาย ช้าง ครกอีกทั้งคำไทยแท้ มักไม่ใช้พยานชนะ คอละครัง ชอกเชิยอยิง ดรชดาต่อประตักถอฐาน ธอมนโท ธอผู้เท่า นอนเนร ธอทง พอสัมเภา สอสลา สอฤษี ลอจุลายกเว้นคำว่า ค่า เคี้ยน ระครัง คอง ใหญ่ ย่าเท่านะทะทงเธอ สำเภาภายเศร้าศึกศอกสอศกค่าเคี้ยนตะครังของใหญ่ย่าเท่านะทะทงเธอ สำเภาภายเศร้าศึกศอกสอศก คำเหล่านี้เป็นคำไทยแท้ครับ จำกันให้ดีนะแต่หากเป็นคำไทยแท้ที่มีหลายพยาง ก็มีวิธีสังเกตดังนี้ครับข้อแรก มีการกร่อนเสียงของคำพยางแรก เช่นมากรูด เป็น มะกรูดตัวขาบ เป็น ตะขาบสายดือ เป็น สะดือข้อสอง มักมีการแทรกเสียงไปที่กลางคำ เช่นผัดเชษ เป็น ผักกระเชษนกจอก เป็น นกกระจอก ลูกเดือกเป็นลูกกระเดือกและข้อสุดท้ายมักมีการเติมพยางหน้าทำให้เกิดเป็นคำหลายพยางเช่น ทำ เป็นกระทำเดี่ยว เป็นประเดี่ยวดุ๊กดิ๊ก เป็นกระดุ๊กกระดิ๊กนอกจากที่กล่าวมานี้ยังมีอีกลักษณะที่เป็นจุดเด่นของคำไทยแท้ครับนั่นก็คือคำไทยแท้เป็นคำที่ใช้ไม้มวลซึ่งมีทั้งหมด 20 คำครับ เหมือนที่เราเคยท่องกันตั้งแต่สมัยประถมเลยถ้าใครจำได้ก็มาท่องพร้อมๆ กันเลยนะผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะพัยใช้คล้องคอไฟใจเอาใส่ห่อ มิหลงไหล ใครขอดูจักรไคร่ลงเรือใบ ดูน้ำใสและปลาปูสิ่งใดอยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ต่างเตียง บ้าใบ ถือยัยบัว หูตามัวมาใกล้เคียงเล่าท่อง อย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วน จำจงดีเย้ เก่งมากครับน้องๆสำหรับบทเรียนนี้จบไปแล้วครับหวังว่าน้องๆจะเข้าใจเรื่องนี้กันมากยิ่งขึ้นนะครับแล้วกลับมาพบกันใหม่ในตอนหน้าสำหรับวันนี้พี่ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ