Transcript for:
การพัฒนาและวิสัยทัศน์มหิดล

โจทย์ตอนนี้ของมหิดลคืออะไร ผมคิดว่าสมัยก่อนมหาวิทยาลัยเราเนี่ย สนใจใน Academic Ranking ความหมายก็คือว่าเราอยากที่จะเป็น Top Rank University บางทีการเอา Academic Ranking เป็นโตตั้ง มันอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ประชาชนของไทย เราเนี่ยอยากให้เกิด Real World Impact มากกว่า ผมก็ถามในที่ประชุมว่า โรงพยาบาลของเราเนี่ย รับผู้ป่วยอุบัติเหตุเยอะมาก มีอุบัติเหตุทางท้องถนนเนี่ย ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกเนี่ย มาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว แล้วเราจะคงรักษาอันดับอันนี้ไว้หรือ เราจะคิดแต่ บริการทางการแพทย์ที่มาคอยดูแลผู้ป่วย ขาย accident motorcycle accident โดยที่เราไม่คิดที่จะไปปรับเปลี่ยนนโยบายสาธารณะ ไปที่ต้นทาง ไปที่ต้นทางเลย เราต้องเป็นหัวห่อกับความคิดเหล่านี้ อาจารย์คิดว่าใบปริญญายังจำเป็น ผมยกตัวอย่างแพทย์ พยาบาล เผยศาสตร์ ครับทันตะแพทย์ วิศวะ กลุ่มเหล่านี้ปริญญาจำเป็น เพราะว่ามันจะต้องไปมีใบประกอบวิชาชีพ เพื่อจะกลายภาพบำบัดกันเลย พวกนี้ต้องมี เพราะว่ามันเป็นศาสตร์ที่ ไปให้เซอร์วิสที่มีผลได้ผลเสียที่รุนแรง แต่ถ้าเป็นสังคมบริษัทเนี่ยไม่ค่อยจำเป็น งานในยุคปัจจุบันเนี่ย ฟรีมยาบัตรมันไม่ได้ตอบโจทย์อย่างเยอะแยะนะ งานของทางคุณเคนเองเนี่ย ก็เชื่อว่าใช้พวกนี้หมดไง AI มีส่วนเยอะมาก แล้วพวกนี้มันไม่ได้อยู่ในหลักสูตร ใช่ครับ หลักสูตรมันปรับตัวไม่ทัน จุดขวายไปทำม.ค.อ.3 อะไรเนี่ยนะ ก่อนจะไปผ่านเนี่ยนะ เปลี่ยนอีกแล้ว เพราะฉะนั้นแนวคิดตอนนี้มันต้องเปลี่ยน The Secret Sauce What's Your Secret? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าประเทศไทยไม่ปรับตัวต่ออนาคตของสุขภาพที่จะเปลี่ยนไปตลอดกาล ชวนฟังอาจารย์เปียมิตรพูดถึงระบบสุขภาพของประเทศไทย เศรษฐกิจที่ทบพุ่งพาเรื่องของ Well-being เรื่องของ Health Care ควรจะเป็นอย่างไรต่อไปในงาน The Standard Economic Forum 2024 จัดวันที่ 13-15 พฤศจิกย์อายุนนี้ครับ สามารถซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ที่ SIP Event ครับ มหาวิทยาลัยไทยกำลังถูกทิ้งไว้ครั้งหลังจริงหรือไม่ แล้วเรื่องของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ เรื่องของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ประเทศไทยอยู่ตรงไหน วันนี้อยากจะชวนคุยอีกครั้งหนึ่งครับเรื่องของ การวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เรื่องของการศึกษาครับ ก็เป็นสิ่งสำคัญสุด เช่นเดียวกัน ผมจะมีโอกาสได้คุยกับ อธิการบดี ป้ายแดงเลยครับ เรียกได้ว่าคนนี้น่าสนใจมาก ก็คือ อาจารย์ ปียมิตรศีรภาครับ อาจารย์เคยเป็นคณะบดีของคณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า ถ้าเราเห็นวิชั่น เห็นกลยุทธ์ของอาจารย์ ที่อาจารย์อยากจะเปลี่ยนแปลง ผมต้องใช้คำว่า อาจารย์เป็นคนเข้ามา Reform หรือว่าปฏิรูปอะไรหลายๆอย่าง อาจารย์ใช้คำว่า ต้องเกิดการ Synergy กันเกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้เราอาจจะไม่ค่อยเห็นสักเท่าไหร่ รวมทั้ง Area ต่างๆที่อาจารย์อยากจะเข้าไปปรับเรียน มันเป็นคำถามอะไร หลายคำถามที่เราได้ยินกันเป็นประจำ เช่น มหาวิทยาลัยปรับตัวได้ไหมในยุคของ AI เช่น ระบบการเรียนการสอนปัจจุบัน มันไม่ทันการแล้วว่าวิชาต่างๆ จะปรับตัวเรื่องนี้อย่างไร เช่น เรื่องของงานวิจัยและพัฒนา ประเทศไทยก็มีหน่วยงานอยู่มากมาย ส.ว.ช.มหาวิทยาลัยเต็มไปหมด ทำไมเราไม่มีงานวิจัยที่นำไปสู่การค้าขายได้ นำไปสู่การสร้าง Value Creation ได้ ทำไมมีแต่งานวิจัยแบบขึ้นหิ้ง และเขากำลังตั้งเป้าที่ท้าทาย นั่นก็คือ Real Impact โดยที่พูดเรื่องว่า Holistic Well-Being ผมคิดว่าตอนนี้เราจะได้ประโยชน์ในหลากหลายมุมมาก ครับ ตั้งแต่แนวคิดในการปรับตัวของมหาวิทยาลัย แนวคิดในการจะเพิ่มพลังของการวิจัยและพัฒนาด้วยเครือข่าย และยังแตะไปเรื่องของบริการเชิงสุขภาพโรงพยาบาลต่าง ทั้งศิริราช รามาธิบดี หรือเรื่องของ Sustainability และปิดท้ายครับ จานพูดตรงมากครับ คือเรื่องของกฎระเบียบ การจัดซื้อจัดจ้างเรื่องของ Regulatory กิโยตินที่อาจารย์บอกว่า มันเป็นปัญหาจริง ของคนทำงาน ในเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย นี่น่าจะเป็นบทส่งทนายที่ทำให้เราเห็นภาพของอนาคตการศึกษาไทย ระบบสุขภาพ และข้อเท็จจริงที่เราต้องก้าวข้ามไปให้ได้ ลองไปฟังดูครับ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับอาจารย์นะครับ กับตำแหน่งอธิการบดีหมาวิทยาลัยมหิดลนะครับ ขอบคุณครับ เชื่อว่าเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติ แต่ในขณะเดียวกันก็ท้าทายมาก วันนี้ผมเลยอยากจะมาชวนคุยกันนะครับว่าอาจารย์มีมุมมองต่อ มหาวิทยาลัยอย่างไร มุมมองต่อเรื่องการศึกษาอย่างไร เรื่องของงานวิจัย หรือว่าการที่จะขับเคลื่อน มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ท็อป อยู่แล้วในระดับโลกเลยด้วยซ้ำ ในอนาคตที่มีความทัศนามากมายจะเป็นอย่างไร ก่อนอื่นอยากทราบความรู้สึกก่อนครับ ตอนที่อาจารย์ทราบว่าอาจารย์จะมารับตำแหน่งตรงนี้ ความรู้สึกมันเป็นอย่างไรครับ ก็จริง ดีใจนะครับ เพราะว่ามีความรู้สึกว่าตัวเอง อยากมาพัฒนามหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นเหมือนกับ บ้านเกิดตัวเอง เพราะว่าผมเข้าเรียนในมหาลัยมหิดล ตั้งกับภาษา 2519 คุณเข็นน่าจะยังไม่เกิด ยังไม่เกิด แล้วก็อยู่ในมหาลัยมหิดลมาตลอด มีออกไปอยู่กระทรวงสาธารณสุขอยู่พักหนึ่ง แล้วก็กลับมาอยู่ในมหาลัยอีก ซึ่งอันนี้ก็ตัวเองเนี่ย มีความเชื่อในปรัชญาของมหาวิทยาลัย ที่เป็นปัญญาของแผ่นดิน มหาวิทยาลัยยึดตามพระราชดำรัฐของสมเด็จพระราชบิดา ซึ่งเป็นพระนามของมหาวิทยาลัยเรา ว่าความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การเรียนรู้ แต่เป็นการเอาความรู้ที่มีไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ กับมวลมนุษยชาติ อันนี้ก็เป็นพระราชดำรัฐของสมเด็จพระราชบิดา ซึ่งในมหาวิทยาลัยเหมือนสิ่งที่เรายึดมั่น เพราะฉะนั้นตัวเองก็คิดว่าเราน่าจะมีโอกาส ที่จะเอาความรู้ที่มีมากมาย หรือทุนปัญญาที่เรามี ไปทำให้เกิดประโยชน์กับวนมนุษยธรรมอีกมากมาย ในฐานะที่เป็นลูกหม้อด้วย ก่อนอันนี้ก็บริหารคณะแพทย์ของรามอธิบดี ผมคิดว่าคงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ในรอบ 10-20 ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีใหม่ เกิดขึ้น เรื่องของการศึกษาที่เจอกับความท้าทาย พฤติกรรมคนใหม่ เกิดขึ้น สังคมสูงวัย เรื่องสิ่งแวดล้อม โอ้โห มันเยอะแยะไปหมดเลยครับอาจารย์ ก็เลยอยากเริ่มตรงนี้ก่อน อยาก set the scene กับทุกท่าน อาจารย์มองว่าตอนนี้ความท้าทายของเมาที่อะไร ปัจจุบันนี้มันมีอะไรบ้างครับ ความท้าทายเนี่ยผมคิดว่าเราต้องดูที่ Megatrend ของโลกใบเนีย ความท้าทายที่ใหญ่มากในปัจจุบันนี้ มันจะมีอยู่สัก 4 เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกัน อันแรกเลยเนี่ยเป็นเรื่องของ Aging Society ซึ่งจะมาเกี่ยวกับสุขภาวะของคนมาก แล้วก็ aging society กระทบกับประเทศเราเยอะ เพราะว่าคนเกิดน้อยกว่าคนตาย มา 2 ปีแล้ว ประชากรเรากำลังลดจำนวนลง แล้วก็คนมีแนวโน้มที่จะไม่มีลูกกันมากขึ้นไปจากเดิม อันที่ 2 เป็นเรื่องของ technology disruption เราพูดถึงปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีตนะ ตอนนี้มันกลายเป็นว่าเกิด AI เกิด Digital World ขึ้นมา มันเป็น disruption ที่ใหญ่มาก แล้วก็มีผลกระทบต่อทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพมหาศาล รวมไปถึงการเรียนการสอนทั้งหมดเลย มันเป็นผลกระทบที่ถือว่ารุนแรงมาก แล้วถ้าใครปรับตัวไม่ทันเนี่ย ก็อาจจะอยู่ไม่รอด อันที่ 3 เนี่ย สั้น ครับผมคิดว่า Geopolitics มีส่วนมาก เพราะว่าเราเคย ผมเองเนี่ยเติบโตมากับการพึ่งโลกตะวันตก คือไปเรียนกันที่อังกฤษกับอเมริกาแล้วก็ในยุโรปเป็นส่วนใหญ่ จงอาจารย์เหล่านี้คุ้นเคยอยู่ทั้งนั้น แต่ตอนนี้โลกกำลังเปลี่ยนซี่ เจริญก้าวหน้าของทางตะวันออกโดยเฉพาะยิ่งในจีนเนี่ย มีผลกับทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพมาก รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่จะเข้ามา มีบทบาทในปัจจุบัน แล้วก็อันสุดท้ายเนี่ย อาจจะเป็นเรื่องของ Climate Change ซึ่งถ้าใครไม่ปรับตัว แล้วก็ไม่รู้ถึงผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม กับในชีวิตประจำวันของเราเนี่ย เราจะตามโลกไม่ทัน ครับ ผมชอบมากที่อาจารย์มี Sense of Urgency สูงมากว่า ถ้าไม่ปรับเนี่ย ตายแน่นอน ทีนี้ถ้าเกิดเราลองสะโขบดาวลงมาดูบทบาท ของมหาวิทยาลัย เอามหิดลเลยละกันนะครับ ในฐานะที่จะขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่ ก็ต้องตั้งโจทย์ก่อนมาว่า โจทย์ตอนนี้ของมหิดลคืออะไร เมื่อดูเมกาเทรนด์ทั้งหมดแล้ว ถ้าถามว่าอะไรสำคัญที่สุดเนี่ยนะ ผมคิดว่าสมัยก่อนมหาวิทยาลัยเราเนี่ย สนใจใน Academic Impact หรือ Academic Ranking ข้อหมายก็คือว่า เราอยากที่จะเป็น Top Rank University เราอยากได้ จำนวนตีพิมพ์ ในวารสารที่มี Impact สูงๆ เนี่ยเยอะๆ อยากจะให้ Ranking ของเราเนี่ยขึ้น อยู่ใน Ranking ของมหาวิทยาลัย แต่ว่าต้องบอกว่า บางทีการเอา Academic Ranking เป็นตัวตั้งเนี่ย มันอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ประชาชนคนไทย เพราะว่าเราอยากให้เกิด real world impact มากกว่า คำว่า real world impact หมายความว่า งานวิจัยแต่ละอย่าง หรืองานต่าง ที่เราทำ ต้องไปคิดผลลัพธ์ที่ไปสู่ประชาชน ว่าประชาชนได้อะไร ไม่จำเป็นต้องเป็นคนไทยนะ เป็นประชากรของโลกก็ได้ แต่ว่ามันจะต้องเป็น impact ที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เข้าดีขึ้น คือไปเน้นในแง่ impact ของ อาจจะใช้ภาษาอังกฤษเยอะหน่อยคือ Holistic Well-Being องค์รวม หรือจะพูดว่าเป็นสุขภาวะในภาพองค์รวม เพราะฉะนั้นถ้าสมมติว่าเราเปลี่ยนจุดโฟกัสให้เป็นสุขภาพองค์รวม เราก็จะดี เวลาพูดอย่างนี้หลายคนก็บอก เราจะตรวจวัดยังไง จริงๆ ถ้าเราไปดูสหประชาชน์เนี่ย เขาเริ่มฟอร์มไอเดียที่จะให้คนมีสุขภาวะที่ดี โดยพยายามคิดถึง Sustainable Development Goals มานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2002 แต่ตอนแรกเขาคิดออกมาแค่ 8 ข้อ แล้วก็พัฒนามาเรื่อย จนกระทั่งปี 2015 เขา Finalize ที่ 17 ข้อด้วยกัน แล้วใน 17 ข้อ ถ้าเราไปดู มันก็จะเป็นจุดที่จะทำให้คนมีสุขภาวะที่ดี ทำให้เราอยู่กับสภาพแวดล้อมอย่างเป็นมิตร แล้วก็ทำให้เกิดความยั่งยืน ถ้าเราใช้แต่ Resource เราไม่ได้ระมัดระวังเรื่องความยั่งยืนในอนาคตเนี่ย เราจะแย่กันทั้งโลก เพราะฉะนั้นอันนี้ผมก็คิดว่าง่ายที่สุดเนี่ยก็ยึดตาม SDG คือ Sustainable Development Goals ของสหรัฐประชาชน์ ซึ่งมีอยู่ 17 ข้อด้วยกัน แล้วก็จริงๆ เนี่ยงานทุกอย่างของเราเนี่ยสามารถจัดอยู่ใน 17 ข้อนี้ได้หมด แล้วก็วัดผลจากตรงนั้นเลย ใช่ โห จะเป็นอะไรที่ท้าทายมากขึ้นนะครับ เพราะอย่างที่อาจารย์พูดเลยว่า ในอดีตผมก็จะเห็นวิธีการวัดผลสำเร็จ จากคนภายนอกแล้วกันนะครับ มองว่ามหาวิทยาลัยนี้ติดอันดับ Rank ต่าง เราก็มาดีใจกัน ใช่ไหมครับ หรือว่างานวิจัยได้ตีพิมพ์เราก็มาดีใจกัน แต่ของอาจารย์นี้กำลังจะบอกว่าอาจารย์จะปรับมาสู่ Impact Real Impact ใช่ ซึ่งอันนี้มันยากมากเพราะว่ามันจะมีตัวชีวัตรเยอะมาก แล้วก็ผมใช้คำว่าหมายว่าแหละ ต้อง Proactive มาก ขึ้นมากๆ อาจารย์ขยายความตรงนี้ฟังนี้หนึ่งว่าอาจารย์จะมุ่งไปสู่ คือในแต่ละงานที่เราทำเนี่ย เราต้องมาโฟกัสว่ามันทำให้ คนเรามีสุขภาวะที่ดีขึ้นยังไงบ้าง แล้วมันจะไปตรงกับไอ้ goals ของ SCG เนี่ยอันไหน ถ้ามันตอบโจทย์แล้ว ลงทุนน้อยได้ผลสำริทเยอะ เราก็พยายามทำอันนั้นก่อน คือจริงๆ มันจะมีงานที่เกี่ยวข้องที่ติดไปหมดเลย ความสำคัญมันอยู่ที่การ set priority แล้วก็อันไหนที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ แล้วก็เป็นประโยชน์กับประชาชนขึ้นมาก่อน มหาวิทยาลัยควรจะตอบโจทย์ สุขภาวะของประชาชนคนไทยนำมาก่อน อันนี้ก็เป็นความมุ่งหวังที่ผมคิดว่า จริง เราทำอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าปรับให้ทุกคน มีเข็มมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน แล้วก็เรามีโอกาสประสบความสำเร็จได้มาก เนื่องจากว่ามหาวิทยาลัยมหิดลมีคณะ สถาบันต่างๆ อยู่ถึง 37 คณะ แล้วก็มีตัวหลักที่เกิดก่อตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมา เป็นทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เรียกว่า Health Science แล้วต่อมาเราก็มี Science and Technology มีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีคณะวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรงมาก ซึ่ง 2 อันนี้เป็นจุดเด่นของเรา หลังจากนั้นมาเราก็มีกลุ่มของ Social Science ขึ้นมา แล้วก็ตามมาด้วยวิรัยการจัดการ สิ่งต่างๆที่ทำให้การประสาน ระหว่างวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทำให้มันมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราก็คือว่า เราจะทำยังไงที่จะทำให้เกิด การประสานงานที่ดีร่วมกัน หรือผมใช้ศัพท์ศังกิจง่ายๆว่า Synergy ของ Social Science Management กับ ทางด้าน Health Science กับ Science Technology คุณเคนอาจจะคุ้นเคยอยู่กับเรื่องของ Management เพราะว่า The Standard ก็คงจะมุ่งเน้นที่จะสร้างผู้บริหาร เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็มีความสำคัญมากว่าถ้าสมมุติว่า ถูกบริหารจัดการอย่างดี เราจะทำให้ Impact ที่เกิดขึ้นในวิทยาศาสตร์สุขภาพ และก็วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีนี้เกิดประโยชน์กับคนไทยได้อย่างมากมาย เห็นภาพเลยครับว่า Synergy จะเป็นกลยุทธ์หลัก ทีนี้ผมถอยมานิดนึงเพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพพร้อมกัน อัลไลน์กันนิดนึงนะครับว่า สรุปแล้ว วิสัยธรรมของอาจารย์ในการรับบทบาทในครั้งนี้ ผมไม่น่าจะว่าวาระมันกี่ปี อาจารย์มองตั้งเป้ากันยังไงนะครับ ในปี 2020 จุด อาจารย์ฝันว่ามหิดลจะเป็น จุด แล้วก็กลยุทธ์ที่จะนำพาให้เราไปสู่เป้าหมายนั้นคืออะไรครับ จริง มหาวิทยาลัยมีกลยุทธ์สำคัญอยู่ 4 ด้านด้วยกันครับ ซึ่งอันนี้ชัดเจนมาหลายปีแล้ว แล้วผมเองเป็น หัวหน้าส่วนงานคือเดิมเป็นคณะบดี คณะแพทยศาสตร์ ครับ โรงพยาบาลรามอธิบดีเนี่ย ก็อยู่ในสภาคมมหาวิทยาลัย แล้วก็ร่วมกันคิดกลยุทธ์เนี่ยมาด้วยกัน สี่ด้านหลักที่เป็นกลยุทธ์ของมหาวิทยาลัยเนี่ย ก็คืองานวิจัย ครับ ที่จะทำให้เกิดสุขภาวะของคน อันที่สองเนี่ยจะเป็นเรื่องของการศึกษา ที่เราจะต้องผลิตบัณฑิตออกมารับใช้สังคม ครับ บัณฑิตของมหาวิทยาลัยมหิดลเนี่ย แรกเริ่มเดิมที่ย้อนไป 140 กว่าปีก่อน จะเป็นบรรดิษฐ์แพทยาบาล ออกมาทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ต่อมาก็จะมีคณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวะ คณะสังคมศาสตร์ ไปถึงดนตรี ดุรียังคสิน การจัดการ ซึ่งก็ขยายตัวออกไปเรื่อย แต่บรรดิษฐ์ทุกคนที่ออกไปเราก็มุ่งนิ้นให้ เป็นศัพท์ทางการจัดการ เรียกว่าเป็น Outcome Based คือหมายถึงว่าออกมาแล้วเนี่ย ทำงานได้จริง แล้วก็สามารถที่จะตั้งเป้าว่าบรรดิษฐ์ที่จบออกมานี่ มีคุณสมบัติอะไรให้ได้ตามนั้น แล้วก็อันที่ 3 จะเป็นเรื่องของการบริการวิชาการ การบริการวิชาการที่คนเห็นภาพของมหาลัยมหิดลเยอะที่สุดก็คือ โรงพยาบาลที่ให้การรักษาพยาบาล เรามีโรงบาลอยู่ถึง 8 แห่งด้วยกัน ในมหาวิทยาลัย แต่คนอาจจะรู้สึกว่ามีรามสิริราช 2 อัน แต่จริงๆ อย่างศรีราชเนี่ย ในนั้นมีหลายโรงอยู่ด้วยกัน คือศรีราชหลักที่อยู่ริมน้ำ แล้วก็มีศรีราชพิยามหรัฐกาลุล ซึ่งให้การบริการแบบพิเศษหน่อย เป็นแบบกึ่งเอกชน แล้วก็มีโรงพยาบาลอยู่ที่ศรายาเอกแห่งนี้ ชื่อโรงพยาบาลกาญจนาพิเศษ เฉพาะศรีราชเนี่ยจะมี 3 โรง แล้วตอนนี้ก็มีโรงที่ 4 เกิดขึ้นที่สมุทรศาคร เป็นโรงพยาบาลผู้สูงอายุ ส่วนรามาธิบดีเนี่ย คนก็จะเห็นรามาธิบดีตรงพญาไทย แล้วก็มาเห็นที่จักรีนรุปดิน เป็นโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนรุปดินที่อยู่ที่สมุทรประการ แล้วก็ตอนนี้กำลังจะเกิดอีกแห่งหนึ่งก็คือตรง สี่แยกพญาไทย ชื่อโรงพยาบาลรามาธิบดีสิยุทยา ก็จะเปิดปลายปีนี้ แล้วก็ยังมีโรงพยาบาลเวชศาสตร์เข็ดร้อน หัวใจต้านไม่ให้โดน ไปถึงโรงบาลเล็กๆที่เรามีอยู่ที่นครสวรรค์ ในวิทยาเขตนครสวรรค์ แล้วก็ยังมีโรงพยาบาลฟันอยู่อีก เพราะฉะนั้นจริงๆบริการทางวิชาการของเราเนี่ย เป็นบริการสุขภาพเป็นหลัก แล้วก็จะมีงานบริการวิชาการเชิงทำวิจัย เพื่อตอบโจทย์ไม่ว่าจะเป็นแหล่งทุนของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการทำวิจัยเพื่อตอบโจทย์ของภาคเอกชน อันนี้เป็นกลุ่มบริการวิชาการ อันนี้ก็คือยุธศาสตร์อันที่ 3 ส่วนอันที่ 4 จะเป็นในแง่ของ Sustainability ก็คือจะทำยังไงให้เกิดความยั่งยืน ส่วนใหญ่อันนี้ก็จะเป็นยุทธศาสตร์ในการที่ มหาวันที่ไรต้องสร้างรายได้ เพื่อที่จะมาพัฒนาจุดที่เราต้องการ แล้วก็ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมของความเป็นอยู่ที่ดี เช่นทำให้เกิด Green Campus ถ้าเข้าไปในศรยาตอนนี้ก็จะเห็นว่า เขียวชะอุ่มแล้วก็มี มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม มีการใช้ Solar roof ทั่วมหาวิทยาลัย แล้วก็ในทุกๆวิทยาเขต อย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็น 4 กลยุทธ์หลักของเรา แต่หลักการที่เราจะทำให้ 4 กลยุทธ์หลักเนี่ย ประสบความสำเร็จได้ดีเนี่ย เราจะมีกลยุทธ์เพิ่มอีก 3 อันด้วยกัน 3 อันเพื่อมาตอบโจทย์ไอ้ 4 area นี่นะ ใช่ ที่ทำให้ 4 area เนี่ยพัฒนาไปได้เต็มศักยภาพ อันแรกเลยก็คือเรื่องของสารภารกิจวิจัย ที่เราใช้คำว่า Synergy คือทำให้งานวิจัยในภาควิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับทางด้าน Social Science แล้วก็การจัดการ ประสานกันเป็นอย่างดี ให้ดึงเอาคณะทางด้าน Social Science กับทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มาทำงานด้วยกัน แล้วก่อนอันนี้อาจจะไม่ได้ทำงานดีเท่าไหร่ ทำไมอาจารย์ถึงคิดว่ามันสำคัญ สำคัญมากเพราะว่า ถ้าเราไปดูอย่างดุริยางฆศิลป์ ทั้งดนตรีเนี่ย สามารถเอามาทำให้เกิดดนตรีบำบัด อ่า ทางท่านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ผมเคยเห็นเวลาไปรามาจะมีรนตรี ใช่ แล้วจริงๆเราพยายามดึงอันนี้เข้ามาแล้วแต่ว่า มันยังไม่ได้เต็มรูปแบบ อืม เข้าใจแล้ว แล้วจริงๆ เราจะเห็นว่าเวลาเราร้องรำทำเพลงเนี่ย เรามีความสุข ครับ ยิ่งคนไม่สบายอยู่เนี่ย ได้ร้องเพลงเนี่ย ก็ดีมาก คนดีเมนเชียร์ที่สมองเสื่อมเนี่ย วิธีหนึ่งที่จะทำให้เขา maintain ไม่สุดลงเนี่ย ก็คือการร้องเพลง หลายคนจำหลายอย่างไม่ได้ แต่จำนึกว่าเพลงได้ แล้วร้องเพลงได้ ใช่ ใช่ จริงครับ ซึ่งอันนี้จะเป็นตัวสอดประสานที่ดีมาก อย่างวิรัยการจัดการเนี่ย ก็สามารถเข้ามาช่วยทำให้ การบริการจัดการทางด้านโรงพยาบาลต่าง เนี่ย มีคุณภาพที่สูงขึ้น แล้วก็ใช้สาดของการจัดการเนี่ย เข้ามาทำให้การบริหารโรงพยาบาล หรือส่วนงานเล็ก ในการให้บริการประชาชน ไม่ว่าจะเป็นอันไหนเนี่ย ประสบความสำเร็จที่ดีขึ้น พี่อาจารย์กำลังจะบอกว่าตอนนี้ความรู้มันไม่ค่อยมีพรหมแดน ผมเข้าใจถูกไหมครับ แม้แต่วิทยาศาสตร์การแพทย์ Health Science ที่เรามองว่ามันค่อนข้างจะต้องลงลึก แต่อาจารย์ก็ยังมองว่าต้องรู้กว้างมากขึ้น เอามาประสานกันมากขึ้น ใช่ แล้วของบางอย่างอย่างเช่นวิศวกรรมศาสตร์ สามารถมารวมกับแพทย์ศาสตร์ได้ดี ใช่ครับ เพราะว่ามันจะมีแพทย์หลายแขนงที่ต้องมีความรู้ทางวิศวะ เยอะมากๆ ยกตัวอย่างเช่น หมอกระดูกเนี่ย เขาต้องมีความรู้เรื่องวิศวกรรม เขาจะตอกกระดูกยังไง เขาจะใช้จอยแบบไหน โมเมนต์เทคไปแล้วตรงไหน รับแรงยังไง ถ้าเขามีความรู้ทางวิศวะเนี่ย เขาจะทำงานได้ดีมาก หรือหมอวิสัญญีเนี่ย เขาต้องควบคุมเครื่องมือ ในห้องผัดตัดนะครับ แต่ละอันเนี่ยเป็นเครื่องมือที่ Sophisticated แล้วก็ ต้องมีความรู้ทางวิศวกรอยู่ไม่น้อย นี่ก็เป็นเหตุผลที่ผ่านมาเราพยายามที่จะทำให้ border ของศาสตร์ต่าง น้อยลง แล้วก็ทำให้เกิด hybrid ขึ้นมา เรามีหลักสูตรแพทย์ศาสตร์บัณฑิตบวกกับวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต เด็กเข้ามาแล้วจะเรียนทีม 7 ปี -แต่ถือว่าได้ 2 ปริญญาณ ว้าว! โอ้โฮ! ได้แพทย์ศาสตร์บัณฑิต แล้วก็ได้วิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต โอ้โฮ น่าจะเป็นที่ต้องการของงานมาก นะครับ ใช่ แล้วก็พวกนี้อาจจะกลายเป็นนวัตกร อ่าจริงครับ หรืออาจจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ แล้วแต่เพราะว่า หมอหัวใจเนี่ย ก็ต้องรู้เรื่องระบบไฟฟ้า เรามีสาขาหนึ่งแยกออกไปเลยของหมอหัวใจ ว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านไฟฟ้าหัวใจ เครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่อง D-Fib ที่ฝั่งวินีตัว แล้วก็แทรกต่างๆในกลาง นำไฟฟ้าของหัวใจเนี่ย ต้องมีความรู้รังด้านวิศวกรรมไฟฟ้าด้วย อย่างนี้เป็นต้น ขณะเดียวกันเราก็ไปไฮบริดกับทางสังคมภาษา อืม หรอครับ เราเอาแพทย์สัตว์บรรดิษฐ์เนี่ย ไปบริดกับวิรายการจัดการ แล้วเกิดเป็น 2 ปริญญาขึ้นมาคือ 7 ปีเนี่ยจะได้แพทย์สัตว์บรรดิษฐ์ แล้วก็ได้มหาบรรดิษฐ์ ครับ ทางด้านการจัดการ อืม เป็นผู้บริหารได้เลย เป็นผู้บริหารเพราะว่า เราในชีวิตจริงเนี่ย คนจบไปเป็นแพทย์เนี่ย ต้องไปบริหารทั้งนั้นนะ ใช่ จะมากจะน้อย จริง แทบทุกงานต้องบริหารคน ถูก แล้วเราไปดูผู้บริหารโรงพยาบาลเนื้อกับชน ส่วนใหญ่เป็นแพทย์ แต่ต้องไปเรียนเอาเองทีหลัง ทำไมเราไม่สร้างขึ้นมาเลยตั้งแต่ต้น แล้วเราก็เชื่อว่ามีคนที่มี ภารกิจทางด้านนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ที่เราสามารถเลือกเข้ามาเรียนได้ ความยากที่สุดคืออะไรครับจารย์ ในการรวมหลายศาสตร์เข้ามาด้วยกัน เพราะจริง ผมว่าก็เป็น เป็นแนวคิดที่มีมาอยู่สักพักแล้ว แต่ว่าไม่ค่อยเกิดขึ้น เวลาทำอะไรไปมันจะมีอุปสรรคเสมอ เช่นเราบอกว่าเรียนโทรพร้อมตรี คือแพทย์สัตว์บัณฑิตเขานับเป็นตรี ทางด้านการศึกษาเขาก็จะบอก เราจะไปให้เรียนโทรได้ยังไง ในเมื่อตรียังไม่จบ มีข้อจำกัดเลย เราก็บอกว่าต้องเรียนไปพร้อมกัน เพราะว่าเรื่องนี้มันผสมผสานกัน เพียงแต่ว่าตอนคุณจะไปสอบโทรนี้ ก็คุณสอบตรีให้ได้ก่อนก็ได้ ถ้าคุณต้องการไปตาม เดินไปตาม ข้อบังคับเดิม ซึ่งเราก็ต้องก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ แล้วก็อุปสรรคคนก็มักจะถามว่า เอ้าแล้วไปจบช้ากว่าเพื่อน แล้วเพื่อนจบแพทย์ศาสตร์ไปก่อนอะไรอย่างนี้ จะรับได้ไหม อันนี้มันก็ต้องเป็นไม่มีอะไรที่ได้ทุกอย่าง เขาก็ต้องเลือกเองว่าอันนี้เทรด อันนี้เขาสนใจไหม ถ้าว่านักชนิดหลักสูตรและการจัดการของ หมาวิทยาลัยมันไม่ได้ยาก แต่เป็นเรื่องของ Mindset ของคนที่จะมาเรียนมากกว่า อาจารย์คิดว่าใบปริญญายังจำเป็นอยู่ไหมครับ ถ้าเป็นสหัสอื่นๆ ความจำเป็นน้อย แต่สายวิชาชีพจำเป็น ผมยกตัวอย่างแพทย์ พยาบาล เผยศาสตร์ กรับทันตแพทย์ วิศวะ กลุ่มเหล่านี้ปริญญาจำเป็น เพราะว่ามันจะต้องไปมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม กายภาพบำบัดอะไรพวกนี้ต้องมี เพราะว่ามันเป็นศาสตร์ที่ไปให้เซอร์วิสที่ มีผลได้ผลเสียที่รุนแรง แต่ถ้าเป็นสังคมบริษัทไม่ค่อยจำเป็น เพราะว่าถ้าเข้าไปประกอบอาชีพหรือเป็น Entrepreneurship เขาไม่นิดใบปริญญา หรือเขาไปทำงานที่ Google Microsoft ตอนนี้ เขาไม่สนปริญญากันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นความสำคัญของ ใบปริญญานี้ยังมีอยู่ในสาขาวิชาชีพ เห็นภาพครับ ที่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ครับ เพราะไม่งั้นมันไม่มีอะไรการันตี ว่าไปเป็นแพทย์ไม่มีปริญญานะ แล้วอาจจะเก่งจริง แต่ถ้าไม่ผ่านการทดสอบ ไม่ผ่านมาตรฐานที่ ถูกกันกรองมาอย่างดีเนี่ย คนก็ไม่กล้าให้ไปรักษา อย่างนี้เป็นต้น กลับมาที่เรื่อง Synergy ครับ เมื่อกี้จานพูดเรื่องข้ามสาย ข้ามสาด ซึ่งจานก็เริ่มไปบ้างแล้ว อีกอันหนึ่งที่เราคุยกันนอกรอ แล้วผมว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากก็คือ การเชื่อมหน่วยงานอื่นๆ ที่นอกเหนือแค่มาวันที่ไร หรือขณะอย่างเดียว เชื่อมกับเอกชน เชื่อมกับสาบันด้าน การวิจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ หรือว่าไปเชื่อมเกี่ยวกับ NGO อะไรกันหรือสื่อเองก็ตามที อาจารย์มองเรื่องนี้ยังไง ทำไมอาจารย์ถึงเห็นว่าสำคัญมาก ผมคิดว่า Synergy เนี่ยมันไม่ใช่เฉพาะในมหาวิทยาลัยเรา กับคณะต่างๆ อย่างที่คุณเคลียนว่า ถ้าเรามองออกมานะ มันจะเห็นมหาวิทยาลัยอื่นๆ ซึ่งมีนักวิจัยอยู่คล้ายคลึงกับเรา จุฬากับมหิดลเนี่ย อาจจะมีคณะที่ทับซ้อนกันอยู่มากมาย แล้วก็ถ้าเรามองไปที่ธรรมศาสตร์ มองไปที่เกษตร เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลาเนี่ย มาลัยใหญ่ๆ จะมีองค์คาพยพเนี่ยคล้ายกัน มีนักวิจัยอยู่ในแต่ละศาสตร์เนี่ย ซ้ำซ้อนกันอยู่ แล้วก็อาจจะวิจัยเรื่องเดียวกันด้วย บางทีก็แข่งกัน ขาด Synergy หนักข้อไปกว่านั้น คือถ้าเราดูไปในกระทรวงอ.ว. คือกระทรวงอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์เนี่ย เดิมเนี่ยเป็นกระทรวงวิทยาศาสตร์เนี่ย จะมีศูนย์วิจัยใหญ่ๆ อยู่ถึง 5 ศูนย์ หลายคนอาจจะไม่ค่อยรู้จักเท่าไร แต่ชื่อเรียกสั้นๆ เป็นตัวยอบอังกฤษ เขาจะเรียก Biotech, NETTECH, MTECH, NANOTECH พวกนี้ ที่อยู่ภายใต้สวทช. คือกลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มใหญ่มาก อย่าง Biotech ทำทางด้านเวียดศาสตร์ชีวภาพ มีนักวิจัยอยู่ 300 กว่าคน อืม อ่า เฉพาะจบปริญญาเอกเนี่ย มีนักวิจัยอยู่ประมาณ 210 คน โอ้ คิมีโครติกเก่ง แล้วก็ทำงานวิจัยอยู่ในศาสตร์ใหญ่ เนี่ย อย่างน้อย 6-7 สาขาด้วยกัน ซึ่งสำคัญมาก แล้วก็จริง รัฐบาลก็มีเงินสนับสนุนทางด้านการวิจัยตรงนั้นอยู่มากทีเดียว ถ้าเราสามารถ Synergy มหาลัยต่าง กับศูนย์วิจัยใหญ่ ในสวทช. ร่วมกัน เราจะเกิดพลังของงานวิจัยที่ดีมาก คือก่อนหน้านี้เวลาผมคุยกับนักวิจัยก็จะมีคำพูดทำน้องว่า ไม่ค่อยมีการสนับสนุน Ecosystem ไม่ค่อยเกิด แล้วก็คนไทยก็เลยไม่รู้จะหาอะไรทำ ก็เลยออกไปทำต่างประเทศสมองหลายกันไปหมด แต่จ้านกำลังจะบอกว่าจริง มันมีพื้นฐานที่โอเคระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันไม่เกิดการจับมือการภาพมันก็เลยไม่ชัดเจน จริง นักวิจัยอย่างในสวทช. นี่ มาจากไหน คุณเคนทราบไหม มาจากเด็กมัธยมปลาย ที่เรียนเก่งมากๆ ได้พวกทุนช้างเผือกทั้งหลายเนี่ย แล้วรัฐบาลให้ทุนสำสุนไปเรียนปริญญาเอง ทางด้านวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศ แต่ละคนอาจจะไปเรียน 10 ปี แล้วก็กลับมาเมืองไทย แล้วก็มาอยู่ในศูนย์เหล่านี้ ซึ่งถ้าเราสามารถ Synergy เรื่องเหล่านี้กับทางมหาลัยหลัก ต่างๆ เราจะมีพลังอย่างมาก นี่ผมยังไม่นับไปถึงภาคเอกชน อ๋อจริงก็มีสูญวิจัยของเขาเอง ใช่ ถ้าเราไปดู SCG เราไปดู CP เราไปดู Beta Glow เราไปดู Proto Thor โอ้โห แต่ละแห่งมีสูญวิจัยอยู่กันทั้งนั้น แล้วสูญวิจัยเหล่านี้ ทำงานวิจัยที่ตอบโจทย์ องค์กรของเขา Commersialize ได้ด้วย ถูก แล้วจะดีมากเพราะว่า ถ้าเราได้ไปเรียนรู้ จากศูนย์วิจัยของเขาเหล่านี้ จะทำให้นักวิจัยของเรา เข้าใจถึงผลลัพธ์ ที่จะต้องไปผลักดันงานที่สำคัญ แล้วก็การรับโจทย์ จากภาคเอกชน เข้ามาช่วยกันทำงาน ในประเทศอื่น ที่ประสบความเจริญทางด้านผลิตภัณฑ์ แล้วก็ทำให้เกิด Commercialized Product ที่ดี เราจะเห็นอย่างเกาหลีใต้ ไต้หวัน อย่างนี้ จะเป็นกลุ่มที่นักวิจัยของประเทศ ไปรับโจทย์ภาคเอกชนมาช่วยทำ เขาไม่ได้คิดว่าเป็นของเอกชน บ้านเราก็มักจะไปคิดว่าเป็นงานเอกชน แต่จริง มันคืองานของประเทศ ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลลุงของประเทศมันมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมากๆ ไม่ใช่วิจัยอยู่บนห้ิงอย่างเดียว แต่สิ่งนี้ก่อนนั้นที่มันไม่เกิดคือเพราะอะไรครับ ที่มันไม่เกิด Synergy แล้วมหิดลจะมาเป็นเล่นบทบาทไหน จารจะเป็นแพลปฟอร์ม จารจะเป็นศูนย์กลาง คือเราจะต้องจัดเวทีที่ให้คนเหล่านี้มารวมกัน พวกนี้มันเกิดมาจากการ Mingles กัน คือถ้าคนเนี่ย ชนแก้วกันอย่างนั้น ใช่ ไม่ได้มาพูดคุยกัน ไม่ได้มี Sweet Spot ที่จะให้คนมาเจอกันนะ ตอนนี้ไม่มีอย่างนั้น ตอนนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง นี่เราก็กำลังพยายามที่จะคิดว่า เราจะสร้างสวิทย์สปอตขึ้น แล้วก็ต้องหาจุดที่ดึงดูด ให้คนเหล่านี้มาเจอกัน แล้วก็ในเชิงนโยบายของภาครัฐเนี่ย ต่อไปเนี่ยเราจะกำหนดว่า ถ้าจะเอาทุนมาหาวิทยาลัยเนี่ย ต้องมีส่วนร่วมจากภาคเอกชน กำหนดเป็นเงื่อนไขไปเลย ใช่ ต้องมีส่วนร่วมกับมหาวิทยาลัยอื่น โอ้โห ต้องมีเพื่อน ใช่ ไม่ใช่ว่ามีอัตราสูง แล้วจะทำอะไรของตัวเองอย่างเดียว การที่มี stakeholder ที่สำคัญเหล่านี้เข้ามาร่วม ทั้งหมดจะต้องตอบโจทย์ ที่ทำให้เกิด holistic wellbeing เห็นภาพครับ คืออันนี้จะเป็นตัวผลักดันแล้วก็ incentive ต่าง ต้องไปตามนี้ อันนี้ก็จะเป็น Policy ที่สำคัญของคำว่า Synergy ใช่ครับ แต่ว่าฟังดูแล้วน่าจะมีอุปสรรคเยอะเหมือนกันนะครับ คือเช่นอย่างที่อาจารย์พูดคำว่าอัตรา คือผมเข้าใจว่าบางที นักวิจัยเขาก็อยากทำงานของเขาเองให้ดี เขาอยากประสบความสำเร็จ ซึ่งมันตามมาด้วย Benefit ต่าง ที่อาจจะได้ เรื่องชื่อเสียง เรื่องของรายได้หรือว่าเรื่องของการได้รับการโปรโมทอะไรแบบนี้เป็นต้น หรือยังมีอีกหลายข้อจำกัด แล้วผมใช้คำนี้ที่ทำให้อาจจะไม่ค่อยเกิด Synergy อาจารย์จะคิดว่าจะมีวิธีการ ทำอย่างไรให้มันเกิดได้จริง คือมันต้องปรับ mindset คน มันต้องเป็น growth mindset สำคัญ คือต้องคิดว่าทำนี้มันไม่ใช่เพื่อประโยชน์ตัวเอง แต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แล้วก็ incentive เราก็ควรจะไปตาม สิ่งที่เขาทำให้เกิดประโยชน์ส่วนรวมได้ เพราะฉะนั้นลักษณะวิลชนเอกชนนี้ ควรจะมีให้น้อย แบบโซโล่อย่างนี้น่าจะมีให้น้อยนะครับ แต่จริง คนที่เก่ง มันไม่จำเป็นที่จะต้องทำคนเดียว ศักยภาพที่สูงน่าจะมาจากการที่ประสานประโยชน์ แล้วก็ดึงเอาศักยภาพคนอื่นมาร่วมผลักดันงานของตัวเอง ให้ได้ประสบความสำเร็จมากกว่า เราควรจะชื่นชมคนแบบนี้ เพราะฉะนั้นวิธีการทำให้เกิด recognition มันก็ควรจะเป็นไปตามนี้ เข้าใจแล้ว ให้รางวัลอีกแบบนึงสำหรับคนที่ทำได้แบบนี้ อะไรแบบนี้เป็นต้นนะครับ อันนี้ก็เป็นแนวคิดของ Synergy นะครับ ผมถามเป็นความรู้ได้ไหมครับว่าปัจจุบันนี้เรื่องของ R&D หรือการวิจัย เอาเฉพาะสาขานี้ก็ได้ HealthSign นะ ในบางไทยเทียบกับอันดับโลกเป็นอย่างไรครับ แล้วเราขาดอะไรอยู่ หรือว่าเราทำได้ดีอยู่แล้วต้องไปต่ออย่างไรครับ จริง เนี่ย ถ้าไปดูในแง่ของยา กับเครื่องมือแพทย์ ครับ เราเสียเงินมหาศาลออกนอกประเทศ แต่ไอ้ที่เป็นยาของประเทศเราเอง ที่คิดค้นจนกระทั่งเราเรียกว่าเป็นระดับ Active Pharmaceutical Ingredients เนี่ย มีน้อยมาก ที่เป็น API จริงๆ น้อยกว่าน้อยเลย ยิ่งไปพูดถึงเครื่องมือแพทย์เนี่ย เครื่องมือแพทย์เราอาจจะส่งออกได้เยอะนะ แต่เป็นเครื่องมือแพทย์ที่เป็นประเภทถุงมือ ครับ หรือว่าชุดผตัดอะไรแบบนี้ คืออาจจะไม่ได้ซับซ้อนมาก -ถูก แต่เราไปเอาหุ่นยนต์ผัดตัดเขาเข้ามา ไปเอา MRI ไปเอา PET Scan เข้ามา เป็นเงินมหาศาล เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องพยายามทำให้เกิดผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง คือเหมือนกับเราไปทำผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำ แต่เปลืองพลังงานเยอะ -ทำมากได้น้อย มาจิ้นน้อย หรือเหมือนอย่างนี้ ยกตัวอย่างเช่นเราไปปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โอ้โห กำไรนิดเดียว แต่สภาพแวดล้อมเราเสียหายมหาศาล เผาเล่าไล่ข้าวโพด 3,000 กว่าไล่ ทุกเดือนมีนา ผลิต PM2.5 ออกมาทั่วประเทศ หรือโรงงานที่เราผลิตแต่ถุงมืออย่างนี้ มันมาร์จิ้นมันต่ำ เราน่าจะไปจับพวก Product ที่นักวิจัยเรามีศักยภาพ ยกตัวอย่างเช่น ไปจับเอาเรื่อง Cell Therapy หรือ Gene Therapy เรามีศักยภาพใช่ไหม ใช่ เรามีนักวิจัยที่มีศักยภาพ แต่การที่จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ออกมา ขั้นตอนมันยาก อืม...เข้าใจแล้ว เราก็เลยไปท้อถอยซะก่อน คือวิจัยได้เสร็จ วิจัยสำเร็จ แต่ไม่ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ สนุนว่าเราประเทศไทยมีงานวิจัยที่สำเร็จอยู่จำนวนหนึ่งเลย แต่ว่ามันไปได้แค่สเต็ปนั้น สเต็ปถัดมาอีกมากมายก่อจะสู่ท้องตลาดเนี่ย ไม่ค่อยมี ใช่ ก็ผมยกตัวอย่างอย่างเช่น เรานี่สามารถคิดค้นคาทีเซลล์ อืม... เป็นการเอาจีนไปตัดต่อในเซลล์เม็ดโลฮิตขาว ครับ ของคนป่วยเองเนี่ย แล้วทำให้เซลล์เมลูธิกาวเขาเนี่ย สามารถไปฆ่าเซลล์มะเร็ง สำเร็จ อาจจะทำสำเร็จในคนสัก 6-7 คนไปล่ะ แต่ว่าผลิตภัณฑ์เนี่ย ยังไม่ได้ออกมาสู่ท้องตลาด เพราะว่าการที่จะออกไปสู่ท้องตลาดได้เนี่ย จะต้องทำการขึ้นทะเบียน ซึ่งการขึ้นทะเบียนกับออยอร์แม้กระทั่งของไทยเองเนี่ย ก็ต้องเป็นมาตรฐานที่สูง มาตรฐานเช่นเดียวกันในสหรัฐมีกา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีการทำการศึกษาในคนอย่างน้อยสัก 3-40 คน แล้วให้เห็นผลเสียผลดีจนกระทั่งผลดีเป็นเชิงประจักษ์ 100% ถึงจะขึ้นทะเวียนได้ ขึ้นทะเวียนเสร็จก็ต้องไปอยู่ขั้นตอนของการไปขาย การไปขายก็ต้องไปทำให้หมอในประเทศรู้จัก คือไม่ใช่ว่า คุณคิดค้นจากสรีริราช หรือคิดค้นจากจุฬาไปแล้ว คนจะใช้ หมอทั่วประเทศจะใช้ ก็ต้องไปทำให้เขามั่นใจ ก็ต้องมีลักษณะของ Marketing and Sales ขึ้นมา แล้วก็ราคาเนี่ยก็ต้อง Competitive เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่มาจากต่างประเทศ คือมันมีขั้นตอนอยู่เยอะ ในโอกาสที่จะผลิตวิจัย จนกระทั่งเกิดผลผลิต แล้วผลผลิตเนี่ยจะออกไปสู่ท้องตลาด ทำให้เกิดกำไรขึ้นมา ในเชิงวิจาคารนี้เราแบ่งเป็น TRL ตั้งกัน 1-9 ส่วนใหญ่พวกเราจะมาตายกันอยู่ที่ TRL 3-4-5 คือผลิตสำเร็จบอกได้ละ แต่ว่าขาดขั้นตอนที่จะไปสู่ระดับ Clinical trial ที่ทำให้เกิดการขึ้นทะเบียนได้ แล้วอะไรคือ Key Success Factor สำคัญ ที่จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ ในสถานที่อาจารย์ พอขึ้นมาเป็นคนวาง นโยบาย อาจจะมี Power พอที่จะขับเคลื่อนตรงนี้ แก้ไขปัญหาตรงนี้ สำคัญคือมันจะต้องมีการ Link กับ VC คืออันนี้คุณเทนอยู่ในแวดวงเนี่ย เขาคงเข้าใจดีว่า VC เนี่ยมันต้องมี Trust เขาต้องเชื่อแล้วก็มองเกมยาว ใช่ไหม เราจะมีเรื่องแนวนี้อยู่อีก��ม่น้อย แต่เราขาด VC ที่เข้าใจแล้วก็ใจถึง เห็นภาพแล้ว ฉะนั้นใครฟังอยู่ที่เป็น VC นะครับ จะเป็น CVC ก็ได้ จริง ตรงนี้สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้ ผมว่าน่าจะช่วยยกระดับงานวิจัยเราจากขึ้นหิ้ง ให้มาสู่ห้างได้ แต่นั่นมันใช้เวลา เราก็ไม่ได้โลกสวยว่ามันจะสำเร็จเลยทันที คือเราอยากได้คนที่มีแนวคิดเป็น Impact VC คือต้องการให้เป็น VC ที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนที่สำคัญ Philanthropist ก็หายาก บ้านเรา เราหาคนใจบุญนี้ ช่วยวัดเยอะนะ ครับ เราหาคนใจบุญช่วยโรงพยาบาลเนี่ย น้อยลงมาหน่อยจากวัด แต่ก็ไม่เลว แต่ก็เยอะอยู่ แต่หาคนใจบุญที่มาช่วยทางด้านงานวิจัย เพื่อทำให้เกิด impact กับประเทศเนี่ยหายาก เออ มันอาจจะมองไม่ค่อยเห็นภาพ ทำบุญเนี่ยได้เลย ได้ความรู้สึกดีทันที ใช่ไหม โรงพยาบาลเราก็เห็น ได้เห็นโบสถ์ เห็นสารวัตร จากนั้นวิจัยอาจจะต้องใช้เวลา น่าสนใจที่ถ้าเกิดเราช่วยกันสร้าง Trust การสื่อสารดีๆ ก็อาจจะพักดันตรงนี้ได้ กับโรงพยาบาลนี้ก็ยังได้นะ ได้ตึก ได้ห้อง อะไรอย่างนี้ หรือว่าเป็นเครื่องมือเข้ามา เขาก็เห็นเลย แต่พอไปถึงว่าไอ้งานวิจัย แล้วบอกว่าอีก 5 ปีจะใช้ได้ อะไรอย่างนี้ แล้วผมว่าอย่างนึงที่ อันนี้ชวนคุยเฉยๆ อย่างนึงที่คนไทยที่ผมสาวมานะ เขาไม่ค่อยเชื่อ อย่างที่ผมบอกมันจะมีคำถามว่าไงวิจัยไทยเทียบกับต่างประเทศ เราทำได้จริงหรอ เฮ้ยเราทำยา เราทำวัคซีนโควิดได้จริงหรอ เราทำเรื่องของ Well-being Wellness แบบเทียบชั้นกับพวก MIT พวก ในตอนแบบแสนฟอร์ตได้จริงหรือ นี่จานอาจจะช่วยให้คำตอบนิดนึงนะ คือผมคิดว่าจริง อย่างวัคซีนโควิดเนี่ยเราก็ทำได้จริง แต่ทำได้ช้าไปหน่อย อาจจะมาสักเซสเอาตอนที่โควิดมันไม่ต้องมีวัคซีนแล้ว เพราะว่าแต่อย่างน้อยเนี่ย การสำนักงานวิจัยแบบนี้นะ มันทำให้เกิดแพลตฟอร์ม แล้วก็ถ้าคราวหน้าอาจจะไม่ใช่โควิดเป็น เอวิทอะไรก็แล้วแต่มาเนี่ยนะ เราก็ยังมีแพลตฟอร์ม ที่เราจะสร้างแว็กซีนขึ้น ซึ่งแต่เดิมไม่มี อย่างนี้เป็นต้น คืออย่างน้อยต้องมองเห็นภาพว่า การลงทุนทางด้านการวิจัยเนี่ย บางครั้งไม่ใช่เป็นผลสำเร็จตอนปลาย แต่เป็นการสร้าง infrastructure แล้วก็สร้างแพลตฟอร์มให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะทำอย่างอื่นต่อ คือถ้ามีสายตามองยาว ก็จะเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ แล้วก็อาจจะยอมลงทุนด้วย นี่เป็นมุมหนึ่งเรื่องของนานวิจัย ทีนี้อีกหัวข้อนึงที่ผมแอบเห็นในสไลด์วิสัยทัศน์ของอาจารย์ แล้วก็จริง เป็นเรื่องที่คุณผู้ชมคุณผู้ฟัง The Secret Sauce ชอบมาก คือเรื่องการศึกษา เห็นอาจารย์บอกว่าอาจารย์อยากจะ empower student ให้มากขึ้น เอาโจทย์ตรงนี้ก่อนครับว่าในเรื่องของการศึกษาเนี่ย ผมว่ามันเปลี่ยนไปเยอะมาก วิธีการเรียนการสอนเปลี่ยนหลักสูตรต้องปรับ ตัวอาจารย์เองก็ต้องเปลี่ยน ตัวนักศึกษานักเรียนเองตอนนี้ก็มี ChatGPT มี Google เรียนไปก็เสิร์ชเถียงอาจารย์ได้ คือมันมีแนวคิดหลายอย่างเกิดขึ้น อาจารย์มองเรื่องการศึกษาตอนนี้ยังไง เปลี่ยนไปยังไง การศึกษาเนี่ยเมื่อ 8 ปีก่อน ตอนผมขึ้นเป็นคณะบดี คณะแพทย์รามอธิบดี ผมยึดหลักอันหนึ่งก็คือว่า เราต้องฟังเสียงผู้เรียน ผมใช้คำว่า Empowering the Learners เนี่ย เพราะว่าผมคิดว่าคนเรียนมันสำคัญ เพราะถ้าเราไม่ได้ตอบโจทย์เขานะ เขาก็มีความสนใจในเรื่องที่เรียนน้อย แต่เขาก็อาจจะเรียนให้มันผ่าน ไป แต่ไม่ได้ตรงใจเขา สมัยแรก ผมก็เอานักเรียน สมมุติเรียนแพทย์มันมี 6 ชั้นปีนะ ก็เอาชั้นละ 10 คน ให้ไปอาวติ้งกับผม ไปอาวติ้งกับจ้า ไปกินนอนด้วยกัน แล้วเอาทีมการศึกษาไปด้วยกัน แล้วก็... จับกลุ่มคุยกับเขา เป็นรอบๆไป แล้วเราได้ไอเดียจากเขามาเยอะ ผมยกตัวอย่างไฮบริดของแพทย์กับวิศวกรเนี่ย ก็มาจากอัลติ้งครั้งนั้นเลย รออาจารย์ลงไปคุยเองกับ ใช่ๆๆ แล้วก็กับการจัดการกันเหมือนกัน คืออย่างวิศวะเนี่ยมันมีเด็กจำนวนนึงนะที่เขาอยากเรียนวิศวะนะ แต่จะพลัดจะพลูเนี่ยมาเรียนแพทย์ เพราะว่าค่านิยมของสังคม แล้วก็พ่อเม อยากให้เรียนแพทย์ พอเข้ามาเขาก็รู้สึกว่าเขายังอยากทำอะไรทางด้านวิศวะ มีความฝันลึกๆ ก็เราจะมีนักเรียนแพทย์ไม่น้อยที่เขียนโค้ด แล้วก็มีนักเรียนแพทย์ที่สนใจทางด้าน Robotics Cup Surgery อะไรพวกนี้เยอะ เราก็เลย ถ้างั้นเราจัดเป็นหลักสูตร Hybrid อย่างนี้ จะได้รับความสนใจไหม พวกเขาก็บอกว่าอันนี้ดีแน่ มาจากการฟังเขา ใช่ แล้วเวลาเราฟังเด็ก เราจะเห็นว่าเขาให้ความสำคัญ กับ environment ของที่เรียนมาก ห้องสมุดนี่ เขาไม่ต้องการห้องสมุดที่มีหนังสือ มันตั้งกับ 8 ปีก่อน เขาไม่ได้ใช้หนังสือกันแล้ว ครับ แล้วตอนนี้เขายังไปสร้างห้องสมุดขนาดใหญ่ ผมก็คิดว่าต้องมีอะไรผิดปกติ คือเขาต้องการสถานที่สมัยนู้นนะ เมื่อ 8-9 ปีก่อนนี้ เขาชอบ Too Fast to Sleep ยินด์ 4 ชั่วโมง -ตรงสามย่าน ใช่ คล้าย ออฟฟิศ สุดเค็ม แล้วเขาต้องการมีกระโฟงกาแฟ มีขนมนิดหน่อยพอ แล้วเป็นที่ที่เขาจะไม่หลับ ถ้าเขาอยู่ห้องในหอวะนี้เขาจะหลับ แต่เขาต้องการที่อ่านหนังสือ แล้วก็ที่ที่เขามิงเกิลกับเพื่อน ได้ นี่ห้องสมุดสมัยก่อนเรากำลังจะสร้าง รามธิบดีจากกรีนฤทธิบดีนเนี่ย เราก็ไป Modify ห้องสมุนให้เรามีภาพแบบ Too Fast, Too Sleep จริงเหรอครับ โอ้โห อันนี้ก็คือเราจะต้องฟังเสียงผู้เรียนให้มาก แล้วเด็กเขาเปลี่ยนมากคือ ต่อมาเนี่ยเรามาเริ่มดูสาขาอื่นเนี่ย มันเคลียนจะเห็นว่างานในยุคปัจจุบันเนี่ย ปริญญาบัตรมันไม่ได้ตอบโจทย์เยอะแยะเลย เราไป Listing งานพวก ปัจจุบันมันใช้ AI มันใช้ Media งานของทางคุณเคนเองเนี่ย ก็เชื่อว่าใช้พวกนี้หมดเลย AI มีส่วนเยอะมาก แล้วพวกนี้มันไม่ได้อยู่ในหลักสูตร ใช่ครับ หลักสูตรมันปรับตัวไม่ทัน ถูกครับ กว่าไปทำ ม.ค.อ. 3 อะไรเนี่ยนะ กว่าจะไปผ่านเนี่ยนะ เปลี่ยนอีกแล้ว มันเปลี่ยนอีกแล้ว มันไม่ทันสมัย เพราะฉะนั้นแนวคิดตอนนี้มันต้องเปลี่ยน Revolutionize เลย ให้เป็น Micro-Module Micro-Module คือโมดูเล็ก ที่ตอบโจทย์อะไรที่เร็วๆ มีความทันสมัยที่ตอบโจทย์อาชีพใหม่ๆ ขึ้นมา คือไม่ต้องรอ ทำหลักส่วนให้มันสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดเรื่องปริญญามากนัก แต่สิ่งที่เขาเรียน Micro-module จะเป็นเครดิต อ่า เปลี่ยนวิธีการได้รับ Accumulate ไปได้ แล้วก็ผ่านไป 5 ปีเขาอาจจะได้ปริญญา ไปถึงปริญญาโทเลยก็ได้ ถ้าเขา ต้อง accumulate ไอ้โมดูเหล่านี้เพียงพอ แล้วอันนี้ All Wall โอเคมั้ยครับ All Wall เนี่ยเขาก็พร้อมจะปรับตัวนะ เขาต้องการให้มี sandbox เรื่องพวกนี้ให้เยอะขึ้นได้เลย เพราะฉะนั้นอันนี้เราทำแน่นอน รวมไปถึงแนวคิดที่เราใช้คำว่า self-paced เรียนด้วย speed ของตัวเองอะ คือแต่ก่อนเนี่ยจะไปบอกว่าต้องมีวงรอบ เรียนโทต้องจบใน 2 ปี ไม่ 2 ปีไม่ได้ผมบอกทำไมต้อง 2 ปี ถามกลับเข้าไปเขาบอกว่า เป็นเพราะว่าถ้าหลัง 2 ปีไปเนี่ย คนจะไม่จบเยอะ ถ้าไม่จบเยอะแล้วคุณเดือดร้อนอะไรล่ะ เขาบอกว่าเหมือนกับทำงานแล้วไม่สำเร็จ เขาเลยเอาตรงนี้เป็นตัว KPI แต่ผมบอกว่าคิดใหม่กันเถอะ คือเราจะไปกำหนดทำไมว่ากี่ปี เรียนไปถ้าเขาได้ความรู้นะ อันนั้นอ่ะ Success แล้ว เขาเอาไปใช้ได้เลย ถูกต้อง ความสำเร็จอยู่ที่เขาสามารถประยุกต์เอาความรู้ไปใช้เป็นประโยชน์ ไม่งั้นปรัชญาของมหาลัยก็ใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องเปลี่ยนให้อันนี้เป็นไปตามปรัชญาของมหาวิทยาลัย ครับ เพราะฉะนั้นต่อไปเราก็จะสรรพสมศนเรื่อง Micro-module แล้วก็ไม่มีกำหนดอายุผู้เรียน 70 ก็เข้ามาเรียนได้ มหาลัยนี้ต้องเป็นที่ตอบโจทย์ของคน เป็น lifelong learning เลย ถูกต้องครับ แล้วก็อย่าไปคิดว่า คนจบไปแล้วเนี่ย เป็นอลัมนายไม่ต้องเรียน เขาก็ต้องมาเรียนต่อ เพราะมันต้องมี reskill upskill ตลอดเวลา โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์เนี่ย ของมันอัปเดตตลอด ถ้าคุณไม่ reskill upskill เนี่ย คุณจะล้าหลัง คุณอาจจะทำได้นะ แต่สิ่งที่คุณทำอยู่เนี่ย อาจจะ under par อาจารย์สิ่งที่พูดมาทั้งหมดน่าสนใจ แล้วก็ได้ยินจากต่างประเทศบ่อยมาก โมดูแบบเล็กๆ การเป็น Self-Pace การที่ไม่ได้จำกัดอายุเข้ามาเรียน มันยากแค่ไหนครับที่จะเริ่มต้นทำสิ่งนี้ หรือจริง ไหม เริ่มไปบ้างแล้ว เราเริ่มไปไม่น้อยแล้วนะครับ แล้วก็เรามี MAP-C ซึ่งจะทำให้คนสามารถ เรียนข้ามศาสตร์แล้วก็เอาเครดิตมารวมกันได้ เพราะว่าเขาอาจจะ สมมุติผมยกตัวอย่างนี้ เพศสัตว์บัณฑิตก็ได้ ถ้าเรียนเพศสัตว์ศาสตร์เนี่ย เขาไม่จำเป็นต้องเรียนทีเดียว 5 ปี ให้จบ เขาจะเรียน 2 ปี แล้วเขาอาจจะได้ ประกาศศิษย์บัตรหรืออนุปริญญา ที่ไปเป็นผู้ช่วยเพศัตริย์ เขาอาจจะไปช่วยในโรงงานยา ทำงานในนั้นอีก 2-3 ปีแล้วกลับมาเรียนต่อ โอ้ได้เลยอย่างนี้แหละครับ หรือเขาอาจจะเรียนนอกเวลาเสริมเข้าไป เราต้องการที่จะให้เกิด หลักสูตรแบบนี้ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งตอนนี้มันยังไม่ได้เกิดนะ แต่ผมบอกว่าไอเดียพวกนี้ เป็นเรื่องสำคัญในปัจจุบัน เขาอาจจะ จบ 2 ปีแล้วเขาไปช่วยอยู่ในร้านยา เป็นผู้ช่วยเพศัตริย์ เพราะร้านยาตอนนี้กำลังเปิดแล้วก็ขาดคนมหาศาล ไปช่วยในร้านยาแล้วก็หาเงินไปด้วย ทำงานไปด้วย เสร็จแล้วเขาเริ่มรู้ว่า สิ่งที่เขาต้องการความรู้จริง ที่จะได้เพศัตริย์บรรดิษฐ์นี้ เขาต้องการอะไรอีก ตอนที่เขากลับมา หรือระหว่างที่เขามาเทค Micro-Module ต่าง มันจะเป็นสิ่งที่เขา เรียนด้วยใจ เขาอยากเรียนมากขึ้น เรียนด้วยความอยาก เราก็เรียนด้วยการมองเห็นเป้าชัดเจนว่าเอาไปใช้อะไร ไม่งั้นตอนเราเรียนในปริญญาแต่ละอันเนี่ย มันมีวิชาเรียนเยอะแยะที่เรียนไปก็ไม่รู้ เรียนไปทำไมวะ แต่ว่ารู้สึกว่าต้องเรียนด้วยให้มันจบ อาจารย์พูดตรงใจผม ผมเรียนเพศศาสตร์มากเลย หลายวิชามากไม่เข้าใจ จนเรียนจบมาเริ่มทำงาน หรือไม่ได้ทำงานในสื่อนะ ก็อย่างเพียงก็จะว่า อ๋อวันนั้นที่ฉันเรียนเรื่องนี้ มันมีประโยชน์ตรงนี้ ในปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นการที่แบบ บางครั้งเราก็เบรกระหว่างเรียนบ้าง เพื่อไปหางานจริง มันอาจจะทำให้เราเกิดกระบวนการอยากเรียนรู้เพิ่มเติมได้ดูซ้ำ คุณเห็นไปดูในต่างประเทศเนี่ย เขามีแก่บเหยียกันเยอะแยะเลย แล้วใหม่ๆ ตอนผมไปเรียนต่างประเทศผมก็งง เฮ้ย มันแกบเยียไปทำไม แต่ว่าการที่เขาไปอยู่อัฟริกา ไปอยู่ซิมบัคเวย์ ไปอยู่อะไรนี้นะ พอกลับมาเนี่ยนะ คนมัน mature เข้าเยอะ แล้วมันรู้ว่ามันจะเรียนแล้วมันเอาไปทำอะไร แล้วผมพูดง่ายๆ ว่าสังคมใน Western World แต่เดิมมาตั้งแต่อายุดีเนี่ย เขาให้ความใส่ใจกับเรื่องประสบการณ์ ตรงนี้เยอะมาก แต่ในขณะที่การศึกษาในเมืองไทยเนี่ย ต้องการเรียนให้จบเร็วๆ ต้องการให้พาสชั้น ต้องการ... ใช่ๆๆ ซึ่งมันไม่ใช่อะ มันไม่ใช่ ซึ่งอันนี้ผมคิดว่า มุมนึงที่เป็นความยากที่ผมฟังมา หนึ่งคือกฎระเบียบของสิ่งที่เรามีอยู่ ต้องกดกระทรวงเอง หรือว่า พรบ.ต่างๆ อันที่สองคือค่านิยมของคนที่อาจจะยังอยากจบเร็วๆ หรืออาจจะยังเรียนอย่างนี้ ทั้งสองมุมนี้ผมไม่แน่ใจว่าผมชวนอาจารย์และเปลี่ยน อาจารย์คิดว่ามันเป็นอุปสรรคใหญ่ไหมครับ ที่อาจารย์กำลังจะทำต่อ ผมคิดว่ากระทรวงอวอร์ดตอนนี้ เขาเปลี่ยนแนวคิดไปเยอะ แล้วเขามีแนวคิดที่จะรับเรื่องนี้เยอะขึ้นเมื่อ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าผลักดันนี้ อันนี้น่าจะได้ ส่วนในแง่ค่านิยมของผู้ปกครองนะ อาจจะต้องใช้เวลา แต่ผมเชื่อมั่นว่า เด็กเดี๋ยวนี้มีอำนาจกว่าผู้ปกครอง Empower student ในยุคนี้นะ เพราะฉะนั้น Strategy อันที่สองต่อจาก Synergy Research ของผม ถึงเป็นเรื่อง Empowering the Learners เพราะผมคิดว่าอันนี้คือ Key Factor ที่จะทำให้การศึกษาของเรานี้เจริญ แล้วก็ถ้าพูดในเชิงลูกค้า เอานักศึกษาเป็นลูกค้า ลูกค้าจะมาที่เรา ถ้าเราปรับตัว นอกเหนือไปจากวิชาชีพ ซึ่งยังไงเขาต้องเป็นลูกค้าเราอยู่แถว เพราะเขาไม่สามารถไปเรียนเพจสัตว์ที่อื่นได้ ที่จะได้ปริญญาทางวิชาชีพ และใบประกอบวิชาชีพที่จะตามมา แต่สิ่งที่อาจารย์พูดมีประเด็นเพราะว่า การเอ็มพาเวอร์ก็คือการเอาพาเวอร์ที่ คนอย่างอาจารย์ คนมีอำนาจ คนที่มีการศึกษาดี มอบให้กับคนเรียนมากขึ้น ผมว่าอันนี้ยากมากนะครับ กับเคสที่อาจารย์บอกไปนั่งฟังนักศึกษาปี 1 ปี 2 ผมไม่ค่อยเห็นอย่างนี้แล้วกันนะ อาจารย์คิดว่ามันยากแค่ไหน หรืออาจารย์คิดว่าจะบอกผู้นำต่าง คืออันนี้ผมไม่ได้ทำครั้งเดียวนะ ผมทำทุกปี แล้วผมเปลี่ยนหลักสูตร 3 รอบ ขณะที่เป็นคณะบดีอยู่ 8 ปี เพราะเปลี่ยนหลักสูตร 3 รอบ เพราะว่านิตของเด็กเปลี่ยน กลายเป็นว่าเราให้มี Selective Elective เยอะขึ้นมาก คือปลดข้อจำกัด ไม่งั้นเขาเหลือ Selective Elective นิดเดียว ก็ให้เขามีสิทธิ์เลือกในทิศทางที่เขาอยากจะเป็น ตั้งแต่ต้น เพราะบางคนเขาอาจจะมีแนวคิดว่าเขาอยากเป็นศัลยแพทย์ เพราะฉะนั้นเขาอาจจะ Selective Elective ออกไปทางการดูเรื่องการผตัดในที่ต่าง เพื่อที่เขามาตัดสินใจว่าเขาอยากจะเรียนต่อ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ไหน เปิดโอกาสให้เขาไปต่างประเทศ ไปสถาบันอื่นๆ คือเขากลัวจะมี Bird's Eye View ในลักษณะแบบนี้ เพราะว่า เวลาฟังความเห็นเขาเนี่ย เราจะได้ไอเดียพวกนี้มา แล้วจะทำให้เราเนี่ย ไม่ปิดกั้น ตัวเองมากกันเลย เราใช้คอนเซ็ปต์ตรงนี้ว่าเป็น Student Engagement แล้วเราให้สิทธิ์นักเรียนมาก งานต่างๆ ในมหาลัย ในช่วงหลังเนี่ย ผมให้ดึกจัดหมด เพราะว่าเด็กที่เรียนมาทางการจัดการเนี่ย โอ้โห เขามี passion ที่อยากจะ ร้อนมิชา อยากจะจัดการมาก เราก็เพียงแต่ facilitate เพราะฉะนั้นอาจารย์ที่กำกับดูแลนักศึกษาเนี่ย เราก็ต้องหาคนที่มีแนว คิดแบบนี้ ที่เปิดกว้างให้กับนักศึกษา อาจารย์ทำงานกับตัวเองยังไง หมายถึงว่าบริหาร ผมใช้คำนี้แล้วกัน คำว่า Ego แล้วกันนะครับ เพราะอาจารย์ที่ผมฟังเนี่ย มีไม่มากนะครับที่เป็นผู้ใหญ่ระดับสูงขนาดนี้ แล้วพร้อมรับฟัง พร้อมปรับ พร้อมเปลี่ยน อาจจะเป็นว่าตัวเองเนี่ย มีความกดดันอยู่เยอะ ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนะ ผมพยายามเสนอไอเดีย เรื่องต่าง แต่ไม่ค่อยรับการตอบสนองในอดีตนะ แล้วก็ตอนมาเป็นแพทย์ประจำบ้าน มาเรียนอะไรต่าง เป็นอินเทิร์นเป็นอะไรเนี่ย เขาให้เสนอได้ แต่เสนอไปแล้วมันถูกภาพเก็บอยู่ แต่เราก็บอก อย่างน้อยมันก็ดีนะ ได้เวนทีเลส นี่เวลาเราคุยกับเด็ก ส่วนใหญ่เราฟังเนี่ย เราก็ชี้แจงเขาไปนะ ว่า อันนี้เคยคิดมาก่อนอันนี้แล้วนะ แต่ทำไม่ได้เพราะอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็เข้าใจระดับหนึ่ง แต่อันไหนที่เราคิดว่าเป็นไอเดียที่ดี ปรับเปลี่ยนได้ เราปรับเปลี่ยน เราพยายามทำตามที่เขาบอก คือมันก็จะเป็น mutual benefit ทั้งคู่ แต่ส่วนหนึ่งเป็นโอกาสที่เราได้ทำความเข้าใจกับเด็ก แล้วเขาได้เวนทิเลส ในสิ่งที่เขาไม่พอใจ แต่อาจารย์ก็มีความอดทนอดกั้นมากพอนะครับ ฝั่งบางปีผมเข้าใจว่าน้องๆ เนี่ย วิธีการพูด วิธีการแสดงออก ก็อาจจะต่างจากรุ่นที่โตแล้ว อาจจะมีคำพูดที่มันตรงไปตรงมา ฟังแล้ว อุ๊ย ทำไมพูดแรงจัน จัน ทำไงฮะ ไม่เป็นไร เพราะว่า สมัยเด็กๆ แล้วก็อาจจะแรงแบบนั้น ก็นึกสิว่าอันนี้เป็นกรรมสนอง แต่จริงๆ ก็เป็นเรื่องดีอะ เพราะผมคิดว่ายิ่งเขากล้าพูดเรื่องจริงเท่าไหร่ เรายิ่งได้ประโยชน์ คือถ้ามันมี barrier ว่าเขาไม่อยากพูด เพราะเขาคิดว่าเรารับไม่ได้ เราจะไม่ได้ information ที่เป็นจริง เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นวิธีที่เราจะ encourage ให้เขา พูดสิ่งที่เขาคิดจริงๆ อีกมุมหนึ่งที่มีความเปลี่ยนแปลกมากในการสุทธิ์คือ AI อาจารย์มองอย่างไรครับ เจน AI อาจารย์มองอย่างไรครับ เจน AI คุณไม่เรียนไม่ได้ ไม่รู้ไม่ได้ เราให้นักศาใช้ Chat GPT-4 ถ้าคุณใช้ Bing ไม่เป็น คุณไม่รู้จัก Gemini คุณจะทำวีดีโอ คุณไม่รู้จัก Sora เรียกว่าคุณตกยุค เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราพยายามสอนนักเรียน ที่เราคุยกันในทีม ก็คือเราต้องให้เขารู้ถึง Hallucination กับ Bias ของพวกนี้ คือพวกนี้เนื่องจากมันเป็น Language Module ที่มันพัฒนาขึ้นมาเนี่ย มันก็จะมีการไปจับเอาข้อมูลที่ไม่เป็นจริง แต่เวลาเราถามอันนี้ มันจะมี BIAS ที่สำคัญคือ มันจะ Sense ว่าเราอยากให้ไปทางไหน แล้วมันก็ออกไปทางนั้น โดยที่มันหาข้อมูล ซึ่งอาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้างเนี่ย มาสนับสนุนให้ด้วย เพราะฉะนั้นที่เราสอนเด็กคือ เรายกตัวอย่างที่ AI เนี่ยมันแนะนำผิดๆ ให้เขาดูหลายๆแบบ ให้เขาเรียนรู้ว่า เฮ้ย เนี่ยนะ ไม่ใช่เชื่อได้ทุกอย่างนะ เพียงแต่ You จะต้อง Recheck หลายอย่าง คือสมมติที่อาจารย์ตั้งใจก็คือ ไม่ได้ปิดกันให้เขาใช้ไปเลย ในการเรียนการสอนอะไรได้หมด เพียงแต่ว่าต้องระมัดระวัง แล้วผมก็บอกทุกภาคส่วน อาจารย์สาขาไหนยังไม่ได้ใช้ AI นี่ คุณดูไม่น่าได้นะ จริงเหรอ จริง เพราะมีการถกเถียงกันอยู่เลย ผมเห็นในบางมหาวิทยาลัย ในบางโรงเรียนว่า มันจะมาแย่งงานครู มันควรใช้หรือเปล่า แต่อาจารย์เปิดกว้างมาก ต้องใช้เลย ไม่ใช้ไม่ได้ ไม่ใช้นี่ตกยุคมาก รวมไปถึงสายสนับสนุน ฝ่ายเลขา ฝ่ายซัพพอร์ตธุรการ คุณภาษาอังกฤษไม่ดี ไม่ใช่คุณไปพยามเข็นไปเอง เรื่องอะไรที่ต้องติดต่อต่างประเทศ โดยเฉพาะเป็น Language คุณสามารถใช้เครื่องมืออันนี้ Fabricate งานของคุณให้มันนิดขึ้น แต่คอนเทนต์เนี่ยต้องไม่เปลี่ยน คือคุณระมัดระวังเรื่องคอนเทนต์ที่คุณต้องการให้เป็นให้ตรงเลยตามนั้น คือใช้งานให้มันถูกต้อง นี่เป็นเรื่องที่ต้องปรับตัว ตัวอาจารย์เองก็ต้องปรับตัวในฐานะอธิกาบริกัน ก็ต้องใช้มันเหมือนกันถูกไหมครับ ถ้าผมทำจะไล้จะเหนือจะปลาผมก็ใช้ให้ทั้งนั้น อีกด้านหนึ่งที่เราคุยกันในของ area ก็คือเรื่องของบริการนะครับ ทางวิชาชีพต่างๆ อาจารย์อาจจะลงรายละเอียดให้ผมนิดหน่อยก็ได้นะครับว่า อาจารย์คิดว่าอาจารย์จะเข้ามาปรับอย่างไรบ้างโรงบาลที่มีอยู่มากมายบริการต่าง เพราะเมื่อกี้เราพูดไปสองเรื่องแล้ว เรื่องวิจัย เรื่องการศึกษา อันนี้เรื่องที่สาม แล้วก็เดี๋ยวจะปิดท้ายด้วย Sustainability ครับ เรื่องการบริการรักษาพยาบาลเนี่ยมันเหมือนกับเป็น Flagship ของมหาลัยมหิดล เพราะมีโรงบาลหลัก อยู่ถึง 8 โรงด้วยกันอย่างที่ผมเรียนให้ทราบ แล้วก็ เราให้การปริศาลรักษาประชาชนเป็นจำนวนมหาศาล ปี หนึ่ง Outpatient ไม่ต่ำกว่า 6 ล้านวิสิต ที่เป็นโรงพยาบาลของมหาลัย ผมใช้คำว่าเป็นที่พึ่งสุดท้ายของคน เพราะว่าอย่างศรีราชกับรามา เราเรียกว่าเป็น Super Tertiary Care คือปลูกถ่ายอายาวะ เอกชนอะไรรักษาไม่ได้ก็ต้องมาจบที่นี่ แต่เป็นการลงทุนที่สูง เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องผลกำไร เรามีการลงทุนกับการรักษาพยาบาลที่ ไม่ได้แคว่ากำไรขาดทุนเป็นยังไง ซึ่งมันจะต่างกับโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเขาจะต้องคิดเรื่องกำไรขาดทุน แล้วเราก็เป็นที่พึ่งของ 30 บาทรักษาทุกโรคประกันสังคม ที่เมื่อโรงพยาบาลศูนย์ต่าง ดูแลไม่ได้เข้ามารักษาต่อที่นี่ เขาจะเห็นว่าอย่างให้การรักษาพยาบาลระดับสูงไฮเอ็นต์ อย่างการปลูกถ่ายอวิวะ ก็มาอยู่กับเราเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลูกถ่ายไต สองโรงนี้ปลูกถ่ายไตไปใกล้ จะ 6,000 ไต อื้อหู ปลูกถ่ายหัวใจ คือเอาหัวใจของคนที่สมองตายแล้ว มาทดแทนปลูกถ่ายตับ อื้อหู ผมคิดว่าทำไปไม่น้อยกว่า 7-800 ตับ อื้อหู ปลูกถ่ายไข่กระดูกนี้อาจจะเกิน 2-3,000 ในคนที่เป็นมะเร็ง ครับ เรื่องต่าง ที่ใช้ stem cell มาปลูกถ่ายใครก็ดู คือการรักษาสลับซับซ้อนพวกนี้ไม่มีทางกำไร แต่ว่าสะบันพวกนี้มักจะอยู่ได้ด้วยเงินบริจาคที่เข้ามาช่วย ถามว่าทำไมเราต้องทำ เพราะว่าเราคิดว่าหนึ่งเป็นที่พรุ่งสุดท้ายให้คน อันที่สองคือเราเทรนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คือคนอาจจะไม่รู้ว่าจริงๆเราผลิตเรื่องเทรนแพทย์จำนวนไม่เยอะ แต่เราผลิตผู้เชี่ยวชาญเยอะมาก สาขาต่าง เช่น เป็นหมอหัวใจ หมอตับ หมอไต หมอสมอง หมอผัดตัด หมอสู หมอเด็ก สาขาต่าง อย่างรามธิบดีผลิตแพทย์ปีหนึ่งแค่ 200 คน แต่ผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 400 กว่าคนต่อปี เพราะฉะนั้นจริง การรักษาโรคสลับซับซ้อน มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราต้อง maintain เพื่อการเดินการสอน สร้างผู้เชี่ยวชาญออกไป แล้วก็เป็นเรื่องสำคัญของฐานการวิจัย เพราะฉะนั้นจริง การบริการนี้ จะว่าไปว่า เราก็บอกว่าทำเพื่อประชาชน แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อตัวเรา เพราะว่าเราต้องเทรนคน แล้วเราต้องสร้างงานวิจัย ที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ ซึ่งพวกนี้จะมาจากเรื่องเหล่านี้หมด ถามว่าทำไมเราลงทุนกับหุ่นยนต์ผ่าตัด ดาวินทรีย์ ที่เพิ่งซื้อใหม่ทั้งซีราชรามมาเนี่ย ตัวหนึ่งประมาณ 130 กว่าล้าน หุ่นยนต์ตัวหนึ่งเนี่ย ไม่ได้หน้าตาเหมือนคนนะคือ ไอ้หุ่นยนต์นางการแพทย์นี้ หน้าตามันก็จะเป็นเหมือนกับ แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม มี 4 แขน แล้วไอ้แขนกลเหล่านี้มันจะเจาะรูเข้าไปผ่านหน้าทอง แล้วก็เข้าไปทำการผ่าตัดอะไรต่าง โดยที่เราไม่ต้องผ่าแผลใหญ่ แล้วก็ทำให้เกิดการผัดตัดในที่ลึก อันนี้ก็มีเริ่มใช้ไปแล้ว ใช้มาตลอด เราใช้กันมาเป็น 10 กว่าปีแล้ว แต่โมเดลก็พัฒนาขึ้นเรื่อย 130 กว่าล้านบาทนี่ก็เป็นโมเดลใหม่ ที่เอาเข้ามา เรามีเครื่องใช้แสงแบบที่อินเจอรี่ตอด ทิชชูคลั่งเคียงน้อย ราคาแพง เรามีเพชร CT เครื่องตรวจหามะเร็งระยะต่าง ซึ่งพวกนี้เป็นการลงทุนมหาศาลเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็น Mission สำคัญที่ตัวมหาลัยตอบโจทย์ ในการรักษาพยาบาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย เป็นที่ฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญ เป็นจุดของการทำงานวิจัย แล้วก็ประเมินผลดีผลเสียของการรักษาใหม่ เมื่อมีการรักษาใหม่ อะไรเกิดขึ้นในโลก เราก็จะเรียกว่าเอา Technology Transfer มา แล้วมาประเมินว่าถ้าจะใช้ในคนไทย ความคุ้มค่าเป็นอย่างไร ตรงนี้ไม่คุ้มก็ไม่เป็นไร ทดสอบไปก่อน อย่างนี้เป็นต้น อันนี้ก็เป็นแนวคิดของการบริการวิชาการ ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าเราทำได้ดีมากอยู่แล้ว ธุรกิจตรงนี้ไม่ได้เปลี่ยนมาก เพียงแต่ว่าเราพยายามที่จะหา Endowment Fund -มีกองทุนเหรอคะ? เข้ามาช่วยสรรค์ส่วนมากขึ้น สำหรับงานวิจัยทางเชิงการรักษาพยาบาลใหม่ ไม่ต้องให้นักวิจัยไปหาเอง แต่อันนี้ก็ต้องเกิดจากการสร้าง Trust ขึ้นมาก่อน มันเคยมีมาก่อนไหมครับ เคยมีแต่ว่า Endowment Fund จำนวนไม่เยอะ คือถ้าเราไปเทียบกับ Harvard, Stanford โอ้โห Endowment Fund เป็นก้อนใหญ่มหาศาล คนใน Western World เนี่ย แนวคิดเขาไม่ได้คิดว่าทรัพย์สมบัติยกให้ลูกหลาน เขาจะยกให้สารประโยชน์ ซึ่งถามประโยชน์นี้มักจะปาที่มหาวิทยาลัย เพราะเขารู้ว่าอันนี้การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ แล้วการสร้างงานวิจัยที่เป็นประโยชน์กับประชาชน มีความสำคัญมากกว่า แต่คนไทยเนี่ยมักจะเก็บไว้ให้ลูก ให้หลาน เผื่อไปถึงเหรน ก็หวังว่าในอนาคตเมื่อ คนมีลูกน้อยลง แล้วก็เศรษฐีมีมากขึ้น ก็อาจจะมีจำนวนนึงที่มาเป็น ฟิแลนต์โตปิสแบบนี้ คือว่าในอนาคตการจะทำให้ แม้ว่าเราจะไม่ได้สว่างคำคำไร จะทำให้บริการทางการแพทย์ ทางวิชาชีของเรายังยืนได้ มันก็ต้องเลี้ยงตัวเองได้ ใช่ อันนี้ก็เป็นหนึ่งใน กลไกสำคัญก็คือ Endowment Fund อื่นมีอีกไหมครับ คือในต่างประเทศเขาจะได้เงินจาก Corporate ต่าง มาด้วย ก็เป็นแนวคิดอันหนึ่งที่เราอาจจะต้องลองเจรจา Big Corporate ทั้งหลายในเมืองไทย ก็จะเป็นความคิดเริ่มใหม่ ที่มีความท้าทายอยู่นะครับ สุดท้ายแล้วกันนะครับ เรื่องของความยั่งยืนครับ Sustainability ยั่งยืนผมคิดว่าสำคัญนะครับ คือนอกเหนือไปจากการที่พยายามหาสตังค์ เพื่อมาสนับสนุนพันธกิจสำคัญ ทางด้านการศึกษาการวิจัย เราจะต้องทำให้คนตระหนักถึงสภาพแวดล้อม ที่กำลังเสื่อมโทรมไปอย่างรวดเร็ว จนเข้าเขตอันตราย เรื่อง Climate Change เป็นเรื่องใหญ่มาก แล้วก็ถ้าในสารศึกษาเองไม่ได้ตระหนักรู้เรื่องนี้ หรือไม่ทำให้คนที่เข้ามาเรียนกับเรา มีคอนเซ็ปต์สำคัญอันนี้ออกไป ถือว่าผิดเลย เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าตอนนี้ เรามี Solar roof ขนาดใหญ่ อยู่ในมหิดลสรรยา ผลิตพลังงานไฟฟ้าตอนนี้ได้เกือบๆ 20 MW เฉพาะในโรงพยาบาลรามาธิบดีจาก Green รูปดินเองแห่งเดียว เราผลิตถึง 3.5 MW แต่ที่สรรยาประมาณ 20 MW คือติด Solar roof ทุกหลังคา และ Walkway ทุกอัน บางจุดของเราตอนนี้คือกลางวันที่มีแดด ไฟฟ้าครึ่งนึงมาจากแสงอาทิตย์ การกำจัด Waste ต้องทำจริงจังมาก เรื่องการประหยัดน้ำ เรื่องของการ Recycle ของ การแยกขยะ ต้องทำจริงจัง แล้วก็ต้องให้อันนี้ติดเป็นนิสัย เราไปในญี่ปุ่น เราเห็นตั้งแต่เด็กเล็กๆ เขาสอนเรื่องนี้กันจังจริงจัง แต่บ้านเรานี่ยังคือแยกขยะแล้วตอนปลายเอาขยะไปรวมเงินก็มี คือเราต้องแก้ในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แล้วก็ปลูกฝังค่านิยมสำคัญของการ preserve environment ไม่ใช่เข้าไปกินแล้วแต่ละคนแจกขวดน้ำดื่มเป็นเพชร ดื่มคำนึงแล้วก็ดูดไปทิ้งมีหลอดขึ้นมาอีกอันนึง แล้วก็เกิดขยะขึ้นมาวันหนึ่งสามประชุมก็... เกิดขึ้นมา 3 ขวด พร้อมหลอดอีก 3 อันอะไรอย่างนี้ คือมันจะต้องหาทางเปลี่ยนค่านิยมเหล่านี้ คือการจัดการภายในทั้งหมดของมาเทียไร แล้วก็เครือข่ายทั้งหมด ต้องตรวจคำบ้อนได้ ให้เห็นภาพเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่เราอยากทำให้เกิดก็คือว่า เราต้องทำให้เกิดสุขวาวะที่ดีกับคนในประเทศ โดยการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ คำว่านโยบายสาธารณะนี่ หลายคนบอก เป็นเรื่องมหาลัย ผมบอกว่าอันนี้ใช่เลย เป็นสิ่งที่ต่อไปเราจะรับผิดชอบเรื่องการขับเคลื่อนนโยบายสารนาที่ผ่านมาจริงๆเราก็ทำอยู่เยอะนะ อย่างเช่นการต้านบุหรี่ไฟฟ้าเนี่ย ถ้าคุณเคนไปดูเนี่ย เป็นคนมหาลัยมหิดลเยอะมากที่เข้าไปร่วมขับเคลื่อนอยู่ แล้วเราก็ยังต้านเขาอยู่นะ ในขณะที่จะมีนักการเมืองจำนวนหนึ่งที่พยายามจะเอาบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในเมืองไทย ถามว่าทำไมต้องต้าน เพราะว่าบทเรียนจากในประเทศอื่นๆ พอบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาเนี่ย วัยรุ่นกับผู้หญิงนี่ สูบบุหรี่เยอะขึ้นมากมายเลย เพราะว่าควันไม่รบกวนคน รบกวนน้อยลง แต่อันตรายที่อยู่กับเขาไม่ได้น้อยลง อาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ จากสารประกอบที่มันอยู่ในนั้น แล้วก็อันนี้ถ้าเราปล่อยให้เข้ามา ขนาดไม่เข้ามาที่ซื้อขายผิดกฎหมาย มันก็ยังมีคนใช้มากขึ้นเรื่อย แต่ถ้าเราไม่บล็อกไว้เนี่ยก็จะแย่ หรืออย่างนโยบายสารทนาอย่างการพยายามให้ลดการบริโภคเกลือ อันนี้ถามว่าเป็นเรื่องของเรา มันบอกเป็นสิ เพราะว่าพอปริมาณโซเดียมในอาหารเยอะเนี่ย คนก็มีความดันลูกหิตสูงขึ้น แล้วก็ตามมาด้วยโรคหัวใจ ตามมาด้วยโรคหลอดเลือดสมอง พวกนี้ก็จะเป็นส่วนที่มหาลัยเนี่ยจะต้องเข้าไปมีบทบาทอย่างจริงจัง ผมก็ถามในที่ประชุมว่า โรงพยาบาลของเรา รับผู้ป่วยอุบัติเหตุ คลายแอ็กซิเดนต์เยอะมาก เป็นประเทศที่เรามีอุบัติเหตุทางท้องถนน ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกเนี่ย มาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว แล้วเราจะคงรักษาอันดับอันนี้ไว้หรือ เราจะคิดแต่บริการทางการแพทย์ที่มาคอยดูแลผู้ป่วย คายแอคซิเดนต์ มอเตอร์ไซเคิลแอคซิเดนต์ โดยที่เราไม่คิดที่จะไปปรับเปลี่ยนนโยบายสาธารณะ ไปที่ต้นทาง ไปที่ต้นทางเหรอ เราต้องเป็นหัวหอกของความคิดเหล่านี้ ที่เข้ามาแก้ปัญหา ผมพูดในที่ประชุมวันก่อนว่า เรื่องนี้คือถ้าเซ็ตตามปาราทิตรเนี่ย แมกนิจูตปัญหามันใหญ่ ผลกระทบมันเยอะ ไอ้ที่ตายแต่ละเดือนเนี่ย ยังไม่เท่ากับที่บาดเจ็บ แล้วไม่ตาย แต่กลายเป็นเบอร์เด้นของโรงพยาบาล หน่วยงานภาครัฐต่าง มากมาย เพราะฉะนั้นอันนี้ ด้วยแมกนิจูตของปัญหานี้ เราต้องเซ็ตอันนี้เป็นปาราทิตรแรก เราต้องดดมผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะทางด้าน Data Science เพื่อมาหาความรู้ว่า ว่าที่จริงๆที่เกิดขึ้นในประเทศเราเนี่ย มันเป็นประเภทไหน MC เยอะสูงสุด แล้วมาจากคนประเภทไหน ที่ขี่มอใส แล้วเกิดขึ้นเนื่องจากแอลกอฮอล์รึเปล่า หรือไม่ใช่ คิดไปเอง คือทุกอย่างเนี่ยต้อง Based on Information จริง Data Science แล้วต้องมีทางสังคมศาสตร์ ทางด้านการจัดการเข้ามาคิด อาจจะต้องมีทางด้านการแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ ว่าสาเหตุของการเกิดบทเหตุเนี่ย มันมีส่วนไหนที่เป็น Pitfall ของคนในบ้านเราที่ทำให้เกิด แล้วสโลปของถนนโค้งมันไม่ดีหรือมันเป็นเพราะอะไร คือหารูทคอร์สให้ได้ พวกนี้ต้องมาจากงานวิจัย แล้วก็เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยทำให้เกิด Policy Lab คือ Lab ที่ไม่ได้เป็นลอดทดลอง แต่เป็นการดึงเอา Stakeholder ตำรวจจรจร กรมทางหลวงต่างๆ เข้ามาช่วยกันคิดว่า Policy อะไรที่เราจะลดอุบัติเหตุทั้งท้องถนนบ้านเรา ได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็มี Impact จริงๆ จริงๆ เขาคิดมาก่อนหน้านี้กันเยอะแล้ว แต่ทำไมมันไม่ประสบความสำเร็จ มันไม่เกิดการขับเคลื่อน มันต้องเรียนรู้จากของเดิมว่า Fail เพราะอะไร มันไม่แก้ที่ Root Cause จริงหรือเปล่า แล้วก็ผลักดันอันนี้ขึ้นมาไปอย่างนักการเมือง รัฐบาล คนที่เป็นตัว Policy Maker ในปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งไปสะพานิติบัญญัติ คือ Connection ตรงนี้ต้องทำให้เกิด แล้วก็ทำให้เกิด Advocacy ของ Policy Maker ใหม่อันนี้เกิดขึ้น โห จ้านครับ ผมฟังมาทั้งหมดรวมชั่วโมงกว่าๆ มันเยอะมากครับ ทำหลายอย่างมากๆ จริงๆ ก็เรามีตั้ง 37 ขนาด มันไม่ได้มีอาจารย์คนเดียวนะ มีคนช่วยมากมาย แต่ว่าฟังมาทั้งหมดทุกอย่าง มันคือการขยับที่สำคัญ อิมแพคที่อาจารย์คาดหวัง การขับเคลื่อนที่ต้องใช้องค์กระพยบมากมาย จานได้นอนบ้างไหมครับ จานคิดว่าจะได้พักผ่อนไหมครับ ผมนอนเยอะ จานจะบริหารความสำคัญอย่างไร จะเอ็กซิคิว อาจจะเป็นภาพให้เห็นก็ได้นะครับว่า ทำสิ่งที่ให้มันเกิดขึ้นได้ยังไงในสิ่งที่เล่ามาให้กับทุกคนฟังในวันนี้ หรือคุณสมบัติอะไรของผู้นำของอาจารย์เองที่อยากจะ สื่อสารไปกับผู้นำในทุกภาคส่วนที่อาจารย์อยากจะให้มาทำงานร่วมกันเพื่อให้ Impact ที่อาจารย์ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นได้ครับ ในประสบการณ์ที่ผ่านมาเนี่ยนะ ความสำคัญของผู้นำเนี่ยผมคิดว่าอยู่ที่การวางเป้าหมายให้ชัดเจน คือถ้าเป้าหมายชัดเจนนะ สิ่งที่ตามมาก็คือการสื่อสาร การสื่อสารเนี่ยสำคัญมาก แล้วการสื่อสารเนี่ย มันไม่ใช่สื่อสารเฉพาะคณปฏีต่างๆ มันต้องหาทางสื่อสารลงไปที่ ระดับผู้ปฏิบัติงานในทุกภาคสูตร การวางเป้าหมายเนี่ย ไม่ควรจะเป็นเป้าหมายที่เราคิดเองทำเอง เราต้องรับฟังความคิดเห็น แล้วก็เปิดกว้าง ก็คือมัน Student Engagement เนี่ย ฐานใดฐานนั้น ก็เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเนี่ย เราก็ Engage ของคณะบดีทั้งหมดเนี่ย มาช่วยให้ความเห็น ทำเป็น Rotation Station ต่างๆ แล้วในแต่ละ Parts ของ Strategy เนี่ย อย่าง Synergy เนี่ย เราก็ให้ช่วยกันให้ความเห็นว่า เราจะ Synergy กันยังไงให้ได้เกิดขึ้นจริง Empower Learners เนี่ย เราจะทำยังไง ที่จะทำให้ Empower เนี่ยมันเกิดขึ้นจริงในทุกภาคส่วน เราในแง่ของ Amplify Operations เนี่ย เราจะทำยังไงให้งานของเราเนี่ย สำเร็จอย่างรวดเร็ว อะไรที่จะเป็น Priority Setting แล้วก็ใน 3 เดือนแรกเนี่ย อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น เกิดมาก่อนแล้วนะครับ ใช่ เพราะฉะนั้นอันนี้ผมคิดว่า ถัดไปก็จะต้องเป็นการสื่อสารของคณะบดี ในแต่ละคณะลงไปที่ภาควิชาต่าง อาจารย์ แต่ละท่าน ให้เข้าใจถึงทิศทางของมหาวิทยาลัย ที่ต้องการให้เกิด Real-World Impact ในแง่ Holistic Well-Being เพราะฉะนั้น Keywords เหล่านี้ จะต้องถูกผลักดันไป แล้วก็ Incentive Promotion Support จะไปตามภูลิศี อันนี้ผมคิดว่าจะเป็นส่วนที่เราพยายามที่จะขับเคลื่อน ให้เร็วที่สุด เพราะว่า 4 ปีนี้ ในการอยู่ในตำแหน่งพวกนี้ ผมถือว่าสั้นมาก อ๋อที่ทั้งหมดที่มานี่คือ 4 ปีเองนะครับ ใช่ครับ ใช่ไหมครับ คืออยู่ในตำแหน่งของผู้บริหารมหาลัยเนี่ย ทุกอย่างเลยกำหนดไว้ที่ 4 ปีมาก ก็คือ 2028 2018 ใจ ก็จะไปกลาง จะไปสิ้นสุดที่กลางปี 2020 สมัยบริหารคณะแพทย์ก็จะเหมือนกัน เราก็ทุกคณะเนี่ย ผู้บริหารจะอยู่ในตำแหน่ง 4 ปี แล้วก็ไม่เกิน 2 รอบ ผมเนี่ยเป็นคณะบดี คณะแพทย์สหรามาเนี่ย ก็ 4 ปี 2 รอบ ก็ 8 ปี แต่ว่าช่วง 4 ปีนี้มันก็นานพอนะ ที่จะทำอะไรให้มี Impact ขึ้นมาจริงๆ เราจะมีข้อได้เปรียบกับกระทรวงเยอะ เดี๋ยวไปว่าคนอื่นครับ อย่างกระทรวงสารสุขเนี่ย คนขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งเนี่ย มักจะอยู่ 1-2 ปี ซึ่งมันสั้นไปนิดนึง กว่าจะขับเคลื่อนอะไรนะ อธิบดีประหลัดเนี่ย ส่วนใหญ่ก็จะโลเทต 1-2 ปี บางทีปีเดียวเนี่ย ยังไม่ทันไรเลย เพิ่งทำความคุ้นเคยเนี่ย ก็จะเปลี่ยนแล้ว แต่ของพวกเราผู้บริหารในมหาวิทยาลัยเนี่ย มันมักจะมีการเติบโตมาจากสายมหาลัยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็จะรู้บริบทของงานเราอยู่ค่อนข้างชัดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเวลาขึ้นเป็นผู้บริหารนี้มักจะทำงานได้เลย โดยที่รู้ทิศทางที่จะไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะมาจูนยังไงให้มันตอบโจทย์ สิ่งที่เราอยากจะผลักดันได้มากขึ้น 4 ปี อาจารย์คิดว่าอะไรที่อาจารย์กังวลมากที่สุดหรือ มองว่าเป็นความเสี่ยงที่สุดว่าต้องผ่านด่านนี้ให้ได้ Real impact จะเกิดขึ้นจริงถ้าอาจารย์ผ่านสิ่งเหล่านี้ ถ้าถามผมนะ สำคัญของ obstacle คือระเบียบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ อืม มหาวิทยาลัยเนี่ยเคยถูกปลดออกเป็นมหาวิทยาลัยกำกับของรัฐ เมื่อประมาณสัก 12 ปีก่อน แต่ปรากฏว่าช่วง 8 ปีที่ผ่านมาเนี่ย เราถูกดึงกลับเข้ามา ในระเบียบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ คุณเคนอยู่ภาคเอกชนไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าคนที่อยู่ในภาครัฐจะเข้าใจ จะทำอะไรจะติดขัดใช่ไหมครับ ยาก เช่นอาจจะสร้างตึกสักหลังนึง เขาบอกว่าต้อง E-Bidding ต้องเขียน TOR ซึ่งก็ระเบียบมหาลัยเดิมตอนออกนอกระบบ เราก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้วนะ แต่เราสกรีนได้ เช่นเราจะเอาผู้รับเหมาที่มีประวัติดี แค่ 5 เจ้าเข้ามาบิดกัน แต่ระเบียบจังห์ภาครัฐไม่ได้ ต้องเขียน TOR TOR ถ้าไปกันผู้รับเหมากระเจาะง้อย ออก ถูกรอง ถูกรองก็ต้องแก้กันไปแก้กันมา จนกระทั่งเข้ากันได้หมด เสร็จแล้วเราก็เจอผู้รับเหมากระเลวกราชขอประทันโทษ เข้ามาบิดโดยใช้ราคาต่ำ ต่ำกว่าราคากลาง เช่น ต่ำกว่า 10% 15% ก็ได้งานไป โอ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ก่อสร้างอยู่สัก 10 โครงการเนี่ย เจ๊งไป 3 โครงการ เจ๊งแบบล้มละลาย เพราะว่าที่เขาให้ราคาต่ำเนี่ย เพราะว่าเขากำลังขาดเงิน ต้องการเงินมาต่อ ต่อลมหายใจ คือมันกลายเป็นว่ากฎระเบียบที่มี มันทำให้มันไม่ Healthy กับการจัดการ หรือว่าการที่เราจะสร้างโปรเจคต่าง ที่ผมยกตัวอย่างอันเดียวนะ แต่ว่ามันมีการจัดซื้อ จัดจ้างอุปกรณ์ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อะไรอีกมากมาย ที่มาติดระเบียบพวกนี้ คนทำงานอยู่ข้างในเนี่ยก็จะรู้ว่าอันนี้เป็น Obstacle ใหญ่ แล้วทำให้เราทำงานอย่างล่าช้า เวลาเราพูดถึง Agility นะ เราอยากให้มันเร็ว เราอยากให้มีผลงานนี้ออกมาตอบโจทย์ ความต้องการของประชาชนเร็ว แต่ทุกอย่างมันทำได้ช้ามาก เมื่อมีเงินภาครัฐเข้ามาเกี่ยว กฎระเบียบต่าง อันนี้ต้องฝ่าด่านให้ได้นะ ต้องจัดการ ถ้าคุณเคนไปดู ตอนที่วิจัยกันเรื่องแวคซีน ที่มันช้าทั้งหมดเนี่ย มาจากระเบียบจติศจัง อืม อืม เข้าใจ ซึ่งอันนี้มันก็ที่หลายคนพูดกันมาตลอด Regulary Guillotine อะไรอย่างนี้นะครับ แต่ก็กำลังจะพยายามทำตรงนี้เช่นเดียวกัน ผมก็พยายามทำ คือ แต่ทำในบทบาทที่เราพอทำได้เร็วนะ คือระเบียบบางอย่างเนี่ย อาจจะสังขยะนาพอได้ แล้วก็คุยกับกรมบัญชีกลาง คุยกับสตง. ให้เข้าใจว่าเราขอปรับตรงนี้ เพื่อให้ใช้ระเบียบของมหาวิทยาลัยเข้ามาช่วย ก็เดี๋ยวตรงนี้จะเป็นสิ่งที่จะพยายามทำ เพราะว่าคนทำงานในมหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมดจะรู้ว่า พอเป็นภาครัฐนี้จะมีคนใส่หัวเยอะ จริง ทั้งประเทศ ทั้งราชการระบบมีปัญหาข้างในอยู่เต็มไปหมด อันนี้ก็ต้องให้กำลังใจอาจารย์ คือ TDI เขาเคยทำงานวิจัยกันไหมว่าการสูญเสียโอกาส คือจริงๆ สมมุติตึกของเราที่สร้างไปแล้ว พุทธเหมาเจ๊ง ถามว่ารัดเสียเงินไหม เงินรัดตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม คือเรายังไม่ได้จ่ายไปเท่ากับจำนวนที่เขาทำ แต่สิ่งเราเสียคือเราเสียโอกาส เพราะว่าตึกหลังนี้ต้องเอาส่วนที่เหลือมาหางบประมาณใหม่ ค่าก่อสร้างผ่านไป 3 ปีเปลี่ยนไป แล้วก็จะต้องหาผู้รับเหมาใหม่ ซึ่งไม่ค่อยมีใครอยากเข้ามาทำ ซึ่งตรงนี้เราอาจจะ Delay การเสร็จของตึกหลังนี้ไปอีก 3 ปี มันเสียทุกอย่าง มันมีต้นทุนนะครับ มันไม่ใช่ว่าเมฆไม่ได้จ่าย ค่าเสียโอกาสมหาศาสตร์ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่มากครับ สุดท้ายแล้วกันนะครับ อาจารย์ผมฟังมาทั้งหมด ผมคิดว่า สิ่งหนึ่งที่บทบาทของอาจารย์กำลังจะเพิ่มมากขึ้น คือการสื่อสารกับ Stakeholder ทั้งหลายภาคส่วน ในโอกาสวันนี้ ได้มีโอกาสมาพูดคุย ผมช่วยมีหลายคนที่ฟังอยู่ ไม่ได้อยู่แค่ในด้านสุขภาพอย่างเดียว แต่ว่าเขาจะทำงานเป็นนักกฎหมาย อาจจะเป็นนักวิจัย อาจจะเป็น VC อยู่ต่างประเทศ ก็เป็นไปได้ อาจารย์ในฐานะหัวเรือใหญ่ของมหาวิทยาลัยมหิดล อยากจะสื่อสารอะไรทิ้งทาย ก็อยากให้เห็นถึงเป้าหมายของเรา ที่เราต้องการที่จะทำให้เกิดสุขภาวะที่ดีในประชาชน เน้นที่คนไทย แต่ก็อาจจะขยายไปถึงของโลกได้ ถ้าสมมติว่าเขาเข้าใจว่าจริงๆ สิ่งที่เราคิดค้นจากงานวิจัยเนี่ย ก็จะเป็นประโยชน์กับคนทั่วไปในโลกใบนี้ แล้วก็ให้เห็นถึงเป้าประสงค์ของเราที่ต้องการที่จะ ทำให้เกิดสุขภาวะที่ดีและสภาพแวดล้อมที่ดีด้วย ตาม SDG เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นนักกฎหมายก็หาทางช่วยเรา ปลดล็อกเครื่องต่างๆ ถ้าเป็น VC ก็ให้การสนับสนุน งานวิจัยของเราที่มาถึง TIL ระดับ 4-5 เพื่อให้มันไปถึงระดับ 9 ได้ ถ้าเป็น Philanthropist ก็ให้ลูกหลานแบ่งไว้ส่วนเดียวพอ ที่เหลือให้มหาวิทยาลัยในการสร้างบุคลากร ในการสร้างงานวิจัยที่เป็นประโยชน์กับประเทศ เพราะว่าเรานี้มุ่งเน้นในการเอาความรู้ ไม่ใช่เพื่อปริญญาหรือเพื่อใบอะไร แต่เป็นการที่เอาความรู้ไปประยุกต์ ทำให้เกิดประโยชน์กับมนุษยชาติ ตามพระราชบัติของพระอาจบิดา ซึ่งเป็นพระนามของมหาลัยของเราอย่างจริงจัง ครับ วันนี้ขอบพระคุณมากนะคะ ขอบคุณครับ