เคมีอินซีเบื้องต้น ยูเลียหรือแอร์โมเนียมไซยาเนต เป็นสารอินซีที่สังเคราะห์ขึ้นตั้งแต่ค.ศ. 1828 โดยเฟลิต โวลเลอร์ โดยสังเคราะห์จากโพเทสเซียมไซยาเนต ทำปริยากับแอร์โมเนียมคอลาย คำจำกัดความของสารอินซีก็คือสารที่มีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก โดยที่คาร์บอนจะสร้างพันธกับคาร์บอนเองหรือจะสร้างพันธกับธาตุอื่นๆ การเขียนสูตรสารอินซีมี 3 สูตรหลักๆ 1. สูตรแบบจุด จะใช้จุดแทนอิเล็กตอม 2. สูตรแบบเส้น จะใช้ขีดแทนพันธาตุเดียว หรือ 1 คู่อิเล็กตอม 3. Condensed Formula จะไม่มีขีดไม่มีจุด ใช้อัตอมคาร์บอนไฮโดรเจนต่อกันเลย สูตรแบบเส้นเองก็สามารถเขียนได้แบบไม่ต้องมี ทาสคาร์บอนกับไฮโดรเจนอยู่ในสูตรเลยนะคะ ใช้ขีดแทนอย่างเดียว ถ้าอนำสูตรแบบเส้นมาเขียนรวมกับคอนเดนต์ฟอร์มูลาร์ เราจะเรียกว่าสูตรแบบผสม การจำแนกสารอินทรีย์ โดยทั่วไปสารอินทรีย์จะถูกจำแนกตามหมู่ฟังก์ชัน ซึ่งหมู่ฟังก์ชันก็คือกลุ่มของอตอมที่มีบทบาทในการกำหนดสมบัติทางเคมีและสมบัติทางกายภาพของสารเคมีนั้นๆ ตัวอย่างสารเคมีที่จำแนกตามชนิดของหมู่ฟังก์ชันได้แก่ 1. อาลเคน 2. อาลคีน 3. อาลคาย 4. เฮลาย 5. แอลกอฮอล 6. อีเธอร์ 7. เอมีน 8. อาลดีฮาย 9. คีโตน 10. กดคาร์บอคซิลิก 11. เอสเทอร์ 12. เอมาย 13. แอซิด เฮลาย 14. แอซิด แอนฮายดราย 15. ไนตราย โครงสร้างของหมู่ฟังก์ชันแสดงในตารางต่อไปนี้นะคะ จะเห็นว่า อาวเคน จะเป็นพันธาเดี่ยวระหว่างคาร์บอน อาวคีน พันธาคู่ระหว่างคาร์บอน อาวไคล พันธาสามระหว่างคาร์บอน เฮลาย ก็จะมีพันธาระหว่างคาร์บอนกับอัตอมของท่านหมู่เจ็ด อัลกอฮอล์ ก็จะมีพันธาระหว่างคาร์บอนกับ O.S. Group อีธือ ก็จะมีพันธาระหว่างคาร์บอน O.S.
และคาร์บอน ส่วน Amine ก็จะเป็นพันธาของ Nitrogen กับ Carbon Audehyde ก็คือหมู่คาร์บอนิล สร้างพันธากับ Hydrogen หมู่คาร์บอนิลก็คือหมู่ที่คาร์บอนอตอม สร้างพันธาคู่กับออกซิเจน Ketone ก็คือหมู่คาร์บอนิล สร้างพันธากับ Carbon และ Carbon ทั้งสองข้าง กรดคาร์บอลซิลิก ก็คือหมู่คาร์บอนิล สร้างพันธากับ O.S. Group Ester ก็คือหมู่คาร์โบเนียล สร้างพันธากับออกซีเจน การเรียกชื่อสารอินซีมี 2 แบบหลักๆ 1. ชื่อเฉพาะหรือชื่อสามัญ จะเรียกตามแหล่งที่พบหรือตามหมู่อาวุธิว 2. เราจะเรียกชื่อในระบบสากลหรือระบบ IUPAC International Union of Peel and Applied Chemistry มาดูหลักการเรียกชื่อในระบบ IUPAC ขั้นตอนแรกเลยคือเราจะต้องเลือกสายโซ่หลัก โดยที่สายโซ่หลักเนี่ยเราจะต้องเลือกสายโซ่ที่มีจำนวนคาร์บอนต่อกันยาวที่สุด และที่สำคัญก็คือเป็นสายโซ่ที่มีหมู่ฟังก์ชันอยู่ด้วย จำนวนคาร์บอน 1 ตัวอ่านว่า Meth คาร์บอน 2 ตัวอ่านว่า S คาร์บอน 3 ตัวอ่านว่า Pope คาร์บอน 4 ตัวอ่านว่า Build คาร์บอน 5 ตัวอ่านว่า Pent คาร์บอน 6 ตัวอ่านว่า Hex คาร์บอน 7 ตัวอ่านว่า Hep คาร์บอน 8 ตัวอ่านว่า Oct คาร์บอน 9 ตัวอ่านว่า NULL คาร์บอน 10 ตัวอ่านว่า DECK ขั้นตอนที่ 2 ก็คือการระบุตำแหน่งของคาร์บอนในสายโซ่หลัก โดยที่เราจะเริ่มจากปลายสายโซ่ที่มีหมู่ฟังก์ชัน หรือมีหมู่อื่นมาเกาะอยู่เป็นตัวเลขน้อยๆก่อน ครั้งตอนสุดท้ายเราก็จะใส่คำลงท้ายลงไปตามหมู่ฟังชันหลักและตามลักษณะของไสโซคาร์บอนนั้น เช่น ถ้าเป็นอาวเคน จะลงท้ายด้วย เอน ถ้าเป็นอาวคีน จะลงท้ายด้วย อิน ถ้าเป็นอาวคาย จะลงท้ายด้วย อาย โพเพน โพพีน และโพพาย ถ้าเป็นหมู่ขาบ็อกซิลิก ก็จะลงท้ายด้วย โออิกแอซิด เช่น บิลทาโนอิกแอซิด ถ้าเป็นหมูแอลกอฮอล์จะลงทายด้วย ถ้าเป็นคีโตนก็จะลงทายด้วย โอน ถ้ามีหมูแทนที่หรือหมูฟังก์ชันที่สำกันนะคะ เราจะใช้คำหน้าแสดงจำนวนของหมูฟังก์ชันนั้น ถ้ามีสำกันสองตัวเราจะเรียกว่า ได ถ้ามีสำกันสามก็คือ ไต สำกันสี่ก็คือ เต็ตตะ สำกันห้าก็คือ เพ็นตะเป็นต้ม มาดูตัวอย่างของ 22 Dimethyl Butane นะคะ จะเห็นว่ามีหมู่ Methyl Group ซ้ำกัน 2 หมู่ เกาะอยู่ที่ Carbon ตำแหน่งที่ 2 ของสายโซลักษณ์ ฉะนั้นเราก็เลยเรียกว่า 22 Dimethyl มีนะคะ Carbon ในสายโซลักษณ์ทั้งหมด 4 ตัว เราเลยเรียกว่า Butane เป็น 22 Dimethyl Butane ตัวต่อไปนะคะ 112 ไตรคอโล อีเทน จะเห็นว่ามี CL ก่ออยู่ที่คาร์บอนในสายโซหลักตำแหน่งที่ 1 สองตัว ส่วนอีกตัวนึงนะคะ ก่ออยู่ที่คาร์บอน ตำแหน่งที่ 2 ของสายโซหลัก เราเลยอ่านว่า 112 ไตรคอโล มีคาร์บอนหลักสองตัว ก็อ่านว่าอีเทน ปฏิกิยาเคมีที่เกิดกับสารอินซีนะคะ ก็จะมีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน ก็คือสารตั้งต้น ตัวทำปฏิกิยา และสารผลิตภัณฑ์ การเกิดปัตติริยาของสารอินซีนะคะ ก็จะเกี่ยวข้องกับการแตกและการเกิดพันธาค่ะ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือการแตกพันธาแบบเสมอภาค เป็นการแตกพันธาเดียวโดยการแบ่งอิเล็กตรอนนะคะ ไปให้ตอมคนละ 1 ตัว เรียกกับตอมที่มีอิเล็กตรอน 1 ตัวว่า Radical หรือ Radical Isola เช่น Choline Radical ก็ไปกระตุ้น Methane นะครับ ทำให้ตัว Methane เกิดเป็น Methyl Radical แล้วก็ตัว Methyl Radical ก็จะมาทำปริยากับ Choline Radical เกิดเป็น Cholomethane การแตกแบบที่ 2 คือการแตกพันธาแบบไม่เสมอภาค การแตกพันธาแบบไม่เสมอภาคจะไม่มีการแบ่งอิเล็กตรอนไปให้อัตอมดายอัตอมหนึ่ง แต่ว่าคู่อิเล็กตรอนนั้นจะถูกอัตอมดายอัตอมหนึ่ง เอาไปเลยค่ะ ส่วนอีกอัตมนึงจะไม่มีอิเล็กตรอนอยู่เลย อัตมที่ได้คู่อิเล็กตรอนไปนะคะ จะเป็นประจุลบ ส่วนอัตมที่ไม่มีอิเล็กตรอนเลยนะคะ จะเป็นประจุบวก ฉะนั้นจะเกิดปริยาแบบ Ionic ประเภทของปริยาที่เกิดกับสารอินซี ปฏิริยาแรกคือปฏิริยาการแทนที่ ปฏิริยาการแทนที่เป็นปฏิริยาที่อัตอมหรือหมู่อัตอมในสารตั้งต้นของสารอินซีนี่ถูกแทนที่ด้วยอัตอมอื่น เช่น โบมีนแทนที่หมู่ Hydroxyglucan ของ Ethyl Alkohol ได้โบโมอีเทน ปฏิริยาที่สอง ปฏิริยาการเพิ่ม ปฏิริยาการเพิ่มเป็นปฏิริยาการเพิ่มอัตอมหรือหมู่ของอัตอมเข้าไปที่พันธาคู่ของคาร์บอนแล้วได้พันธาเดียว เป็นผลิตภัณฑ์หรือการเพิ่มอตอมไปที่พันธา 3 ของคาร์บอนแล้วได้ผลิตภัณฑ์เป็นพันธาคู่ 3.ปฏิริยาการกำจัด ปฏิริยาการกำจัดจะตรงข้ามกับปฏิริยาการเพิ่ม เพราะฉะนั้นและปฏิริยาการกำจัดก็คือการที่อตอมหรือหมู่ของอตอมหลุดออกจากสารตั้งต้น จากพันธาอิ่มตัวก็เลยจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้พันธาไม่อิ่มตัว เช่น พันธาเดี่ยวกลายเป็นพันธาคู่ 4. ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และปฏิกิริยา Reduction เป็นปฏิกิริยาที่มีการเปลี่ยงสภาวะออกซิเดชั่นของคาร์บอน โดยที่ถ้าเป็นปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เราจะสังเกตจากมีการเพิ่มออกซิเจนหรือลดไฮโดเจน แต่ถ้าเป็นปฏิกิริยา Reduction เราสามารถสังเกตได้จากมีการลดออกซิเจนหรือเพิ่มไฮโดเจน มาดูตัวอย่างนะคะ เอทิลแอลกอฮอล์จะมีไฮโดรเจนอยู่ 6 อัตอม มีออกซิเจนอยู่ 1 อัตอม เพราะเกิดปฏิกิริยาก็จะกลายเป็นอาซิตอลดีไฮ นะคะ ก็จะมีไฮโดรเจนอยู่ 4 อัตอม มีออกซิเจนอยู่ 1 อัตอม อาจแสดงว่าเอทิลแอลกอฮอล์เปลี่ยนไปเป็นอาซิตอลดีไฮนี่ ไฮโดรเจนลดลง เพราะฉะนั้นเป็นปฏิยาออกซิเดชัน และจาก Acetaldehyde กลายเป็นกรด Acetic Acid กรด Acetic จะมีออกซิเจนอยู่ 2 อัตอม มีไฮโดรเจนอยู่ 4 อัตอม แสดงว่า Acetaldehyde เปลี่ยนเป็น Acetic Acid จำนวนออกซิเจนเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นปฏิริยา Oxidation ดูปฏิริยาต่อไปนะคะ โพลปีนมีไฮโดรเจนอยู่ 6 อัตอม เปลี่ยนเป็นโพลปีนซึ่งมีไฮโดรเจน 8 อัตอม แสดงว่าฮัยโดรเจนเพิ่มขึ้น 2 อัตออม ซึ่งเป็นปฏิริยารีดัคชั่น มาดูประเภทของสารที่เขาทำปฏิริยา หรือคู่จะเรียกว่าตัวกระตุ้น ประเภทแรกเลยก็คือนิลคิโอไฟล์ นิลคิโอไฟล์ก็คือสารที่สามารถให้อิเล็กตรอน เพื่อสร้างพันธากับสารที่สามารถรับอิเล็กตรอนได้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท 1. มลคุณที่เป็นกลาง มูลคุณที่เป็นกลางนี้จะต้องมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหลืออยู่ พร้อมที่จะให้อิเล็กตรอนเช่นน้ำ ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็คือ นิคลูโอไฟล์ที่มีประจุลบ ตัวกระตุ้นประเภทที่ 2 คือ Electrophile Electrophile คือ มลกุลที่สามารถรับอิเล็กตรอนเพื่อสร้างพันธาใหม่ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ก็คือ Electrophile ที่เป็นกลาง สังเกตง่ายๆเลยก็คือ ไม่มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดียวเหลืออยู่ ส่วนอิเล็กตรอนที่เป็นประจุก็คือต้องเป็นประจุบวก ตัวกระตุ้นประเภทที่ 3 คือ Radical Isola ซึ่งจะเป็นหมู่ที่ไม่มีประจุ ซึ่งก็จะเกิดปฏิริยา ราติคอลได้โดยการไปกระตุ้นสารอีกตัวหนึ่งให้เป็นราติคอล สารอินทรีย์กลุ่มแรกที่จะพูดถึงก็คือ อัลเคน อัลเคนจะเป็นไฮโดคารบอนชนิดอิ่มตัว มีพันธุ์เดียว แล้วก็มีสูตรทั่วไปก็คือ Cn S2n บวก 2 อัลเคนตัวแรกก็คือมีเทน Cs4 แล้วการที่เราแทนที่ไฮโดเจนในมีเทน เราก็จะได้ อัลเคนตัวต่อๆไปค่ะ อัลเคนแบ่งการจัดเรียงอัตอมของคาร์บอนเป็น 2 ประเภท ก็คือ 1. อัลเคนไซโซ่ตรง ซึ่งก็จะมีคาร์บอนทั้งปัญธากับคาร์บอน ทั้งปัญธากับคาร์บอนไปเรื่อยๆนะคะ ประเภทที่ 2 ก็คือ อัลเคนไซโซ่แบบกิ่ง ก็คือจะมีคาร์บอนสร้างปัญธาแบบแยกกิ่งก้านสาขา อัลเคนที่มีคาร์บอนตั้งแต่ 4 อัตอมขึ้นไปนะคะ สามารถเขียนโครงสร้าง ได้มากกว่าหนึ่งแบบเราเรียกว่า Isomer เพราะฉะนั้นแล้ว Isomer นะคะก็คือสารที่มีจำนวนคาร์บอนและฮาโดรเจนเท่ากันนะคะ แต่สามารถเขียนได้เป็นแบบโซ่ตรงหรือแบบกิ่ง หมู่ที่จะต้องรู้อีกหมู่นึงนะคะก็คือหมู่ Alkyl หมู่ Alkyl ก็คือ Alkane ที่ขาดฮาโดรเจนไป 1 อัตอมเขียนแทนด้วยตัว R และการเรียกชื่อนะคะจาก N ก็จะเปลี่ยนเป็น U ตัวอย่างนะคะ มีเทนเวลากลายเป็นหมู่เอาคิ้วก็คือเมทิว จะเห็นว่าเมทิวเป็นหมู่เอาคิ้วของมีเทนซึ่งขาดไฮโดรเจนไป 1 ตัว ที่เหลือลองไปทำดูนะคะ การเรียกชื่อสารเอาเคนแบ่งไปได้ 3 แบบ แบบที่ 1 คือเรียกแบบสามัญ แบบที่ 2 เรียกตามมนุภัณฑ์ของมีเทน และแบบที่ 3 เรียกตามระบบ IUPAC แบบที่ 1 การเรียกชื่อสามัญนะคะ เราจะนับจำนวน คาร์บอนทั้งหมดที่มีในโครงสร้างแล้วก็ใช้คำเรียกหมู่เอลคิวนำหน้า ตัวอย่างการเรียกชื่อหมู่เอลคิว คาร์บอน 1 ตัวเรียก Methyl คาร์บอน 2 ตัวเรียก Ethyl คาร์บอน 3 ตัวที่ต่อกันเป็นสายโทรงเรียก Enpropyl แล้วคาร์บอน 4 ตัวที่ต่อกันเป็นสายโซลตรงเรียก Normal Butyl หรือ Enbutyl ถ้ามีหมู่ Methyl Group ในที่นี่วงกลมสีฟ้านะคะ สร้างพันธากราบคาร์บอนตัวที่ 2 ของสายโซลหลัก เราจะเรียกว่า ISO ถ้ามู Methyl วงกลมสีฟ้าสร้างพันธากับคาร์บอน ในสายโซลักที่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ 2 อาจจะเป็นตำแหน่งที่ 3 หรือตำแหน่งที่ 4 เราจะเรียกว่า Secondary หรือใช้ตัวย่อว่า SEC ถ้ามีหมู่ Methyl Group 2 หมู่วงกลมสีฟ้า สร้างพันธาอยู่กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 2 เราจะเรียกว่า Tertiary ใช้ตัวย่อว่า TERT นับจำนวนคาร์บอนแล้วลงท้ายด้วย N ถ้าคาร์บอนทั้งสแตด 4 อัตมขึ้นไป ยังสามารถเรียกโครงสร้างเทอร์เชอรี่ เมื่อสักครู่นี้ว่า NEO เช่น NEO-PENTENE, NEO-HECZENE เทอร์เชอรี่ PENTENE หรือ NEO-PENTENE สามารถเรียกตามระบบ IUPAC ได้ว่า 2,2-DIMETHYL-PROPANE Neohexane หรือ Tertiary hexane ถ้าเรียกตาม IUPAC จะเรียกว่า 22 Dimethyl Butane ส่วนตัวสุดท้ายจะเห็นว่า 25 Dimethyl Hepatane ก็คือมี Methyl Group ตั้งพันธาอยู่กับ Carbon ที่ตำแหน่งที่ 2 และ 5 ของสายโซหลัก ประเภทที่ 2 การเรียกชื่อ Alkane ตามอนุพันธ์ของ Methane คำลงท้ายก็จะลงท้ายด้วย Methane ในทุกๆชื่อ ส่วนคำนำหน้าก็จะเป็นชื่อของหมู่ Alkyl ที่มาแทน Hydrogen ในหมู่ Methane เช่น Hydrogen ในหมู่ Methane ถูกแทนที่ด้วยหมู่ CS3 หรือหมู่ Methyl เราก็จะเรียกว่า Methyl Methane ถ้า Hydrogen ในมูลกุล Methane ถูกแทนที่ด้วย Alkyl Propyl ก็จะเรียกว่า Propyl Methane แรงกำเนิดของอาวเคนก็จะได้มาจากการธรรมชาติ ปิโตเรียม และฐานหิน ประโยชน์ของอาวเคนขึ้นอยู่กับจำนวนคาร์บอน การ์ดธรรมชาติประเภท NGV หรือ Natural Gas for Vehicle ตอนนี้เลิกผลิตแล้วนะคะ ส่วน LPG ก็คือการ์ดหุ่งต้ม ซึ่งเป็นการ์ดระหว่าง Propane กับการ์ด Butane ผสมกัน สมบัติของอาลเคน อาลเคนเป็นมูลกุลไม่มีคั่ว มูลกุลยึดเหนี่ยวกันด้วยแรง Vanderval แล้วก็สมบัติของอาลเคนยังขึ้นอยู่กับจำนวนคาร์บอน และการเรียงตัวของ Atom Carbon ว่าเป็นสายโซ่ตรงหรือสายโซ่กิ่ง สถานะของอัลเคนขึ้นอยู่กับจำนวนคาร์บอนในสายโซ่ตรง ว่าจะเป็นแก๊ส ลิควิด หรือว่าโซริด ถ้าอัลเคนที่มีสายโซ่ตรง จุดเดือดจะเพิ่มขึ้น ตามน้ำหนักโมลิกูลหรือตามจำนวนของคาร์บอน แต่ถ้าอัลเคนเป็นสายโซ่กิ่ง จำนวนกิ่งยิ่งมาก จุดเดือดยิ่งต่ำ และถ้าเปรียบเทียบสายโซ่ตรงกับสายโซ่กิ่งที่มีจำนวนคาร์บอนเท่ากัน สายโซ่ตรงจะมีจุดเดือดสูงกว่าสายโซ่กิ่งเสมอ จุดล้อมเลวของอัลเคนก็เช่นเดียวกับจุดเดือด ถ้าอัลเคนที่มีสายโซ่ตรงเปรียบเทียบกับสายโซ่กิ่งที่จำนวนคาร์บอนเท่ากัน สายโซ่ตรงจะมีจุดล้อมเลวสูงกว่าสายโซ่กิ่ง ความหนาแน่นนะคะ อัลเคนเป็นสารอินซีที่มีความหนาแน่นน้อยที่สุด ส่วนการละลาย สารที่มีคั่วละลายในสารละลายที่ไม่มีคั่ว สารที่ไม่มีคั่วละลายในสารละลายที่ไม่มีคั่ว ปฏิกิริยาที่สำคัญของอัลเคนก็คือ 1. ปฏิกิริยา Heterogenation เป็นปฏิกิริยาที่ไฮโลเจนถูกแทนที่ด้วย อัตอมของธาตุหมู่ 7 หรือเฮโลเจน โดยตัวกระตุ้นเป็นแบบ Radical Isola ปฏิกิริยาที่สองคือปฏิกิริยา Combustion หรือปฏิกิริยาการเผาไหม้ ก็คือสารตั้งต้นจะมีอัลเคนทำปฏิกิริยากับ แล้วได้แก๊สคาร์มอนดายออกซาย น้ำ แล้วก็ความร้อนเป็นผลิตภัณฑ์ ถ้าอัลเคนมีโครงสร้างเป็นวงแหวน เราจะเรียกว่าไซโคอัลเคน ซึ่งมีสูตรทั่วไปคือ CNS2N นะคะ จะเห็นว่าตัวยางจะมีไซโคโพเปน ไซโคบิลเทน ไซโคเปนเทน และไซโคเห็กเซน และอื่นๆ ถ้าเปรียบเทียบอัลเคนกับไซโคอัลเคนที่มีจำนวนคาร์บอนเท่ากัน ไซโคอัลเคนจะมีจุดเดือดและจุดล้อมเหลวสูงกว่าอัลเคน ไซโคอัลเคนจะมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นตามจำนวนคาร์บอนและมากกว่าอัลเคน สารอินทรีย์ตัวต่อไปก็คือ อัลเคน อัลเคนมีสูตรทั่วไปคือ CNS2M Alkene ก็คือสารที่มีพันธาคู่ระหว่างคาร์บอนกับคาร์บอนอย่างน้อย 1 คู่ เพราะฉะนั้นการอ่านชื่อของ Alkene จะเหมือน Alkene แต่ลงท้ายด้วย In และการระบุตำแหน่งของคาร์บอนต้องให้พันธาคู่อยู่ในตำแหน่งที่น้อยที่สุด ถ้า Alkene ต่อกันเป็นวงแหวนก็คือ Cycle Alkene ตำแหน่งของพันธาคู่จะอยู่ในตำแหน่งที่ 1 และ 2 เสมอ เช่น Psychohexene 1 Methyl Psychohexene 3 Methyl Psychohexene 3 5 Dimethyl Psychohexene ตัวอย่างการเรียกชื่ออาวเคีนตามระบบ IUPAC ตัวแรกเลย 1-Biotein จะเห็นว่าพันธาคู่อยู่ตำแหน่งที่ 1 ตัวอย่างที่ 2 2-Ethyl 3-Methyl 1-Biotein พันธาคู่อยู่ตำแหน่งที่ 1 แล้ว จำนวนคาร์บอนในสายโซลักมีทั้งหมด 4 ตัว จะเห็นว่าหมู่เอธิลจะอยู่ที่ตำแหน่งที่ 2 หมู่เมธิลจะอยู่ตำแหน่งที่ 3 สำหรับ 2 บิลทีนก็จะมีพันธาคู่อยู่ตำแหน่งที่ 2 และสุดท้าย 1-3 บิลตาไดอีน แสดงว่ามีพันธาคู่อยู่ 2 ตำแหน่ง ก็คือพันธาคู่ที่ตำแหน่งที่ 1 และตำแหน่งที่ 3 จึงลงท้ายด้วยได้อีน Alkene สามารถเกิด Seed Trans Isomer ได้ โดยที่ถ้าเป็นแบบ Trans หมู่ Methyl Group จะอยู่ตรงกันข้าม แต่ถ้าเป็นแบบ Seed หมู่ Methyl Group จะอยู่ฝั่งเดียวกัน สารอินซีตัวต่อไปคือ Alkyne Alkyne จะมีสูตรทั่วไปคือ Cn S2n-2 ซึ่งมี Hybridization เป็นแบบ sp ส่วนการเรียกชื่อก็เหมือน Alkene และ Alkene แต่ลงท้ายด้วย อย่างเช่น อีทาย โพลพาย 1 บิลทาย 2 บิลทาย 3 เม็ดทิ้ว 1 บิลทาย สารอินทรีย์ 4 ตัวต่อไปคือ เฮลาย นะคะ เฮลายมีสูตรทั่วไปคือ R, F เมื่อ R คือ หมู่เอาคิ้ว F คือ ท่านหมู่เจ็ด ก็คือ I, B, R, C, L แล้วก็ F โดยทั่วๆไปเฮลาจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามตำแหน่งของการสร้างพันธะและจำนวนหมู่เอาคิว ถ้ามี R1 ตัวสร้างพันธะกับคาร์บอนที่ตำแหน่งเดียวที่สร้างพันธะกับ X ก็จะเป็น primary หรือปัดถมภูมิ ถ้า R2 ตัวสร้างพันธะกับคาร์บอนตำแหน่งเดียวกับ X ก็จะเป็น secondary หรือทุติยภูมิ ถ้า R3 ตัวสร้างพันธะกับคาร์บอนที่ตำแหน่งเดียวกับ X ก็จะเรียกว่า Tertiary หรือชนิดตะติยภูมิ ตัวอย่างการเรียกชื่อสาร Halide นะคะ ถ้าเรียกแบบสามัญ เราจะนำหน้าด้วยชื่อหมู่อ่าวคิ้วแล้วตามด้วย Halide ถ้าเรียกตามระบบ IUPAC เราจะเรียกว่า Haloalkane ตัวอย่างเช่น CS3, CS2, CL ชื่อสามัญคือ Ethylcholine และชื่อระบบ IUPAC คือ Chlorethane ตัวอักษรสีดำเงินคือชื่อสามัญ ตัวอักษรสีแดงคือชื่อตามระบบ IUPAC ชื่อสามัญของ Iso-Propyl-Iodide ถ้าเป็นชื่อระบบ IUPAC เราจะเรียกว่า 2-Iodopropane ชื่อสามัญของ Sex-Beauty-Bomide ชื่อ IUPAC ก็คือ 2-Bomobutane ชื่อสามัญของ Third-Beauty-Bomide จะเรียกตามระบบ IUPAC ว่า 2-Bomomethyl-Propane ชื่อสามัญที่ขึ้นต้นด้วย ISO-SEC-3 ได้เคยอธิบายไปแล้วในเรื่องสารอาลเคน ซึ่งเป็นการเรียกชื่อหมู่อาวเคี่ยวตามระบบสามัญ จุดเดือดของสารเฮลายจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนคาร์บอน และก็สายโซ่ตรงก็จะมีจุดเดือดสูงกว่าสายโซ่กิ้ง สารเฮลายที่มีจำนวนคาร์บอนเท่ากัน สารที่มีเฮโรเจนหมู่ใหญ่กว่าจะมีจุดเดือดสูงกว่า ขนาดของอัตอมไอโอดีนใหญ่กว่าโบมีน ใหญ่กว่า CL และใหญ่กว่าโฟโอลีน สารอินทรีย์ประเภทแอลกอฮอล์และฟีนอลล์ แอลกอฮอล์ก็คือสารที่มีหมู่อาลิฟาติก สร้างพันธากับหมู่ไฮดอกซิลกุ๊ก จึงมีสูตรทั่วไปคือ R, O, H ส่วนฟีนอลล์ก็คือหมู่เอาคิ้วที่เป็นอลโลเมตริก สร้างพันธากับไฮดอกซิลกุ๊ก แบ่งได้ 3 ประเภทเช่นเดียวกับสารเฮลายนะคะ คือตามจำนวนหมู่แอลกิ้ว ก็คือปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตะดิยภูมิ การเรียกชื่อแอลกอฮอล์ตามระบบสามาร ก็จะนำหน้าด้วยชื่อหมู่แอลกิ้วตามด้วยแอลกอฮอล์ เช่น เอสทิลแอลกอฮอล์ เอ็นโพพิลแอลกอฮอล์ เติร์ด บิลทิลแอลกอฮอล์ ไอโซโพพิลแอลกอฮอล์ การเรียกชื่อตามระบบอายุแผก จะระบุตำแหน่งของ OS group ที่ตำแหน่งของคาร์บอนที่ต่ำที่สุด แล้วก็ลงท้ายด้วยชื่อสายโซว์หลักว่า Alkanole เช่น เอทานัล 1 โพลพานัล 2 ไดเมทิว 1 โพลพานัล 2 ฟีนิล Ethanol สำคัญนะคะ ถ้าคาร์บอนตั��งแต่ 3 อัตอมขึ้นไป ถึงจะระบุตำแหน่งของหมู่ฟังก์ชันที่เกาะในตำแหน่งที่ 1 ถ้าแอลกอฮอล์ที่มี OH Group 2 หมู่ขึ้นไป เราจะลงท้ายด้วย Diole หรือ Glycol ถ้าลงท้ายด้วย Diole จะต้องระบุตำแหน่งของหมู่ Hydroxyl Group ถ้าเปลี่ยนจากหมู่ Hydroxyl Group เป็นหมู่ Alkoxy หรือ OR หรือสารประเภทอีเทอร์ เราจะเรียกชื่อตามอายุแพคตามตัวอย่างนะคะ หมู่ OCS3 เราจะเรียกว่าหมู่เม็ดท็อกซี่ หมู่ OCS2, OCS3 เราจะเรียกว่าหมู่เอ็ดท็อกซี่ ถ้าสายโซหลักมีคาร์บอนอยู่ 3 อัตอม มีหมู่เม็ดท็อกซี่กรุ๊ปก่ออยู่ที่คาร์บอนตำแหน่งที่ 2 หนึ่งตัว และหมู่เม็ดทิวกรุ๊ปก่ออยู่หนึ่งตัว จะเรียกว่า 2 เม็ดท็อกซี่ 2 เม็ดทิวโพลเพน จุดเดือดของแอลกอฮอล์จะสูงกว่าอัลเคนและอีเธอ เพราะว่าพันธาระว่างโมเลกูลของแอลกอฮอล์เป็นพันธาไฮโดรเจน แอลกอฮอล์ที่มีน้ำหนักโมเลกูลต่ำจะละลายน้ำได้ เพราะเกิดพันธาไฮโดรเจนกับน้ำได้ แอลกอฮอล์โซ่กิ่งจะละลายน้ำได้ดีกว่าแอลกอฮอล์โซ่ตรง เอทิวแอลกอฮอล์หรือเอทานอลล์ผลิตมาจากพืชในตระกูลที่ให้แป้งและน้ำตาล ทุกวันนี้เมื่อนามเอทานอลล์ผสมกับเบนซีนจะได้แก๊สโซฮอลล์ แอลกอฮอล์อีกตัวที่สำคัญนะคะ ก็คือ Methylalcohol หรือ Methanol มีสูตรทั่วไปคือ CH3OH นะคะ จะเป็นสารที่ระเหยง่ายเป็นพิษ แล้วก็นิยมใช้เป็นตัวทำลาย สารอินทรีย์ประเภท Aldehyde และ Ketone Aldehyde จะมีหมู่คาร์บอนิลนะคะ เกาะอยู่กับ Hydrogen Group 1 Atom สูตรทั่วไปคือ RCHO กับ Ketone หมู่คาร์บอนิล Group จาก ต่ออยู่กับหมู่คาร์บอนทั้งสองข้าง มีสูตรทั่วไปคือ R-C-O-R อันอินสีประเภทกฎคาร์บอคซิลิกนะคะและอนุพันธ์ของมัน กฎคาร์บอคซิลิกก็คือคาร์บอนิลต่ออยู่กับ O-H Group ได้เป็น COOH ซึ่งมีได้ทั้งชนิดอาริฟาติกและอารโลฟาติก ถ้าเป็นอาริฟาติกนะคะสูตรทั่วไปของมันก็คือ R-C-O-O-H ถ้าเป็นอารูเมตติกก็คือ A-R-C-O-O-H การเรียกชื่อนะคะ มีได้ 2 แบบ ก็คือชื่อสามัญ ชื่อสามัญก็จะนำหน้าด้วยชื่อของหมูอาวเคี่ยว แล้วลงท้ายด้วย อิกแอซิด การเรียกชื่ออายุแพ็คนะคะ เราจะนับจำนวนหมูคาร์บอน แล้วให้หมูคาร์บอคซิลเป็นตำแหน่งที่ 1 เสมอ แล้วก็ลงท้ายด้วย โออิกแอซิด เช่น ฟอร์มิกแอซิด ชื่อสามัญ ถ้าเป็นชื่ออายุแพ็คก็คือ เมทาโนอิกแอซิด ชื่อสามัญของ Acetic Acid ถ้าเป็นชื่อ IUPAC ก็คือ Ethanolic Acid เป็นต้น สารอินทรีย์ประเภท Ester จะมีสูตรทั่วๆไปคือ R, CO, OR จะเห็นว่าเม็ดหลักของ Ester ก็คือ Carbonic Group ต่ออยู่กับ OR ส่วนการสังเคราะห์ Ester สามารถสังเคราะห์ได้จากกรด Carboxylic Acid ทำปริยากับแอลกอฮอล์ หรือ Phenol และเราเรียกปฏิกิริยานี้ว่า ปฏิกิริยา A-Terrification เคมีอินทรีย์เบื้องต้นเป็นเรื่องสุดท้ายนะคะ ในการสอบมิดเทอม เพราะฉะนั้นอย่าลืมไปอ่านหนังสือที่อาจารย์โอโวลักษณ์แขวนไว้นะคะ อ่านเพิ่มเติมได้เลยค่ะ