ก็อธิบายครบเลยนะครับ สําหรับระยะต่างต่างในกราฟความต่างสักตรงนี้น่ะ ทันขั้นตอนที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า จนเวียนเนี่ยกลับมาที่ขั้นตอนที่หนึ่งใหม่ครับ อันนี้อธิบายเรียบร้อยแล้วน่ะ มี resting state แล้วก็มาที่ depolarization ระยะแรก ระยะสอง หรือว่า ครับ แล้วก็ล่วงกลับลงมาที่ หรือว่า เสร็จแล้วก็เป็น หรือ ครับ นะครับ ทั้งหมดนี้คือ ขั้นตอนในระยะต่างต่างของกราฟความต่างสากเมื่อมีการกระตุ้นเซลล์ประสาทนะ เดี๋ยวสรุปภาพรวมอีกทีหนึ่งนะครับ โอเคครับ อาศัยรูปนี้สามารถสรุปภาพรวมได้นะ เริ่มต้นเนี่ยก็คือตัวของ Redding State ใช่มะ สีแดงตรงนี้ครับ Redding State ก็คือช่วงที่ค่าความสักสักเนี่ย ถูกพยายามรักษาให้ควบคุณที่ไว้ที่ลบ 70 มิลลิโวลต์ครับ หรือก็คือค่าของ Redding Membrane Potential นะ ที่จุดนี้ครับ เราจะเห็นว่าตัวของ Voltage Gate Channel เนี่ย ความสักสักที่จะเป็นโซเดียม Voltage Gate Channel หรือว่า โพลาเซียม Voltage Gate Channel ทั้งหมดนี้จะปิดทั้งหมดนะเห็นมะ ทั้งหมดจะปิด อยู่ในสภาพปิดหมด ดังนั้นอิทธิพลที่แสดงออกมาได้ได้ชัดเจน เนี้ยคือเรื่องของ โซเดียมโพลิเซียมปั๊มครับ โซเดียมโพลิเซียมปั๊มของ โซเดียมโพลิเซียมแชนแนลเนี่ย สามารถแสดงอิทธิพลในแง่ของการ รักษาความต่างสากไว้ที่ลบเจ็ดสิบมิลลิโวน ไว้ได้อย่างชัดเจนครับ ในระยะพักนะ แต่เมื่อเริ่มมีการกระตุ้นครับ เริ่มมีการกระตุ้นเนี่ย แรงกระตุ้นจากสิ่งเรา มันจะทําให้อิทธิพลของโซเดียมโพลิเซียมปั๊ม มันแสดงอิทธิพลได้น้อยลงครับ ส่งผลให้ ค่าของความต่างศักดิ์เนี่ยมันมีการเปลี่ยนแปลงได้นะครับ เห็นไหมครับว่าค่าของมันเนี่ย เริ่มเบี่ยงเบนไปจากระดับ ครับ ค่าของความต่างศักดิ์เนี่ยเริ่มมีการเพิ่มขึ้นมาแบบนี้ครับ นะครับ อันนี้เป็นผลจากการกระตุ้นของสิ่งเราได้นะ ในจังหวะที่ค่าของความต่างศักดิ์เนี่ย มันมีการเบี่ยงเบนขึ้นมาจากลบเจ็ดสิบมิลลิโวลช่วงแรกตรงนี้จะเรียกว่า ครับ ของเราเนี่ยจะแบ่งง่ายง่ายครับ เป็น ระยะแรกกับระยะหลัก นะ นะครับ ไอ ล ย แรก เนี้ย เราจะ ดู จาก จุด ที่ มัน หลุด จาก ขึ้น มา ถึง บริเวณ คร ี โช ท ครับ เราจะ แบ่ง ให้ ส่วน นี้ เนี้ย เป็น ล ย แรก นะครับ ทําไม มัน ถึง สามารถ มี ค่า ความ ต่าง สา ท ที่ สูง ขึ้น ได้ เพราะว่า การ กระ ต ้น จาก สิ่ง เรา เนี้ย มัน ไป ส่ง ผล ให้ โซ เด ีย ม ว ค เท ด เก ร ด แช น เ น ล บาง แช น เ ล ม มีการ เปิด ออกมา แล้ว ครับ เห็น ข้าของความต่างสักเนี่ย สามารถค่อยเพิ่มขึ้นมาได้ การที่เพิ่มขึ้นมาเนี่ยครับ มันก็เกี่ยวข้องกับปริมาณไอออนนะ เพราะว่าการเปิดขึ้นของโซเดียมเวิลเทศเกรดแชนเนลเนี่ย ส่งผลให้โซเดียมไอออนที่ด้านนอกมีมากกว่าด้านใน แพร่เข้ามาสู่ด้านในได้ครับ โอเคนะครับ การผ่านเนี่ยครับของไอออนเนี่ย ผ่านตัวที่เป็นเวิลเทศเกรดแชนเนล มันจะผ่านตามลักษณะการแพร่ทั่วไปนะ คือ ที่ที่ความค่อนสูง จะเข้าสู่ที่ที่ความค่อนต่ํากว่าครับ ข้างนอกโซเดียมมันเยอะ มันก็สามารถแพร่เข้าสู่ด้านในได้ เมื่อ เนี้ย มันมีการเปิดออก นะครับ แพร่เข้ามา อย่างนี้ ค่าของสักไฟฟ้า เนี้ยครับ มันก็สูงขึ้นใช่ไหม ทําให้ระดับความจักรสักเนี้ย มันมีการหลุดจากระดับลบเจ็ดสิบมิลลิโวน ขึ้นมาเนี้ยถึงบริเวณ ได้ครับ นะครับ อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ มีการเกิด ในช่วงแรก จากนั้น พอการที่กระตุ้นเนี้ย แล้วตัวของไอออนมันเพิ่มขึ้นเข้ามาเรื่อยเรื่อย จนระดับของค่าความสักสักเนี่ย มันเลยระดับเทโฉดไป คราวนี้เนี่ย จะสามารถพุ่งเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเลยครับ โอเคนะครับ อันนี้จะเป็นการเข้าสู่ ระยะหลังครับ ระยะนี้ถ้ามองตามกราฟเนี่ย เราจะได้ว่า ฟเฟสก็ได้ครับ นะ จะนําจากจุดที่เป็น เชิด ขึ้นไปยังจุด ตรงนี้ครับ ตรงนี้คือช่วงของ ครับ โอเคนะ ช่วง เนี่ย มันจะสามารถมีค่าความสักสักเนี่ย เพิ่ม ขึ้นได้อย่างรวดเร็วเลยครับ ช่วงนี้ทําไมสิ่งสามารถเข้าขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่า โซเดียมเกจเกจ อื่นอื่นเนี่ย มันเริ่มมีการเปิดออกมากขึ้นครับ ทําให้โซเดียมไอออนจากด้านนอกเนี่ย สามารถพรั่งพูเข้ามาภายในศัลวสัตริ์ได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ค่าความตัดสักเนี่ย มันมีการเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน สามารถเพิ่มขึ้นได้นะครับ จากจุด ตรงนี้เนี่ย ไปสุดที่บริเวณ ได้เลยครับ นะครับ จุดตัดนะคะว่าเบอร์ไหล่ จะเข้าสู่ rising phase เนี่ย มันคือระดับเทโฉดนะ ถ้าการกระตุ้นโดยสิ่ง เราเนี่ย สามารถกระตุ้นไปถึงเทโฉดได้ มันก็จะนําพาเนี่ยเซลวอาสาส ไปยังจุดที่เป็น ไปสู่ระยะที่เป็น rising phase ได้เลยครับ คราวนี้เนี่ย จะพุ่งเข้าสู่ action monotrials ได้อย่างรวดเร็ว ครับ อันนี้ก็คือเข้ามาถึงจุดพีคนะนะ และเมื่อมาถึงจุดพีคครับ ถึงจุด action monotrials แล้วเนี่ย เราจะนับจุดนี้ครับว่า มีการเกิดเกิดแสวศาสตร์ขึ้นมาแล้วนะครับ เกิดแสวศาสตร์เนี่ย เกิดขึ้นเมื่อเซลวศาสตร์สามารถเข้าถึงระดับ action potential ได้แหละครับ ตรงจุดนี้เนี่ย เกิดเกิดแสวศาสตร์ขึ้นมาแล้ว จําไว้นะครับ เกิดแสวศาสตร์เนี่ย มันไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อ ครบ วง จอ นะ มัน เกิด ขึ้น เมื่อ ตัว สา สา ด สามารถ ไต ไป ถึง ได้ แล้ว ครับ ครับ แต่ว่า เมื่อ ถึง เนี้ย มัน ก็ ไม่ได้ ค ้า ง อยู่ที่ นาน ครับ แป ๊บ เดียว ครับ แล้ว มันก็จะ ล่ว ง กลับ ลงมา ค่าความต่างศักดิ์จะล่วงกลับลงมานะ ระยะที่ล่วงกลับลงมาจะเรียกว่า Repolarization หรือถ้าเกิดว่ามองตามกราฟจะเรียกว่า Falling Phase ก็คือล่วงลงมา เห็นไหม Falling Phase คือช่วงที่ค่าความต่างศักดิ์เริ่มมีการล่วงตกลงมาอีกครั้งนึงตรงนี้ การที่ค่าความต่างศักดิ์สามารถล่วงลงมาได้ ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของปริมาณไออ้อนที่มีการผ่านเข้าออกเช่นกันครับ ในช่วงนี้ครับ หลังจากผ่าน Action Potential ไปแล้ว ตัวของ Sodium Worktate Gate Channel จะกลับมาปิดอีกครั้งหนึ่งครับ ตามรูปนะ ไอขาวนี้เนี่ยจะเป็นการปิดแบบไม่ความใช้งานนะครับ ตัวลูปตรงนี้จะเข้ามาขวางตรงบริเวณ Channel ด้วย ต่างจากช่วงที่เป็น Resting State นะ Resting State เนี่ย การปิดของ Sodium Channel จะเป็นการปิดแบบความใช้งาน ตัวลูปตรงนี้ไม่ได้เข้ามาขวางครับ แต่เมื่อเลย Action โดยเชี่ยวเนี่ยครับ แล้ว Sodium Channel มีการปิดเนี่ย ไอการปิดในช่วงนี้จะเป็น ปิดแบบไม่พร้อมใช้งาน ตัวลูปจะเข้ามาขวางด้วย โคเชมเวิลเทจเกจแชนเนล ส่วนตัวที่กลับมาเปิด แต่ที่ปิดมาตลอดคือโพลเทสเซียมเวิลเทจเกจแชนเนล ตัวนี้จะเริ่มเปิดแล้วครับ สามขั้นตอนแรกมันปิดมาตลอด อันนี้ก็ปิด อันนี้ก็ปิด จนเข้าสู่ช่วง Re-Prolization หรือ Falling Phase คราวนี้โพลเทสเซียมเวิลเทจเกจแชนเนลจะเริ่มเปิด การเปิดของมันส่งผลยังไง ส่งผลให้โพลเทสเซียมไอออนเนี่ยที่ด้านในเซลล์มีมากกว่านี้ เซลล์ครับ โพเลเซีย มี ด้าน ใน มี มากกว่า ด้าน นอก เนี่ย ก็จะ แพร่ ออกจาก เซลล์ อันนี้ ก็เป็นการ ทําให้ ไอ ออน บวก เนี่ย หลุด ออกไป จาก เซลล์ นะ เมื่อ ไอ ออน บวก หลุด ออกไป จาก เซลล์ ก็จะ ส่ง ผล ให้ ค่า ความ ต่าง สัก มัน สามารถ ตก ลงมา ได้ นะครับ ที่ ค่า ความ ต่าง สัก มัน เนี่ย ตก ลงไป ครับ เพราะว่า ตัว ของ โซ ดี อี ย ม มัน ปิด ตัว ลงไป แล้วก็ โพ เล ส เซ ีย ม มัน เปิด ออก ส่ง ผล ให้ เนี่ย หลุด ออกไป จาก เซลล์ ครับ และไม่สามารถรับโซเดียเมอร์อ้อนเนี่ยผ่านโซเดียเวิร์ดเทศเกียร์แชนแนลเพิ่มเข้ามาได้ด้วย อย่างงี้ส่งผลให้สักไฟฟ้ามีจะตกลงไปเรื่อยๆนะ โอเคนะครับอันนี้คือในส่วนของ falling phase หรือว่า repolarization ครับ ไอ้การล่วงลงมาเนี่ยมันไม่ได้ล่วงลงมาแล้วหยุดที่บริเวณของ resting state เป๊ะๆครับ ไม่ลุดล่วงลงมาเนี่ยแล้วหยุดที่บริเวณ resting membrane potential เป๊ะๆนะ เวลาล่วงลงมามันจะล่วงเลย จากระดับ resting main brain potential ครับ ล่วงลงมาเนี่ย เลยระดับเส้นแดงนี้เห็นไหม การล่วงลงมาแบบนี้เนี่ย สาเหตุมาจากการที่ตัวของ potassium voltage gate channel มันเปิดช้าแล้วก็ยังปิดช้าด้วยครับ มันต่างจาก sodium voltage gate channel นะ ไอตัว potassium voltage gate channel เนี่ย มันเปิดปิดก็ทั้งช้าครับ ไอเวลาที่ควรจะปิดได้แล้วเนี่ยคือ เวลาที่มันอยู่ในระดับ resting main brain potential ครับ เมื่อค่าความหนักสักเนี่ย มันอยู่ที่บริเวณ resting main brain potential Protesia World Head Gauge Channel มันควรจะปิดครับ แต่ว่า เอาตามจริงแล้ว มันจะยังปิดได้ไม่สนิทครับ การที่มันยังปิดได้ไม่สนิท ที่ระดับลบเจ็ดสิบมิลลิโวลต์ มันส่งผลให้ตัวของ Protesia Mion สามารถหลุดต่อไปได้อีกครับ การที่ Protesia Mion หลุดต่อไปได้อีก ก็จะทําให้สักไฟฟ้า มันสามารถล่วงเลยจุดระดับ ลบเจ็ดสิบมิลลิโวลต์ออกไปได้ครับ กลายเป็นกราฟสิงโมตรงนี้เห็นมั้ย อันเนี้ยครับ เราจะเรียกว่าระยะที่เป็น Undershoot ครับ Undershoot หรือว่า High Purple Polarization นะ คือล่วง เนี่ย ครับ ลงมา เลยจากระดับ Resting Membrane Potential หรือว่า เลยจากลบเจ็ดสิบมิลลิโวล์นะ ล่วงลงมามากเกินไปครับ ผลมาจากการที่ ตัวของ Polarization Mion เนี่ย มันปิดช้าเกินไปครับ พอปิดช้า เนี่ย Polarization Mion มันก็ไหลออกมากเกิน ครับ แต่ว่าท้ายสุด เนี่ย มันก็ต้องมีการปรับระดับให้กลับเข้ามาสู่ Resting Membrane Potential อยู่ดีครับ เพราะว่ายังไงก็ตาม ตัวของ Polarization World Headgate Channel เนี่ย ถึงจะปิด ช้า แต่ว่ามันก็ต้องปิดอยู่ดีครับ พอมันปิดเบื่อไหล่เนี่ย ก็จะกลับเข้ามาสู่ที่รูปนี้ครับ รูปเหมือนตอน ได้เห็นมั้ย ตัว ต่างต่างเนี่ย จะมีการปิดตัวลงแบบนี้ครับ แล้วนอกจากนี้ ไอ เนี่ย ถึงแม้ว่ามันมีความจําเป็นนะครับ ทําให้ภายหลังเนี่ย ต้องหาทางปรับกลับมาที่จุดสบดูนใช่มั้ย แต่ อันทชูตก็มีประโยชน์อย่างเนี่ยคือ มันช่วยปรับเปลี่ยนสถานะของ โซเดียม วอลเทศเกรด แชนแนลครับ มันช่วยปลดล็อกเนี่ย จากสถานะ ปิดแบบไม่พร้อมใช้งาน ให้ ให้กลายเป็นปิดแบบพร้อมใช้งาน ตามรูปนี้ได้ครับ นะครับ อันนี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในขั้นตอนที่ห้านะ เห็นไหม ขั้นตอนที่ห้าเนี่ยมันเปลี่ยนจากสภาวะปิดแบบไม่พร้อมใช้งาน ให้กลายเป็นปิดแบบพร้อมใช้งานของ โซเดียม วอร์เทศ เกจ แชนแนลด้วยครับ มีประโยชน์ตรงนี้นะ ครับ เมื่อ Sodium Voltage Gate Channel มันมีการปิดลง แล้วก็แน่นอน Sodium Voltage Gate Channel ก็มีการปิดเหมือนกันครับ พอพวกที่เป็นประตู พวกที่มีประตูพวกหลาย มันมีการปิดตัวลงทั้งหมด ก็จะส่งผลให้อิทธิพลของ Sodium Potassium Pump ที่ทำงาน มาตลอดนะครับ ทุกระยะ เนี่ย โซเดียม พริกเซ็นต์ปั๊มก็ยังคง ทํางานอยู่นะ แต่อาจจะแสดงอิทธิพลได้ไม่ชัดเจนครับ ยิ่งถ้าเกิดว่าเป็นช่วงที่ พวก พวกเกรดชั้นแน่นของหลาย เนี่ย มีการเปิดขึ้นมา เนี่ยครับ อิทธิพลของ เนี่ย มันจะหายไปเลยนะ โอเคไหมครับ แต่ว่า เมื่อพวกที่มีประตูพลาย ครับ พวก เนี่ย มีการปิดทั้งหมดบลัย อิทธิพลของ โซเดียม พริกเซ็นต์ปั๊ม มันก็สามารถกลับมาแสดงได้อีกครั้งหนึ่งครับ ไอ้การที่ โซเดียม พริกเซ็นต์ปั๊ม เนี่ย กลับ มามีอิทธิพล มันจะสมขนให้มีโอกาสในการรักษาค่าความต่างสากเนี่ย ให้กลับมาอยู่ที่ลบเจ็ดสิบมิลลิโวนได้ นะครับ จากระยะเนี่ยครับ ระยะที่เป็น เนี่ย สามารถกลับสู่ภาวะ ได้ มันเกิดจากการที่ตัวของ ชั้นนักนวด มันมีการปิดสนิทลงทั้งหมดครับ แล้วโซเดียมพลิกเซ็นต์ปั๊บเนี่ย สามารถกลับมาช่วยในการรักษาระดับค่าความต่างสากเนี่ย ให้กลับมาที่ลบเจ็ดสิบมิลลิโวนได้ คราวเนี้ยครับ จากเดิมที่ ที่เป็น เนี่ย ก็เลยสามารถกลับสู่ภาวะ โดยสมบูรณ์ และพร้อมสำหรับการถูกกระตุ้นครั้งต่อไปได้ครับ ครับ ทั้งหมดนี้คือภาพรวมนะ ของการเกิดกระแสประสาทครับ เน้นย่ำอีกทีหนึ่ง เมื่อถึง แล้วเนี่ย สามารถเกิดกระแสประสาทได้เลยครับ ไม่จําไม่ต้องครบวงจรนะครับ ขั้นสี่ขั้นห้าเนี่ย ไม่จําไม่ต้องให้ผ่านไปนะ แค่ถึง แล้วกระแสประสาทเกิดขึ้นได้เลยครับ เสร็จแล้วเนี่ย ค่อยมีการปรับตัวครับ ไปสู่ขั้นตอนที่สี่ขั้นตอนที่ห้าเพื่อให้ ให้ครบวงจรนะ พอกลับเข้าสู่ขั้นตอนที่หนึ่งเนี่ย ก็พอสรรพการถูกกระตุ้นครั้งต่อไปได้ครับ โอเคครับ เรามาทดทวนกันดูนะครับ ประเด็นเกี่ยวเรื่องของการกิจกระสาทวักษณ์เนี่ยครับ ประเด็นเกี่ยวขั้นตอนต่างต่างภายในกราฟตรงนี้เนี่ย ออกข้อสอบค่อนข้างจะบ่อยนะ แล้วออกได้ละเอียดด้วยนะครับ ไปทดทวนกันมาให้ดีนะ โดยเฉพาะเรื่องของ ต่างต่างนะครับ ทําความเข้าใจลักษณะของ ต่างต่างดีดี แล้วก็ดูเขาว่าในแต่ละระยะเนี่ย ต่างต่างมันมีการเปิดปิดมีการทํางานยังไง บ้างครับ ทีนี้มาเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมนิดนึงครับ ไอ้ส่วนเมื่อกี้เป็นส่วนหลักหลักที่เราต้องทำความเข้าใจนะ คราวนี้มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวคุณสมบัติเนี่ย ของเซลล์ประสาทนิดหนึ่งครับว่า เรื่องของการที่มันสามารถเกิด กราฟแบบนี้ได้เนี่ย มันมีอะไรเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องบ้างครับ มาดูเรื่องของจุดเทรชโหดก่อนครับ จุดเทรชโหดเนี่ย เป็นจุดตัดใช่ไหม ที่จะเข้าสู่ระยะที่เป็น Rising Phase นะ จากระยะสองไประยะสามเนี่ยครับ มันคั่นด้วยจุดเทรชโหดตรงนี้ครับ จุดเทรชโหด มีความสําคัญยังไง จุดเพชรโหดเป็นตัวกําหนดคําว่า เซลล์ประสาทสามารถถูกกระตุ้นแล้วไปเกิดกระแสว่าสาดได้หรือเปล่าครับ บางทีนะครับ การกระตุ้นเนี่ย กระตุ้นไปก็จริง แต่อาจจะไม่เกิดกระแสว่าสาด แล้วทําให้ไม่สามารถรับรู้หรือเกิดความรู้สึกใดใดได้ครับ อันนี้ก็ถือว่าเป็นไปได้นะครับ ถ้าสิ่งเราเนี่ย มันมีแรงกระตุ้นต่ํามากมาก เราจะไม่สามารถรับรู้ได้ครับ เพราะว่าการกระตุ้นของสิ่งเราที่แรงกระตุ้นต่ําต่ําเนี่ย มันไม่สามารถกระตุ้น ไปถึงจุด threshold ได้หรือพูดง่ายง่ายครับก็คือไม่สามารถผ่านเนี่ยจากขั้นตอนที่สองไปสู่ขั้นตอนที่สามได้ครับจาก depolization เนี่ย ระยะแรกไม่สามารถเข้าสู่ depolization ระยะที่สองได้ครับ โอเคไหมถ้าเกิดว่าไม่สามารถเข้าสู่ depolization ระยะที่สองหรือว่าช่วง rising phase ตรงเนี้ยครับมันก็ไม่สามารถไต่ไปถึง action potential ได้นะ นะครับอันนี้ดูจากกราฟเนี่ยก็เห็นภาพตรงไปตรงมาเลยนะ การที่แรงกระตุ้น จากสิ่งเราไม่พอเนี่ยมันจะเป็นไปตามลักษณะของกราฟส่วนนี้ครับ เห็นไหมครับว่ากรณีที่แรงกระตุ้นไม่พอเนี่ยมันก็เกิด ขึ้นครับ ค่าความต่างสักเนี่ยมีการเบียงเบนขึ้นมาจากลบเจ็ดสิบมิลลิโวนจริง แต่ว่าค่าแรงกระตุ้นต่ําเกินไป มันไม่สามารถไตเนี่ยผ่านจุดเคโฉดได้ แบบเนี้ยครับ มันจะไม่สามารถเข้าสู่ช่วงได้ครับ มันจะขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วกลับตกลงไปครับ ในระยะพักเหมือนเดิมครับ แบบนี้เนี่ยเรียกว่า เกิด De-Polition แต่ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดกระแสประสาทได้ครับ สาเหตุเนี่ยอาจจะมาจากการที่สิ่งเล้า มันมีแรงกระตุ้นที่ต่ำเกินไปครับ ก็เลยไม่สามารถส่งผลให้เกิดกระแสประสาท ไม่สามารถไต่ไว้ถึง Action Potential ได้นะ แต่ถ้าเกิดว่าสิ่งเล้าเนี่ย มีความรุนแรงมากพอครับ เอาแค่ผ่านจุดทรชดได้ก็พอนะ ผ่านจุดทรชดได้เนี่ย ถือว่ามันสามารถไต่ไว้ถึง Action Potential ได้เลยครับ ขอแค่สามารถนะครับ กระตุ้นเนี่ย มากพอให้เลยจุดเทชดไปได้ครับ ไอแบบนี้เนี่ย สามารถนําพาเศรษฐศาสตร์ให้ไต่ไปถึง action potential ได้เลย โอเคนะครับ อันนี้ถือว่า มีแรงกระตุ้นมากพอครับ ทุกครั้งที่มีการกระตุ้นเนี่ย ถ้าจะสามารถเกิดกระแสประสาทได้ ยังไงก็ตาม แรงกระตุ้นนั้น จะต้องสามารถนะครับ ไปถึงจุด ได้ครับ ที่จะสามารถเข้าสู่ ได้นะ อันนี้ถือว่าเป็นจุดตัดเลยนะครับว่า การกระตุ้นโดยสิ่งเราเนี่ย สามารถทําให้เกิด กระแสวศาสตร์ได้หรือเปล่านะ ถ้าสิ่งเรามีความแรงในการกระตุ้นเนี่ย สามารถไปถึงจุดเทโฉดได้ สิ่งเรานั้นจะสามารถทําให้เกิดกระแสวศาสตร์ได้ครับ สามารถทําให้เกิดแอคชั่นผลเชี่ยวได้นะ ถ้าเข้าใจประเด็นเกี่ยวเรื่องของระดับเทโฉดแล้ว คราวนี้มาดูกฎที่เกี่ยวข้องกับเซลวศาสตร์อีกอย่างหนึ่งครับ คือ กฎอออนอนครับ อันนี้เนี่ยมันหมายถึงยังไงครับ มันเป็นกฎที่เกี่ยวข้องกับคําว่า การกระตุ้นเนี่ย กระตุ้นแรงแค่ไหน ไม่สนครับ สนแค่ว่าแรงเนี่ย มันพอถึงเทโฉดไหม ถ้าแรงในการกระตุ้นเนี่ย สิ่งเรามีแรงกระตุ้นถึงเทโฉด มันจะได้กระแสว่าสาทที่เท่ากันหมดครับ เขาว่ากระแสว่าสาทเท่ากันหมดหมายถึงอะไร คือ ขึ้นไปแต่ที่ระดับแอคชั่นมูลนิชิลได้เหมือนกันหมด นะครับ เรามาดูรูปนี้ครับ ดูรูปนี้นะ เราจะเห็นคําว่า ในการกระตุ้นเนี่ย เอาตามที่อธิบายไปเมื่อกี้ก่อนคือ ถ้าการกระตุ้น แรงกระตุ้นไม่ถึงระดับเทโฉด ก็แสว่าสาทจะไม่เกิดเลยนะครับ ไม่ว่ามันจะกระตุ้นเนี่ย ได้มากน้อยยังไงนะ อย่างนี้ จากลบเจ็ดสิบเนี่ยครับ กระตุ้นได้มาแค่นี้ครับ แค่นี้ไม่ถึงเทโฉดแน่นอนครับ เพราะว่าเทโฉดเนี่ยมันอยู่ที่ระดับประมาณนี้ใช่ไหม อันนี้ครับ ไม่ถึงเทโฉด ก็แสดงว่าไม่เกิดกระแสวสาธิ์ แล้วถ้าเกิดว่ากระตุ้นแรงขึ้นมานิดหนึ่งครับ แรงขึ้นมานิดหนึ่งก็จริงครับ เทียบกันดูนะ เห็นไหม อันนี้เหมือนจะแรงขึ้นมานิดหนึ่ง แต่แรงขึ้นมานิดหนึ่งของมันเนี่ย ก็ไม่ถึงเทโฉดอยู่ดี อันนี้ก็ถือว่าไม่เกิดกระแสวสาธิ์เหมือนกันครับ เกรียบเทียบกันดูนะครับ แรงเนี่ย อันนี้น้อยกว่า อันนี้มากกว่า แต่ตามได้ที่ทั้งคู่ ไม่ถึงเทโฉด ก็จะตีความว่า ไม่เกิดเกิดแสบประสาททั้งคู่ครับ เห็นมั้ย เขารูปให้ดูเลยนะ อันนี้เนี่ยมีแรงกระตุ้นน้อยกว่า อันนี้แรงกระตุ้นเยอะกว่า แต่ตามใดที่ไม่ถึงเทโฉด กลที่ได้เหมือนกันเลยครับ คือไม่เกิดเกิดแสบประสาท ไม่ไปถึง action potential ทั้งคู่ครับ เขียนมั้ย อันนี้ครับ คล้ายคล้ายคล้าว่า non ครับ คือ จากกระตุ้นแรงยังไงก็ตามครับ เราไม่ได้สนใจนะครับว่า แรงมากแรงน้อย เราสนใจแค่ว่า แรงมันถึงเทโฉดหรือเปล่านะ ถ้าไม่ถึงเทโฉดจะถือว่า ไม่สามารถเกิดกระแสประสาทได้ทั้งนั้นครับ เป็น น ทั้งหมดครับ เห็นไหม อันนี้ครับ คือ ได้หรือไม่ได้แค่นั้นครับ อย่างนี้ ถึงจะกระตุ้นแรงขึ้น แต่ถ้าเธอไม่ถึงเทโฉดก็ถือว่ากระตุ้นไม่ได้เหมือนกัน นะครับ ทีนี้ มาดูอีกกรณีหนึ่งครับ กรณีที่แรงกระตุ้นถึงล่ะ อย่างอันนี้ครับ แรงกระตุ้นมันถึงนะ แรงกระตุ้นเนี้ยครับ ประมาณนี้ ก็สามารถไปถึงระดับเทโฉดได้ใช่ไหม กระตุ้นถึงเทโฉดนะ กระตุ้นถึงเทโฉดแสดงว่า ไตไปถึง ได้เลยครับ อันนี้เป็นตัวตัดนะครับ เบาไหล่ก็ตามถึง ถึงเทโฉดปุ๊บเนี่ย หมายความว่า มันจะดันเนี่ย ไปถึงแอคชั่นมนติเชี่ยวได้เสมอครับ เข็มไหม จุดตัดคือ การขึ้นไปถึงเทโฉดหรือเปล่าครับ ถ้าขึ้นไปถึงเทโฉดเนี่ย แรงมากพอไปถึงเทโฉดได้นะ ก็แสดงว่าจะมีการขึ้นไปถึง แอคชั่นมนติเชี่ยวได้แน่นอนครับ ตรงนี้ให้เราจินตนาการนะคะว่า จุดเทโฉดเนี่ย เป็นเหมือนตัวเงื่อนไขครับที่จะส่งผลให้เกิดแรงอัตโนมัติในการผลักเนี่ย ตัวของค่าความต่างศักดิ์จากจุดเทโฉดให้พุ่งไปถึง ได้โดย ครับ หมาย คํา ว่า บ ลัย ก็ ตาม แรง กระ ตุ ้น เนี่ย มัน สามารถ กระ ตุ ้น ไป ถึง ระดับ ได้ มัน เหมือน กับ ว่า มี แรง ของ มัน เนี่ย ครับ แรง เนี่ย ที่ อยู่ ดี ก็ สามารถ เข้ามา ผลัก ไป ถึง ได้ ของ มัน เอง เลยครับ เห็นไหม นะ ขอ แค่ ไต ถึง ได้ นะ แตะ วุ ๊บ มี แรง ัตโน มัติ ผลัก ไป ถึง ใน ช่วง เอง ได้เลย ครับ ไม่ ว่า แรง กระ ตุ ้น แรก เริ่ม เนี่ย จะ รุน แรง เท่าไร นะ จุด ตัด จริงจริง คือ มัน ไป ได้ หรือ เปล่า ครับ ไอ้สอง สองอันแรกเนี้ย มันไม่สามารถขึ้นไปแตะเทโฉดได้ แต่อันที่สามเนี้ยครับ เขาสมมุติว่า มันมีแรงเนี้ย เข้าไปแตะเทโฉดได้พอดี แตะได้ปุ๊บ สามารถมีแรงอัตโนมัติ ผลักไปถึง ได้เลยครับ ทีนี้มาดูกรณีสุดท้ายครับ กรณีสุดท้ายเนี้ยคือ แรงในการกระตุ้นเนี้ย มันรุนแรงมากมากครับ ไอตัวนี้เนี้ยเขาสมมุตินะครับ สมมุติว่า แรงเนี้ยครับ มันสามารถไปแตะเทโฉดได้พอดี แต่นี้ เขาสมมุติว่า จริงจริงแล้วเนี้ย แรงของมันครับ สามารถแตะเนี้ย เกินระดับเทโฉดได้ครับ อาจจะถึงระดับประมาณนี้เลยครับ แต่ดูจากกราฟครับ หน้าตามันต่างกันไหม หน้าตามันไม่ต่างกันเลยเห็นไหมครับ ไม่ว่าจะมีแรงกระตุ้นเนี่ย รุนแรงเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นะครับ ขอแค่ว่ามันไปแตะเทโฉดได้ ที่เหลือมันจะมีแรงอัตโนมัติ ผลักเข้าไปครับ ในปริมาณที่เท่าเท่ากันเองครับ ไม่ว่าแรงกระตุ้นแรกเริ่มเนี่ย มันจะแรงเกินระดับเทโฉดไปอีกนะ อย่างเนี้ยครับ ตรงนี้เขาใช้คำว่าซูปประเทโฉดครับ หมายความว่า แรงกระตุ้นแรกเริ่มของมันเนี่ย มันเป็นแรงกระตุ้นที่ค่อนข้างจะรุนแรงครับ อาจจะเป็นแรงกระตุ้น ที่สามารถผลักเนี้ยให้เลย ระดับเทโฉดไปได้อีกนะ แต่ถามว่ากราฟหน้าตาต่างจากตอนที่ ไอ้แรงกระตุ้นมันถึงระดับเทโฉดพอดีหรือเปล่า จะเห็นว่าหน้าตาไม่ต่างกันครับ เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อไหร่กระตามแรงกระตุ้นเนี่ย แตะเทโฉดวุบ ที่เหลือเป็นเรื่องของแรงอัตโนมัติเลยครับ ที่ จะผลัก เนี่ย ให้ ไว้ถึง ของมันเองครับ มันจะไม่ได้สนนะครับ แรงส่วนเกิน ตอนกระตุ้นช่วงแรก ในที่ มันเกินระดับเทโฉดครับ เมื่อไหร่ก็ตามถึงเทโฉดปุ๊บ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของแรงอัตโนมัติครับ ที่จะกระตุ้น เนี่ย ให้ไปถึง โปรตันเชี่ยวในรูปแบบนี้เองครับ อันนี้ก็เลยเป็นสาเหตุนะครับว่า ไม่ว่าแรงกระตุ้นแรกเริ่มเนี่ย มันจะรุนแรงเลยเทโฉดเท่าไหร่ก็ตาม ลักษณะกราฟมันยังคงเหมือนเดิมครับ มันยังคงเนี่ย มีแรงอัตโนมัติที่สามารถผลักไปถึงระดับที่เป็น โดยโดยแบบนี้ครับ เหมือนกันเลยเห็นไหม ไม่ว่าแรงกระตุ้นจะพอดีกับเทโฉด หรือว่าเลยระดับเทโฉดนะครับ ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นหน้าที่ของแรงอัตโนมัติครับ ที่จะผลักเนี่ย ค่าของความต่างศากจากระดับเทโฉด ให้ไปสูตรโพลดีที่ action potential เหมือนกัน โอเคนะครับ อันนี้ก็คือลักษณะของ all or none ครับ คือมีการเนี่ยไปถึง action potential โพลดี หรือไม่ก็คือไม่สามารถไปถึง action potential ได้เลยครับ เหมือนกับว่ามีแค่สองกรณีครับ all เนี่ยเหมือนกับว่าไปแต่ action potential non หมายถึงว่าไม่สามารถไปถึง action potential ได้ครับ โอเคนะครับ ความหมายของ all or none เนี่ยคือ ผลที่เกิดขึ้นมีได้แค่สองกรณีครับ คือ ไปถึง action potential กับไม่สามารถไปถึง action potential ไม่สามารถไปถึง action มูลเที่ยว จะไม่มีกรณีที่สามนะครับ เช่น ถ้าเกิดแรงกระตุ้นเนี่ย มันไปซุปราเทโฉด แรงกระตุ้นแรกเริ่มเนี่ย รุนแรงมากมาก จะทําให้ท้ายสุด ตรงปลายยอดเนี่ย เจริญตับ action มูลเที่ยวปกติ อันนี้ไม่มีนะครับ กรณีแบบนี้ไม่มีนะ มันมีแค่ว่าถึง action มูลเที่ยวพอดี กับไม่ถึง action มูลเที่ยวเลยครับ เลยเรียกว่า นอน นะครับ อันนี้คือความหมายของมันนะ ทีนี้เรารู้แล้วค่ะว่า จะกระตุ้นแรงยังไงก็ตามเนี่ย สุดท้ายแล้ว การลํา รับรู้ของมันครับ การเกิดกระสายวัศาสตร์เนี่ย ก็ไม่สามารถเกินระดับแอคชั่นมนุเชี่ยวได้ หลายคนก็จะสงสัยครับว่า ไอแบบนี้เนี่ย ไอการตุกตีแรงแรงเนี่ยครับ การถูกตีแรงแรงเนี่ย ทําไมมันรู้สึกเจ็บกว่าการถูกตีเบาๆได้ ก็ในเมื่อจะตีแรงหรือตีเบาเนี่ย มันน่าจะไปถึงแอคชั่นมนุเชี่ยวหมุนเหมือนกันจริงไหม แบบเนี้ยครับ แค่สัมผัสกับตีเนี่ย มันก็จะให้ความรู้สึกเหมือนกันครับ เพราะว่าท้ายสุดแล้ว จะรุนแรงยังไงก็ตาม ก็ถึงแค่แอคชั่นมนุเชี่ยวเหมือนกัน หลายคนอาจจะงงในประเด็นตรงนี้ แต่เอาจริงๆ แล้ว คำว่าตีกับสัมผัส จุดที่แตกต่างกันครับ ไม่ใช่ว่าตี มันจะทำให้กระแสวักษา มันเกิดขึ้นในจุดที่ เลยแอคชั่นมุนเชี่ยวครับ การตีมันรุนแรงหรือว่ารับรู้ ได้มากกว่าการสัมผัสเฉยๆ เพราะว่าการตี มันไปกระตุ้น เซลล์ประสาทได้ในจำนวนหลายเซลล์ มากกว่าการสัมผัสเฉยๆ แค่นั้นครับ การถูกตีแรงๆ กับตีเบาๆ เนี่ย ที่มันเจ็บไม่เท่ากัน ไม่ใช่เพราะว่า ไอ้การตีแรง มันทําให้จุดพีคเนี่ยสูงกว่าระดับดั้งเดิมครับ ยังไงจุดพีคก็เหมือนกันหมดนะ คือประมาณ action monitor เหมือนกันทั้งหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นตีแรงหรือตีเบา เพียงแต่ว่าทําไมตีแรงเนี่ยมันถึงเจ็บกว่าตีเบา เพราะว่าการตีแรงมันไปกระตุ้นเซลล์ประสาทได้ในจํานวนหลายเซลล์มากกว่าตีเบาครับ อันนี้เนี่ยก็เลยสามารถรู้สึกเจ็บได้มากกว่า นะครับ ยังไงก็ตามครับ เซลล์ประสาทเนี่ยทุกเซลล์นะ มันก็ไปถึงแค่ระดับ actionmonitor ที่ระดับเดียวกัน ทั้งหมดครับ เพียงแต่ว่าตีแรงเนี่ย กระตุ้นเซลล์ประสาทได้ในจํานวนหลายเซลล์มากกว่า ก็เลยสามารถรู้สึกเจ็บได้มากกว่าการตีเบาเบาครับ ครับ ตรงนี้ยังไม่เป็นไปตามกฎอออนอนอยู่นะ ตีแรงเจ็บมากเพราะว่ากระตุ้นเซลล์ประสาทในจํานวนเซลล์ที่มากกว่าเฉยเฉยครับ แต่ไม่ใช่ว่าตีแรงแล้วเนี่ย ไอ้จุดพีคของมันจะสูงกว่าระดับเดิมนะ จุดพีคยังเหมือนเดิมครับ เนี่ย ยังอยู่ที่ประมาณระดับเดิมอยู่ ครับ อันนี้ก็คือเรื่องของอออนอนครับ ครับ ถ้าเข้าใจเรื่องของระดับเทชด และความสัมพันธ์ของมันเนี่ย ในการไปถึงระดับ action potential แล้ว ทีนี้ มาดูอีกประเด็นหนึ่งครับ เป็นประเด็นที่���กี่ยวข้อการที่ตัวของเศรษฐศาสตร์เนี่ย สามารถไต่ไปถึงระดับเทชดได้ครับ คือเรื่องของ summation ครับ summation เนี่ย จะแตกต่างนะครับ กับกรณีที่อธิบายไปเมื่อกี้นะ ที่อธิบายไปเมื่อกี้เนี่ย การกระตุ้นโดยสิ่งเรา มันจะเป็นเหมือนกับว่า เป็นการกระตุ้นครั้งเดียวใช่มั้ย แล้วเราก็ดูค่ะว่า ไอ้ครั้งเดียวที่กระตุ้นเนี่ย เนี้ย มันกระตุ้นแรงพอไปถึงเทโฉดหรือเปล่านะ เห็นไหม ถ้าเกิดว่า แรงกระตุ้นในหนึ่งครั้งตรงนั้นเนี้ย มันแรงไม่พอไปถึงระดับเทโฉด ก็จะไม่เกิด action potential แต่ถ้าเกิดว่าการกระตุ้นแรงพอนะครับ อย่างน้อยเนี้ย ถึงจุดเทโฉดพอดี ก็สามารถทําให้มีแรงคล้ายคล้าย กับว่าเป็นแรงอัตโนมัติเนี้ย ผลักให้ไปถึงตําแหน่ง action monitor ได้เลยครับ นะครับ ไม่ว่าแรงเนี้ยครับ ในการกระตุ้นครั้งนั้นเนี้ย จะถึงระดับเทโฉดพอดีหรือว่าเกินระดับเทโฉดนะ มันจะไปถึงระดับ action มูลเชี่ยวได้เท่าเท่ากันคร อันนี้คือลักษณะตาม น ใช่ไหม รูปแบบนี้ครับ ตามกราฟแล้วเนี่ย มันเหมือนกับว่าเป็นการกระตุ้นแค่ครั้งเดียวนะครับ แล้วครั้งเดียวตรงนั้นเนี่ย เป็นตัววัดคือว่า มันสามารถมีแรงพอไปถึงจุดเทโฉดหรือเปล่านะ แต่ที่เราจะเรียนครับเรื่อง ของ คํา นี้ เนี้ย มัน ไม่ใช่ การ กระตุ้น ครั้งเดียว แต่ว่า เป็น การ กระตุ้น แบบ ถี ครับ กระตุ้น วิธี หมายถึงว่า จะมี การ กระตุ้น เนี้ย ต่อเนื่อง มากกว่า หนึ่ง ครั้ง จริงไหม อัน เนี้ย ครับ จะ ส่ง ผล ให้ จุด การ ได้ การ summation นะครับ มันเกิดจากการที่ตัวเซลวศาสตร์เนี่ย มีการถูกกระตุ้นแบบถี่ถี่นะ ไม่ใช่ครั้งเดียวแบบตัวอย่างก่อนหน้าครับ ไอ้ก่อนหน้าเมื่อกี้เนี่ยคือการวัดเขาว่า กระตุ้นครั้งหนึ่งตรงนั้นเนี่ย มันถึงระดับเทโฉดหรือเปล่า ถ้าถึงเทโฉดก็สามารถไปถึง action มนติเชี่ยวได้ แต่คราวนี้เป็นการกระตุ้นถี่ถี่ต่อเนื่องกันครับ ซึ่งการกระตุ้นถี่ถี่ต่อเนื่องเนี่ย มันมีโอกาสที่สามารถทําให้สามารถไตไปถึงระดับเทโฉดได้เหมือนกันครับ เมื่อกี้ครั้งเดียวเราวัดเลยใช่ไหม แต่คราวนี้ เป็นการกระตุ้นที่ค่อนข้างจะเบาแต่ถี่ๆครับ ไอ้การกระตุ้นเบาแต่ถี่เนี่ยมันสามารถเกิดแรงสะสม แล้วไต่ไปถึงเทโฉดได้เหมือนกันนะครับ เพื่อให้เห็นภาพลองมาดูรูปนี้ครับ รูปนี้สังเกตดูครับ เอาตรงลูกสองตรงนี้ก่อน การกระตุ้นเนี่ยไม่ใช่การกระตุ้นครั้งเดียวแบบรอบรูปที่แล้วนะครับ คราวนี้การกระตุ้นเนี่ยมีมากกว่าหนึ่งครั้งนะ การกระตุ้นอันนี้คือหนึ่งครั้ง อันนี้ก็หนึ่งครั้ง อันนี้ก็หนึ่งครั้งครับเห็นมั้ย การกระตุ้นเป็นการกระตุ้นที่ค่อนข้างจะถี่ครับ มีการกระตุ้นถี่แบบต่อเนื่องแบบนี้นะ แต่แรงกระตุ้นเป็นยังไงครับ ลองสังเกตที่แรงกระตุ้นดู ถึงแม้การกระตุ้นเนี่ย จะมีการกระตุ้นดีที แต่ว่าในแต่ละครั้งครับ แรงกระตุ้นเนี่ยมันต่ำมากๆครับ ดูครับ ขึ้นมาแค่นี้เองเห็นมั้ย จากตรงนี้เนี่ย ประมาณลบ 70 นะ ประมาณ Resting Membrane Potential ครับ มันขึ้นเลยขึ้นมาเนี่ยครับ แค่นิดเดียวครับ แต่ว่าก่อนที่มันจะตกลงไปเนี่ย ที่ระดับ Resting Membrane Potential อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะตกนะครับ ไปที่ลบ 70 อีกครั้งหนึ่งเนี่ย มันมีแรงกระตุ้นอีกแรงหนึ่งเข้ามาเสริมทันทีครับ เห็นมั้ย ลองดูการ์ดตรงนี้นะ ขึ้นมาไม่ถึงครับ ไม่ถึงระดับ ไอ้ตัว นะ แต่ว่าพอมันจะล่วงลงไปเนี่ย มีแรงอีกแรงหนึ่งครับ เข้ามาเสริม พอเข้ามาเสริมเนี่ย คราวนี้ไม่ตกไปที่ลบเจ็ดสิบแล้วครับ ขึ้นต่อเลยครับ เห็นมั้ย ขึ้นต่อแบบนี้เลย คราวนี้เนี่ยครับ ขึ้นไปได้สูงกว่าเดิมอีกครับ เหมือนกับว่าเป็นการขึ้นแบบขั้นบันไดนะ อันนี้ครับ ขึ้นมาตรงนี้ ไม่ถึงกําลังจะตกลงมา มีแรงเสริมเข้ามาครับ ก็กลับขึ้นใหม่ใหม่ คราวนี้ขึ้นไปได้สูงกว่าเดิมครับ เห็นมั้ย ทีนี้ มันก็ยังไม่ถึงระดับเทรชดอยู่ดีครับ ไม่อย่างเทรชดก็แสดงว่าสุดท้ายจะค่อยตกลงมา แต่ระหว่างที่มัน ที่มันกําลังจะตกลงมา ครับ เพื่อมุ่งเข้าไปหาราสติ้ง เป็นเป็น อีกครั้งหนึ่ง เนี่ย ก็มีแรงเสริมเข้ามาต่อเนื่องอีกครับ ไอ ตรงนี้ก็ผลักให้มันกระโดดขึ้นไป สูงขึ้นมาได้อีก เห็นไหมครับ แรงแต่ละแรงที่กระตุ้น เนี่ย เป็นแรงเบาเบาทั้งนั้นนะครับ จะสังเกตว่าในการกระตุ้นแต่ละครั้ง เนี่ย มันขึ้นออกมาแค่นิดเดียวครับ แต่ว่าก่อนที่มันกําลังจะตกลงไป เนี่ย ครับ ที่ระดับลบเจ็ดสิบเหมือนเดิม เนี่ย มันก็มีแรงเบาเบาตรงนี้เข้ามาเสริมอีกเรื่อยเรื่อยครับ ถ้าไม่สามารถกระโดดขึ้นมาอีก เนี่ย เหมือนกับว่าเป็นการขึ้นมันใดขั้นเล็กเล็กทีละขั้นไป เรื่อย ครับ อันนี้ครับ พอจะล่วงลงมาเนี่ย ก็มีตัวนี้มาเสริมอีก เสริมขึ้นมาก็ขึ้นต่อไปได้อีกครับ พอจะล่วง ไอตัวนี้มาเสริมอีกครับ ก็ขึ้นต่อไปอีก ไอแบบเนี้ยครับ สามารถเกิดขึ้นไปได้เรื่อย ครับ เป็นคล้าย กับการขึ้นเป็นของขั้นบันไดแบบนี้น่ะ พอขึ้นมาได้เรื่อย อย่างงี้ครับ ก็มีโอกาสครับที่ไอแรงเสริมตรงนี้ เนี้ย จะค่อยผลักไปเรื่อย ผลักไปเรื่อย จนสุดท้ายไปถึงระดับ เทโฉดได้ครับ ไอคราวนี้เนี้ย ก็อย่างที่บอกไป ตามกฎ ออ นอน ครับ พอแตะถึงเทโฉด มันจะมีเหมือนกับว่า มีแรง แรงอัตโนมัติเนี่ย ผลักขึ้นไปถึง action บริเวณเชี่ยวของมันเองครับ นะครับ เลยจากจุดนี้เนี่ย ไม่จําไม่ต้องมีแรงกระตุ้นที่ที่เข้ามาเสริมนะครับ เพราะว่าแตกเทชดปุ๊บ เหมือนกับว่าจะมีแรงอัตโนมัติเนี่ย เข้ามาผลักไปถึง action เอง โดยอัตโนมัติครับ ไม่ต้องมีแรงเสริมแล้ว นะครับ อันนี้คือรูปแบบหนึ่งของการเกิด summation ครับ กระตุ้นที่ที่ต่อเนื่อง ถึงแม้แรงกระตุ้นจะเบาเนี่ย แต่ท้ายสุดแล้ว มันจะส่งเสริมกันนะครับ ให้มีแรงสะสมมากพอ เหมือนกับขั้นบันไดแบบนี้ แล้วขึ้นไปเนี่ยจนถึงระดับเทโฉดได้ แต่เทโฉดได้เวลาไหร่ก็คือมีแรง อัตโนมัติเข้ามาเสริมไปถึง action potential เองครับ นะครับ อันนี้เป็นรูปแบบหนึ่งนะที่ แรงที่กระตุ้นเบาเบาเนี่ย สามารถก่อให้เกิดการมีกระแสว่งสาธิ์ขึ้นมาได้ครับ ถ้าเรากระตุ้นของมันเนี่ย ถีดถีครับ ถ้าแรงกระตุ้นของมันนะ เกิดขึ้นมาอย่างทีทีเนี่ย ไอ้แรงกระตุ้นเบาเบาพวกนี้ มันสามารถส่งเสริมให้เกิด action potential ได้เหมือนกันครับ นะครับ อันนี้คือรูปแบบของ ก็ต้องไปตรงมาครับ เหมือนกับว่าเอาแรงย่อยๆเนี่ยเข้ามารวมกันจนสุดท้าย แรงเนี่ยครับสะสมมากพอแล้ว สามารถแตะถึงเทโฉด ก็จะไปถึงแอคชั่นบนเชี่ยวของมันได้ครับ นะครับ นี่คือรูปแบบของ แรงกระตุ้นเบาเบาเนี่ย ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถไตไปถึง แอคชั่นบนเชี่ยวได้เสมอนะ ถ้าเกิดว่าอาการกระตุ้นเบาเบามันเกิดทีทีเนี่ย สามารถเกิดได้ แล้วสามารถไตเนี่ยไปถึงระดับเทโฉดแล้วก็ แล้วก็เข้าสู่ Action บน Shell ได้ เหมือนกันครับ ซึ่งกรณีนี้จะไม่ค่อยพบบ่อยที่ Axon นะ เพราะว่า Axon เนี่ยมันมี threshold ต่ํา อยู่แล้วครับ ที่เราอธิบายไปก่อนหน้าเลยครับ ช่วงแรก เนี่ย ที่อธิบายหน้าตาของเซลวอาสาท เนี่ย พี่บอกไว้แล้วค่ะว่า Axon มันมีลักษณะ ที่ความต้านทานของมัน มันเนี้ยค่อนข้างจะต่ําครับ ไปเทียบกับส่วนของเดนได้เนี้ย แอคซอลความต้านทานมันต่ํากว่านะ ความต้านทานต่ําหมายถึงยังไง มองง่ายง่ายครับ ความต้านทานต่ําคือกระตุ้นได้ง่าย กระตุ้นได้ง่ายเนี้ยก็คือระดับเทชโชตมันค่อนข้างจะต่ํา ในระดับเทโฉดเนี่ยตรงนี้เน้นไว้นิดนึงนะครับ ระดับเทโฉดไม่จําไปนอกฟิกไว้ที่ประมาณลบห้าสิบในทุกๆเซลล์ประสาทนะ บางเซลล์เนี่ยระดับเทโฉดอาจจะสูงกว่ารบห้าสิบก็ได้ หรือว่าต่ํากว่ารบห้าสิบก็ได้ครับ อย่างกรณีของ เนี่ยระดับเทโฉดมันค่อนข้างจะต่ําเมื่อเทียบกับส่วนของ ถ้าระดับเทโฉดต่ําหมายความว่าไหมครับ หมายความว่ามันสามารถอาศัยแรงนิดเดียวเนี่ย ก็สามารถไปถึงเทโฉดได้ และถึงเทโฉดเวลาก็สามารถเกิด ได้เลยครับ นะครับ จินตนาการง่ายง่ายครับ ถ้าเกิดว่าเป็น เนี่ย มันอาจจะมีเทโฉดเนี่ย อยู่ที่ระดับแค่ประมาณนี้เองครับ ประมาณตรงนี้นะ ประมาณลบหกสิบก็ได้ครับ ถ้าเกิดว่าสมมุตินะ อันนี้คือเลขสมมุตินะครับ ถ้าสมมุติว่า เนี่ย มีเทโฉดแค่ประมาณลบหกสิบ หมายความว่า แรงกระตุ้นแค่เนี่ยครับ ไปถึงแค่ประมาณเท่านี้เนี่ย ก็สามารถกระตุ้นตัวของ ได้แล้วครับ อาจจะไม่ต้องใส่การ ก็ได้นะ แค่เป็นแรงกระตุ้นเบาเบาเนี่ย ที่สามารถไต่จากลบเจ็ดสิบ ไปยังลบหกสิบหกสิบได้ในครั้งเดียวเนี่ยครับ ก็สามารถกระตุ้น ตัวนี้ได้แล้ว ครับ นะครับ อันนี้เป็นการสมมุติได้เห็นภาพไปเฉยนะ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นเดนได้เนี่ย อาจจะมีค่าที่สูงกว่าครับ เทโฉดเนี่ย อาจจะเลยไปถึงประมาณลบสี่สิบครับ ถ้าเกิดว่าเทโฉดเนี่ย เลยไปถึงลบสี่สิบ อันนี้ อาจจะจําเป็นครับ อาจจะต้องมีการค่อยค่อยไตเนี่ย เหมือนขึ้นบันไดอย่างงี้ไปเรื่อย จนกว่าจะถึงลบสี่สิบ อันนี้ครับ ถือว่า เนี่ย อาจจะมีความจําเป็นอยู่ แต่ถ้าเกิดว่าตัวเทโฉดต่ําต่ําเนี่ย อาจจะแค่อาศัย แรงกระตุ้นเบาเบาแค่ครั้งเดียวก็ได้ อาจจะไต่ไปถึงเท ได้เลยครับ นะครับ ตรงนี้ก็คือความหมายนะว่าทําไม เนี่ยอาจจะไม่ค่อยพบ เท่าไร เพราะว่า ระดับเทชดมันต่ํา การกระตุ้นเบาเบาครั้งเดียวเนี่ย อาจจะเพียงพอแล้ว สําหรับการที่ให้มันไปแตะที่เทชด แล้วก็ไต่ไปถึง ของมันเองได้ครับ ตัวเลขระดับเทชดที่พี่ยกตัวอย่างเมื่อกี้เนี่ย ไอลบหกสิบ ลดสี่สิน เนี่ยนี่คือสมมุติให้นะครับ ไม่ต้องไปกับมันมากน่ะ เพราะว่า เรื่องของระดับเทชดเนี่ย มันแตกต่างกันไป ตามเซลล์ได้ครับ ระดับ อาจจะมีความแตกต่างกันนะ ไม่เหมือนกับส่วนของ Resting Moment Potential นะครับ ที่อยากจะให้จํากันไว้ครับ ว่าประมาณลบเจ็ดสิบมิลลิโวนครับ แต่ระดับเทพโชคเนี่ย อาจจะเบี่ยงเบนไปได้ ตามชนิดของเซลล์นั้นๆ โอเคนะครับ ให้รู้ตรงนี้ไว้ด้วยนะ ซึ่ง summation ก็อย่างที่บอกไปสามารถพบบ่อยที่ dendrite กับ cell body ได้ครับ เพราะตรงนี้เนี่ยความต้านทานมันสูงกว่านะ อย่างที่บอกไปครับ พอความต้านทานสูงหมายถึงไร หมายถึงว่าเทโฉดมันก็จะค่อนข้างสูงครับ เทโฉดสูงหมายถึงว่าอาจจะ จะต้องมีการรวมแรงกระตุ้นเนี่ย มากระตุ้นดีที่ ถึงจะสามารถกระตุ้นไปถึงจุดเพชรได้ ลองมาดูรูปนี้ครับ รูปนี้เป็นรูปหนึ่งนะครับ ที่แสดงให้ถึงการเชื่อมโยงของเศรษฐศาสตร์เนี่ย ที่มีโอกาสทําให้เกิด summation ได้ครับ สังเกตดูว่าเซลล์วัสด์ A, B, C มันยื่นปลายแอ็กซอนของมัน เข้าไปสัมผัสในส่วนของเดนได ของเซลล์ D ตรงนี้มีความหมายว่าเซลล์ A, B, C ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเซลล์ที่สามารถ ทำให้เกิด Submission ไปกระตุ้นเซลล์ D ได้ทั้งนั้น ทีนี้ดูนิดนึง การ Submission มันก็สามารถมีได้มากกว่า 1 รูปแบบ ลองมาดูกลามนี้ครับ ถ้าเซลล์วัสด์มีการเชื่อมโยง การลักษณะแบบนี้แล้ว การสามารถเกิดขึ้นได้มากกว่าหนึ่งลักษณะ เรามาดูครับ เอารักษณะตามรูปนี้ก่อน ตามรูปนี้นะครับ เห็นนะว่า มันมีการเชื่อมโยงนะครับ เชื่อมโยงเนี่ย ของเซลล์ประสาทสามเซลล์ครับ เหมือนกับตามรูปนี้เลยนะ ABC ทั้งหมดเนี่ย กําลังเชื่อมโยงกับเดนไดค์ของเซลล์D อยู่ เซลล์ไหนครับที่กําลังส่งเนี่ยกระแสวสาธิ์มาตามปลายแอคซอนอยู่ ในรูปนี้ครับเราจะเห็นว่าถึงแม้ว่าเซลล์นะครับตัวอีสองตรงนี้เนี่ยมันก็มีการแตกกับเดนได้ของเซลล์นี้อยู่ครับ อีสองนะครับสีเหลืองสีสีเขียวตรงนี้เนี่ยมันก็เรามีการนะครับเชื่อมโยงเนี่ยกับส่วนของเดนได้ครับของเซลล์วัสด์สีเหลืองอยู่ แต่อีสองไม่ได้มีรูปสอนสีแดงครับรูปนี้เซลล์ก็เห็นนะครับว่าอีสองยังไม่ได้ส่งกระแสวสาธิ์มานะ ตัวที่ส่งกระแสวสาธิ์เนี่ยมีแค่อีหนึ่งเซลล์เดียวครับอันนี้ก็สมมุติ เหมือนกันว่าเซลล์ A เป็นเซลล์เดียวครับที่กำลังส่งกระแสว่าสาธิ์ไปยังปลาย แอ็กซอนของมันอยู่ ส่วน B กับ C ยังไม่ได้มีการส่งกระแสว่าสาธิ์ใดๆครับ มันแค่อยู่ในตำแหน่ง ที่ใกล้กับเซลล์ D เฉย แต่ยังไม่ได้ส่งกระแสวสาธิ์ ที่ส่งเนี่ยมีเซลล์ A เซลล์เดียวครับ ก็จะเป็นลักษณะตามรูปนี้นะ มีแค่เซลล์เดียวครับที่ส่งกระแสวสาธิ์มาตามไร้แอคซอนอยู่ แต่ตรงนี้ก็สามารถทําให้เกิด summation ได้ครับ แม้ว่าเซลล์เดียว เนี่ย มัน กําลัง ส่ง กระแส วัสด นะ การ ก็ เกิด ขึ้น ได้ ถ้า เกิด ว่า ไอ้ เซ ล นี้ เนี่ย มัน ส่ง กระแส วัสด ของ มัน มา อย่าง ต่อ เนื่อง มา อย่าง ที ครับ ลักษณะ แบบนี้ ครับ เห็นไหม ตอน แรก เนี่ย ครับ สม ว่า การ ส���ง กระแส เนี่ย แรง กระตุ้น ไม่เพียง พอ ครับ แต่ ไม่ทัน ที่จะ ตก มา ที่ ระดับ อีกครั้ง หนึ่ง เนี่ย เซล เนี่ย ก็ ส่ง กระ ส ั ย ว ส ั ด เนี่ย เข้ามา อย่าง ต่อ เนื่อง ครับ ทําให้ มี แรง เสริม เนี่ย เกิด เป็น ขึ้น ออกมา ครับ เหมือน ถ้า ขั้น บัน ดัย แบบนี้ ต่อไป ได้ ครับ จน แตก ได้ เพื่อ ไหล เนี่ย ไอ ด เ ด น ได ตรง ส่วน นี้ ก็ สามารถ ถูก กระ ตุ น ได้ ครับ ใน รูป นี้ นะครับ ไม่ได้ ของ เ ด น ได นะ อันนี้ไปกระตุ้นที่ cell body อย่างที่บอกนะครับ การกระตุ้นเนี่ย กระตุ้นที่แอคซอนก็ได้ เดนไดก็ได้ เซลล์บอดี้ก็ได้เหมือนกันครับ สังเกตรูปนิดหนึ่งนะครับ อันนี้ชี้ให้เห็นนะ ไอตรงนี้เนี่ย ไปกระตุ้นที่ cell body ซึ่ง cell body เองก็ความต้านทานสูงกว่าแอคซอนเหมือนกันครับ อาจจะต้องมีการอาศัย summation นะ กระตุ้นออกมาครับ แล้วการกระตุ้นมันเป็นการกระตุ้นที่ค่อนข้างจะถี่ครับ ถึงแม้ว่ากระแสวสาธิ์เนี่ย จะมาจาก cell วัศัทธิ์แค่ cell เดียวนะ แต่ไอ้เซลล์นั้นส่งกระแสวสาธิ์มาอย่างต่อเนื่อง ก็ทําให้เกิดในลักษณะเป็นขั้นมันใดแบบนี้ได้ครับ เห็นไหม จนสุดท้ายเนี่ย ไอ้กระแสวสาธิ์ตรงนี้มีแรงรวมกัน มีการเกิดเนี่ย แต่ถึงเทโฉดได้ มันก็สามารถขึ้นไปถึง ได้ครับ แล้วทําให้ตัวเซลล์บอดี้ตรงนี้เนี่ย มันมีการเกิดกระแสวสาธิ์ขึ้นมา นะครับ อันนี้เป็นกรณีที่เซลล์เซลล์เดียวส่งกระแสวสาธิ์มาอย่างต่อเนื่องนะ แต่จากรูปครับ จากรูปเนี่ย เซลล์หลายหลาย แต่ในเซลล์ครับ ABC เนี่ย มันก็สามารถส่งกระแสว่าสาดมาพร้อมพร้อมกัน แล้วก่อให้เกิดการซัมเมชั่นเนี่ย รวมพลังครับ ส่งมาทีเดียวพร้อมพร้อมกันเนี่ย แล้วเกิดการซัมเมชั่น ก็สามารถกระตุ้นเซลล์วาสาธิ์ทันทีเลยได้เหมือนกันครับ ลองดูตัวอย่างตรงนี้ครับ สมมุติว่าคราวนี้ให้เซลล์ A กับเซลล์ B เนี่ย ส่งกระแสว่าสาธิ์มาพร้อมพร้อมกันนะ อันนี้ครับ เซลล์ A เนี่ย ก็ส่งกระแสว่าสาธิ์มา เซลล์ B ก็ส่งกระแสว่าสาธิ์มาครับ ในลักษณะตามรูปเห็นไหม เนี่ยมันจะเบาทั้งคู่นะ แต่พอส่งมาพร้อมกันครับ ก็เกิด เนี่ย รวมพลังครับ จากของ แล้วก็ของ เนี่ยครับ เนี่ย ส่งอีหนึ่งมานะ เนี่ยส่งกระแสภาษาอีสองมา แรงกระตุ้นเนี่ยครับ มันสามารถรวมกันครับ จากสองเซลล์ตรงนี้เนี่ย พอรวมกันปุ๊บ แรงมันมากพอให้ไปถึงได้ อันนี้ก็ขอให้เกิด ได้เหมือนกันครับ เห็นมะ เนี่ย มันเกิดในรูปแบบที่ เซลล์สองเซลล์ เอาพลังมารวมกันก็ได้ ต่อเนื่องก็ได้เหมือนกันครับ นะครับ อันนี้ก็มีมากกว่าหนึ่งรูปแบบได้นะ ไม่ได้มีแต่ขั้นบันไดแบบนี้ครับ ไอแบบที่หลายหลายเซลล์เนี่ย ส่งกระแสวสาธิ์มาพร้อมกัน แล้วเกิดการรวมแรงเนี่ยครับ รวมพลังกันตรงนี้เนี่ย แล้วไปถึงเทโฉดได้ในทันทีเลยแบบนี้ ก็สามารถทําให้ไปถึง action โวนเชี่ยวได้อีกรูปแบบหนึ่งครับ นะครับ ตรงนี้คือส่วนของ summation นะ ประเด็นทันมาครับ คือเรื่องการ block cell ประสานครับ พอเราเรียนเนี่ยเรื่องกราฟ การกระตุ้นให้เกิดกระแสวสาธิ์ได้แล้วนะครับ พอเรียนไอ้กราฟตรงนี้จบแล้วเนี่ย เราจะสามารถเสริมประเด็นปีกย่อยได้ค่อนข้างจะหลากหลายนะ อันนี้พี่กําลังพยายามค่อยค่อยเสริมประเด็นให้อยู่นะครับ มาดูประเด็นการบล็อกเซลวสาธิ์ครับ การบล็อกเซลวสาธิ์เนี่ย ง่ายง่ายครับ ตัวอย่างที่ชัดเจนนะคือ การใช้ยาแก้ปวดยาชาครับ ไอ้พวกนี้เนี่ย คุณสมบัติของมันสามารถไปบล็อกโซเดียมแชนเนลที่เซลวสาธิ์รับความรู้สึกได้ครับ การบล็อกโซเดียมแชนเนลเนี่ย ส่งผลให้ไม่สามารถเกิด ได้นะ เพราะว่า เนี่ย มันเกิดขึ้นได้จากการที่ โซเดียมแชนแนลมีการเปิดประตูจริงไหม ถ้าโซเดียมแชนแนลเปิดประตูเนี่ย ถึงจะสามารถให้ ไหลเข้าสู่เซลล์ประสาทแล้วเกิด ไปถึงจุด ได้ครับ แต่ถ้าขั้นตอนตรงนี้เนี่ย มันมีการ นะครับ ไม่ให้ สามารถเปิดได้เลยครับ ไอแบบนี้เนี่ย ก็ไม่สามารถเอาโซเดียมแยออนเข้าสู่เซลล์ได้ และไม่สามารถ ไตไปถึงระดับเทโฉดได้นะ ถึงเทโฉดไม่ได้ ก็ไม่สามารถเกิด action potential ได้ครับ พอไม่เกิด action potential เนี่ย ก็หมายถึงไม่เกิดกระแสประสาทนะ ถ้าเกิดว่าเซลล์ประสาทรับความรู้สึกเนี่ย มันโดนบล็อกในลักษณ์สัตว์อย่างงี้ มันก็ไม่สามารถเกิดกระแสประสาทได้ครับ พอเซลล์ประสาทรับความรู้สึกไม่สามารถเกิดกระแสประสาทได้ เราก็เลยไม่สามารถ รับความรู้สึกเจ็บปวดในบรูเอ็นนั้นได้นะ นะครับ อันนี้เป็นรูปแบบหนึ่งที่ชัดเจนครับ ของการทํางานในพวกยาแก้ปวดยาชาครับ พวกนี้ไปบล็อกโซเดีย ของเซลล์ประสาทรัพย์ ความรู้สึกทําให้มันเนี่ยไม่สามารถเกิด ได้ นะครับ อันนี้เป็นตัวอย่างง่ายง่ายนะครับ ของการบล็อกเซลล์วันศาสตร์นะ มักจะเป็นเรื่องของการที่มันไปบล็อก เนี่ยในส่วนของ ครับ แล้วทําให้ไม่สามารถเกิด ได้ ประเด็นต่อมาคือเรื่องการเกิด Adaptation ครับ การ Adaptation เนี่ยก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งครับที่มันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนระดับ threshold ครับ อย่างที่บอกไปนะครับว่าระดับ threshold เนี่ยค่อนข้างมีความยืดหยุ่นครับ ในเซลล์แต่ละเซลล์เนี่ยตอนดั้งเดิมเนี่ยอาจจะมีระดับเทโฉดที่แตกต่างกันได้ นอกจากนั้นแล้วในเซลล์เซลล์เดียวกันเนี่ยครับ บางทีเนี่ยเทโฉดของเซลล์นั้นก็สามารถเปลี่ยนระดับของมันเองได้เหมือนกันนะครับ ระดับเทโฉดเนี่ยอาจจะไม่ใช่ระดับที่ ที่ fix เสมอไปนะ บางกรณีครับ ถ้ามันเกิดการ adaptation ของเซลล์ประสาทนั้นนั้นเนี่ย มันจะทําให้ตัวเทรโฉดเนี่ยครับ มันมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ การเปลี่ยนแปลงเนี่ยครับ อาจจะทําให้มีการกระตุ้นได้ยากขึ้นนะ ถ้าเกิดว่าการ adaptation เนี่ย มันทําให้เทรโฉดมันอยู่ในระดับที่สูงขึ้นครับ เทรโฉดมันสูงขึ้นเนี่ย ก็แสดงว่ากระตุ้นได้ยากขึ้นครับ เพราะต้องใช้แรงกระตุ้นมากกว่าเดิม จริงไหม ซึ่งการ adaptation มันสามารถเกิดขึ้นได้ครับ ถ้าเกิด เซลล์วัสด์เซลล์เซลล์นั้นเนี่ยหรือว่าเซลล์เซลล์นั้นนะครับมันมีการผูกกระตุ้นเนี่ยด้วยแรงกระตุ้นเท่าเดิมหลายหลายครั้งครับโดยธรรมชาตินั้นเนี่ยเซลล์เซลล์นั้นจะเกิดการของเทโฉดขึ้นมาเองครับแบบนี้ครับอันนี้นะครับเราดูนะตอนแรกเนี่ยระดับเทโฉดอันนี้อยู่ที่ระดับลบห้าสิบห้าใช่ไหม ได้เองเลยครับ แต่ถ้าเกิดว่ามันมีการกระตุ้นเนี่ย ด้วยแรงเท่าเดิมหลายหลายครั้งนะครับ ถ้าเซลวอสาทเซลวนี้เนี่ย ถูกกระตุ้นนะ ด้วยแรงเท่าเดิมหลายหลายครั้ง บางทีครับ มันไปเกิดการ เนี่ย ของจุด ได้ครับ จากเดิมลบห้าห้าเนี่ย มันอาจจะค่อย กลายเป็นลบสามสิบห้าครับ เท่โฉดเนี่ยมีการเปลี่ยนระดับนะครับ ยกขึ้นมาถึงระดับลบสามห้าเลยครับ คราวนี้ ถ้าใช้แรงกระตุ้นเนี่ย ที่ไปถึงแค่ลบห้าสิบห้า ไม่สามารถกระตุ้นได้แล้วครับ ทำให้กระตุ้นได้ยากขึ้น โดยเป็นลักษณะอย่างงี้นะ จากเดิม กระตุ้นถึงแค่ลบห้าห้า ก็กระตุ้นได้แล้ว แต่พอมัน ขึ้นมาเวลา เนี่ย กลายเป็นลบสามห้าครับ คราวนี้ แรงกระตุ้นแค่ลบห้าห้าไม่พอแล้วครับ ต้องกระตุ้นเนี่ย ไปถึงลบสามห้า ถึงก็สามารถเกิดการ กระตุ้นไปถึงจุดเทโฉด และมี action potential เกิดขึ้นมาได้ครับ เห็นไหม อันนี้เป็นรูปแบบหนึ่งนะครับ ของการเกิด adaptation นะ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดการได้คือ อาจจะเป็นการกระตุ้นเนี่ย ด้วยแรงเท่าเดิม หลายหลายครั้งครับ ตัวเซลเนี่ยโดยธรรมชาติ อาจจะสามารถเกิดการ ยกระดับเทโฉชนของมันขึ้นมาเองได้ แบบนี้ครับ ตัวอย่างการ ที่สามารถพบเห็นกันได้ทั่วไปนะครับ ก็เช่น การที่กินของหวานเก็บมากมากครับ แล้วก็กินบ่อยบ่อยจนชินเนี่ย มันจะทําให้บางครั้งครับ เราไปกินของหวานอื่นอื่นเนี่ย อาจจะรู้สึกว่ามันจืดไปเลยก็ได้นะ อันนี้ครับ เป็นผลจัดการที่ เราเริ่มมีการ เนี่ย ในส่วนของการรับรู้ความรู้สึกหวานแล้วครับ ความหวานเท่าเดิมหรือว่าความหวานที่ต่ำกว่าเดิมเนี่ยอาจจะกลายเป็นว่าเราไม่สามารถรับรู้ความหวานของมันได้เลยครับ เพราะว่าตัวเซลล์รับความรู้สึกเนี่ยมันมีการ adaptation นะมันมีการยกระดับเทโฉดขึ้นมาครับ ต้องใช้ความหวานที่หวานมากกว่าเดิมถึงสามารถกระตุ้นให้เรารู้สึกว่ามันหวานได้ครับ นอกจากนี้ครับความรู้สึกเจ็บปวดเองเนี่ยก็มีการปรับเทโฉดนะแต่ว่าจะเป็นการปรับเทโฉดเนี่ยให้ต่ำลงมาครับ ใช่ไหม ปวดจะแตกต่างนะครับ ความเจ็บปวดเนี่ย การ มันคือการปรับเทโฉดให้ต่ําลงมา แล้วเราจะทําให้เรารู้สึกเนี่ย เจ็บปวดได้มากกว่าเดิมเรื่อยเรื่อยครับ เพราะว่าร่างกายเนี่ย ต้องมีกรณ์กายในการป้องกันอันตรายนะ อันนี้เป็นรูปแบบหนึ่งในการป้องกันอันตรายครับ ความเจ็บปวดเนี่ย จะมีการปรับระดับเทโฉดให้ต่ําลงมา ทําให้เรามีความรู้สึกไวเนี่ย ต่อความเจ็บปวดมากขึ้น อันนี้เป็นข้อดีอย่างหนึ่งครับ ที่ช่วยธรรมชาติของเราเนี่ย สามารถ หลีกนี้สิงค้า ที่เป็นอันตรายได้ครับ ถ้าการไปว่าความเจ็บปวดเนี่ย มันมีการปรับนะครับ ให้สูงขึ้นเรื่อยเรื่อยอย่างนี้เนี่ย มันทําให้ร่างกายเรามีโอกาส ไปเจอกับอันตรายที่มากขึ้นเรื่อยๆ ได้ครับ อย่างงี้เนี่ย ไม่เป็นผลดีกับตัวเราเองนะ นะครับ ตรงนี้ก็รู้ไว้นะครับ ถ้าเป็นความเจ็บปวดเนี่ย มักจะมีการปรับเทโฉดให้ต่ําลงครับ เพราะว่าเราจะได้มีการรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้ง่ายขึ้นครับ อันนี้เสริมให้นิดนึงครับ ก็นี่ความรู้สึกทั่วไปนะครับ ถ้าเกิดว่าความรู้สึกทั่วไปเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตามนะครับ ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเกิดว่าความรู้สึกต่างๆครับ มันโดนกระตุ้นหนักมากไปนะครับ โดนกระตุ้นเยอะๆ โดนกระตุ้นหนักมากจนเกินไปเนี่ย มีโอกาสที่สมอง จะตีเป็นความเจ็บปวดได้นะ เช่น การจับก้อนน้ําแข็งนานนานครับ จะรู้สึกปวดมือเนี้ย อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนค่ะว่า เราถูกกระตุ้นเนี้ย จากความเย็นหนักมากมากครับ นานนานเข้าเนี้ย มันจะตีความความว่า ไอ้ความเย็นตรงนั้นเนี้ย มันเป็นอันตราย แล้วเราจะรู้สึกปวดมือครับ โอเคไหม ไอแบบนี้ก็เป็นรูปแบบหนึ่งครับ ของการที่ เวลารับความรู้สึกอะไรที่หนักมากเกินไปเนี่ยครับ มันอาจจะกลายเป็นว่า ตีเป็นความเจ็บปวดไปเลยก็ได้นะ โอเคนะครับ ก็มีหลากหลายรูปแบบอย่างงี้นะครับ คราวนี้มาดูอีกประเด็นหนึ่งครับ ที่ค่อนข้างจะสําคัญเลยครับ คือเรื่องของระยะดื้อ refactory period ครับ ระยะดื้อ เนี่ย ถือว่าสําคัญมากมากนะ ในการทํางานของเซลล์ประสาท เนี่ย ให้มาสามารถทํางานกันได้อย่างปกติ ระยะดื้อถือว่าเป็นสิ่งจําเป็นเลยครับ ระยะดื้อคือยังไงครับ ระยะดื้อเนี่ย เป็นช่วงที่ถ้ามีการกระตุ้นเซลล์ประสาทเนี่ย กระตุ้นไปมากเท่าไรก็ตามครับ จะไม่ผลต่อความต่าสักของเซลล์ประสาทช่วงนั้นนะ อันนี้ครับ คือก้าวข้าวของระยะดื้อครับ กระตุ้นยังไงก็ตามครับ ถ้าเกิดว่าไปกระตุ้นเนี่ย ในช่วงที่ยังอยู่ในระยะดื้อ ความต่างสักขมันจะไม่มีการผูกเปลี่ยนแปลงไป ตามแรงกระตุ้นได้เลยครับ ไม่ว่าจะกระตุ้นแรงแค่ไหนนะ ซึ่งระยะดื้อนับช่วงไหนครับ ระยะดื้อเนี่ยจะนับนะครับ ตั้งแต่ช่วงที่เป็นระดับเทโฉดครับ ตอนที่เข้าถึงระดับเทโฉดไปแล้วเนี่ย ตั้งแต่เทโฉดขึ้นไปครับ แล้วจากเทโฉดเนี่ย ไต่ไปถึงช่วงที่เป็น action บนเที่ยว ช่วงเนี่ยครับ เราเริ่มนับแล้วครับ ว่าเป็นระยะดื้อครับ เข้มมา ถ้าง่ายง่ายครับ ตามที่เราเรียนกันมา เนี่ย ห้าขั้นตอนเนี่ย ไอ้ช่วง เนี่ยครับ เป็นช่วงที่เข้าสู่ระยะดื้อ ของเซลวสารแล้วครับ เข้นะครับ ระยะดื้อ เนี่ย เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เลยนะ ในการเกิดวงจรการกระตุ้นของเซลวสาร เนี่ย มันก็มีระยะดื้อ เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วครับ ซึ่งระยะดื้อ เนี่ย จะสามารถเข้ามา เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เซลวสาร เนี่ย เข้าสู่ช่วง ตรงนี้ครับ เข็มมา หลังจากที่มีการกระตุ้น เนี่ย ระยะแรก ไปถึง ไปจนถึงระดับ THO แล้วเนี่ยครับ เราจะเข้าสู่ช่วง Depolarization ระยะสองใช่ไหม หรือที่เรียกกันตามกราฟเนี่ยว่า Rising State ครับ ตั้งแต่ Rising State เนี่ย มันจะถือว่าเซลวศาสตร์มีเรื่องของระยะดื้อเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วครับ พร้อมเข้าสู่ระยะที่เป็น Rising State ถือว่าเซลวศาสตร์เริ่มมีการทํางานของระยะดื้อแล้วนะ นะครับ นับตั้งแต่จุดนี้เลยครับ ตั้งแต่การที่แตก THO ปุ๊บเนี่ย เซลวศาสตร์ก็เข้าถึงระยะดื้อไปพร้อมๆ กันเลยครับ นะครับ ที่อยู่ในระยะดื้อเนี่ย มันจะอยู่ในระยะนี้ไปเรื่อยๆครับ จนกว่าจะกลับมาสู่ระยะที่เป็น resting state อีกครั้งหนึ่งครับ ถึงจะพ้นระยะดื้อนะ นะครับ ระยะดื้อเนี่ยมันมีขึ้นโดยธรรมชาติของมันเลยนะครับ ตอนที่เกิดวงจรการกระตุ้นของเซลวภาษาเนี่ย มันมีระยะดื้อเข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงนั้นด้วยครับ เมื่อกี้เวลาก็ตามที่เศรษฐสามารถกระตุ้น Depollution ไปถึง Threshold ได้เวลา มันจะเหมือนกับว่ามีแรงอัตโนมัติกระตุ้นให้มันไปยังส่วนของ Action Monotrials ของมันเองได้ครับ ช่วงนี้มันก็มีความเกี่ยวข้องกับระยะดื้อด้วยครับ หมายความว่าเราจะเสริมแรง เสริมแรงเข้าไปยังไงก็ตามในช่วงนี้ มันก็จะมีแรงไปถึงแค่ในส่วนของ Action Monotrials เพื่อให้เกิดกระแสว่งศาสตร์แค่นั้นครับ จะเสริมแรงไปยังไงก็ตามนะครับ กราฟจะหน้าตาอย่างนี้เสมอครับ ไม่ใช่ว่าการเสริมแรงเข้าไปเนี่ย ในช่วงที่มันกําลังไต่ไปที่ action modal shield แล้ว มันจะสามารถขึ้นไปได้สูงกว่าเดิมครับ อันนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเลยครับ เพราะว่าตอนนี้เนี่ย มันอยู่ในช่วงระยะดื้อเรียบร้อยแล้วครับ จะไปกระตุ้นยังไงก็ตามครับ กราฟเนี่ยมันก็ยังหน้าตาแบบนี้เหมือนเดิมครับ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเนี่ย ความต่างศักดิ์ในช่วงนี้ได้นะ มันจะเป็นไปของมันแบบนี้ โดยอัตโนมัติครับ และไม่ตอบรับการกระตุ้นใดใดอีกด้วยครับ เพราะว่ามันมีระยะดื้อเนี่ย เข้ามาเกี่ยวข้องนะ นะครับ กราฟเนี่ยจะหน้าตาประมาณ นี้เสมอครับ จนกว่าจะพ้นระยะดื้อไปแล้วนะครับ แล้วเข้าสู่ เนี่ย ไอตรงเนี้ยครับ ถึงสามารถมีเรื่องของสิ่งเราเนี่ย กลับเข้ามากระตุ้นได้อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่ามันพ้นระยะดื้อไปแล้วนะ นะครับ เราจะเห็นครับว่าคราวนี้เนี่ย บทบาทของระยะดื้อเป็นประโยชน์อย่างมาก เลยนะครับ กับเซลวสารนะ เพราะว่า มันทําให้เซลวสารเนี่ย ทํางานได้อย่างเหมาะสมแล้วก็มีมาตรฐานครับ ไม่ใช่ว่าตอนที่มันกําลังจะขึ้นไป แอคชั่นวันเที่ยวเนี่ย มันมีแรงอื่นเข้ามารบปวนครับ ไอแบบนี้เนี่ย อาจจะทําให้การทํางานมีปัญหาได้ ระยะดื้อเข้ามาป้องกันในส่วนนี้ครับ ช่วยรักษามมาตรฐานเนี่ย การทํางานของเซลวศาสตร์ ให้ความต่างสักของมันครับ ขึ้นไปได้อย่างมีมาตรฐานนะ นะครับ ขึ้นลงเนี่ยครับ ได้อย่างมีมาตรฐานเลยครับ แล้วค่อยสามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้เนี่ย เมื่อเข้าสู่ resting stage อีกครั้งหนึ่ง นะครับ อันนี้นะ ตีปีกกาให้เลยครับ ระยะดื้อเนี่ย ก็คือช่วงที่มีการทําสีไว้ตรงเนี้ยครับ ระยะดื้อครับ มันจะมีช่วงที่เป็นตั้งแต่ rising stage แล้วเกิดขึ้นไปนะครับ เป็น เนี่ยไปจนอย่างว่าจะกลับมาที่ resting state อีกครั้งหนึ่งครับ เคมั้ยอันนี้คือตลอดระยะของเวลาที่เป็นช่วงระยะดื้อนะ นะครับ ไอที่พี่บอกเนี่ยครับว่าพอไปถึงจุดเครโฉลแล้วเนี่ย จะมีเหมือนกับว่าเป็นแรงอัตโนมัติเนี่ย ส่งไปถึงระดับ action ของมันเอง อันนี้เรารู้สาเหตุนะครับว่าแรงอัตโนมัติตรงนี้มันหมายถึงอะไรครับ หมายถึงว่ามันมีการที่เปิดเนี่ย ตัวของโซเดียมโวร์เทสเคสแชนแนลมากขึ้นนะครับ พี่ใช้คําว่าแรงอัตโนมัติเนี่ย ให้เราสามารถมองเปรียบร้อย เปย์ นะครับ ลักษณะ ของ กราฟ ได้ ง่าย ขึ้น เฉยเฉย นะ แต่ ที่ มา อธิบาย ของเรา พี่ บอก ไว้ ตั้งแต่ แรก นะครับ ว่า ทําไม เนี่ย มัน ถึง มี ลักษณะ กราฟ นะครับ เป็น ลักษณะ ขึ้นมา ครับ พุ่ง ขึ้นมา แบบนี้ ได้ นะ เพราะ เกี่ยว ข้อ การ เปิด โซเดียม voltage grade channel นะครับ อันนี้ ทบควร ให้ อีกที เอง นะ ในส่วน ที่ เคย อธิบาย ไปแล้ว ครับ นะครับ อันนี้ คือ ระยะ ครับ ของ refactory หรือว่า ระยะ ครับ การ กระตุ้น ที่ ถี่ เกินไป เนี่ย ก็เลย ไม่สามารถ มี ผล ได้ นะ กระตุ้น ถี่ เนี่ย ครับ อาจจะมีผลครับในช่วง ระยะแรกครับ อาจจะทําให้เกิดการ เนี่ย เป็นขั้นมันได แล้วไตไปถึงเทโฉดได้ อย่างที่เคยบอกไว้ครับ แต่ว่าพอถึงเทโฉดแล้วเวลาไหร่เนี่ย คราวนี้ ระยะดื้อเข้ามามีบทบาทแล้วครับ ไอ กระตุ้นดิบถี่เนี่ย กระตุ้นถี่ในช่วงเนี่ยครับ มันก็ไม่มีผลอะไรครับ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเนี่ย ความต่างสักไปตามแรงกระตุ้นได้นะ เพราะว่าระยะดื้อเข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงนี้แล้วครับ นะครับ แล้วก็เน้นไว้นะว่าเซลล์หลักชนิดก็มีความยาวของระยะดื้อเนี่ยที่ แตกต่างกันไปได้ด้วยครับ ทีนี้กลับมาทวนตรงนี้นิดหนึ่งครับ พี่เคยบอกไว้ในช่วงแรกเนี่ยว่า ถ้ามีการกระตุ้นกลางแอคซอน กระแสจะไหลได้สองทิศทางใช่ไหม ตามรูปนี้เลยครับ เวลากระตุ้นเนี่ย สมมุติว่ากระตุ้นไปที่กลางแอคซอน กระแสเนี่ยครับ ไหลได้สองทิศทางนะ คือทางหนึ่งเนี่ย ไปที่ปลายของแอคซอน อีกทางหนึ่งครับ มุ่งหน้าไปบริเวณเซลล์บอดี้ แต่ถามว่า จุดไหนครับที่กระแสเนี่ย สามารถไปถึงปลายทางได้ จุดที่ไปถึงปลายแอคซอน เท่านั้นนะครับ โดยทั่วไปเนี่ย มีแต่จุดที่ไปถึงปลายแอคซอนนะ กระแสสามารถไหลไปสิ้นสุดได้ครับ แต่ว่าจุดที่กระแสเนี่ย ไหลมุ่งหน้าไปบริเวณเซลล์บอดี้ มักจะไม่สามารถไปทําให้เกิดการ กระตุ้นใดใดได้ครับ เพราะว่าตัวกระแสเนี่ย จะค่อยค่อยมีการลดลงไปเรื่อยเรื่อยครับ เห็นมั้ย ดูตามลูกศรนะ อันเนี้ยครับ แรงในคงที่ครับ ลูกศรขนาดเท่าเดิม แต่ว่าในส่วนของที่ที่เข้าสู่บริเวณเซลล์บอดี้เนี่ย อันนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า กระแสเนี่ย มักจะไม่ค่อยสามารถไปกระตุ้นในบริเวณส่วนของ cell body แล้วก็ dendrite ได้ครับ ไอทิศนี้เนี่ย มักจะไม่มีผลใดใดในการไปกระตุ้นนะ ในส่วนของ cell body แล้วก็ dendrite เพราะว่า ตรงบริเวณนี้ ความต้านทานของมันค่อนข้างจะสูงครับ ความต้านทานสูงเนี่ย ไอกระแสจากส่วนนี้เนี่ย มันก็เลยไม่ค่อยมีผลในการกระตุ้นใดใดได้ครับ ที่มีผลเนี่ย มักจะส่วนที่เป็นปลายบริเวณของปลาย axon เท่านั้นครับ แต่ว่าที่ย้อนกลับมาที่ ทีนี้เนี้ย มักจะไม่ค่อยมีผลในเชิงกระตุ้นใดๆไ���้ ครับ ที่อธิบายตรงนี้อีกทีหนึ่งเนี้ย เพราะว่า เดี๋ยวเราจะมาเปรียบเทียบกับรูปนี้ครับ จะได้สามารถเข้าใจรูปนี้ได้โดยไม่สับสนนะ มาโฟกัสที่รูปนี้ดูครับ รูปนี้เนี้ย สมมุติว่าเป็นการกระตุ้นกลางแอคซอนเหมือนกันนะ รูปนี้ครับ ให้เป็นการกระตุ้นกลางแอคซอนเหมือนกัน สมมุติว่ากระตุ้นแบบนี้ครับ กระตุ้นอย่างงี้นะ เอาตามรูปนี้เลยครับ กระตุ้นกลาง Axon กระตุ้นกลาง Axon ก็แน่นอนครับว่า กระแสเนี่ยจะมีการไหล 2 ทิศใช่มะ ก็คือทิศนึงเนี่ยไปยังบริเวณปลาย Axon แบบนี้ครับ กับอีกทิศนึงก็คือไหลย้อนกลับใช่มะ แต่ว่าไอ้ไหลย้อนกลับเนี่ยเป็นไงครับ แรงของกระแสเนี่ยมันจะค่อยลดลงครับลดลงไปเรื่อยๆนะ เพราะว่าอะไรครับ เพราะว่าตรงนี้ความต้านทานมาสูง โอเคนะครับ มองง่ายๆครับ อย่างงี้เนี่ยเราสามารถถือว่า ถึงไม่จากกระตุ้นตรงกลาง แต่ว่ากระแสจริงๆเนี่ยเหมือนกับว่า ไหลไปที่สุดได้แค่ทิศเดียวเท่าไหร่ ทีนี้เนี่ยอาจจะถือว่าไม่ต้องนับเลยก็ได้นะ เพราะว่าสุดท้ายเนี่ยมันไม่สามารถไปถึงปลายทางได้ครับ ซึ่งรูปนี้นะครับที่ก็จะสื่อเนี่ยก็คือเขาไม่ได้สนใจเรื่องของกระแสที่มันมีการไหลย้อนกลับไปบริเวณเซลล์บอดี้นะ เพราะอย่างที่บอกไปครับว่าท้ายสุดแล้วเนี่ยไอแกร่แสที่ปลายทางทีนี้มันจะไม่ค่อยมีผลอะไรในเชิงการกระตุ้นได้ครับ เขาจะไม่ได้ค่อยโฟกัสกันในทีนี้เท่าไหร่ครับ โอเคนะครับทีนี้เนี่ยเขาไม่ได้สนใจนะ ของรูปเนี่ยครับเอาจริงจริงแล้วเนี่ยที่เขาแสดง ให้เห็นก็คือ เขาโฟกัสนะครับ ตัวรูปนี้เนี่ย โฟกัสแค่ส่วนของบริเวณนี้ครับ บริเวณทิศทางเนี่ยที่ไหลไปถึงปลาย แอคซอนแค่นั้นครับ รูปนี้เนี่ย แสดงตามนี้นะครับ ให้เข้าใจตามนี้นะ เห็นไหม เขาไม่ได้โฟกัสนะครับ ไอทิศทางที่มันมีการไหลไปสู่เซลล์บอดี้ แต่รูปนี้แสดงเหินถึงเฉพาะของส่วนที่มีที่ทางเนี่ยไปยังปลายแอคซอนครับ นะครับ พี่ทําความเข้าใจตรงนี้ก่อนนะ เราจะได้ไม่สับสนครับว่า ไอ้เรื่องของระยะดื้อเนี่ย มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดใดนะครับ กับการที่ไปกระตุ้นกลางแอคซอน แล้วมีกระแสส่หนึ่งครับที่ ทิศทางเนี่ยไหลไปทาง cell body แล้วมันค่อยค่อยมีการแผ่วของกระแสลงเรื่อยเรื่อย อันนี้ไม่เกี่ยวกันนะครับ ไอ้ส่วนนี้เนี่ยไม่ได้เกี่ยวข้องกับระยะดื้อนะ อย่างที่บอกไปว่าส่วนนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของความสั้นทานในบริเวณ cell body แล้วก็เดนไดครับ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระยะดื้อ แต่ว่าที่พี่ตีกรอกตรงนี้ครับ มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกระแสครับที่มีการไหลเนี่ยเข้าสู่บริเวณเซลล์บอดี้ตามทิศทางนี้นะครับ ตรงนี้เขาต้องการอธิบายถึงเรื่องของระยะดื้อที่เกิดขึ้นครับของกระแสเนี่ยที่ไหลไปยังทิศทางของปลายแอคซอนเฉยๆครับไม่ได้เกี่ยวข้องกับตรงนี้นะ เพราะตรงนี้อย่างที่บอกไปเขาไม่ได้สนใจครับว่ากระแสเนี่ยมันมีการไหลหรือเปล่าเพราะว่าท้ายสุดกระแสมันจะแผ่วแล้วไม่สามารถไปกระตุ้นบริเวณเซลล์บอดี้ได้อยู่ดีครับ โอเคนะครับโดยทั่วไปแล้วเนี่ยตามที่เราเรียนตามหนังสือสาคม ทั่วไปเนี่ย เขา จะไม่ค่อยสนใจเรื่องของกระแสนะครับ ที่ เวลากระตุ้นตรงกลางแล้วมีการไหลย้อนเข้าสู่ เนี่ย เขาไม่ส่วนสนใจกระแสในทางนี้ครับ เพราะว่า ท้ายสุด กระแสที่ทางนี้ จะไม่มีผลใดใดในการกระตุ้น แต่อยากให้รู้ไว้เฉยครับว่า เวลากระตุ้นตรงกลางเนี่ย มันก็มีกระแสไหล่สองทิศได้นะ เพียงแต่ว่า ผลสําริจแล้วเนี่ย มันจะสําเร็จอยู่แค่ทิศเดียวเท่านั้นครับ เขมะ อันนี้อธิบายให้ จะได้ไม่สับสนกับรูปนี้นะครับ เดี๋ยวรูปนี้เนี่ย เป็นรูปที่ เราจะมาโฟกัสครับ เฉพาะบริเวณทิศทางในที่ไหลไว้ทาง ปลาย แอคซอน ในเฉยครับ รูปดีก็แสดง เนี่ยครับ ตามที่ตีกรอบให้เลยน่ะ เป็นรูปที่แสดงถึงกระแส เนี่ย ที่ไหลไปร้ําทิศทางของปลายแอคซอนเท่านั้นครับ ก็มาดูต่อครับ คราวนี้จะเชื่อมโยงกับเรื่องของระยะดื้อแล้วน่ะ ทําความเข้าใจรูปกันอีกทีหนึ่งครับ สมมุติว่ามีการกระตุ้นเนี่ย กระตุ้นตรงกลางนะ กระตุ้นตรงกลางตรงนี้ครับ เป็นไปตามที่พี่ตีกรอบเลยครับ ด้านล่างตรงนี้เนี่ย ตรงส่วนนี้นะครับ ด้านล่างเนี่ย คือส่วนที่ตามที่พี่ตีกรอบครับ สมมุติว่ามีการกระตุ้นตรงกลาง ตรงปลายสุดของกรอบตรงนี้ ตรงนี้ครับ มีการกระตุ้นใช่ไหม เกิด action โดยเชี่ยว จุดนี้นะครับ เหมือนกับจุดที่เอาลูกศรสีแดงตรงนี้เนี่ย จิ้มไปกระตุ้นครับ แน่นอนว่าเมื่อมีการกระตุ้นเนี่ย ก็เกิดแอคชั่นโมนเทียลครับ เป็นแบบสีน้ำเงินตรงนี้นะ เกิดแอคชั่นโมนเทียล กระแสว่งสาดเนี่ยครับ มันก็จะเกิดขึ้นได้ครับ เกิดกระแสว่งสาดขึ้นนะ กระแสว่งสาดเกิดขึ้น ทีนี้เรามาดูที่ทางครับ สมมุติกระตุ้นตรงนี้เสร็จปุ๊บ กระแสว่งสาดเนี่ย จะไหลได้สองทิศครับ ตามหัวลูกศรสีน้ำเงินตรงนี้เลยครับ ส่วนหนึ่งเนี่ย จะไหลมายังทิศนี้ใช่ไหม ส่วนหนึ่งนะครับ ไหลมายังทิศนี้ อีกส่วนหนึ่ง ไหลมายังทิศนี้ครับ แต่ว่ารูปนี้ตามที่พี่จีกออกครับ เขาโฟกัสเนี่ยเฉพาะกระแสที่ไหลมายังทิศนี้เท่านั้นครับ เห็นไหม โฟกัสนะครับ เฉพาะกระแสเนี่ยที่ไหลไปตามทิศนี้ แต่ส่วนนี้ครับ กระแสเนี่ยที่จะไหลไปด้านที่ที่เป็นเซลล์บอดี้เนี่ยครับ กระแสเนี่ย ลูกศรตรงนี้ที่จะไหลไปที่เซลล์บอดี้เนี่ย เขาตัดออกครับ ตีกรอบอยู่แค่นี้เห็นไหม ตัดออกนะครับ ตัวนี้เหมือนกันการตัดออกนะ เพื่อให้โฟกัสเนี่ยอยู่ที่กรอบแค่นี้ครับ ไม่สนใจกระแสที่มีที่ทางเข้าสู่เซลล์บอดี้นะ เพราะอะไรครับ ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระยะดื้อนะครับ เพราะว่ากระแสเนี่ยที่มีที่ทางเข้าสู่เซลล์บอดี้มันจะค่อยๆแผ่วลงเอง ด้วยความที่ว่า เจอความต้านทานในบุเรนส่วนของ cell body ครับ นะครับ รูปนี้เนี่ย เน้นย้ําอีกทีหนึ่งครับ เกิดต้นตรงกลางกระแสไหลสองทิศแบบนี้เลยนะ อันนึงไปด้านนี้ อันนึงไปด้านนี้ครับ แต่ตัวที่ไปด้านนี้เนี่ย เขาตัดออกครับ เขาไม่ได้โฟกัสนะ เพราะว่ากระแสมันจะค่อยแผ่วลงเองครับ เรามาโฟกัสเนี่ย กระแสที่มีการไหลไปยังด้านปลายแอคซอนแทนครับ เห็นไหม ตรงนี้นะครับ เขาโฟกัสเนี่ย กระแสที่มีทางไปด้านนี้แทนครับ ส่วนตรงนี้ ตัดออก นะครับ ทําความเข้าใจรูปก่อนนะ ไอ้ส่วนตรงเนี้ยครับ ที่ตัดออกเนี้ย มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของระยะดื้อครับ มันเกี่ยวข้องกับที่ว่า ไอ้กระแสที่มีทิศทางไปด้านนี้เนี้ย ด้านของเซลล์บอดี้เนี้ย มันจะค่อยแผ่ว เขาก็เลยไม่ได้โฟกันครับ เขาตัดออกนะ ครับ เธอเข้าใจประเด็นนี้แล้ว คราวนี้เรามาดูค่ะว่า แล้วระยะดื้อมีบทบาทที่ช่วงไหนครับ ไอ้ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องใช่ไหม ระยะดื้อเนี้ย มันก็มีบาทครับ ภายในกรอบเนี้ยครับ กรอบดิพิตีตรงนี้เนี้ย มันมีความเกี่ยวข้องกับระยะดื้อด้วยครับ จากรูปจะเห็นว่า การไหลของกระแสวัสดเนี่ย มันเหมือนกับว่าไหลปฏิทางมุ่งสู่ปลาย แอคซอนให้ได้เลยใช่ไหม เหมือนตรงเนี้ยครับ ตามรูปสอนเนี่ย เหมือนพยายามมุ่งไปสู่ปลายแอคซอนให้ได้ แต่จริงแล้วตามกลไกลของมัน มันมีโอกาสนะครับ ที่กระแสเนี่ยภายในกรอบ ตอบนี้เองมันก็สามารถไหลย้อนกลับได้ครับ เช่น จากไปทิศนี้เรื่อยๆเนี่ย มันสามารถมีโอกาสไหลย้อนกลับแบบนี้ได้ครับ ไหลย้อนกลับได้นะ อย่างเนี้ยครับ ไหลไปเรื่อยเนี่ย อาจจะไหลย้อนกลับก็ได้ครับ แต่ว่ากลไกรการมีระยะดื้อเนี่ย ช่วยป้องกันการไหลย้อนกลับของกระแสในทิศทางแบบนี้ได้ครับ ทําให้ท้ายสุดเนี่ย มันจะต้องไปถึงยังปลายแอคซอลเท่านั้นครับ ต้องไปทิศเดียวตรงนี้ให้ได้นะ ไม่สามารถไหลย้อนกลับครับ มันยังจุดที่เพิ่งมีการกระตุ้นได้ อันนี้ครับ คือบทบาทของระยะดื้อครับ ที่ช่วยป้องกัน ป้องกันไม่ได้ ให้กระแสเนี่ยมีการไหลย้อนกลับมาอย่างจุดที่เพิ่งมีการกระตุ้นไปได้ครับ สามารถป้องกันได้ยังไง ขานี้มาโฟกัสครับที่รูปตรงนี้นะ ดูนะครับ ที่เขาโฟกัสเนี่ยภายในกล่อมนี้ เวลาที่มีการกระตุ้นเนี่ยครับ ไอ้หัวลูกศรสีแดงตรงนี้เนี่ย มาจุดที่มีการกระตุ้นใช่ไหม กระตุ้นตรงจุดนี้ สูงมาดีกว่า ดูครับ คือจุดที่เกิด action บนเชี่ยวครับ เพราะว่าเป็นจุดที่เพิ่งได้รับการกระตุ้นมานะ แน่นอนว่าเกิด action บนเชี่ยวขึ้น เกิดกระแสวศาสตร์ กระแสวศาสตร์ไหลสองทิศครับ ทิศหนึ่งไปด้านนี้ ทิศหนึ่งไปด้านนี้ แต่อย่างที่บอกไอที่ไปด้านนี้เนี่ย เราตัดออกครับ เพราะว่าสุดท้ายมันจะแพ้ อยู่ดีนะ ก็โฟกัสเนี่ยเฉพาะส่วนที่อยู่ในกรอบครับ อันนี้ตัดออก มาโฟกัสเฉพาะส่วนที่ไปทิศทางด้านปลาย ตรงนี้ครับ การเคลื่อนตัวครับ กระแสวศาลเนี่ย มันก็จะเป็นการนําเข้าของ ใช่ไหม นําเข้า นะครับ เกิด ขึ้น ทิศทางครับ ที่ไปด้านนี้เนี่ย ให้เรามองครับ เหมือนกับว่ากระแสวศาลนะครับ มองนะเหมือนกับว่ากระแสวักษณ์เนี่ย มันไปกระตุ้นแบบนี้ครับ ลักษณะแบบนี้ กระโดดมา กระตุ้นตรงนี้ครับ กระตุ้นตรงนี้ครับ กระตุ้นตรงส่วนนี้นะ กระตุ้นตรงส่วนนี้ ทําให้ส่วนนี้เนี่ย มันเกิด action potential ขึ้นตามมาครับ กระแสเนี่ย เราไม่ ส่วนใจนะครับไอ้ส่วนที่ไหลมานั่นนี้นะ เพราะว่าสุดท้ายตรงนี้จะแผ่วอยู่ดี ส่วนใจส่วนที่กําลังไปปลายแอคซอนครับ เวลากระตุ้นเนี่ยเหมือนกับว่ามันกระตุ้นครับ มาตรงบริเวณตรงจุดนี้ จิตนาฬิกาแบบนี้ครับ จะได้เห็นภาพง่ายง่ายนะ กระแสเนี่ยมันกระโดดขึ้นมาครับ ไปกระตุ้นตรงบริ จุดนี้นะครับ จุดนี้มีการกระตุ้นเกิดขึ้นแน่นอนว่าจะเกิด action potential ขึ้นครับ แต่คราวนี้เนี่ย การเกิด action potential มันเกิดจากการที่กระแสวักษณ์มีการไหลนะครับ จากจุดกระตุ้นเริ่มต้นจุดแรกตรงนี้ แล้วก็แสเนี่ยโดดมาครับ มากระตุ้นที่บริเวณตรงกลางตรงนี้ครับ ทําให้ตรงนี้เกิด action potential ขึ้น แน่นอนว่าเวลาเกิด action potential เนี่ย ก็ตามรูปนี้เลยครับ เห็นไหม มันจะมีทิศทางนะครับ ของลูกศรเนี่ย ก็ไปสองทิศเหมือนกันครับ เหมือนกับว่าจุดนี้เนี่ย เพื่อนในรับการกระตุ้นเลยนะครับ เหมือนกับว่าเพื่อนในรับการกระตุ้นเนี่ย มาแบบนี้เลยครับ มันก็มีการกระตุ้นเนี่ยที่ตรงกลางแบบนี้เลยนะ แต่จริงแล้วการกระตุ้นครั้งนี้ไม่ได้เป็นการกระตุ้นจากสิ่งเลาด้านนอกนะครับ เป็นการกระตุ้นเนี่ยจากแอคชั่นมนุษย์เชี่ยวที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงครับ เวลากระตุ้นเนี่ยมันโดดมากระตุ้นตรงกลางแบบนี้นะ โสดนี้ครับมันก็เลยเหมือนกับว่ามีการกระตุ้นเกิดขึ้น จุดนี้มีการกระตุ้นเกิดขึ้นครับ ทําให้กระแสวสาธิตเนี่ยก็เกิดขึ้นเช่นกัน และกระแสวสาธิตตรงจุดนี้ก็มีการไหลสองทิศทางเหมือนกันนะครับ ลองดูนะ เห็นไหม ลูกศรตรวันนี้ครับ ชี้ไปทางนี้จุดหนึ่ง แล้วอีกจุดหนึ่ง ชี้ไปทางนี้ครับ นะครับ ทําความเข้าใจดีน่ะ การไหลของกระแสวสาธิ์เนี่ย การไหลของมันเป็นลักษณะประมาณนี้ครับ จินตนาการประมาณนี้น่ะ ตอนที่มันไหลนะครับ มันไหลมาเนี่ย เหมือนกับว่าไปกระตุ้นเนี่ย จุดตรงกลางในบริเวณนี้ครับ ไหลมากระตุ้นตรงจุดกลาง ตรงกลางบริเวณนี้นะ ทําให้ตรงนี้เนี่ยเหมือนกับว่า กําลังมีสิ่งเล่ามากระตุ้นมันอยู่ ทําให้เกิดกระแสวสาธิ์ขึ้นครับ และกระแสวสาธิ์เนี่ยก็สามารถไหลสองทิศทางได้เหมือนกัน นะครับ เป็นการกระตุ้นเนี่ยเหมือนกับว่า มีสิ่งเล่า สีเหนืองึงตรงนี้ครับ เข้ามากระตุ้นตรงกลางตรงจุดนี้เหมือนกันครับ แต่จริงจริงแล้ว มันไม่ได้ถูกกระตุ้นจากสิ่งเราครับ มันถูกกระตุ้นเนี่ย จาก action potential ในบริเวณใกล้เคียงครับ มากระตุ้นที่บริเวณจุดนี้นะ ถ้าจุดนี้ถูกกระตุ้นขึ้น แน่นอนว่ากระแสภาษา ก็สามารถไหลได้ 2 ทิศทางนะครับ จากจุดกระตุ้นจุดนี้เช่นกันครับ ใครยังนึกภาพตามไม่ทันเนี่ย ลองย้อนคลิปกลับฟังดูอีกทีนี้นะ จะได้สามารถทำความเข้าใจได้อย่างต่อเนื่องนะครับ กระแสภาษานะครับ ที่มิติทางเนี่ย ไหลไปยังที่ปลาย action สิ่งเล่าภายนอกเนี่ย คือลูกศอดสีแดง ตรงนี้นะ มากระตุ้นตรงนี้ใช่ไหม พอกระตุ้นตรงนี้เกิด action มันเชี่ยว action มันเชี่ยวก็คือเกิดกระแสวศาสตร์ กระแสวศาสตร์ที่ เกิดขึ้นเนี่ย สามารถไปกระตุ้นในบริเวณใกล้เคียงได้ครับ แต่ถ้าเราจริงจันการว่ามันโดดเนี่ย มากระตุ้นนะครับในบริเวณในแถว ตรงนี้ครับ เห็นไหม ตรงนี้เกิดขึ้น โดดมาครับ มากระตุ้นในแถว ตรงนี้ ไอตรงเนี้ยครับ มันมีการถูกกระตุ้นขึ้นจากกระแสวศาสตร์ ใกล้เคียง ให้เราจริงจันการว่า มันเปรียบเสมือนเนี่ย มีสิ่งเลาครับ มากระตุ้นที่บริเวณจุดนี้ ถ้าตรงจุดเนี้ยครับ มันถูกการกระตุ้นขึ้นเนี่ย ก็แสดงว่ากระแสวศาสตร์ที่เริ่มต้นที่ ที่จุดนี้สามารถไหลได้สองทิศทางเช่นเดียวกันครับ เหมือนกันที่ถูกสิ่งร้าวภายนอกมากระตุ้นเลยนะครับ สิ่งร้าวภายนอกมากระตุ้นเนี่ย กระแสก็สามารถไหลได้สองทิศทางใช่ไหม อันนี้ก็เหมือนกันครับ จริงอยู่ว่าการกระตุ้นตรงบริเวณนี้เนี่ย action monotel ตรงจุดนี้ มันเกิดจาก action monotel ก่อนหน้าเข้ามากระตุ้นครับ แต่ว่าทิศทางออกมาเนี่ย ก็เปรียบเสมือนนะครับ กับสิ่งร้าวภายนอกที่เข้ามากระตุ้นครับ คือ กระแสที่เกิดขึ้นในจุดนี้สามารถไหลได้สองทิศทางเหมือนกันครับ โอเคนะครับ อันนี้คือภาพที่เกิดขึ้นนะ ในเมื่อกระแสไหลได้สำคัญทิศทาง พี่ก็เลยบอกว่าจริงๆแล้ว มันมีโอกาสที่กระแสสามารถไหลย้อนกลับได้ครับ อย่างนี้ครับ กระตุ้นไปที่จุดนี้แล้ว จุดนี้ที่เกิดขึ้นก็สามารถมีกระแสไหลได้ 2 ทิศทางตามรูปนี้เลยครับ คือมีที่ทางไหลย้อนกลับไปจุดที่เพิ่งกระตุ้นมา กับมีที่ทางไปสู่ปลายแอคซอนแบบนี้ได้ครับ เห็นมั้ย ตามรูปนะ แล้วทำไมมันยังสามารถคงลักษณะของการที่กระแสยังมุ่งตรงไปที่ปลายแอคซอนได้อยู่ครับ เพราะว่ามันมีเรื่องของระยะดื้อ ป้องกันกระแสที่มีทางไหลย้อนกลับในส่วนนี้อยู่ครับ โอเคนะครับ อันนี้นะ ไม่ได้เกี่ยวข้อความต้านทานนะครับ เพราะว่ามันอยู่ที่บริเวณกลาง Axon เหมือนกันนะ ตรงนี้ความต้านทานมันต่ำครับ ความต้านทานตรงนี้มันต่ำทั้งแถบอยู่แล้วนะครับ เรื่องของความต้านทานบริเวณ Cell Body กับส่วนของ Dendrite เนี่ย ไม่ได้สามารถป้องกันการที่กระแสสามารถไหลย้อนกลับในบริเวณตรงกลาง Axon ตรงนี้ได้นะ อันนี้ให้รู้ไว้นะครับ ตรงส่วนนี้นะครับ ความต้านทานของ Dendrite กับ Axon ไม่ค่อยมีผล ต้องอาศัยเรื่องของระยะดื้อ มาช่วยป้องกันกระแสที่มีการไหลย้อนกลับในส่วนนี้แทน ส่วนนี้เราจะปล่อยให้มันไหลย้อนกลับไม่ได้ ต้องให้กระแสมีทางมุ่งตรงไปสู่ปลาย Axon เท่านั้น ซึ่งการปกกันนะคือการมีระยะดื้อครับ การมีระยะดื้อนะ ของจุดที่เพิ่งมีการเกิด action potential มาครับ ลองดูรูปนี้ครับ ไอ้สีน้ําเงินตรงนี้เนี่ย เวลาเกิด action potential ครับ หมายถึงว่ามันไต่นะครับ จากจุดนี้ขึ้นมาถึง action monocel ได้ใช่ไหม อันนี้ครับคือการเกิด action monocel คือการไต นะครับ ขึ้นมาถึง action monocel เสร็จแล้วก็สามารถส่งกระแสวศาสตร์ นะครับ ที่เกิดขึ้นตรงบริเวณนี้เนี่ย ไปกระตุ้นในบริเวณใกล้เคียงได้ครับ อันนี้นะครับ ส่งกระแสวศาสตร์เนี่ย ไปกระตุ้นบริเวณใกล้เคียง พอตรงนี้เกิด action monocel ไปเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเป็นยังไงครับ ตามที่เราเรียนเลยครับ วงจรตามกราฟนี้เนี่ย เกิด action monocel แล้ว ก็จะเข้าสู่ระยะ re-polarization ครับ คือช่วงที่มีการปล่อย Protective Magnet ออกจากเซลล์ใช่ไหม จากสีน้ำเงินตรงนี้ก็เข้าสู่ระยะที่เป็นสีเขียวครับ แต่ละโซนเนี่ยครับ มันเข้าสู่ระยะที่แตกต่างกันไปนะ จริงอยู่นะครับ เป็นเส้นแอ็กซอลเนี่ยเส้นเดียวกัน แต่ว่าการเข้าสู่ระยะต่าง มันแตกต่างกันไปจริงนะ อย่างเนี่ยครับ เราลงมาลองดูที่อันที่สองตรงนี้ครับ แถบที่สองอันนี้นะ เราจะเห็นว่าอันนี้เนี่ยมันไต่ถึง แล้วแต่ย้อนกลับมาดูตรงนี้ครับ ตรงนี้ที่เป็นสีเขียวเนี่ยมันกําลังเข้าสู่ช่วง นะ สังเกตจากสีได้เลยนะครับ เป็นการแสดงให้เห็นครับว่าแต่ละโซน ที่อยู่ใน Axon เดียวกันมันเข้าสู่ระยะที่แตกต่างครับ อันนี้ไต่ถึง Action มุนเที่ยวจากการกระตุ้นก่อนหน้าครับ แต่ตัวที่เพิ่งกระตุ้นเข้าไปเนี่ยมันเข้าสู่ Repolarization แสดงเป็นสีเขียวแบบนี้ครับ รู้ได้ยังไงเป็น Repolarization เพราะว่ามันมีการถ่ายออกครับ ของ Potassium Ion เนี่ยออกจาก Axon บริเวณนี้ครับ เห็นมั้ย ดังนั้นครับอันนี้เนี่ยคือการทำงานนะครับของระยะ Repolarization ครับ แล้วสังเกตดูครับตอนที่อธิบายเนี่ยเรื่องระยะดื้อครับ ระยะดื้อเนี่ยคือตอบที่มีการระบายสีตรงนี้ทั้งหมดครับ อันนี้เนี่ยคือส่วนที่เข้าสู่ระยะดื้อ อยู่ในกรอบระยะดื้อไหมครับ ช่วงที่มีการปล่อยบริเวณเซียไมอ้อนออกเนี่ย แล้วสักไฟฟ้ามีค่าต่ําลงแบบนี้ อันเนี้ยครับ มันอยู่ในช่วงที่มีการระบายสี แสดงว่าอันเนี้ยมันอยู่ในระยะดื้ออยู่นะครับ สีเขียวตรงนี้เนี่ยอยู่ในระยะดื้อนะ ยังอยู่ในระยะดื้อครับ แล้วการที่อยู่ในระยะดื้อหมายความยังไง ระยะดื้อคือระยะที่มีการกระตุ้นเนี่ย มีแรงกระตุ้นนะครับ เสริมไปยังไงก็ตามครับ มันไม่ทําให้ ให้ค่าสักไฟฟ้าเนี่ย มีการเบี่ยงเบนไปตามไปจากลักษณะกราฟตรงนี้ได้ครับ เคมั้ย ไม่ใช่ว่ามีการกระตุ้นเนี่ยที่จุดนี้ แล้วจะทําให้กราฟเนี่ยครับ สักไฟฟ้าเนี่ยมันเด้งขึ้นมาได้ครับ สักไฟฟ้ายังไงก็ต้องมีการล่วงลงมาอย่างงี้นะครับ ตามลักษณะของ นะ จะมีการกระตุ้นยังไงเนี่ยครับ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของกราฟได้ครับ จนกว่ากราฟเนี่ยจะกลับเข้าสู่ระยะ ระยะที่เป็นระยะพักอีกทีหนึ่งครับ ถึงสามารถกระตุ้นมันได้นะ แต่ถ้าเกิดว่ายังอยู่ในกรอบระยะดื้อครับ ก็อยู่ในกรอบระยะดื้อนะ ไอ้ตรงจุดเนี้ยครับ กระตุ้นยังไงก็ไม่มีผลครับ มาอันนี้ก็เลยเป็นสาเหตุครับว่าทําไมเนี่ย การที่กระส่ายประสาทครับ จากจุดเนี้ยครับ มันไม่สามารถมีการไหลย้อนกลับได้นะ จุดเนี้ยครับ ที่มันมีกระส่ายประสาทเนี้ยไหลสองทิศทางครับ ส่วนหนึ่งไปที่นี้ ส่วนหนึ่งไปที่นี้เนี้ย ไอ้ส่วนที่ไปยังทิศนี้ครับ ที่จะย้อนกลับเนี้ย ไม่สามารถมีผลไปกระตุ้นในโซนนี้ได้ เพราะว่าโซนนี้มันยังอยู่ในระยะดื้อครับ มันยังอยู่แถวแถวนี้ครับ นะ โซนนี้นะครับ มันอยู่ในช่วง ซึ่งอยู่ในช่วงระยะดื้อครับ ดังนั้น ไอ้กระแสตรงนี้เนี่ยที่จะเข้ามากระตุ้นก็ไม่มีผลใดใดครับ ไม่สามารถต่อต้านการมีระยะดื้อบริเวณนี้ได้ กระแสเนี่ยก็เลยไม่สามารถ เกิดการไหลย้อนกลับได้ครับ กระแสนะครับ ที่มีทิศทางนะ ไหลนะครับ ย้อนกับที่โซนเดิมตรงนี้เนี่ย ไม่มีผลครับ เพราะไปชนกับระยะดื้อเข้า อันนี้ก็เช่นกันครับ ไม่มีผลครับ ไปชนกับระยะดื้อ จะมีผลเนี่ยแค่ไอทิศนี้ครับ ที่ที่จะมุ่งหน้าเนี่ยไปสู่ปลายแอคซอนต่อไปครับ เห็นไหม อันเนี้ยครับ มันก็สามารถไปกระตุ้นตรงจุดนี้ต่อได้ แล้วจุดนี้ครับ ก็เกิดแอคชั่นมูลเชี่ยวตามมาครับ แล้วถามว่าจุดนี้พอเกิดแอคชั่นมูลเชี่ยว สามารถย้อนกลับมาที่โซนนี้ได้ไหมครับ กระแสเนี่ยไหลย้อนมาที่โซนนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้ครับ เพราะว่าโซนนี้มันก็จะเกิดระยะดื้อตามมาเหมือนกันครับ จากสีน้ําเงินตรงนี้ กลายเป็นสีเขียวครับ เข้าสู่รีพอยซิชั่น ซึ่งตกอยู่ในช่วงระยะดื้อครับ อันนี้เนี่ย กระตุ้นไปนะครับ กระแสที่ไหลย้อนกลับมาเนี่ย ก็ไม่มีผลครับ เห็นไหม อันนี้ก็ไม่มีผล ก็มีแต่ว่าจะต้องเนี่ย มีที่ทางไปตามปลายแอคซอนเรื่อยเรื่อยครับ ไปอย่างงี้เรื่อยเรื่อยนะ การย้อนกลับจะไม่มีผลครับ เพราะว่าไปชนกับระยะดื้อเข้า นะครับ อันนี้เป็นกลไกในการป้องกันไม่ให้กระแสไหลย้อนกลับครับ การมีอยู่ของระยะดื้อเนี่ย มีประโยชน์อย่างมากในแง่นี้นะ ช่วยป้องกันการไหลย้อนกลับของกระแสได้ครับ เรื่องของความต้านทานบริเวณ เดนได้กับเซลวอลดี้เนี่ย ไม่ค่อยมีผลต้องส่วนนี้แล้วนะครับ เพราะว่าส่วนนี้ทั้งแถบตรงเนี้ยครับ ที่ดีกรอบเนี่ยความต้านทาน มันต่ําอยู่แล้วครับ ความต้านทานบริเวณเซลล์วอดี้กับส่วนของเดนด์ดายเนี่ย มันไม่ค่อยมีผลกับตรงโซนนี้ครับ โซนนี้เนี่ยที่มีผลในการป้องกันกระแสไหลย้อนกลับก็คือ มันป้องกันผ่านระยะดื้อของมันครับ นะครับ ป้องกันผ่านระยะดื้อในแต่ละโซนนั้น ประเด็นตรงสู่นี้ต้องพยายามค่อยค่อยให้เห็นภาพนะครับ ใครที่ยังนึกภาพตามไม่ออกเนี่ย ลองย้อนคลิปกลับไปฟังดูครับ แล้วค่อยค่อยจีนอาการตามที่พี่อธิบายดูนะครับ แยกแยกประเด็นให้ออกครับว่า กระแสไหล่สองทิศทางเนี่ย มันมีกุญไกป้องกัน ยังไงบ้างนะครับ กลไกลป้องกันผ่านเดนไดสกับตัวเซลวอดี้ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง กลไกลป้องกันเนี่ยผ่านไอรายยาดื้อตรงนี้ครับ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ ป้องกันการกระแสเนี่ยที่จะสามารถ ไหลไปยังทิศทางที่ไม่ใช่ปลายแอคซอนได้ครับ นะครับ ค่อยค่อยกลับไปลุกทนกันดูนะ ใครที่ยังไม่เห็นภาพนะครับ ถ้าเกิดว่าทําเข้าเข้าใจได้แล้วเนี่ย จะสามารถจําได้แม่นแม่นเลยครับ เพราะว่าตรงสู่นี้ เน้นความเข้าใจ เน้นจินตนาการเนี่ย ให้เห็นภาพเป็นหลักนะ ก็จบในส่วนของกลไกลป้องกันกระแส ที่ไหลย้อนกลับนะครับ ใครที่ยังนึกภาพตามไม่ออก เดี๋ยวลองย้อนคลิปเนี่ย กลับมาฟังดูอีกทีนะ จะได้สามารถเห็นภาพได้มากขึ้นครับ ประเด็นถัดไปครับ คือเรื่องของการเหนียวนํากระแสวสาธิตที่ ครับ เมื่อกี้อาจจะพอมองเห็นภาพคร่าวแล้วนะครับ ต่อที่อธิบายเนี่ย เรื่องของระยะดื้อ อาจจะพอเห็นภาพคร่าวเกี่ยวการเหนียวนํากระแสวสาธิตแล้วครับ ทีนี้เรามามองนะครับ ให้เห็นรายละเอียดมากขึ้นครับ เข้าใจก่อนว่า การเหนียวนํากระแสวสาธิตที่ Exxon เนี่ย มันมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบนะครับ ซึ่งแบ่งตามชนิดของ Axon เลยครับ ช่วงแรกเลยเนี่ย ได้มีการอธิบายชนิดของ Axon แล้วนะ ขึ้นอยู่กับอะไรครับ ชนิดของ Axon ขึ้นอยู่กับการมีหรือไม่มีของ MyEarlySheet ครับ โอเคไหม การมีอยู่ของ MyEarlySheet เนี่ย สามารถแบ่งชนิดของ Axon ได้นะ คือ ชนิดนึงไม่มี MyEarlySheet อีกชนิดนึงจะมี MyEarlySheet ครับ โอเคไหม แบ่งได้นะครับ 2 รูปแบบตามนี้เลยครับ มาดูรูปแบบแรกครับคือ Continuous Conduction ครับ อันนี้เนี่ยพบได้นะครับในพวก ที่ไม่มี ครับ อันนี้นะครับ นะครับ นะครับ พวกที่ไม่มี นะ จะเรียกว่าเป็นการเหนียวนําเนี่ย อย่างต่อเนื่องครับ คอนตินิวอัส ก็ตามรูปตัวอย่างที่แสดงให้ดู เมื่อกี้เลยครับ อันนี้เนี่ยเป็นรูปแบบของการเหนียวนํา ไหลไปตามเส้นของ เนี่ย ได้อย่างต่อเนื่องในลักษณะแบบนี้เลยครับ โอเคนะครับ จะเหมือนกับการเดิน เนี่ยครับ เดินก้าวเท้าทั่วไปเลยครับ เดินไปอย่างต่อเนื่องนะ อันนี้เป็นรูปแบบของ ครับ เป็นพวกที่ไม่มี ครับ ตัวอย่างที่เอามาก็คือพวกที่ไม่มี นะ เห็นไหม เป็นเปลือยเปลือยแบบนี้เลยนะครับ ไม่มี ห่อคุ้มนะ ลักษณะการเหนียวนํากระสาปศาสตร์เนี่ย ก็คล้ายคล้ายกับคนที่ค่อยค่อยเดินครับ เดินไปเรื่อยเรื่อยครับ เดินไปเรื่อยตามเส้นทางของ นะ ซึ่งกระแสก็จะไม่มีการไหลกลับจุดแรกนะครับ เพราะว่าจุดแรกยังไม่พ้นระยะดื้อตามที่อธิบายไปก่อนหน้าเลยครับ เห็นไหม สีเขียวตรงนี้เนี่ยเข้าสู่รีพอร์เรซาชั่น รีพอร์เรซาชั่นยังอยู่ในกรอบระยะดื้อตรงนี้ครับ ดังนั้นกระแสนี่ที่มาด้านนี้จะไม่สามารถไหลย้อนกลับได้ เพราะไปชนกับระยะดื้อ โอเคนะครับ เมื่อกี้อธิบายไปแล้วนะ แล้วกระแสจะไม่ไหลออกจากเซลล์ด้วยนะครับ อันนี้เนี่ยอธิบายเสริมไว้ครับ กระแสเนี่ยไม่สามารถไหลออกจากเซลล์ได้นะ เพราะว่า ครับ หรือว่าของเหลวนอกเซลล์เนี่ย มีความต้านทานสูงครับ กระแสนะครับ จะไม่สามารถหลุดออกจากตัวของแอคซอนได้ด้วยนะ เพราะว่าด้านนอกของมันเนี่ย เต็มไปด้วย ซึ่งมีความต้านทานสูง กระแสเนี่ยท้ายสุดนะครับ จะต้องถูกบีบเนี่ยให้ไหลไปตามเส้นทางของแอคซอนอย่างงี้เรื่อยเรื่อยครับ จนกว่าจะสิ้นสุดที่ปลายแอคซอนนะ กระแสไม่สามารถไหลย้อนกลับได้เพราะชนกระระยะดื้อ และกระแสไม่สามารถออกจากแอคซอนได้เพราะว่า Extra Cellular Fluid มีความต้านทางสูงครับ มีทางเดียวเลยครับที่มันจะไปได้คือไปที่ปลายแอคซอนนะ ทีนี้มาดูอีกรูปแบบหนึ่งในการเหนียวนำกระแสว่าศาสตร์ครับ เมื่อกี้คอนตินิวอัดคือเหมือนกับการเดินไปอย่างต่อเนื่องใช่ไหม คราวนี้มาดูแบบซอสทาโทรลี่คอนดัคชั่นครับ จะพบได้ในพวก Axon ที่มี MyLincheat ครับ ลักษณะของมันคือ การนํากระแสว่าสาธิ์แบบกระโดดครับ อันนี้จะเร็วกว่าแบบแรกนะ แบบแรกเราเจนตรการเนี่ยเหมือนกับว่าเดินไปเรื่อยๆใช่ไหม แต่นี่เหมือนกับว่าเป็นการกระโดดครับ กระโดดต่อไปเรื่อยๆครับ กระโดดเนี่ยมันก็สามารถไปได้ไกลกว่าการเดินทั่วไปอยู่แล้วนะครับ แบบนี้เนี่ย ก็เลยสามารถมีความเร็วในการเหนียวนํามากกว่าแบบแรกได้ครับ จะพบได้นะครับ ในพวกแอคซอนที่มี Myelin Sheet นะ Saltatory Collection พบได้ในแอคซอนที่มี Myelin Sheet เป็นลักษณะการเหนียวนํากระแสวสาธิ์แบบกระโดดครับ ไม่ใช่แบบเดินทั่วไปข้อหน้านี้แล้วนะ เป็นแบบนี้ครับ อันนี้คือตัวอย่างของแอคซอนที่มี Myelin Sheet ห่อคุ้มตรงนี้นะครับ คือ Myelin Sheet นะ Myelin Sheet มาห่อคุ้มในแต่ละจุดแต่ละจุดของแอคซอนแบบนี้ครับ กระแสวสาธิ์ที่เกิดขึ้นจะเป็น ลักษณะของการโกรธไปเรื่อยเรื่อยครับ แบบนี้ครับ เห็นไหม กระโดดตามลูกศรเลยครับ เป็นการกระโดดเนี่ย กระโดดไปตามจุดไหนครับ กระโดดไปตามจุดที่เป็น Node of Lanvia ครับ อธิบายเลยนะครับ ตอนที่สอนเนี่ย เรื่องของชนิดของ Axon นะ ใครที่จําไม่ได้ ลองย้อนกลับไปลูกทวนกันดูนะ มันจะมี ส่วนของ โน ท ฟ ล ัง เว ีย ครับ คือ ส่วนที่ ไม่ได้มี ไหม ลิ น ชิ ท ห่อ หุ้ม ตรงเนี้ย ครับ ที่ยังดูมีเปล ย เปล ย อยู่เนี้ย ไอ ส่วนเนี้ยครับ ช่อง ว่าง ที่ดูเปล ย เปล ย ตรงนี้ อยู่เนี้ย อันนี้ครับ เป็น ส่วนที่ เป็น จุด กระโด ด ครับ จุด กระโด ด ของ ตัว กระแส จากโน้ตหนึ่งกระโดดไปยังโน้ตถัดไปได้เรื่อยเรื่อยแบบนี้ครับ ซึ่งการกระโดดเนี่ยก็จะเร็วกว่าการเดินทั่วไป ก็เลยเป็นสาเหตุให้การมีไมร์เลนชีทช่วยให้เหนียวนำการใส่วัศาสตร์ได้เร็วขึ้นนะ เราลองดูครับ ตามรูปนี้เห็นไหม เนี่ย ตามรูปนี้แสดงเป็นสีแดงนะ สีแดงครับ แอคชั่นโน้ตเชี่ยว สีแดงตรงนี้กระโดดครับ กระโดดเนี่ย กระโดดมายังจุดโน้ตอฟเลนเวียถัดไปแบบนี้ครับ สีเขียวคือจุดที่ มันยังอยู่ในระยะที่เป็นระยะพักอยู่นะ สีที่ใช้อาจจะต่างกับรูปนี้นะครับ ลูกก่อนหน้านะครับ ดูดีดีนะ อันนี้เนี่ยสีแดงคือจุดที่เกิด แอคชั่นมนุเชี่ยว สีเขียวคือจุดที่ยังอยู่ในช่วงระยะพักครับ สีแดงเนี่ยสามารถกระโดดนะครับ คราวนี้ไม่ใช่เป็นการเดินทั่วไปครับ เป็นการกระโดดไปยังจุดโน้ตออฟลองเวียนถัดไปครับ จริงนี้มันกระโดดมาที่จุดนี้ครับ แดงตรงนี้นะครับ กระโดดมากระตุ้นเขียวตรงนี้ ไอ้เขียวตรงนี้ก็เลยกลายเป็นสีแดงครับ เพราะว่าพอกระตุ้นเสร็จเนี่ย มันก็เกิดแอคชั่นมนุเชี่ยวขึ้น และกระแสก็มีกลไกป้องกันการไหลย้อนกลับได้เหมือนกันครับ เพราะว่าไอ้ส่วนนี้ พอเป็นสีแดงเนี่ย ไปกระตุ้นสีเขียว ถัดไปเสร็จแล้วครับ ไอ้แดงตรงนี้จะกลายเป็นสีเหลืองครับ สีเหลืองก็คือกําลังอยู่ในช่วงระยะดื้อครับ ระยะดื้อนะ อาจจะตกเนี่ยครับ ยังอยู่ในช่วงก็ได้ครับ ไอ้แบบนี้เนี่ย ก็แสดงว่ากําลังเข้าสู่ช่วงระยะดื้ออยู่ครับ ระยะดื้อหมายความว่ากระแสเนี่ยไม่สามารถกระโดดย้อนกลับมาได้ครับ เพราะว่าชนกําลังจะดื้อนะ กระแสมีแต่ว่าจะต้องกระโดดเนี่ย ไปยังฝั่งที่มุ่งเข้าสู่ปลายแอคซอนครับ สีเขียวถัดไปตรงนี้เท่านั้นครับ เห็นไหม ถ้าดูตามรูปเนี่ยก็จะเห็นว่าแดงเนี่ยครับ กระโดดมาตรงนี้ กระโดดมาตรงนี้ ตรงนี้กระโดดมาเรื่อยเรื่อยครับ มันเป็นการกระโดดเนี่ย ในทิศทางที่เข้าสู่ปลายแอคซอนเท่านั้น ไม่สามารถกระโดดย้อนกลับได้ เพราะว่ามีกลไกลเนี่ย ของระยะดื้อช่วยป้องกันได้ เหมือนกับกรณีก่อนหน้าเลยนะ นะครับ อันนี้ก็ถือว่าระยะดื้อ ยังช่วยป้องกันกระแสที่ไหลย้อนกลับได้เหมือนกันครับ ไม่ว่าจะเป็นการที่กระแสเนี่ย เคลื่อนตัวแบบซอสตาโลลี่ครับ เคลื่อนตัวแบบกระโดดหรือว่า เคลื่อนตัวแบบต่อเนื่องครับ เคลื่อนตัวเหมือนการเดินเนี่ย ระยะดื้อก็ช่วยป้องกัน การไหลย้อนกลับของกระแสได้ทั้งนั้นนะครับ ที่แตกต่าง ก็คือ เนี้ย ที่เกิดจากพวก ที่มี หอคุ้ม มันเป็นการเหนียวนําแบบกระโดด มันก็เลยเร็วกว่าแค่นั้นนะครับ แต่กลไกป้องกันต่างต่างเนี้ย ก็คล้ายคล้ายกันนะ นะครับ ตามรูปเลยครับ เป็นการกระโดดไปเรื่อยเรื่อยครับ ตามจุดที่เป็น นะ ไอจุดที่มี เนี้ย ความต้านทานสูงครับ มันไม่สามารถ มีการ เนี้ย มาหยุดที่บริเวณส่วนนี้ได้ครับ มีแต่ต้องกระโดดข้ามไปเรื่อยเรื่อยเท่านั้น แล้วก็เน้นเสริมนิดนึงครับ จริงอยู่เวลาพี่อธิบาย เนี้ย พี่อธิบายว่ามันมีการกระโดดใช่ไหม เหมือนกับลูกศรตร์ตรงนี้เลยครับ กระโดดกระโดดกระโดดแบบนี้น่ะ แต่เมื่อกี้บอกไปแล้วค่ะว่า ด้านนอกของเซลล์ประสาทเนี่ย มันคือ เอ็กสตาร์เซลล่าฟูอินนะครับ ที่เป็นเต็มไปด้วยความต้านทานที่ค่อนข้างสูงครับ ไอ้การที่กระโดดเนี่ยครับ ตามลูกศรอย่างงี้เนี่ย เหมือนกับว่ามีกระแสที่หลุดออกจากนอกเซลล์จริงไหม ถ้าดูตามรูปเนี่ย ทิศทางลูกศรเนี่ยเหมือนกับว่าหลุดออกจากนอกเซลล์นะ จริงจริงแล้วมันไม่ได้กระโดดลักษณะแบบนี้นะครับ ไม่ได้กระโดดข้ามแบบนี้นะ ไม่ใช่เป็นการกระโดดครับ ตามลักษณะลูกศรอย่างงี้ ลูกศรที่เป็นแสดงหนึ่งที่ทางการกระโดดในจริงเนี่ย มันคือสีน้ําเงิน ตรงนี้ครับ ไอตรงเนี้ยครับ ที่แสดงถึงการกระโดดของมันจริงจริง มันกระโดดก็จริง แต่ว่ายังกระโดดอยู่ภายใน นะครับ ที่ทางการกระโดดของมันคือการกระโดดลอดแบบนี้ครับ ลอดแบบนี้น่ะ เป็นการกระโดดลอดครับ ไม่ใช่กระโดดข้ามนะครับ แต่ว่าอธิบายเนี้ยเป็นการกระโดดข้าม เพราะเรามองเห็นภาพได้ง่ายกว่าครับ แต่จริงจริงแล้วมันไม่ได้เป็นการกระโดดนะครับ กระโดดเนี้ยออกจากเส้นที่แอคซอล แล้วกระโดดมาที่แอคซอลอีกจุดหนึ่ง ไม่ใช่การกระโดดตามลูกศอดสีแดงครับ จริงจริงแล้วเป็นการกระโดดลอดในลักษณะแบบนี้นะครับ กระแสวศาสตร์ ไม่ได้หลุดออกจากแอคซอนนะ แต่ที่เอามาอธิบายนะครับว่ามันกระโดดข้ามแบบนี้เนี่ย เพราะว่าอธิบายง่ายกว่าครับ แต่ความจริงแล้ว ด้านนอกมันมี ความต้านทานมาสูง กระแสไม่ได้หลุดออกจากแอคซอนครับ กระแสเป็นการกระโดดรอดภายในแอคซอนลักษณะแบบนี้นะครับ นะครับ อันนี้ก็ให้รู้บอกไว้ด้วยนะครับ กระแสไม่ได้หลุดออกจากแอคซอนนะ ทีนี้ถ้าเข้าใจรูปแบบการเหนียวนํากระแสวสาติแล้วเนี่ย คราวนี้มาเปรียบเทียบความเร็วในการนํากระแสวสาติกันครับ มาเปรียบเทียบเนี่ย ให้หลากหลายมากขึ้นนะ อย่างแรกคือการมีไมลินกับไม่มีไมลินเนี่ย อันนี้ชัดเจนครับ มีไมลินชีสจะนํากระแสประสาทได้ไว้กว่า เพราะว่า Saltatory Conduction หรือว่าการนํากระแสประสาทแบบกระโดดเนี่ย ยังไงก็เร็วกว่าแบบต่อ เนื่องที่มีลักษณะคล้ายๆกับการเดินเฉยๆนะครับ อันนี้เนี่ยเหมือนกับเดินเฉยๆทั่วไปครับ แบบนี้จะช้ากว่า แต่แบบกระโดดเนี่ยยังไงก็เร็วกว่าครับ เคนะครับ อันนี้ตรงไปตรงมานะ มีไมลินชีสจะทําให้เร็วกว่า อย่างเห็นได้ชัดครับ เรื่องของการนํากระแสประสาท ต่อมา ในกรณีของ ที่มี มันกันเนี่ย แล้วเราต้องเปรียบเทียบกันนะ บางทีก็สอบให้เปรียบเทียบค่ะว่า ระหว่าง ที่มี เนี่ย อันไหนมันสามารถนํากระแสว่งศาสตร์ได้เร็วกว่า เราต้องดูที่ตัวอย่างค่ะว่า ตัวอย่างที่เอามาเนี่ย ตัวไหนครับที่ ระยะระวัง โน้ตถึงโน้ตเนี้ยครับ ก็คือโน้ตออกรองเวียนเนี้ย ถึงโน้ตออกรองเวียนถัดไปนะ อันไหนที่มีระยะระหว่างโน้ตเนี้ย ยาวกันครับ ตัวที่ระยะระหว่างโน้ตยาวกัน จะนํากระสาทประสาทได้เร็วกว่านะ มองภาพง่ายง่ายครับ เหมือนกับว่า มันกระโดดเนี้ยครับ ครั้งหนึ่งเนี้ย ได้ไกลกว่าครับ แบบนี้ครับ สมมุตินะครับว่า ตัวนี้เนี่ย สมมุติเรามาเปรียบเทียบกันนะ ระหว่างตัวนี้กับตัวนี้ครับ ไม่ได้มองลักษณะการเหนียวนำต่อเนื่องนะครับ อันนี้สมมุติว่า มีสองเส้นนะ อันนี้เส้นที่หนึ่งครับ อันนี้เส้นที่สอง เห็นไหม ลองเปรียบเทียบกันนะครับ เส้นที่สองเนี่ย พี่ขอวาดใหม่ครับ พี่ขอวาดเนี่ย ให้ไมลินชีสมันยาวถึงขนาดนี้เลยครับ อันนี้นะครับ เป็นไมลินชีสครับ ที่ยาวขนาดนี้ อันนี้ก็เหมือนกันครับ เป็นไมลินชีสอีกอันนึง โอเคนะครับ สูงว่ารักษณะของมันเป็นอย่างงี้ครับ อันนี้เป็นมันที่ชิ้นหนึ่ง อันนี้เป็นมันที่ชิ้นหนึ่งครับ อันนี้โน้ตออฟลองเวียนหนึ่ง อันนี้โน้ตออฟลองเวียนหนึ่ง อันนี้ที่ว่านใหม่นะครับ จะได้เปรียบเทียบกันได้นะ ส่วนรูปนี้เหมือนเดิมครับ ลองเปรียบเทียบกันดูครับ ระยะในการ ได้ครับ จาก จุด นี้ จาก จุด นี้ นะครับ จาก จุด นี้ ถึง จุด นี้ เนี่ย ในการ กระโดด ครับ ถ้า เป็น เส้น ที่ หนึ่ง เนี่ย ต้อง กระโดด กี่ ครั้ง ครับ กระโดด หนึ่ง ครั้ง สอง ครั้ง สาม ครั้ง ใช่ไหม กว่า จะ สามารถ มา ถึง จุด นี้ ได้ แต่ว่า ถ้า เป็น เส้น ที่ สอง ครับ เส้น ที่ สอง กระ ครั้งครับ กระโดดหนึ่งครั้งตรงนี้ แล้วอีกหนึ่งครั้งตรงนี้เนี่ย ข้ามไปไกลเลยครับ จะเห็นว่าการกระโดดของมันเนี่ย กระโดดได้ไกลกว่าครับ ในแต่ละครั้งนะ เส้นที่สองเนี่ยก็เลยสามารถเหนียวนำกระแสว่งสัตว์ได้เร็วกว่าครับ เพราะว่า ระยะระหว่างโน้ตออปรองเวียเนี่ย มันห่างกันครับ แสดงถึงความสามารถในการกระโดดเนี่ยว่า กระโดดครั้งหนึ่งมันกระโดดได้ไกลกว่า กระโดดได้ไกลกว่า ก็แสดงว่าเหนียวนำกระแสว่งสัตว์ได้ไว่กว่าครับ ไอเคมั้ย ระยะระหว่างโน้ตถึงโน้ตเนี่ยครับ มันยาวกัน กลายเป็นว่ากระโดดได้ไกลกว่า กระโดดได้ไกลกว่าก็แปลว่า เหนียวนำกระแสวสาธิตได้เร็วกว่า มองอย่างงี้นะครับ สาหรับเรื่องของกรณีระยะห่างระหว่างโน้ตนะ นะครับ อันนี้เป็นรูปแบบหนึ่งครับ ในการเปรียบเทียบในระหว่าง ที่มีไมลินชีสสองอันเตียบเทียบกันนะครับ หรือดูง่ายง่ายครับ ดูจากเรื่องของจํานวนไมลินชีสก็ได้ครับ เปรียบเทียบกับดูครับ ระหว่างสองเส้นที่พี่ได้เทียบครับ ระหว่างเส้นหนึ่งกับเส้นสองเนี่ย เส้นสองที่พี่วาดใหม่มีแค่สองไมลินชีสจริงไหม ดูนะครับ ตามกรอบนะ อันนี้หนึ่งไมลินชีส อันนี้อีก 1 มีลิลิชิตครับ แต่ว่าเส้นหนึ่งมีถึง 3 มีลิลิชิต เปรียบเทียบกันดูครับ การที่มีลิลิชิตเนี่ยมันวางตัวถี่ๆกันแบบนี้ มีถึง 3 มีลิลิชิตเนี่ย มันนําให้ระยะระหว่างโน้ตมันสั้นลงครับ เห็นไหม ด้วยความที่มีลิลิชิตเนี่ยมันเกาะตัวถี่ๆนะ ระยะระหว่างโน้ตมันก็เลยสั้นลงแบบนี้ครับ แต่กรณีที่มีลิลิชิตมันน้อยกว่าเนี่ย ไม่ได้ที่ก้อนหนึ่งมันก็จะกินพื้นที่ค่อนข้างเยอะๆครับ นะ อันนี้ครับ ก้อนหนึ่งเนี่ยก็กินพื้นที่เท่านี้ ก้อนหนึ่งก็กินพื้นที่เท่านี้ครับ ความถี่ของการเกาะตัวเนี่ยของไม่ได้ที่แต่ละก้อน มันก็จะน้อยกว่าครับ ด้วยความที่ความผิดในการก่อตัวมันน้อยกว่า ก็แสดงว่าระยะระหว่างโนทเนี่ย มันก็จะกว้างกว่า ทําให้การกระโดดเนี่ยครั้งหนึ่ง กระโดดได้ไกลกว่าด้วยครับ นะ Mileage Sheet นะครับ จํานวนน้อยน้อยเนี่ย แต่ว่าควบคลุมพื้นที่เยอะกว่า จะส่งผลให้การกระโดดในแต่ละครั้ง ที่ข้าม Mileage Sheet เนี่ย มันกระโดดได้ไกลกว่า ไอแบบเนี้ยครับ ก็เลยเป็นเหตุผลให้ ตัวของ Axon เนี่ย ที่มีจํานวน Mileage Sheet น้อยกว่า มันจะมีการเหนียวน้ําที่ไวกว่านะ ไอ้ก้อนี้เนี่ยมันก่อตัวไม่ค่อยถี่เท่าไหร่ครับ แสดงว่าก้อนนึงมันจะกินคืนที่ครอบครุมก่อนข้างเยอะ พอกินคืนที่ครอบครุมก่อนข้างเยอะเนี่ย ก็จะบีบให้การกระโดดในแต่ละครั้งกระโดดได้ไกลขึ้นครับ พูดง่ายครับ โน้ตไว้ก็ได้ก็คือ ตัวของ Axon ที่มี Myelin Sheath น้อยกว่าเนี่ย จะสามารถเหนียวนำกระแสวัตสาธิตได้ไว้กว่าครับ นะครับ ในกรณีที่ความยาวของ Axon มันเท่ากันนะ ถ้า Axon เนี่ยยาวเท่ากัน ไอ้ตัวที่มีก้อน Myelin Sheath เนี่ย น้อยกว่า กว่าจะเหนียวนํากระแสประสาทได้ไวกว่าครับ เพราะการที่มีไมลิชิดน้อยน้อยเนี่ย มันจะบีบครับ ให้ช่องว่างระหว่างโน้ตเนี่ยมันกว้างขึ้นครับ การกระโดดแต่ละครั้งเนี่ยก็เลยกระโดดได้ไกลขึ้นนะ นะครับอันนี้โน้ตเสริมไว้น่ะ ส่วนประเด็นต่อมาครับ ประเด็นต่อมาที่เกี่ยวข้องความเร็วเนี่ยคือ ขนาดของแอคซอนครับ แอคซอนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า จะนํากระแสประสาทได้เร็วกว่านะ เพราะแอคซอนขนาดใหญ่จะมีจํานวนแชนเนลมาก และมีความต้านทานของการ การขึ้นที่ไออ้อนเนี่ย น้อยกว่าครับ อันนี้ใช้เปรียบเทียบได้หมดเลยนะครับ เปรียบเทียบระหว่างตัวของ เนี่ย ที่มี เหมือนกัน หรือว่า ที่ไม่มี เหมือนกัน เนี่ย ลองเปรียบเทียบกันดู ถ้าเอาเรื่องของขนาดเส้นผ่าสูญกลางมาเกี่ยวข้อง เนี่ย ไอตัวที่เส้นผ่าสูญกลางใหญ่กว่า จะนํากระแสประสาทได้เร็วกว่าครับ แล้วก็ประเด็นต่อมาครับ อันนี้เนี่ย เป็นประเด็นปีกย่อยนะ ก็คือ เรื่องของอุณหภูมิ เอกซอน เนี่ยครับ ที่อยู่ในบริเวณที่อุณหภูมิสูงกว่า เนี่ย จะนํากระแสประสาทได้เร็วกว่า เพราะว่า วนภูมิจะกระตุ้นให้ตัวไอออนมีความแอคทีฟมากขึ้นครับ นะครับ อันนี้อาจจะไม่ค่อยหยิบปัญหาเท่าไหร่ครับ แต่ให้รู้ไว้ด้วยนะ เรื่องของวนภูมิก็มีผลนะครับ วนภูมิสูงจะนํากระสาทวันสัตว์ได้เร็วขึ้นครับ ซึ่งการกระตุ้นแรงมากหรือแรงน้อยเนี่ย ไม่ได้มีผลต่อความเร็วนะ เน้นอีกทีครับ กระตุ้นจะแรงจะแรงมากหรือแรงน้อยเนี่ย ไม่ได้มีผลต่อความเร็ว แล้วก็อิทธิพลนะครับ ในแต่ละข้อที่พูดมาเนี่ย ตัวที่มีอิทธิพลมากสุดก็คือ การมี ว่า ไม่มี ไหม ลิ น คุ ้ม ครับ อันนี้ เนี่ย จะมี อิ ท ิ โ ฮ น ต่อ ความ เร็ว มาก ที่สุด หมาย ความ ว่า ไง ครับ หมาย ความ ว่า ถ้า เรา ต้อง เปรียบ เท ียบ นะ เปรียบ เท ียบ เนี่ย ระหว่าง แอ ค ซ น อัน หนึ่ง ที่ มี เส้น ผ า ส ุ น กลาง เนี่ย ใหญ่ กว่า ครับ ใหญ่ ก อาจจะเล็กกว่านิดหนึ่ง อีกอันหนึ่งนะครับ เส้นผ่าสุนกลางเนี่ย อาจจะเล็กกว่านิดหนึ่ง ทีนี้ไอตัวที่เล็กกว่าเนี่ย มันดันมีไมรินชิดห่อคุ่ม อันนี้ครับ มีไมรินชิดห่อคุ่มนะ แม้เส้นผ่าสุนกลางเนี่ย อาจจะเล็กกว่านิดหนึ่ง แต่ด้วยความที่มีไมริชิดห่อคุ่มเนี่ย พอเทียบกันครับ ไอตัวที่มีไมริชิดห่อคุ่ม จะสามารถนํากระแสวสาธิ์ได้เร็วกว่าครับ เราต้องโหวตนะครับ ให้ตัวนี้เนี่ย นํากระแสวสาธิ์ได้เร็วกว่า แม้ว่าเส้นผ่าสุนกลางเนี่ย มันอาจจะดูแคบกว่านิดหนึ่งนะ แต่ว่าอีทิโคนจริงจริงเนี่ย ที่มีผลหลักหลักเลยคือการมี หรือว่าไม่มีไมลินชิดห่อกุ้งครับ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในการเปรียบเทียบนะ กรณีที่มันมีปัจจัยเนี่ยที่ต้องเทียบหลายอย่างครับ เอาเรื่องของไมลินชิดเนี่ย เป็นตัวที่มีอิทธิคนมากที่สุดครับ อาจจะมีเส้นผ่าสูญกลางเนี่ย เล็กกว่านิดหนึ่งครับ แต่ก็ใช่ว่ามันจะนํากระแสภาษาได้ช้ากว่า จริงอยู่ในข้อที่สามเนี่ย ถ้าเปรียบเทียบในเรื่องของเส้นผ่าสูญกลาง ข้อสามเนี่ย มันน่าจะโหวตให้ตัวที่เส้นผ่าสูญกลางใหญ่กว่าเนี่ย นํากระแสภาษาได้เร็วกว่าใช่ไหม แต่เบื่อไหร่ก็ตามมีเรื่องของปัจจัยเนี่ย เกี่ยวกับไม้ลินมาเกี่ยวของ ด้วย ไอ ตัวที่มี เนี่ย ตัวที่มี เนี่ย แม้ว่า มันจะมีเส้นผ่านส่วนกลางของตัว ที่เล็กกว่า แต่ตาม ที่มันมี มันจะบีบให้มีการเคลื่อนทิศเคลื่อนตัวของกระสายวัสด เนี่ย แบบกระโดด การเคลื่อนตัวแบบกระโดด เนี่ย มันจะทําให้นํากระสายวัสดได้ เร็วขึ้นค่อนข้างมาก ไอ แบบนี้ เนี่ย เราต้อง ให้ตัวที่เส้นผ่านส่วนกลางเล็กกว่า เล็กน้อย แต่มี เนี่ย เป็นตัวที่นํากระสายวัสดได้เร็วกว่านะ เพราะว่า การมีหรือว่า ไม่มี เนี่ย เป็นปัจจัยที่ ให้อิทธิคนในเรื่องของความเร็วมากที่สุดครับ โอเคไหม อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งน่ะ ในการที่ให้เราเปรียบเทียบเมื่อมีบัตรใจที่เกี่ยวข้องเนี่ย มากกว่าหนึ่งบัตรใจครับ