ยังไงก็ไม่ยวยไม่เสียยังไงผมมาเห็นโอกาสว่ามันไม่มีแบรนด์ที่ระหว่างตลาดนัดกับแบรนด์ที่เป็น Global เลยแล้วคือแก่บราคาตรงกลางเนี่ยมันยังไม่มีเราก็มาพอซีสต์จริงๆ ว่านี่สินค้าเราเน้นเรื่องของความคุ้มค่าแล้วก็ราคาที่จับต้องได้ไม่ยับ ไม่ยวยราคา ก็คือลิสต์แบบบ้านๆสิ่งที่ทำให้เราตายจริงๆ ก็หลักการแบบว่าคือง่ายๆKeep it simple and stupid อะไรอย่างเงี้ยยืดเปล่า ถ้าเป็นกรุ๊ปแบรนด์ เขาจะติดตรงเรื่องพวกนี้บางทีเขาจะมี ภูลิศีของเขาคือ ส่วนผลักษณ์ มันต้องมีฮีโรคผลักษณ์แล้วก็ต้องควบคุมแล้วก็เราต้องทำให้เป็นท้อมายให้ได้คนจีนทำงานหนักนะแล้วเขาก็มีความกระตืนล้นต่อไปแล้วนะซึ่งถ้าเราทำในเลเวลเขาได้เราก็ไม่ต้องกลัวเขา เพราะว่าอันนี้มันคือสนามเราอย่างยืดป่าวไม่กลัวทุนกินเลยไม่กลัว ผมว่าเรื่องพยายามทำให้ตัวเองอึดอัดหมายถึงไม่รู้สึกสบายผมชอบจะอยู่ในจุดที่ว่าเราต้องไปต่ออย่างบางทีเราไปเข้าคลาสต่าง ๆเฮ้ย เราเจอคนเยอะแล้วตัวเล็กเรามีประสบการณ์ที่ว่าออกจากระบบการศึกษาพอผมก็เรียนไม่เก่งกีฬาก็ไม่เด่น ไม่มีอะไรเลยเราก็เลยหลุดไปแป๊บหนึ่งแล้วพอเราไปจนสุดแล้วเราก็รู้ว่ามันไม่ใช่สุดนี่คือสุดถึงขั้นไหนก็เกือบตายอยู่หลายครั้ง สวัสดีครับ ผมเข็นนักธริน และนี่คือ The Secret SauceWhat's your secret? เมื่อพูดถึงสินค้าเสื้อยืดครับผมชื่อว่าเป็นสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนไม่มีใครไม่มีเสื้อยืดในตู้เสื้อผ้าแต่เมื่อพูดว่าจะทำธุรกิจเสื้อยืดหลายคนจะถอยทับครับเพราะว่าเกมนี้ไม่ง่ายไม่ง่ายเพราะอะไรมีฝั่งที่ราคาถูกมากๆ รับสินค้ามาจากประเทศจีนขายตามตลาดนัดตัวละไม่ถึง 100 บาทกับอีก���ลุ่มนึงกลุ่มที่เป็น Global Brandไม่ว่าจะเป็นแบรนด์จากสหรัฐอเมริกาแบรนด์จากยุโรปหรือว่าจากญี่ปุ่นที่หลายคนคุ้นชื่อเป็นเจ้าตลาดอยู่การจะทำเส้นยืดให้ประสบความสำเร็จไม่ง่ายจริงๆ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ มีแบรนด์ แบรนด์หนึ่งเขาทำสำเร็จครับทำสำเร็จภายใน 6-7 ปี ก้าวขึ้นมาสู่ระดับพันล้านใช่ครับแบรนด์นั้นเป็นแบรนด์ขวัญใจ วัยรุ่น Gen C First Jobber นั่นก็คือ ยืดเปล่าครับยืดเปล่า สามารถรักษาและควบคุมต้นทุนในสินค้าของเขาคือเสื้อยืดหลากสี ราคาเพียง 100 บาท ตั้งแต่จุดเริ่มต้นแล้วก็ทำไอเทมอีกมากมายสิ่งที่ผมรู้สึกสนใจมากที่สุด ไม่ใช่ตัวสินค้าอย่างเดียวครับแต่คือตัวเจ้าของหรือว่าผู้ประกอบการอายุเพียง 33 ปีเท่านั้น ชื่อคุณตอนครับคุณตอนเคยเป็นเด็กช่างมาก่อนเคยเกเรจนขั้นสุด เกือบจะเสียชีวิตก็มี เกือบจะเข้าคุกเข้าตารางหลายครั้งก็มีเป็นเด็กเกเรมาก แต่ว่าวันหนึ่งกลับตัวกลับใจแล้วก็เป็นพ่อค้าอยู่ตามตลาดนัดครับ ใช่แล้วครับไม่ว่าจะเป็นยูเนียน ม. จะเป็นจัดตุจักรหลากหลายที่ก็เหมือนพ่อค้าแม่ขายที่ทุกคนนั้นกำลังต่อสู้ชีวิตของตัวเองกันอยู่รับสินค้ามาขาย แต่ว่าเขาไม่ได้มองแค่นั้นเป้าหมายเขากลายมากกว่านั้น เขาพยายามศึกษาต้นทุน ว่ามันมาจากไหน ผ้าต้องใช้อะไรถึงจะทำให้ต้นทุนถูก วัตถุดิบต้องแบบไหน ต้องถักทออย่างไรคือเนิร์ดเรื่องผ้ามาก ๆเมื่อมารวมกับเรื่องของมาร์เก็ตติ้ง ทำตลาดต่าง ๆสุดท้ายเขาก็ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นมาครับ ที่ชื่อว่า ยืดเปล่าวันนี้เราจะมาเรียนรู้กันครับ ไป Globalเด็กนึงคนนี้มีแนวคิดที่น่าสนใจและผมเชื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนทำธุรกิจมีเป้าหมาย พัฒนาตัวเองไม่สิ้นสุดสร้างระบบและสร้าง Cultureลองไปฟังดูค่ะต้องบอกก่อนว่าวันนี้สิ่งที่ตอนมานำเสนอกับพวกเราเสื้อยืดต่างๆ เป็นสินค้าที่ผมเนี่ยไม่เคยคิดว่าจะมีแขกรับเชิญทำธุรกิจนี้มาออก เพราะว่ามันธุรกิจที่ยากมากในมุมของพี่แล้วกันเพราะว่า 1. คนทำเยอะมาก2. ก็คือมีทั้งคู่แข่งจากจีนหรือว่าคู่แข่งจากต่างประเทศที่เป็นแบรนด์มากมายแล้วก็ 3. ก็คือมันดูสินค้านี้มาร์จิ้นมันน้อยแต่ว่ายืดเปล่าทำมาจนถึงทุกวันนี้ผมเข้าใจว่ายอดขายจะแตะพันล้านด้วยซ้ำแล้วก็ทำมา 6-7 ปีเองจากชายหนูอายุ 33 ปีครับมันทำได้ยังไง วันนี้ต้องมาเล่าให้ฟังนิดนึงนะครับผมว่ามหาดสัจจันต์มาก เลย เบื้องต้นอาจจะให้ตอนเล่าก่อนว่าก่อนมาทำเสื้อยืดทำอะไรมาบ้างก่อนมาทำเสื้อยืดผมทำหลายตัวมากเลยพี่เขนก็คือทำอันเกงบ็อกเซอร์ อันเกงขาสั้นข้างในครับแล้วก็เป็นพวกเกงหาสั้นข้างนอก เกงผู้หญิงอะไรอย่างนี้ครับแล้วก็...
เสื้อยืดนะครับ แต่ว่าต้องบอกว่าเหมือนแต่เดิมผมไม่ได้เรียนสายแฟชั่นมาเลยก็คือแบ็คกราวน์ เรียนศึกษามนต์ชนแล้วก็ แต่ยังดีอย่างเพราะว่าเป็นรูปเพาะค้าขายหมูมาอ๋อ ที่บ้านขายหมูเลยใช่ในตลาดอย่างนั้นเลยหรือครับตั้งแต่เด็ก เราก็มีสกิลในการค้าขายติดตัวมาอันนี้รู้จุดแข็งตัวเองใช่ เพราะว่าลองไปทำงานเยอะมาก แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ปกติลองไปเดินแบบด้วย ไปถ่ายแบบอะไรอย่างนี้ต้องบอกทุกท่านเขาตัวสูงมากนะ สูงกว่าผมนะ ดูหน่วยก้านจริงๆ เป็นนายแบบให้กับเสื้อตัวเองก็ได้เคยเป็นด้วยนะตอนไม่มีใครก็ทำเองใช่- เธอทำมาหลายอย่าง? ทำมาหลายอย่าง สุดท้ายก็มาจบที่ขายของครับ- ทำไมถึงชอบขายของ ทำไมถึงรู้สึกว่าเธอยังถนัดขายของ? มันได้พูดคุย แล้วก็ผมว่ามันเลเวอเรจได้ง่ายในสมัยก่อนเราก็คิดอย่างนี้แล้วว่าเราขายเราสามารถสร้างฐานาศได้เร็วก็เลยเลือกขายของ แล้วก็คือเหมือนเราชินด้วยเราชินแล้วผมขายของสิบปีแล้วนะแม่แต่เด็ดๆก็คือพาไปเขียงหมู เราขายจนชินงั้นอาจจะเล่าให้ฟังนิดนึงว่าเทคนิคการขายของส่วนตัวคืออะไร ที่เขาอาจจะไปออกรุ่นนอกทาง แล้วก็มาเรียนศึกษามนต์ชนแต่วันนี้ผมเมื่อกี้คุยกับเขานอกรอบ เขามีความเข้าใจในธุรกิจพอสมทวดเพราะเมื่อกี้ผมก็สงสัยตั้งแต่แรก ว่าเขาไปเรียน MBA หรือเปล่าคือมีความเป็น Entrepreneur สูงแสดงว่า เป็นนักขายนี่เอง เข้าใจแล้วขายของเก่งนี่ต้องมีทักษะอะไร ถ้าเป็นสไตล์ที่บ้านก็คือจริงใจกับลูกค้าแล้วก็เน้นขายของที่มีคุณภาพแล้วก็ขายของดีแต่จริง ผมไม่ได้เป็นนักขายที่ศิลปะการขายเป็นเลิศแต่เราเน้นขายตรงไปตรงมามากกว่าซึ่งสกิลนักขายที่ดีผมว่าหนึ่งแหละก็ต้องสำรวจลูกค้าแล้วก็ต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรแล้วเราจะขายสิ่งๆ นั้นด้วยยังไงบ้าง วิธีไหนจริงๆ ผมว่ามันค่อนข้างจะ basic มากๆก็ค่อนข้างจะเรียบง่ายมากๆ แล้วก็ฝึกฝนตรงนี้มาตั้งแต่เด็ก ไปทำนู่น ทำหนี้มากมายอาจจะแวะเล่านิดนึง ตัวเลี้ยงอาชีวะได้ข่าวว่าเกรียร์พอสมควรตอนนั้นมันเป็นยังไง ทำไมเราหลุดไปฝั่งนั้นได้ครับก็...
แต่เดิมผมเนิร์ดมากนะ แต่ว่าเหมือนเรามีประสบการณ์ที่ว่าออกจากระบบการศึกษา แล้วก็สภาพแวดล้อมด้วยแหละแล้วก็อีกอย่างคือเราอาจจะมีปมในวัยเด็กที่ว่าเราไม่ได้มีความแบบ ไม่มี Self-esteemแล้วก็เหมือนเวลาเราไปทางนั้น มันรู้สึกมีความภาพภูมิใจได้ง่ายพอผมก็เรียนไม่เก่ง แล้วก็กีฬาก็ไม่เด่น ไม่มีอะไรเลยเพราะแม่มีปัญหาอะไรอย่างนี้ แล้วก็เลยหลุดไปแป๊บนึง ไปจนสุดแล้วเราก็รู้ว่ามันไม่ใช่สุดนี่คือสุดถึงขั้นไหนก็เกือบตายอยู่หลายครั้งใช่ครับก็คือที่เป็นข่าวที่เราเห็นกันประจำใช่ครับแต่อดีตเราก็เคยอยู่ในวังวนตรงนั้นเลยใช่ แต่ถ้าคนไม่เคยถูกอุปกรณ์นั้นจะคิด เหมือนถ้าเป็นเรามองไปเนี่ย เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย เขาคิดไม่ได้หรือไงวะ อะไรอย่างเงี้ยแต่ แต่ ณ วันที่เราเป็น เราก็คิดไม่ได้เหมือนกันเพราะว่า สภาพแวดล้อมอ่ะ ค่าเฉลี่ยมัน มัน มัน มันทำให้เราเป็นอย่างนั้นมันพากันไป ใช่ครับ บรรณกาศพาไปก็เวลาเราโตมาเราก็เลยรู้ว่าบางทีเราไม่อยู่ในสถาการณ์แบบนั้น เราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาจะเป็นยังไงถ้าเป็นเรา เราจะเป็นอย่างไรก็ได้มันเลยทำให้ตรงนี้เป็นจุดที่เราสอนตัวเองด้วยในหลาย ปี หลายเรื่องเวลาการทำงานต่างๆ ว่าเฮ้ย บางทีหน้างานน้องอะไรอย่างเงี้ยถ้าเราไม่ได้เป็นเขาเราก็ไม่มีทางรู้เหมือนกันอ่า บางทีถ้าเกิดเราไม่เข้าใจเขาจริงๆ ไม่เคยอยู่ในสาการนั้นเราจะไปตัดสินเขาอาจจะไม่ได้อันนี้คือหนึ่งมุมมองนั้น แล้วพอเราหลุดออกมา ปุ๊บ ครับ เราก็ไปทําอะไรอีกหลายอย่างเลย ใช่ ขายของสมัยเรียนมหาลัยหาเงินเรียนเอง ครับ แล้วก็ อ่า ขายของตั้งแต่สะพานลอย อืมผมไปแบรกาดิน หนีเทศกิจ จริจจักร ไปงานแบบกาชาติอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็ไป พอมีเริ่มมีทุนหน่อย ก็ ขายที่ อ่า กอท ทอ แล้วก็ไปเปิดเปิดร้านค้าประจำที่เจอจักร แล้วก็มาสร้างแบรนด์เองสร้างใบบ็อกเซอร์ตอนนั้น ตอนแรกเรารับมาขายไปใช่ไหมพอเริ่มมีเงินทุนก็เริ่มสร้างแบรนด์เอง แต่ตอนนี้สร้างแบรนด์เองเนี่ยคือ เป็นจุดเปลี่ยนเหมือนกันเพราะว่าเหมือนได้เรียนรู้เยอะเพราะว่าตอนแรกเราขาย เราก็คิดว่า พี่ซิมาขายไปเนี่ยเราขายดีนะเราสร้างเองเราก็ได้จะขายดีเนี่ยไม่ยากแต่กลับกันไม่ใช่นะครับ คือเหมือนคืนสู่สายมันอีกทีนึงก็คือเริ่มมีทุนแล้วกลับไปเจ๊งเหมือนเดิมเพราะว่าคือเวลาทำเองมันยากตั้งแต่ว่าอาเมฮารต้นทุนเองเพราะเมื่อก่อนผมซื้อมาขายไป ผมขายอยู่ 3 ตัวร้อยแต่พอเราทำแบรนด์เอง ผมขายที่ 2 ตัวละ 50 สมัยนู้น อัพราคาขึ้นมา เพราะว่าเราทำต้นทุนไม่ได้ด้วยอ๋อแต่นี่กลายเป็นว่าจากเดิมยาขายเรา 100 นึงหายไป 95%เหลือแค่ 5%แล้วก็ Fixed Cost อีกมากมายเต็มหมดทั้งค่าเช่าร้าน ทั้งพนักงานอะไรอย่างนี้เราก็หาวิธีในการที่จะทำยังไงให้มันสามารถทำราคาได้ตั้งแต่ไปลีนเรื่องการตัดเย็บให้มัน ให้มันดีขึ้น ค่าตัดเย็บจะได้ถูกลงซึ่งเราก็ไปดู Process พวกนี้ก็ทำให้เราเข้าใจพวกนี้มากขึ้นตั้งแต่แก้ Pattern เอง แล้วก็ Detail การเย็บที่มันยากก็อาจจะปรับให้มันง่ายหน่อยรวมถึงลงไปหาผ้าให้มันถูกลงผมก็ไปเจอผ้าพวกผ้า Stock อะไรอย่างนี้ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาฮิตมากเลยนะฮะเด็ดสต๊อกเด็ดสต๊อกอืมแต่ผมอยู่ในวงการนี้เป็น 10 ปีแล้วเมื่อ่อนเพราะว่า ต้นทุนมันบีบอ๋อ เข้าใจแล้วคือผมว่าแวะตรงนี้นิดนึงก่อนที่เราจะเข้าสู่ยึดป่าวเอา Boxer ก่อนน่าสนใจคือพอคุณตอนเล่าว่าตอนก่อนเนี่ยขายแบบแบรกดินเลยผมว่ามันรีเหลือกับใครหลายคนนะคนที่เป็นพ่อค้าแม่ขายตามตลาดนัดเยอะมากทั่วประเทศใช่ไหมครับวันนึงขายดี อยากทำแบรนด์ เหตุผลตอนนั้นคิดอะไร ทำแบรนด์แล้วถ้าจะบอกกับทุกคนที่กำลังตัดสินใจจะทำแบรนด์ตัวเองจากการขายของ ซื้อมาขายไป รับของมาจากจีน หรือรับขายมาทั่วๆไปอยากจะบอกอะไร แล้วตอนนั้นคิดอะไรมันต้องมีความแบบเทือยาญก่อนอ่ะ มีเท่าผมว่าจริงๆ ผมว่าผ่านในจุดที่ว่า เพื่อนๆกันที่เป็นพ่อค้าแล้วเขาก็ยังเป็นพ่อค้าอยู่เยอะเหมือนกันแต่ตอนที่เราทำเรารู้สึกว่าเราต้องไปต่อแล้วเราเริ่มขายดี เรามีร้านค้าเยอะเรามีตัวเลขแล้วเราต้องไปต่อแล้วเราจะทำยังไงผมว่าจะมองในสเตจตลอดเวลา- คือเป็นคนทะเย็ดทะยานหรือแบบนี้? มองว่า คนที่เขาสูงกว่าเราเขาทำยังไงอ๋อใช่ แล้วเราก็ไปเรียนรู้อ๋อ เขาไปซื้อผ้าตรงนี้ เขาไปทำแบบนี้นี่เองอะไรอย่างนี้ แสดงว่าถ้าซื้อมาขายไปอย่างเดียวก็จะได้ประมาณนึงใช่ครับมันอาจจะมีลิมิตยกเว้นว่าคุณอาจจะโดดเด่นจริงๆในมุมมองของตอนคือต้องทำแบรนด์ตัวเองมันถึงจะไปอีกระดับนึงได้ใช่ครับแล้วพอไปทำแบรนด์ปุ๊บเมื่อกี้บทเรียนที่ผมฟังแล้วผมรู้สึกน่าสนใจคือเราไปดูที่ต้นทางเลยครับการไปดูต้นทางมีประโยชน์อย่างไรครับอาจจะเล่าให้กับทุกคนฟังอืม คือผมอาจได้เรียนรู้จากในพาดสต๊อกเยอะเพราะว่า ผมมาทำตั้งแต่เสื้อยืด และวูเว่น ก็คือผ้าทอผ้านิด ผ้าทอเหมือนเสื้อเชิดที่เราใส่ และผ้าอังเกงรวมไปถึงความหนาบางผ้า คือเราผ่านผ้าดิสต็อกมาเยอะมากจากเดิมที่เราไม่มีความรู้เรื่องผ้าเลย เราโดนต้นทุนบีบมันเลยทำให้เราต้องไปศึกษาในพวกนี้ซึ่งสำคัญมากสำคัญมากถ้าเกิดเราเข้าใจมันจะทำให้เราควบคุมต้นทุนได้ใช่อ๋อแล้วก็จุดนี้มันเป็นจุดที่ทำให้ผม แล้วผมรู้ในเรื่องผ้า เรื่องตัดเย็บ ดีเทียลต่างๆมันเป็นต้นทุนเลยต้นทุนในการทำงานในทุกวันนี้ครับเพราะว่าเราเข้าใจตรงนั้นแล้วยังไงต่อพอทำแบรนด์ตรงนั้นสุดท้ายมันไปประสบความสำเร็จหรือว่าเราเปลี่ยนใจมาทำยืดเปล่าเพราะอะไรอย่างไรอ๋อ ก็ประสบความละเอียดเยอะมากซึ่งแบบขายดี มีตัวแทนเยอะแต่ว่าเราไม่มีแบรนด์ แล้วมีแบรนด์ผมก็เลยแบบ เออ เริ่มถูกก๊อปปี้บ้างแล้วก็เริ่มแบบว่า อุ๊ย จะทำยังไงให้เราสามารถขายดีขึ้นกว่าเดิมก็เลยแบบเริ่มมาทำเสื้อยืดซื่อยืมมาเปิดขายข้างๆกันเดี๋ยวครับ ขอฟังตักกะนิดนึงตอนนั้น Boxer ก็คือมีชื่อแหละ มีชื่อแบรนด์แล้ว แต่ว่าอาจจะไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นใช่ครับแล้วทำไมถึงอยากทำเสื้อยืด มันดึงดูดยังไงครับเหมือนขยายตลาดครับเพราะผมเองก็อยู่ในจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดการจัดก เริ่มขายไปหลายๆ ร้าน มันเริ่มเต็มในจริงจักรแล้วก็เปิด ลองทำในสิ่งที่เราทำในทุกวัน ก็คือเสื้อยืดก็เลยมาเปิดทั้งห้างกันคอนโทรลง่ายๆ เพราะไม่มีระบบบริหารจัดการเราได้ทำรีเซิร์ตก่อนไหมว่า เสื้อยืดตลาดเท่าไหร่ คู่แข่งเป็นยังไงไม่มีเลยรุยเลยก็คือเอาจากผ้าจาก เราก็คิดว่าทำผ้า Boxer อยู่แล้วน่าทำเสื้อยืดได้ไม่ยาก ก็เลยมาทำแล้วเป็นยังไงครับ ตอนนั้นคือยืดเปล่าแล้วยัง ยังครับแล้วก็พอทำไปได้สภาพนึง ก็ดีนะฮะ เสื้อยี่ก็ถือว่าดี เอ่อ แต่ทําไปได้สักพักหนึ่งก็รู้สึกว่าเอ่อ มันยังไม่เป็นแบรนด์ซะที เพราะว่ามันเหมือนเดิม คือเราใช้ผ้า พาดิสต๊อก พาดิสต๊อกเนี่ย มันมาจากหลายแหล่งมาก เนอะแต่ว่ามันดันเจอแบบ เราดันเจอผ้าที่เรารู้สึกว่า เฮ้ยเฮ้ย อันนี้แหละ น่าจะทำแบรนด์ได้เลยเพราะว่าในตลาดมันแก้เพล็นพอยต์แล้วเราก็ชอบว่าเราใส่มาเนี่ยคุณภาพดีนะ แล้วก็ไม่ย้วยแล้วก็ เขาเรียกอะไร มันคงทนอะไรอย่างนี้ไปเจอพลาดเฉยๆนิดนึง ซึ่งบอกได้ไหมฮะ ก็เป็นตัวละร้อยในช่วงวันนี้ นะ� ผมก็จำไม่ได้นะ จริงๆ ผ้าสต๊อกเนี่ยมันจะมีตั้งแต่ผ้าที่ตัดเหลือจากโรงงานใหญ่ๆ มาหรือผ้าที่บางทีอาจจะตกเกร็ดนิดหน่อย ซึ่งเราก็ไม่รู้แหล่งหรอกแต่ว่าพอเราเจอแล้วเรามาทำเสื้อขายเนี่ย เรารู้สึกว่าเราชอบ เราก็เอาตัวเนี่ยไปสามารถไปเด็บกับโรงงานได้อืม นั่นหมายความว่า คือผมไม่ใช่เพราะค้าผ้านะคือเสื้อที่เราเห็นบางที ถ้าคนใส่แบบเรา เราอาจจะไม่รู้ไง ว่ามันต่างกันยังไง แต่ในสถานค้าคนทำเนี่ยที่เขาลงไปที่ต้นทางเหมือนไปที่โรงค่าหมูเลยเนี่ยเราก็จะเห็น ตอนแรกเขาใช้ Desktop ทั่วๆ ไปก็อาจจะเหมือนคนอื่นแล้วก็ไปเจอผ้าชนิดนี้ ซึ่งเขามีชื่อเรียกไหมครับก็ มันไม่ได้มีชื่อเรียกแต่ว่าเขาเรียกว่าก็ส่วนผสมที่เป็นคัตตอนผสมโพรเซสเตอร์แล้วก็วิธีการทอที่ไม่หนาไม่บางแล้วมันใส่สบายก็คือทั้งชนิดของมัน วิธีการทอที่เราเห็นแล้ว แล้วเราคิดว่า สำหรับผมนี่คือ ซิกแยศซอสแล้วคือ เพ็นนั่นแล้วแล้วราคาดีด้วยราคาดีด้วยเพราะว่ามีหลายคนสงสัยมากว่าคุณทำได้ยังไงกับร้อยบาทครับแล้วยังมีกำไรอยู่ ช่วงแรกอาจจะบาง แต่ช่วงหลังนี้หนาขึ้นเรื่อยๆพอเราเจอปุ๊บ โอ้โห นี่คือสิ่งที่เราเอามาต่อยอด แล้วยังไงต่ออันนั้นแหละ ผมว่ามันเป็นคลีเลย ตอนที่ว่าเราเห็นโอกาสว่าเราไปดูสำรวจตลาดแบบบ้านๆนะครับ ก็คือมันไม่มีคนทำในเรื่องพวกนี้แล้วก็เราเชื่อมั่นใน Product ว่ามันน่าจะทำตลาดได้แต่ว่า Process คือผมก่อนที่จะ Rebrand มันยืดเปล่าผม List พวกจุดขายเป็น 10-20 ข้อนะครับ ว่าเราจะขายยังไงบ้างเล่าให้สั่งนิดนึงได้ไหมครับ List อย่างไรบ้างมีตั้งแต่ว่า ไม่ยับ ไม่ย้วย อะไรอย่างนี้ราคา ก็คือลิสต์แบบบ้านๆ นั่งเขียนว่าสิ่งที่ทำให้เราต่างใช่ ไอ้โปรดักต์ตัวนี้ มันจะนำเสนอในเรื่องอะไรบ้างจริงๆ นี่คือหลักการตลาดพื้นฐานเลยนะก็คือ Unique Selling Point ของเราจุดขายของเราเรา List มาแล้วสุดท้ายเราได้ข้อไหนที่เราเลือกมามากสุดก็เจอเรื่องว่ามันไม่ย้วยแหละเพราะว่าใส่มา 2 ปี คือมันคงสภาพทำไมเลือกข้อนี้ เพราะว่าคนอื่นเขาไม่ทำละหรือยังไงใช่ ยังไม่ค่อย ไม่ค่อย ไม่ค่อยมีคนมาพูดเรื่องนี้แล้วมันก็จะมี Point อยู่ที่ว่าบางทีอาจจะรู้สึกว่าเสื้อมันย้วยหรืออะไรเงี้ยเราก็เลยแบบ เออ ตัวเนี้ยน่าสนใจน่าสนใจ แล้วก็เอามาเป็นจุดท้ายแล้วก็บวกกับที่เราเข้าใจไทยเก็ตกรุ๊ปนะคือตั้งแต่แรกผมตั้งโซโลแกนว่าอย่างไรก็ไม่ยวยอย่างงี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ก็ไม่ยวยที่เราดึงมาก็คือ ยังไงก็ไม่ยวยเลยก็คือให้มันเข้าใจแบบง่ายๆ เพราะเราขายไว้รุ่นแล้วก็ First Jobคือแบบให้ฟังแล้วสะดุดเลยอะไรอย่างเงี้ยก็เลยเอามาตั้งเป็นโซโลแกนแต่ตอนนี้เปลี่ยนแล้วมันเริ่มตัวขึ้นก็เป็นยืดแต่ไม่ยุ่น ไม่ย้วยโอเคตอนแรกอย่างงี้ก็ไม่ย้วยใช่อย่างงี้ต้องอย่างงี้ด้วยใช่ไหมใช่ อย่างงี้ก็ไม่ย้วยโอเคแล้วก็มีแบบ Create แบบว่าให้มันง่ายๆเอามาฟาดเสื้อโชว์เอามาทำแบบจักรยานมาโชว์ว่ามันไม่ย้วยจริงหรือว่าทำแบบ Key Visual แล้วใส่ไปนานๆก็จะไม่ย้วยผมว่าสิ่งนี้น่าสนใจ เพราะว่าเป็นกระดุมเม็ดแรกนะที่หลายคนกัดผิดหลายคนหาจุดต่างของตัวเองไม่เจอแต่ผมอยากชวนคุยต่อ เพราะว่าตอนเจอปุ๊บ เมื่อกี้พูดถึงกลุ่มลูกค้าเราเลือกกลุ่มลูกค้าเนี่ยเราเลือกใครเพราะผมคิดว่าหลายคนเนี่ยเลือกกลุ่มลูกค้าผิดธุรกิจก็ไปต่อได้ยากตอนนั้นกลุ่มลูกค้าเราคือใครครับที่เราตั้งเป้าไว้ก็ตอนแรกเป็นกลุ่มนักศึกษาแล้วก็ First Jobซึ่งจริงๆมันก็ Relate กับช่วงที่เราทำธุรกิจแหละเพราะว่าผม ตอนที่ทําแบรนด์ยี่เปล่า เนี้ย เราก็ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดเข้าใจ มันขายตัวเอง ขายตัวเอง ขายตัวเอง เราก็เข้าใจกลุ่มเนี้ยเออ ปกติเราก็มีน้องน้องที่เด็กกว่าเรา แล้วเราเข้าใจว่าเขามีความ ความต้องการยังไง สื่อสารแบบไหนพอเราทำในสิ่งที่เราเข้าใจและทนัดเนี่ยมันทำได้ดีเขาต้องการอะไรครับในวันนั้นที่เรามองเห็นก็เป็นแบบของคุณภาพเข้าถึงง่ายอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็สีสันที่แบบว่าจะเป็นเอิ๊ดๆหน่อยแบบพาร์ทเทลอะไรอย่างเงี้ย พาร์ทเทลซึ่งแบรนด์จะสมัยก่อนจะไม่ค่อยมีสีพลาสเทลเยอะแต่ผมทำ แล้วก็มันทำให้ลูกค้าตอบรับได้ดีคือแต่ก่อนเนี่ย เสื้อยืด ถ้าเกิดเราไปตามร้านเนี่ยมันก็จะสีดำ ขาว แล้วก็มีแหลมๆ ด้วย แดงแบบแดงเลย เขียวเลยเขียวไปเลย เหลืองไปเลยเทรนด์ตอนนั้นมันมาแล้วเราเข้าใจก็เลยสีแบบ Earth Tone อ่อนๆแบบนี้ แบบนี้ซึ่งตอนก่อนแบรนด์ไม่เก็ตนะ งงๆแต่ว่าเราเห็นตรงนี้ก่อนสำหรับว่าเรารู้ว่าเขาต้องการอะไรราคาล่ะครับ ตอนนั้นตั้งยังไงอันนี้โจทย์เดียวกันเพราะว่าผมขายที่จะรู้จัก เราขายอยู่ที่แบบร้อยเดียวอะไรอย่างเงี้ยพอเวลาเราขายไม่ได้มีแบบ Framework อะไรเยอะแต่แค่เราตั้งจากตลาดที่เราอยู่ว่า เอ๊ะ ถ้าเราขายแพง เราขายยาก เราก็เลยขายร้อยหนึ่ง เพราะเราเริ่มได้ที่นั่นเรารู้ว่าร้อยหนึ่งคือราคาที่คนพร้อมควักมากที่สุดในตลาดจตุจักรทั้งหมดใช่ครับแล้วพอเรา expand ไปที่อื่น มันก็เลยเป็นโครงสร้างนี้มาต้องร้อยหนึ่ง ใช่ แต่ว่าเราดูต้นถุดแล้วมันได้ ได้ครับ อ๋อได้ เพราะว่าคือหนึ่งแหละ อ่า กำไรตอนหมดไม่เยอะ แต่ว่าลูกค้าซื้อเยอะเลยอ่ะอย่างเมื่อว่าผมขายยูเนียนมอร์ หรือไปขายอะไรอย่างเงี้ยคนเยอะมาก เขาเรียกอะไรแบบว่า ลูกค้าซื้อเยอะมากอะไรอย่างเงี้ยเขาจ่ายใช้อีกคนไม่ออฟสเกล ใช่แต่เดี๋ยวพูดในแง่ต้นทุนนิดนึงตอนนั้นเราทำยังไงให้ 100 บาท แล้วยังกำไรได้อยู่ถ้าสรุปกันอีกสักครั้งหนึ่งถ้าเป็นตัวตอนที่เริ่มต้นค่าใช้จ่ายมันไม่เยอะพี่เคน มันไม่เหมือน ตอนปัจจุบัน ตอนเริ่มต้น เราคนเดียวขายใช่ไหมมีลูกน้องก็จ้างไม่ได้สูงมากไม่ได้มีทีมงานเยอะสมมุติต้นทุนต่อหน่วย 60% เราก็อยู่ไหวเราไม่ได้ซื้อเยอะมากราคาต่อหน่วยก็ไม่ได้ถูกแต่ว่าค่าใช้จ่ายการผู้อำนวยฮาลมันน้อยค่าใช้จ่ายมันน้อย ต้นทุนเราก็ไปคุมมาแล้วจากเนื้อผ้าที่เราไปใช้ วิธีการทอโรงงานที่เราไปจ้าง ทุกอย่างเราคุมได้ใช่ครับอ้าว เข้าใจแล้ว แต่ผมอยากย้อนไปเมื่อกี้นิดนึ พอผมเจอพวก Unique 7 Points ใช่ไหมครับแล้วก็สื่อสารตรงนี้ไปเรื่อยๆผมว่า แล้วจนวันที่ลูกค้าเริ่มเราเริ่มเป็น Top of Mind ของลูกค้าแล้วทีนี้มันจะเริ่มง่ายขึ้นจากเดิม คือณ ปัจจุบันเนี่ยตัวละร้อยเนี่ย มันก็ยังเป็น Product Heroแต่ว่ามีตัวอื่นเพิ่มขึ้นมาเยอะมากแล้วอย่างที่ผมโชว์ก็จะมีตั้งแต่เรามีเสื้อยู่ทุกแบบทุกทรง แล้วก็เพิ่งมีทำโปโลทีนี้พวกนี้ผมว่ามันเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าจดจำได้ตั้งแต่แรกว่า โอเค ยึดปาก เท่ากับไม่ย้วยนะ แล้วพอเราทำ Product อื่นที่มัน Premium มากขึ้นหรือแตกลาย Product มันจำได้ใช้เวลานานไหมครับ ก่อนที่แบรนด์จะติดตลัดตอนที่เราเริ่มทำแคมเปญออกมาแล้วก็ Launch Product ออกมากี่ปีถึงจะรู้สึกว่า เริ่มติดแล้วประมาณปี 1-2 ปีอุ้ย เร็วมากนะครับแต่ช่วงแรกยากมากนะครับเพราะว่าช่วงแรกผมก็งมอยู่นาน6 เดือนปีนึงไม่รู้ว่าสื่อสารอย่างนี้ให้มันแตกต่างเพราะว่าเสื้อยืดพอขายออนไลน์เสื้อยืดมันคือเสื้อยืดถูกไหมครับมันไม่รู้จะเล่ายังไงจนแบบเราเจอเทคนิคการเล่าที่บอกว่า เรื่องฝ้าเสื้อด้วยหรืออะไรอย่างเงี้ยเป็นจุดที่แบบ เขาเรียกว่ามันดึง attentionคือขยายความตรงนี้นิดนึงเพราะว่าถ้าเกิดพ่อค้าไม่ขายออนไลน์ฟังอยู่ตอนเนี้ยใช่ สำคัญมากนะ คือการดึงดูดความสนใจสินค้าเราดีจริงแหละ แต่เวลาเราพูดออกไปมันไปไม่ถึงตอนนั้นคิดได้ยังไง ไอ้ฟาดซื้อให้มันไว้ยังไงก็บางทีเราชอบดูคนอื่นทำนะเราเห็นว่าเขาเขียนเรียบๆแล้วมันดูแพงอย่างนี้เราก็ลองทำดู แต่มันไม่ได้อ่ะ คือยังไงมันก็ขายไม่ได้ ไอโฟนไปปั่นในเครื่องปั่นมันเห็นภาพเลยว่า เฮ้ย ยังไงเครื่องปั่นมันแรงตอนนั้นเขาขายเครื่องปั่นเครื่องปั่นว่าปั่น iPhone ละเอียดเลย เพราะ iPhone มันแข็งแรงมาก แล้วก็ คุย คนมันต้องเห็น มันจับต้องได้ ใช่ สิบสิบปากว่าไม่เท่าตายเห็นก็เลยแบบลองแบบทํา อ่า สไตล์ที่แบบว่าให้คนเห็นจาก จากวีดีโออะไรอย่างเงี้ย อืม เพราะตอนนั้นก็ทําฟาดเสื้อมาก็ อ่า ก็เป็นไวรอลเล็กเล็กอะไรอย่างเงี้ย เหมือนเหมือนเป็นออร์แกนิคก็ดูประมาณสักสองสามแสนได้ในช่วง 5 ปีที่แล้วอะไรอย่างนี้เราก็เลยแบบ พอเราทำอะไรอย่างนี้ก็ต้องทำให้มันเห็นภาพเวลาสื่อสารก็สื่อสารแบบง่ายๆ ตรงๆ อะไรอย่างนี้เทคนิคหรือวิวไว้ที่การสื่อสารของยืดป่าคืออะไรครับในแต่ละ campaign ในแต่ละการตลาด ผมสังเกตก็จะมีความแบบไวรุ่นๆ วนกวนหน่อยแล้วก็ไปทำแคมเปญกับแคท T-shirt ด้วยอะไรแบบนี้เป็นต้นเนอะ อาจจะเล่าให้ฟังนิดนึงครับถ้าเป็นแคมเปญสื่อสารจริงๆก็ไม่มีอะไรก็หลักการแบบว่าคิดก็คือง่ายๆคิด it's simple and stupid อะไรอย่างนี้ก็คืออธิบายเข้าใจง่ายๆ แล้วก็ตรงไปตรงมาอะไรอย่างเงี้ยครับแต่ว่าพอเราทำแคมเปญเนี่ยเราก็พยายามเหมือนหาความแตกต่างมากขึ้นเรื่อยๆ ปกติเราทำเสื้อ เสื้อมันก็คือ เสื้อนะครับ อย่าง ทุกๆแบรนด์ผมว่าเสื้อมันก็คือปัจจัยสีนะแต่ว่าอะไรที่มันจะไปรีเหลียกกับกลุ่มประหมายเรามากๆกว่าอย่างนี้การที่เราเข้าไปคอลลับกับพวกแคทที่เชิร์ตเองหรือพวกอาร์ติสต์อะไรอย่างนี้ผมมองว่าพวกนี้มันเหมือนเราเข้าไปไปพูดคุยในภาษาอื่นๆกับลูกค้าเราอะไรอย่างนี้แล้วก็มันทำให้แบรนด์ได้รับความตอบลับมากขึ้นเรื่อยๆใช่ครับแต่ว่าอันนี้ก็คือไม่ได้เป็นส่วนใหญ่ครับ ต้องบอกก่อนมันเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยแต่แค่ แค่ว่าเราเหมือนให้มีวาเรตตี้ในเรื่องของแบรนด์กับมาร์เก็ตติ้งอะไรอย่างนี้ครับแต่ว่าถ้า Product อะ ผมว่าลึกกว่านั้นคือเรื่องพวกการบริหารจัดการใต้ผู้ของน้ำแข็งเราเนี่ย การบริการลูกค้ายังไงการควบคุมเรื่องต่างๆ ที่ทำยังไงให้ลูกค้าเนี่ยซื้อของเราไปแล้วกลับมาซื้อซ้ำเรื่อยๆเออ ทำอย่างไรครับ เล่าให้ฟังหน่อยครับก็จริงๆที่บริษัทเน้นเรื่องลูกค้าค่อนข้างเยอะมากๆก็คือบอกว่าซีเรียสลูกค้าแล้วก็ แล้วก็เราอ่าน feedback ในช่วงทาง แล้วก็พัฒนาปรับปรงอยู่เรื่อยๆเรื่องกระบวนการในการจะส่งให้ลูกค้าแบบรับของได้รวดเร็วอะไรอย่างเงี้ย เราเคยโดน feedback ว่า เฮ้ย ส่งของช้ามากส่งของแบบ กว่าจะ เวลามีปัญหาต้องเคลมต้องอะไรช้ามากกว่าจะรับเรื่องอย่างนี้เราอ่าน feedback ปุ๊บ เราคุยประชุมทีมกันเราแก้ปัญหาโดยการที่ เฮ้ย มาดูคอร์สเนี่ยพวกนี้ถ้าส่งไปใหม่เลยที่ไม่ต้องให้ลูกค้าส่งกลับมาเลยอย่างนี้ได้ไหม แล้วมันจะเป็นตัวเลขเท่าไรสุดท้ายแล้ว เรายอมเสียนิดหน่อย แต่เราได้ใจลูกค้ามากกว่าอันนี้ก็ยกเคสให้ฟังว่า นั่นกลายเป็นว่าแคล์ลูกค้ามาก แค่ลูกค้ามาก ส่งผิดเราส่งใหม่เลย มีปัญหาอะไรอย่างนี้เราส่งให้ลูกค้าใหม่ยอมเสียเงินส่วนนั้นไปเลย ไม่เป็นไร แต่เอาความรู้สึกเขาก่อนแล้วก็เรื่องของการบริการภายในอย่างนี้ ถ้าลูกค้ามี feedback อะไรซ้ำๆ เราก็จะมาปรับแก้ตลอดทั้งเรื่องการออนไลน์เอง หน้าร้านอะไรอย่างนี้ครับการบริการแล้วก็ดูฟิดแบ็คลูกค้าคำสั่งเทค พัฒนาไปเรื่อยๆก็คือแสดงว่าแบบสินค้า หรือว่าบริการอะไรทั้งหลายแหล่นจริงๆ มาจากฟิดแบ็คลูกค้า เป็นโจทย์เลยด้วยซ้ำ คิดจากเขาแล้วเอามาทำ ไม่ได้คิดจากเราก่อนน่าสนใจ คือผมฟังเนี่ย นอกจากสินค้าแล้วเมื่อกี้ก็คือเรื่องของลูกค้าที่เราพยายาม segment อย่างชัดเจน แล้วก็บริการเขาอย่างเต็มที่แต่ทีนี้ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ถ้ามองจากนักกลยุทธ์การตลาดมองเข้ามาอันแรกต้องถามว่ามัน Positionตำแหน่งแห่งหนของยืดเปล่ามันอยู่ตรงไหนมีแบรนด์มากมายเนอะ แต่อย่างที่ผมพูดแบรนด์จีนก็ถูกไปเลย ที่คนรับเข้ามาเยอะมากมีแบรนด์ลักษณะที่เป็น Global Brand นะครับเราพูดชื่อเลย ญี่ปุ่นที่เข้ามา Unico อันนี้เป็นต้นเนอะหรือแบรนด์อื่นๆที่เข้ามาก็มีหลายแบรนด์ก็พยายามจะเข้าถึงกลุ่มคนไทย ซึ่งก็ทำได้ดีเช่นเดียวกันคือมันมีหลายกลุ่มมากเลย ที่ยืนของยืดเปล่าตอนนั้นคืออะไรเราคิดอะไรทำไมเรารู้สึกว่า เออ ฉันน่าจะไปรอดได้ถ้าพูดถึงตอนสเต็ปแรกก่อนเลย ผมเห็นโอกาสว่ามันได้มีแบรนด์ที่ระหว่าง ตลาดนัดกับแบรนด์ที่เป็น Global เลยแล้วคือแก่บราคาตรงกลางนี้มันยังไม่มีเราก็เลยกระโดดขึ้นมาแตะตรงนี้นะครับเลยทำให้เราเหมือนเห็น Positioningแต่สุดท้ายเราก็มา Positioning จริง ว่าสินค้าเราเน้นเรื่องของความคุ้มค่าแล้วก็ราคาที่จับต้องได้นะครับเป็นเหมือนแบบช่องว่างตลาดที่- ยังไม่มีใครไปตอบสนองตรงนี้ สมมุติลองเล่าละเอียดได้ไหมครับ ถ้าแบรนด์ตลาดนัดเบลอเขาจะเป็นยังไงที่เราเคยทำมาด้วยซ้ำเนี่ย เราเห็นมันเป็นยังไง ถ้าตลาดนั้นหน่อยก็จะคุมเรื่องต้นทุนเป็นหลักหมายถึงว่าแข่งขันกันด้วยราคาแบบมากๆคือเขาจะถูกกับร้อยถูกกับร้อยใช่ครับแข่งขันด้วยราคามากๆซึ่งจริงๆเมื่อก่อนแต่เดิมที่ผมบอกผมเคยเอาราคาเป็นจุดตั้งต้นก็แหละ Boxer แล้วทำยังไงให้มันถูกมากแล้วก็เอ่อเขาเรียกอะไรแต่ว่าจุดที่มันเป็นแบรนด์น่ะมันมีเรื่องของว่าเราไม่ได้ไม่ได้แบบซื้อมาขายไปเราไม่ได้บอกว่า ทำครั้งเดียวจบ มันมีลูกค้าซื้อซ้ำทีนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นของลูกค้าคุณภาพของสินค้าว่า ยังไงเขาซื้อไปแล้วก็ควบฟรีเข็มตะเข็ดต่าง ๆหรือว่าการพัฒนา Product ที่ให้มันมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นใช่ ก็เลยเหมือนที่ผมขยาย Product Line เพิ่มขึ้นก็คือเรายกขึ้นมาหน่อยจากแบรนด์ตลาดนัดแล้วถ้าเทียบกับ Global Band เขาเป็นอย่างไรฮะเพราะ Global Band บางทีถ้าเกิดเขารดราคา ก็ลงมาต่ำเหมือนกันเนอะ ที่เรารู้จักกันดีในตามห้างสรรพสินค้า บางแบรนด์อยู่มา 30 ปี ราคาก็ถูกเหมือนกันเราต่างกับเขายังไงในวันนั้นที่เราคิดผมว่าจุดขายที่เราชัดเจนเรื่อง แม้ทั้งสรรพคุณต่างๆ หรืออันนี้เป็นส่วนหนึ่งนะครับ เป็นส่วนที่แบบว่าจับต้องได้แต่มากกว่านั้นคือเรื่องของแบรนด์ identity พวกคาแรคเตอร์ต่างๆอ๋อไอ้ที่แบบชีวิตเปล่าเนี่ยมันคือเอาเสื้อมาฟาดกันอ่า แล้วก็แบบ เป็นแบบ คอลลัฟแบรนด์ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้คือผมว่าเรื่องพวกนี้แหละมันเป็นจุดที่ทำให้แตกต่างกับแบรนด์ที่เก่าๆอยู่มานานบางทีกลุ่มลูกค้าเขาก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งแต่กลุ่มลูกค้าเราก็แอคควายกลุ่มที่เป็นใหม่ๆอ๋อ คือว่าคาแรคเตอร์สำคัญมากในมุมมองของคุณตอนซึ่งคาแร็กเตอร์เราเท่าที่ผมฟังนี่มันเช่นอะไรบ้างครับ เช่น กดกวนคนซื้อยืดเปล่านี่เป็นไง ส่วนใหญ่คนซื้อยืดเปล่าหรอหรือว่าสิ่งที่เรามองว่าส่วนใหญ่ เราอยากสร้างคาแรคเตอร์ให้กับแบรนด์เรา มันต้องมีอะไร เช่น 3 คำคุณศัพท์คุณศัพท์นี้มีอะไรบ้างก็จะมีควอลิตี้แน่นอน เป็นเรื่องคุณภาพอยู่แล้ว อาจจะเป็นคนคุณภาพด้วยแล้วก็อันนี้แบบ Identify แล้วก็ Creativityอันนี้สำคัญคนซื้อแบรนด์ยืดเปล่าก็จะเป็นคนที่มีความคิดสั้น ๆรวมถึงเราเองบริหารภายในก็จะเน้นเรื่องความคิดสั้น ค่อนข้างมากแล้วก็อีกอันหนึ่งคือเป็นแบบเฟรนลี่ เข้าถึงง่าย สื่อสารเขาถึงง่ายตรงไปตรงมาครับเพื่อจะพอนึกแล้วก็เออ อันนี้ต่างเลยนะครับคือถ้า Global Brand เขาจะใหญ่แค่ไหนพูดคำว่า Creativity ก็เริ่มทำให้เราชัดขึ้นมากขึ้นควอลเรทตี้ผมว่ามันก็มีให้ใกล้ๆกันแหละแล้วแต่ราคาความผสมเนอะแต่พอมันมีเรื่องของควอลเรทตี้หรือเฟรนลี่เข้ามาด้วยมันทำให้เราฉีกออกมาจากกันจากตรงนั้นเลยใช่ครับเพราะว่าอันนี้ผมว่าเป้อเป็นจุดที่เราเล่นได้คือเราทำให้แบร์มันเฟรนลี่มากขึ้นเวลาเราคุยกับลูกค้าเราจะมีพวก employee relationship อย่างที่พี่เคนเห็นแบบ Tiktok ที่เราทำค่อนข้างแบบเขาเรียกอะไร อินเทอร์แรกกันค่อนข้างดีหรือแม้ทางเพจต่างๆ ที่เราอินเทอร์แรกกับลูกค้าหรือคนอื่นอะไรอย่างนี้ผมว่าพวกนี้มันทำให้แบรนด์เรา มันไม่ใช่แค่เสื้อผ้าอย่างเดียวมันไปแตะในใจคนอะไรอย่างนี้คนก็จะดึงดูดให้คนอยากมาใส่ อยากให้คนมาทำงานด้วยแต่ว่าจริงๆ ถ้าเป็นกรุ๊ปว่าแบรนด์ เขาจะติดตรงเรื่องพวกนี้เข้าใจ เขาบางทีจะมี Police ของเขาใช่ จะมาเล่นอีอาอีอาอย่างนี้ไม่ได้ไม่ได้ๆเราก็เล่นในท่าที่เราถนัดต่อยในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ใช่อ๋อ เข้าใจแล้วแล้วเราก็เป็นตัวๆเราด้วยเราก็เป็นอย่างนั้นเราก็ชิวๆ แล้วอะไรอย่างนี้สบายๆเป็นกันเองเล่นมุกได้ กล้วนกวนได้ใช่ครับพอทำไปเรื่อยๆช่วงเวลาไหนที่เริ่มรู้สึกว่าต้องขยายกิจการอย่างชัดเจนผมเห็นสาขาขยายเร็วมากนะคะต้องบอกว่าจริงๆสาขาเราขยายตอนที่เป็นช่วงโควิดก็คือ เหมือนเราเห็นโอกาสเลยว่า ช่วงนั้นคนกลัวหมดเลยคนกลัว คนไม่กล้าขยายสาขา คนแบบนิ่งๆ อะไรอย่างนี้แต่เรามองว่ามันเป็นโอกาส ตรงที่ว่าเราสามารถทำให้ลูกค้าจดจำเราได้ง่ายแล้วก็ ในช่วงนั้นพอเรามีปัญหาเนี่ย ห้างเขาก็ไม่ได้ใจร้ายกับเรามากนะครับก็คือช่วงล็อคดาวน์ หรือช่วงนั้นมันคุยกันได้ลดราคาแบบว่าช่วงล้อนดาวก็ไม่คิดค่าเช่าอะไรอย่างนี้แล้วเราก็เห็นว่า นี่มันเป็นโอกาสที่เราจะเขาเรียกอะไรแบบก้าวไปอย่างรวดเร็ว เราก็เลยบอกว่า เร่งขยาย ๆช่วงโควิดที่คนอื่นเขาหยุดกันคุณขยายครับจริงเหรอใช่ครับโอ้แต่ก็เชิญเยอะครับ ๆเชิญเยอะช่วงโควิดครับแต่พอมันพ้นมาได้ก็สบายสบายใช่ครับทำไมถึงยังคิดว่าจะขยายสาขาไปตามห้างสรรพสินค้าอยู่ทำไมยังคิดว่าร้านค้า ที่เป็น Brick and mortar ถึงยังจำเป็นอยู่ผมว่าคนไทยยังติดในการที่ไปเดินห้างอยู่อย่างพี่เคนไปห้างก็จะเห็นว่าคนก็ยังเยอะอยู่แต่ว่ามันก็มีอนไลน์ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็คนชินกับการสั่งออนไลน์มากขึ้นผมว่าคือเรามองว่าตรงไหนที่มันเป็นประสบการณ์กับลูกค้าถ้าเราสามารถที่จะเข้าถึงฐานลูกค้าได้เราก็จะไปนะครับแล้วก็สุดท้ายเราก็มาบริหาร เราก็ดูว่าเราขยาย เรายังไปได้อยู่ เราก็ยังไปอยู่เรื่อยๆครับจริงๆไม่ได้มีรูปแบบก็อยู่ชัดเจนคือถ้าขยายไปแล้วมันไม่ได้ก็จะถอยแต่ตอนนี้ยังไปได้อยู่ตอนนี้มีกี่สาขาแล้วนะครับตอนนี้มี 63 ที่63 ที่ทุกท่านเริ่มต้น 6 ปีมีเกือบทุกจังหวัดแล้วมั้งใช่มั้ยหัวเมืองใหญ่มีหมดแล้วจังหวัดที่มีห้างใหญ่ๆ เราไปหมดครับแล้วส่วนใหญ่ไป มีความยากไหมครับไปแล้วขายไม่ได้ เพราะว่าตอนอยู่กรุงเทพมันก็ยังได้อยู่ไงหรอกอาจจะคุ้นเคยครับ บางทีมันไปต่างจังหวัดเนี่ยแบร์เราได้จริงไหมหรือว่าทำยังไงให้มันยังไปได้ต่ออ๋อ ก็มีครับ มีเยอะเอ่อ แต่ว่าโชคดีอย่างตรงที่ว่า Product เราค่อนข้างเยอะคือมันจะทำให้เราหมุนพวก Display พวก VM อะไรได้คือมันก็เป็นโจทย์ บางสาขาใช้เวลานานมาก3 เดือน 6 เดือนถึงจะเริ่มขายดีอะไรอย่างเงี้ยกว่าจะสร้างแบบ awareness ไปที่ช็อปแล้วก็กว่าจะทำให้ลูกค้าบางครั้งเรียกเหมือนเหมือน Product เราอะPresent ให้มันตรงกับกลุ่มลูกค้ามากขึ้นแล้วก็ ถามว่าบางที่มีไหมที่แบบว่า แบบไม่เวิร์คก็มีครับถ้ามีแล้วก็ปิดไว ใช่ครับอ๋อ ก็มีเหมือนกันครับ แต่เมื่อกี้ ผมลืมตอบคำถามพี่เคนอันนี้ก็คือ จุดไหนที่เราขยาย อันนั้นเป็นทั้งเรื่องเสียสาขาเนี่ยแต่มันมีทั้ง Product ด้วย ก็คือเหมือนตอนนี้เราทำครอบคุมเยอะแล้วทั้งมี O-Size แขนกุด มีขอบ มีแขนยาว มี Desk มีอะไรอย่างนี้ที่หลากหลายแล้วก็อย่างที่ผมบอก ผมฟังลูกค้าอยู่เรื่อยๆ ลูกค้าก็จะเราก็เห็นแล้วว่าให้ลูกค้าในเริ่มโตมากขึ้นมีกลุ่มที่เป็นแบบว่าออฟฟิศเยอะนะครับแล้วก็ค่ะเรียกว่า มีดเดอร์คาร์ดค่อนข้างเยอะขึ้นแล้วก็ลูกค้าก็ request พอนี้มากขึ้นไม่ทำโปโล ไม่ทำนู่น ทำนี่แล้วก็เอาพอนี้มาพัฒนา Productแล้วก็มันถึงเวลา Direction มันเริ่มถึงแล้วเดี๋ยวฮะ หมายความว่า Product ที่เราเห็นเสื้อโปโลหรืออื่น ทั้งหมดมาจากลูกค้า Feedbackลูกค้า requestไม่ได้แบบ จู่ๆ คุณตอนคิดเอง มาทำโปโลกันเถอะไม่ใช่ เริ่มจากอันนี้ก่อน มันก็มีแบบ ถ้าพอดาพอดักต์มี 3 ส่วน อันนี้มีส่วนนึงหลักๆ ก็คือลูกค้าเลยถ้าลูกค้า request เยอะเราก็รู้แล้วนี่มีโอกาสมีความต้องการครับ2. ก็คือแบบเป็นเทนต์ตลาด ช่วงนี้มันเริ่มมาแต่จริงๆ โปโลข้างหลังผมเห็นคนใส่เยอะ ถ้าลูกค้า request เยอะมาก แต่ direction เรายังไม่ได้ เราจะไม่ไปอย่างสมมุติ อยู่ดีวันนี้ผมทำท่อนบ่นใช่ไหมถ้าอยู่ดีลูกค้าให้บอกว่า ไม่ทำ blazer มันก็ไม่ได้เพราะว่า มันยังไม่แข็งแรงในเรื่องนั้นๆ มากพอตอนนี้เรามอเรายังไม่พร้อม ที่จะทำ blazer แบบผู้ชายเดี๋ยวนี้ก็มีหลายแบรนด์เริ่มทำตรงนี้มากขึ้นถูกครับมันจะกลายเป็นว่าเรา สูญเสียโฟกัส แล้วก็ทำสิ่งที่เราถนัดได้ไม่ดีผมก็ดูมา 3 ส่วน มีลูกค้า มี Direction แล้วก็มี Trendถ้าพอมันลงตัวมันโอเค เราก็ทำอย่างตอนนี้ อย่างเล่าโปโลกให้พี่ ให้ฟังหน่อย ครับ หลัง สุด มี คุณ รัสสิมีแข เนาะ ครับ เออ มีห้าคน เลยน่ะ มี มี พี่แข พี่ นะ ครับ พี่ นะ เมื่อ อัน เพิ่ง คอนเซิร์ต ใหญ่ พี่ นะ โพลิ แค ท อะ ครับ ครับ ครับ อัน เนี้ย เราก็สปอนเซอร์ เข้าไป อ่า แล้วก็ มี มี อ่า คุณ ชาเลส มี คุณ ปิงแล้วก็มีคุณสเตฟาน ดารารุ่นเก่าแต่ละคนก็จะมีคาแรคเตอร์ที่ตรงนะมีควรกลัวนิดๆ เฟรนลี่Polo นี้มันความคิดมายังไงก็จริงๆ อ่า หลัก คือเราจะโดดเข้าตลาดปะโลแหละแต่เราก็จะเห็นเจ้าตลาดเยอะ ๆพิธีนก็จะเห็นแบรนด์ญี่ปุ่นก็แข็งมากแบรนด์ไทยก็แข็งมาก น้องในออฟฟิตเป็นคนที่ตัวอบๆหน่อย แล้วก็ไม่ได้สูงมากแต่เวลาเสื้อเนี่ย เสื้อมันเป็นเสื้อเสื้อมันจะขยายความสูงกับความกว้างเนี่ย ตาม ตาม ตามความกว้างครับ ความสูงตามความกว้าง ก็ทําให้แบบว่า เสื้อยาวไปมากเลย หรือสั้นมากอะไรอย่างนี้คือรูปร่างสัดส่วนคนบางทีมันไม่ได้เหมือนหุ่นนะตัวใหญ่เราต้องสูงตามใช่ไหมคะใช่ เราเห็นตรงนี้เราก็มาบวกกับ Polo ที่ว่ามันจะมาเจาะตลาดยังไงได้บ้างก็เลยทำมาเป็น Polo 20 Size20 Size ตามความสูงแล้วการทำ SKU เยอะอย่างนี้มันต้นทุนมันทำได้จริงไหมเอ่อ จริงจริงถามว่าต้นทุนสูงไหม การบริษัทการสูงมาก สูงขึ้น สมมุติ 4 ไซส์กับ 20 ไซส์ ต่างกันชัดเจนเลยผลิตเพิ่มกว่ากัน 5 เท่า ใช่ไหมใช่ แต่ผมมองว่า เรามอง Long Term ว่าตัวนี้วันข้างหน้ามันจะเป็นตัวที่เขาเรียกว่าลูกค้าจะจดจำเราได้ แล้วก็เขาเรียกว่าเป็นฐานลูกค้าใหม่ที่เราอยากสร้างความประทับใจในจุดนี้ในจุดนี้เราก็ยอมบริหารจัดการในส่วนนี้นะครับแล้วก็เมื่อกี้ที่พูดถึงว่าทำไมถึงเราเป็น co-presenterเป็น special guest 5 ท่านเนี่ยเพราะว่าเราเน้นในเรื่องของพวก ความหลากหลายอยู่แล้ว ถ้าไปดูยิทยุปราวเนี่ยเราจะเน้นเรื่องความหลากหลายเยอะมากๆแล้วก็เรามอง Special Guest แต่ละท่านเนี่ยที่ในมิติที่มันหลากหลายกันก็เลยเป็นตัวจุดๆที่มันกลมกล่อมกันว่าเขามา Represent ในเรื่องพวกนี้อย่างพี่แขนก็เป็นเรื่องผิว เรื่องเพศเรื่องชาติใช่ ใช่ เขาเป็นลูกครึ่งใช่ แล้วก็มา represent ในเรื่องนี้ดารารุ่นเก่า ดารารุ่นแล้วก็แต่ตอนนี้เขาขอบรรยา คอนวัลรุ่นเก่าผมก็มีคาแรคเตอร์ที่มันยูนิคเราเลือกเองใช่ไหม 5 คนหนึ่งก็เลือกน้องๆ ร่วมกับทีมใช่ครับแต่มันจะไม่ใช่ดาราแบบ ล้อหล่อไปเลยชื่อสวยไปเลยมันจะมีคาแรคเตอร์ของเราอยู่เพื่อทำให้คนสัมผัสได้กับแบรนด์ของเราด้วยผมว่าอย่างหนึ่งโปรโลที่น่าสนใจที่เราคุยกันนอกรอบก็คือราคามันไม่ใช่ 100 บาทแล้วมันอัพขึ้นมาแล้วเล่าให้ฟังนิดหนึ่งครับกลยุทธ์เรื่องของการตั้งราคาแพงขึ้นเพราะถ้าไปดูตัวเลขผมไปดูตัวเลข ในกำไรขัดทุนย้อนหลังเนี่ยก็จะเห็นว่ากำไรมาร์จิ้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากตอนแรกบางมากเลยเล่าให้ฟังนิดนึงอ๋อ โปโล จริงๆ โปโลเนี่ยก็เป็นเกมใหญ่เหมือนกันเกมใหม่เลยเพราะเราขายที่ 590 นะครับจากเดิมที่เริ่มต้นที่ 100 นึงนะฮะอืม ใช่ๆใช่ แต่ว่าเราก็มี Product เยอะแหละบางตัว 3-9, 4-9, 5-9 อะไรอย่างนี้ฮะแต่ว่า Polo เนี่ยคือถ้ามองแบรนด์ แบรนด์ใหญ่ๆที่เราเห็น ยิ่งถือว่ายังค่อนข้างถูกกว่าน้าฮะแบรนด์ยี่เปล่าถือว่าถูกกว่าในตลาดนะครับแต่ว่าเหมือนเมื่อกี้ที่พูดต้นทุนใช่ไหมก็คือในตัวนี้ผมมองว่าวันหน้าถ้าเขาเรียกว่าอะไรสเกลมันได้เยอะมากๆ ผมว่าตอนนี้ต้นทุนมันจะมีปัญหาเพราะว่าในการที่เราทำ Restock ต่างๆ หรือ Size 4 ที่มันเยอะเนี่ยแต่ว่าวันที่เขาเรียกว่า Scale มันได้ ขายได้เยอะๆคือ มินิมัมมันไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพราะสาขาเราเยอะก็เหมือนกับเสื้อยืดใช่คือตอนนี้ที่ผมฟังมาทั้งหมด กลยุทธ์หลักอย่างหนึ่งครับของการเติบโตของเราก็คือ เราเน้นจำนวนที่เรามีสาขาเยอะแล้วต้นทุนบีบให้ราคาเนี่ยมันถูกกับคู่แข่งมันคุ้มมันคุ้ม แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกับตลาดนัดแหละใช่ไหม โปโลก็ยังถือว่าราคาอยู่ในกลาง ๆก็ยังเล่นกลยุทธ์เดิมแต่สำคัญคือต้องขายได้เยอะ ในตรงนี้ครับแต่ผมว่าคือมันต้องคิดต่างด้วย หมายถึงว่า...
อย่างถ้าเราเห็นแบรนด์เจ้าตลาดมีอย่างเรื่องอื่นสิ่งที่เรามีเราต้องไม่ไปทำเหมือนกับเขาเพราะทำเหมือนกับเขาถ้าบอกว่ามันเหมือนกันแล้วก็ไม่มีจุดแตกต่างอะไรแต่จุดที่เป็น Standard ก็ควรจะมีให้เหมือนกันอย่างเช่นผ้าระบายอากาศได้ดี เย็นใส่สบายอย่างนี้เราก็ต้องมีให้เหนือกว่าก็คือเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของคนและ Qualityแต่ว่า Character ก็ยังมีความ Friendlyมีความเน้นเรื่องของตัวความ Creativity อยู่ ใช่ไหมฮะ ทีนี้เมื่อกี้ที่คุยกันแสดงว่าตอนนี้ Product R อันดับหนึ่งที่ผมมองก็คือยังเป็นเสื้อยืดแหละ100 บาทที่ยังขายดีเป็น Cash Cow เลยซึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ Margin มันดีขึ้นเพราะว่าเราขายจำนวนเยอะขึ้นแต่อีกอันหนึ่งก็คือเรามี Product อื่นที่ราคาสูงขึ้นใช่ครับ ถูกไหมครับ ที่ทำให้เราได้มาร์จินที่มากขึ้นด้วยอ๋อ จริงๆ ถ้า Top Rank ก็ไม่ได้เป็นตัวละ 100 สักส่วนใหญ่นะ หมายถึงว่าเป็นตัวแบบพวกที่เป็นรุ่นใหม่ๆ อะไรอย่างนี้ก็เยอะพวกที่แบบ 3-400 อัพอะไรอย่างนี้เยอะซึ่งจริงๆ เราก็ balance เรื่องของต้นทุนแหละระยะยาวมันก็ทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้นซึ่งจริงๆ คืออย่างที่ผมบอกพี่เคนว่าในอดีตต้นทุนเราไม่ได้เยอะ ใช่ครับ ผมว่าอันนี้มันก็เป็นจุดที่ตอบโจทย์ด้วยว่า1. ลูกค้าเรามั่นใจในสินค้าอุปกรณ์เรามากขึ้นว่าโอเค เราทำสินค้าที่ราคาสูงขึ้น แต่คุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆแล้วลูกค้ายอมซื้อได้ แสดงว่าเรามาถูกทางแล้วจากเดิม ลูกค้าก็พร้อมที่จะเติบโตไปกับเราครับ ครับก้าวต่อไปคืออะไรครับถ้ามอง เพราะเมื่อกี้ต้นทุนสูงขึ้นแล้วเนอะมีพนักงาน โอ้โห 400 คนเนี่ยเราจะไปยังไงต่อครับที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างนั้นยืนได้ก้าวต่อไป ก็คือผมก็มองว่าเราไม่ใช่แบรนด์แค่เส้นยืดแล้ว จริงๆเรามองว่าเราเป็น Total Look Bandวันเนี้ยเราไปโปโล เดี๋ยววันหน้าเรามาท่อนล่างแล้วกางเกงมาแน่แล้วก็อาจจะมี Underwear แล้วก็วันถัดไปเราก็อาจจะมีตัวนอกBlazer ต่างๆที่ลูกค้า Requestซึ่งจริงๆผมมองว่าเราไม่ได้มองแค่ว่านิดเปล่าจะเป็นไรกันแต่ผมมองว่าจริงๆเราอยากจะเติบโตที่สามารถไปสู้กับระดับกลัวแบรนด์ได้ที่บอกว่าพวกนี้เขา... การค้าในประเทศเรา เราก็รู้สึกว่า ทำไมเราไม่มีแบรนด์ไทยที่แบบว่าไปแข่งขันระดับสากลได้อะไรอย่างนี้- นี่คือความฝันเลยครับ โอ้โห- ก็เป็น Purpose ของบริษัทด้วย ใช่ครับ ก็เลยว่าว่ามุ่งไปสู่ระดับสากลได้ แล้วก็เล่นเรื่องนวัตกรรมต่างๆอย่างเล่าให้ฟังนิดนึงว่าเส้นทางที่จะไปสู่ระดับ Global ได้มีคิดอะไรไว้ข้าวๆ ไหมครับก็หลักๆ แน่นอนแหละคือเรื่อง Product ถูกไหมครับ เราต้องพัฒนา Product ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ ให้มันมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ แล้วก็ยังคงคอนเซ็ปท์ที่ราคาจับต้องได้อยู่แล้วก็สอง เรื่องของทีมงานความพร้อมต่าง ก็ต้องพัฒนาพนักงาน Upskill ต่าง ๆที่ออฟฟิศผมก็จะมี Culture ที่แบบว่า เด้นเรื่องของ Culture เยอะมาก นะครับแล้วก็เรื่องของระบบต่าง ระบบหลังบ้านที่เราต้องพัฒนาพอเราบอกว่า เราคุณภาพและนวัตกรรมระดับโลกมันทำให้จุดนี้ มันทำให้ Direction มันชัด แล้วก็น้องก็จะรู้ว่า เฮ้ย เขาควรจะพัฒนางานเขายังไงงานเขาให้มันระดับมาตรฐานสากล แบบนี้อย่างซึ่งจริงๆผมก็จะมาดูตลอดแหละว่า เฮ้ย Global เขาทำเรื่องอะไรบ้างอย่าง Customer Centric ที่เรานิ้นมากๆเนี่ยก็เพราะว่าแน่นอนแหละถ้าเป็นฝั่ง Global คือมันเป็น Basic มันเป็นแบบนี้เราก็เลยเอามาปรับในการทำงาน ทำงานให้มันมีแบบ Automate ได้อย่าง GPT-AI อย่างนี้ก็ใช้ตลอดคือผมไม่ได้เล่า เพราะว่า หลายๆ อัน หลายๆ คอลเลคชั่นผมใช้ GPT Kit ด้วยนะเดี๋ยวฮะคือเอามาใช้แล้วใช่คิดเอามาช่วยทำอะไรบ้างก็มีตั้งแต่ชื่อห้องในออฟฟิศต่างๆ ใช้ GPT Kitชื่อคอลเลคชั่นต่างๆ ใช้ GPT หรือแม้กระทั่งอินเทอร์วิวอะไรอย่างนี้ก็คือใช้เยอะมากเหมือนกันครับ ในส่วนของพวก GPTอย่างช่วงนี้คิด Seiji ประจำปีให้คิดทั้ง Fight Force อ่า...ค่ะแหละ...ไอ้ สวท อาณาไลซิสแล้วก็มีพวก 7th McKinsey Model อะไรอย่างนี้คือก็ใช้เยอะเหมือนกันผมว่าจริงๆพวกนี้แหละก็ทำให้เราเป็นระดับ Global ได้ก็คือ Global ใช้อะไรเรามองเขาเลยเราทำให้เหมือนเขากลยุทธ์ วิธีคิด System Cultureผมถามอย่างหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจมากที่ผมฟังคุณตอนมาตลอดคือจากพ่อค้าในตลาดนัดUnion Mall จัดตุจักร ผมรู้สึกว่าคุณตอนพัฒนาเร็วมากใน 6-7 ปีคือข้ามมาตรงนี้ เหมือนคุยกับผู้บริหารคนหนึ่งแล้วกันในองค์กรใหญ่เลยอะไรทำให้คุณตอนก้าวข้ามตรงนี้มาได้เราพัฒนาตัวเองยังไงเพราะว่าถ้าผู้นำไม่พัฒนาองค์กรก็จะไม่พัฒนาคือถ้าตอนนี้ผมฟังยิ่ง ทางยืดเปล่าไม่ได้มองแค่จะขายสินค้าอยู่ไปวันๆและเรามีเป้าหมายที่ไกลแสดงว่าตัวเจ้าของเองผู้ประกอบการ CEO คงจะต้องคิดไกลคำถามคือจากวันนั้นจนมาวันนี้ อะไรเปลี่ยนคุณมากที่สุดหรือคุณพัฒนาตัวเอง คือเราก็มีความแนวคิดแบบพัฒนา ทยธยาล พัฒนาไปตลอดผมก็จะพูดกับน้องเสมอว่า คาเลียร์พาร์ทที่ดีที่สุดก็คือทำให้องค์กรมันเติบโตมันเติบโต ยิ่งเติบโตมาก คนในบริษัทก็ยิ่งมีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองได้อยู่เรื่อยๆแล้วก็อย่างสิ่งที่มัน drive ผมเนี่ยก็คือเราอยากจะเป็นแบรนด์ที่เป็นระดับสากลเป็น global band ให้ได้อะไรอย่างเงี้ย ซึ่งมันเป็นความท้าทายแล้วพอวันที่เรามีความคิดแบบนี้คือแรงแบนดันใจมันจะมามหาศาลก็คือพลังการทำงานมันเยอะจากเดิมผมขายของปีนี้ประมาณ 14 ปีนะพี่เขนดูเหมือนจะสั้นนะ แต่ว่าจริงๆนานมากนะแต่เราสเต็ปตอนที่เราทำธุรกิจประมาณ 6 ปีใช่ไหมแต่ก่อนนั้น อะ เจอหนี้ที่ผมทำอะ ผมทำเป็นเพราะค้ามาก่อนแล้วเราก็ขายดีแหละ เราก็ไม่ได้แบบมี มีเป้าใหญ่มาก เราก็ขายปุ๊บ กินเที่ยวเล่น กินเบียร์ เราก็ใช้ชีวิตวนๆก็ใช้ชีวิตไปเหมือนเวยรุ่นอะใช่ครับไม่ได้มีเป้าหมายที่ใหญ่ใช่ แต่จนวันเราตั้งคำถามของตัวเองว่า เราทำแบรนด์เราจะไประดับไหนเราจะทำอะไรกลับไป แล้วชีวิตหนึ่งเราจะไปยังไงต่อเนี่ยพอเรามีพวกนี้ปุ๊บเนี่ยมันทำให้เรามุ่งไปสู่เป้าแล้วเราพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆแล้วก็ไปทั้งไปเทคคอร์ตไปเรียนแล้วก็มาปรับปรุงระบบแต่ว่าจริงๆ อย่างที่พี่เคนพูดเลย คือถ้าเป็น Owner หรือเป็นผู้วิหารเนี่ยถ้ามีแนวคิดที่เราแบบพัฒนาตลอดอะ ทีมงานก็จะพัฒนาไปเรื่อยแล้วเขาก็จะมีไฟในการทำงานจุดเปลี่ยนของพ่อค้าคนนั้น แล้วการมาเป็น CEO ในวันนี้จากคนที่ไม่มีเป้าหมายมาเป็นเป้าหมาย มีจุดเปลี่ยนไหมครับทำไมจู่ๆกลายเป็นคนมี...มีเป้าหมายจากกินเบียร์ไปก่อนมันเกิดอะไรขึ้นเหมือนผมเติบโตมาจนระดับหนึ่งแล้วรู้สึกว่ามัน โปรดต มันตัน แต่เราก็ไปเรียน จนกลับมาตั้งคำถามว่าเฮ้ย เขาเรียกอะไร อยากทำยังไงให้มันเหมือนพัฒนาตัวเอง แล้วก็เป็นแบรนด์ได้อันนี้เป็นจุดเปลี่ยนแรก แล้วก็เหมือนเขาเรียกอะไร เกิดมาทั้งทีในชีวิตหนึ่งจริงๆ ผมมีคลาสของดร.แถ่งสุขอันนี้ อันนี้อาจจะพูดถึงเขากับของสมุทรอีก คำคาด BIS นะ ถ้าผมจำชื่อไม่ผิดใช่ เขาตั้งคำถามวันนี้ว่าเฮ้ย คุณเกิดมา ทั้งทีคุณจะทำแบรนด์ไปแค่นี้หรอ หรืออะไรอย่างนี้มันก็ทำให้เราย้อนกลับมาคิดเหมือนกันโดนดร.แสงสุกต้นเองใช่ครับคือเขาถามว่า คุณจะทำไปวันๆ หรอแบรนด์แค่นี้คือจะบอกว่า 100 ล้านมันง่ายไปอะไรอย่างนี้อะไรอย่างนั้นแหละแต่ว่าคือ นับวันแรกเราคิดแต่ตัวเลขนะแต่หลังๆ ตัวเลขมันก็ส่วนหนึ่งเดิม เราคิดว่ามันกลายเป็นแรงบันดาลใจมากกว่าว่าเราทำไงให้แบรนด์เราไประดับ Global ได้ อย่างที่น่าสนใจที่สุดคือ อาจจะเป็นคำแนะนำก็ได้นะครับคือต้องยอมรับว่า SME ในไทยเยอะมากแต่ส่วนใหญ่จะเป็นขนาดซุปเปอร์ย่อมคือเล็กๆมาก อย่างนี้ อย่างที่เราเห็นนะผมว่าสำสรรค์ตัวนะ ผมว่าผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนด้วยคนเหล่านี้นะ คนที่อยู่ตามตลาดนัดคนที่อยู่ตามหน้าธนาคาร สาขาต่างๆรถเข็นบางแหละรับของมาขายในสำเพ็งบางแหละ ประตูน้ำบางแหละหรือตามทั่วประเทศคนเหล่านี้คือคนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริงๆนะก็คือคน คนที่ทำมาหาเลี้ยงชีพตัวเองครับคำถามสำคัญที่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่คุณตอนทำแล้วมันน่าจะเป็นแรงบันดาลใจคือเราก้าวจากคนที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าตรงนั้นแล้วขึ้นมาตรงนี้อะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้มาถึงตรงนี้ได้อาจจะเป็นคำแนะนำก็ได้ว่าถ้าคนเหล่านี้ ผมไม่ได้บอกเป็นเพราะค้าไม่ขายไม่ดีนะแต่คนเราก็ต้องพัฒนาต่อเนอะที่เขาพัฒนาตัวเองขึ้นมา อยากจะบอกอะไรกับพวกเขาหรือว่าคำแนะนำที่ทำให้ตัวเองมาถึงตรงนี้ได้ครับอืม อ่ะ หนึ่งเลยเรื่องของเป้าหมายใช่ไหมครับแล้วก็สองเรื่องของ ผมว่าเรื่องพยายามทำให้ตัวเองอึดอัดหมายถึงไม่รู้สึกสบายคือผมชอบจะอยู่ในจุดที่ว่า รู้สึกว่าเราต้องไปต่อ เราต้องพัฒนาอย่างบางทีเราไปเข้าคลาสต์ต่างๆเรารู้สึกว่า เฮ้ย เราเจอคนเยอะแล้วตัวเล็กมันก็เป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาไปต่อเรื่อยๆนะครับแล้วก็ถ้าจับต้องได้แล้วกันผมว่าตัว Product มันต้องมี Hero Product เราก็ต้อง differentiate นะครับ คือเราต้องมี Product ที่จะสร้างความแตกต่างให้ได้แล้วก็เราต้องทำให้เป็นท้อไม้ให้ได้ ซึ่งจริงๆบางทีผมว่าจุดนี้เป็นจุดที่มันติดอยู่แต่ถ้าเราเห็นแบรนด์ที่ประสบความเล็กเยอะ ๆส่วนใหญ่เขามีผู้นี้เลย เขามี Hero Productมีแบรนด์ มี Hero Productใช่ มีแบรนด์ มี Hero Productแล้วเขาสร้างความแตกต่าง แล้วมันจะทำให้แบรนด์เราเป็น top mind ได้แต่บางทีเราเริ่มต้นจากการเห็นคนอื่นเขาทำอะไรทำบ้างเห็นอะไรดีแล้วฮีโรไปอย่างนี้อันนี้มันจะทำให้สุดท้ายแล้วในตลาดมันเหมือนกันหมดแล้วมันจะไม่สามารถให้ ให้เราไปสู่เป้าหมายได้ แต่จริงๆผมว่า ผู้ประการไทยมีความสามารถเยอะแล้วก็มีความ creativity เยอะ แต่มันอาจจะติดในเรื่องคนนี้ผมเลือกเป็นคอยที่ดีมาก ผมเห็นด้วยว่าผู้ประการไทยความคิดสร้างสรรค์สุขยอดเก่งมาก เพียงแต่ว่าอันดับแรกเป้าหมาย เป้าหมายต้องใหญ่พอใช่ไหมครับ 2 ที่ฟังผมชอบมากคือทำให้อึดอัดคือพาตัวเองไปอยู่ในสิ่งที่มันเจริญขึ้นไปเรื่อยๆพัฒนาเพื่อทำให้เรา ไม่อยู่กับที่และอันที่ 3 คือถ้ากลับมาที่ตัว Product ก็คืออย่างนี้ก็ไม่ต้องกลัวทุนจีนเลยเนอะถ้าเราสร้างแบรนด์ สร้างความแตกต่างได้แต่ส่วนใหญ่ที่เราเห็นอาจจะขายอะไรคล้ายๆ กันในมุมมองของคุณตอนที่เราเห็นอยู่ใช่ เพราะเวลาคนถามผมบอกผมไม่กลัวเลยเพราะว่าเราพัฒนาตลอด แต่ผมก็จะบอกกับน้องว่าคนจีนทำงานหนักนะ ทำงานหนักมากแล้วเขาก็มีความกระตื้นล้นตลอดเวลา ทำในเลเวลเขาได้ เราก็ไม่ต้องกลัวเขา เพราะว่า อันนี้มันคือสนามเราอืม เราเข้าใจคนไทยมากกว่า อืม นะครับ เราก็ เราก็พัฒนาไปได้แล้วก็ ประดักษณ์เราก็จะตอบโจทย์ลูกค้าด้วยอย่างยืดเปล่าไม่กลัวทุนจีนเลยไม่กลัวครับไม่กลัว โห สินค้าทัลลักเข้ามาตอนนี้มาแทบ ทุก Category ตั้งแต่แก้ว Ceramic ยันไปลด EVเสื้อยืดเราไม่กลัวเพราะอย่างเห็นบอกก็คืออย่าง Tmuma หรือ Shopee TikTok คนก็กระทบเยอะมากนะแต่ผมก็มีฝั่งหนึ่งคนที่เป็นแบรนด์จริงๆ ก็กระทบไม่ได้เยอะเพราะว่าแบรนด์ก็คือลูกค้ากลุ่มที่ซื้อแบรนด์โรยันตี้โรยันตี้ Customer ที่ซื้อจริงๆแล้วก็เมื่อกี้ผมลืมแต่อีกเรื่องนึงคือเรื่องสี่คือเรื่องระบบระบบกับ Culture เนี่ยผมว่ามันสําคัญมากพอเรามีเป้าหมายแล้วเรา มีเป้าหมาย เรามีความอดทน เราสู้แล้วแล้วเราก็สร้างความแตกต่างแล้วอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องระบบบางทีเราอาจจะมองข้ามไป ระบบหรือ Culture อย่างนี้อย่าง Culture ที่เราทำให้พันธ์งานทำทันทีกล้าลองผิดลองถูกหรือแบบ เวลาคนมองมา ทำไมยึดเป่ารู้สึกว่ามันเร็วมาก Move เร็วอย่างนี้แล้วก็รู้สึกว่า เวลาพาร์ทเนอร์ที่มาทำงานรู้สึกว่าเราเติบโตเร็ว เราเคลื่อนที่เร็วมากผมว่าอันนี้ก็เป็นเรื่องของ Culture แล้วอีกอันหนึ่งคือเรื่องการ Feedback สามารถพูดคุยได้ จริงๆผมไม่ได้วางตัวเป็นผู้อาหารเราเป็นผู้อาหารแหละ แต่เวลาเราคุยกันอีกมุมหนึ่งผมดูแล Head Marketingแล้วบางทีเราดูตั้งแต่ Junior เลย หรือแม้ถ้าน้องฝึกงานก็มีเราก็ไปรับ Feedback เวลามันคุยกันได้ซึ่งอันนี้แหละผมว่าเป็นสิ่งที่เราต้องการมากๆคืออยากให้ให้แลกเปลี่ยนไอเดียได้ แล้วก็ลองผิดลองถูกได้หลาย โปรเจคเนี่ย อย่างล่าสุด เราทำโปรเจคมาจากเด็กฝึกงานทำแบบเป็นคอลเลชั่นเสื้อจากเด็กฝึกงานหรือคอลเลชั่นจากเราทำเฟสติวอลคือทำเฟสติวอลจากเด็กฝึกงานอยู่สองครั้งอะไรอย่างนี้หมายความว่าไงครับจากเด็กฝึกงานมาหนึ่ง เป็นไอเดียเขาไอเดียเขาแล้วรุ่นพี่ก็มาช่วยออกาไนท์กันให้เขาได้ลองผิดลองถูกแล้วก็ทดลองไปอะไรกับน้อง อะไรอย่างนี้เราเองในฐานะที่เป็นผู้นำและมีอำนาจเราก็ต้องทำพวกนี้ให้เขาเห็นว่า เราแวร์รูในเรื่องพวกไหนอืมใช่ครับ นอกจากจะเป็นผู้ประกอบการแล้วยังมีความคิดเรื่องศึกษาความเป็นผู้นำด้วยนะตอนที่ผมฟังนะใช่ไหมคะ เรื่องการสร้าง Culture มีทำทันทีมีเรื่องของวัฒนธรรมการ Feedback ที่ตรงไปตรงมาโอ้ น่าสนใจมากสุดท้ายแล้วกัน ผมว่าฟังมาทั้งหมดเนี่ยบทเรียนที่ผมได้ แล้วผมคิดว่าเป็นประโยคจริงๆนะเพราะมันเข้าถึงคนจำนวนมากอย่างที่ผมบอกว่าผู้ประกอบการมากมายเลยที่เติบโตมาจากจุดเล็ก แบบคุณแล้วก็ขึ้นมาถึงตรงนี้ได้คิดว่าคุณสมบัติอะไรในตัวเองที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มาถึงตรงนี้ได้ แล้วคิดว่าอะไรที่ต้องพัฒนาอะไรที่อยากเพิ่มอีก อาจจะ 5 ปีข้างหน้า อยากจะไประดับโลกเอาส่วนตัวเลยนะครับ ไม่เอายืดเปล่า เอาแบบเพราะผมเชื่อว่าเอายืดเปล่ามาถึงวันนี้ได้คุณตอนมีส่วนมาก บุคลิกของคุณตอน วิธีคิด เอาอันแรกก่อน อะไรที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้และอะไรที่ทำให้เราไปต่อได้ครับ ผมเป็นคนทำงานจริงจัง แล้วก็มีเป้าหมายแล้วก็ไม่กลัวความผิดพลาดและล้มเหลวซึ่งอันนี้มันก็ติดตัวเป็น DNAคือเวลาทำงานเราทุ่มเทมาก จริงจังแล้วก็ลองผิดลองถูกไปกับมันตลอดแล้วก็ Challenge ไปเรื่อยๆความผิดพลาดที่เยอะที่สุดคืออะไรที่แบบเจ็บที่สุด หนักที่สุด มันก็มีเยอะนะ ถ้าย้อนไปอีก ตั้งแต่จากซื้อมาขายไป เปลี่ยนเป็นผลิตเองเลยโดยการทุบเมื่อข้าวนั้นทิ้งเลย แล้วก็คิดว่าเราจะไม่ซื้อมาขายไปแล้วแล้วก็เกือบเจ๊ง รวมถึงผลิตของมัน แล้วก็เจ๊งอยู่บ่อยๆซึ่งเราก็มีรองผิดรองถูกในพวกเนี้ย แล้วก็บวกกับ อ่าบางทีเราทําสินค้าขายไม่ได้ หรือเราทํา อ่า พวก พวก เขาเรียกอะไร หนังต่างๆ อะไรอย่างนี้ที่รู้สึกว่าเราลงทุนไปแล้วก็ไม่เวิร์ค ไม่สักเซส หรืออะไรอย่างนี้มันก็มี จริงๆ เราก็ไม่ได้มองว่ามันไร้แรงอะไรแบบนั้นเพราะสุดท้ายเรายังไปต่อได้เรื่อยๆแต่มันก็เป็นบทเรียนผิดพลาดมากที่สุดตั้งแต่ทำยืดป่าวมาคืออะไรครับที่มองว่าแบบ เออ เป็นบทเรียนสำคัญเลย อยากจะแชร์คือมันจะผิดพลาดเล็ก น้อย แบบ บางทีความเสียหายล้านนึงเราก็มองว่าโอเคอะไรอย่างนี้ ใช่ ซึ่งมันเป็นการเรียนรู้ สมมุติว่าไม่ได้มีอะไรใหญ่โต แต่เป็นไอ้นี่มากกว่าอ่า บางทีฟังแล้ว มีเป้าหมาย- ฟไตเตอร์ ผมเป็นฟไตเตอร์เลย ใช่ครับ มีอะไรอีกไหมครับ ที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้คิดว่าเตรียมมีความรับผิดชอบค่อนข้างมากครับคือรับผิดชอบในหลาย เรื่องแล้วก็สิ่งที่มันทำให้ผมมาทุกวันนี้ผมว่าคือบางทีเราไม่ได้ใช้เงินผิดว่าถูกประสงค์เลยกัน ผมคิดว่าเรามีเป้าหมายให้เราเติบโตพอเราเอาเงินที่เราลงทุน เราก็ Reinvest ไปเรื่อยๆแล้วเราก็มีเป้าหมายที่อยากจะทำให้เราเติบโตได้เรื่อยๆ ได้เนี่ยผมว่ามันเลยทำให้ให้ให้ให้มันมาถึงวันนี้ได้ คือไม่ได้แบบ กำไรปุ๊บเอาไปใช้ โอ้โห เที่ยวเล่นเต็มที่ใช่ครับ- แต่เรามา... ชอบทำงาน ชอบทำงาน ชอบทำงานทุกวันนี้ก็ยังทำงานปกติอยู่ทำงานเข้าฟิศ 5 วันโอ้โหชอบเข้าทำงานแก้ปัญหา แล้วก็อดทนอะไรอย่างนี้ไม่ได้แบบอยากเกษียณ 30 ไม่ใช่อย่างนั้นไม่ใช่ครับ ชอบทำงานแล้วรู้สึกว่ามันสนุกทัดทายแล้วก็มองเรื่องการเรียนรู้ ไปเรื่อยๆการผิดพลาดอะไรอย่างนี้ จริงๆผมว่าพวกนี้น่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวแหละอย่างวันที่แม้กระทั่งน้องอย่างงี้นะก็อยากเรียนรู้วิธีคิดว่าเขาคิดยังไงเขามีปัญหาอะไรทำไมถึงมัน เขาเรียกอะไรเหมือนติดในเรื่องพวกนั้นอะไรอย่างนี้ หรือว่าอย่างทำกรณีประจำปีนี่ เรานั่งฟังหมดนั่งฟังทุกแผนกนั่งก็คือฟังเพื่อจะรู้ว่ามันมีปัญหาอะไร จะพัฒนาไปยังไงต่ออะไรอย่างนี้หรือแม้ถ้าไม่กลัวกัน การยอมรับผิดคือหลายครั้งผมออกนโยบายที่มันอาจจะไม่ค่อยได้เวิร์คมากหรือว่าเราอาจจะประกาศที่มันรู้สึกไม่เวิร์คเราก็ยอมรับผิดพลาดได้เลยเราก็เข้าไปพิมพ์เลย แสล็กแล้วบอกเลย พี่ผิดพลาด ตัดสินใจเรื่องนี้ผิดพลาดนะคิดไม่เรียกรอบข้อไปก็ขอโทษไปแล้วก็ปรับแก้เพราะว่าอันนี้มันเป็นสิ่งที่ มันเป็นจุดแข็งของผมเพราะว่าถ้าผิดก็ยอมรับผิด แล้วก็พัฒนา คือเราก็ผิดกันได้ แม้ว่าเราจะเป็นหัวหน้าก็ตามใช่ครับแล้วอะไรคือคุณสมบัติที่อยากจะเพิ่มเติมเพื่อให้เราไปรับ Global ได้ หรือทำได้ตามเป้าหมายอยากเรียนอะไรเพิ่มมากสุด อยากมีอะไรที่อยากจะพัฒนามากสุดถ้าเพิ่มเติมก็จะเป็นเรื่องของระบบแหละเพราะว่าจริง ผมว่าหลังจากนี้ มันคือเรื่องระบบแหละเพราะว่าตอนแรกเราเป็น Entrepreneur นะออนเตอร์เพอร์เนอร์เราทำงาน เราแก้ปัญหาเก่งเรา Deligate ม้อมหมาย เราก็ไปได้แต่ผมว่าหลังจากนี้มันเป็นเรื่องของเพิ่มยังไงให้มันเป็น เป็นระบบและคนเข้าใจแบบ Direction ที่มันเหมือนกันหมดแล้วก็เขาเรียกอะไร การพัฒนาบุคคลที่เขาสามารถคนที่มาอยู่กับเราคือต้องเก่ง ต้องเก่งแล้วเข้าไปต่อได้ในผมว่าเป็นสิ่งที่เราอยากเพิ่มตรงนี้มากขึ้นเรื่อยๆครับ แสดงว่ามีความคิดว่าจะเข้าตลาดอะไรแน่เลยถ้าเอาระบบเข้ามาแล้ว อุ้นฮะก็ทำไว้เพื่อพร้อมเลยนะฮะใช่ ทำไว้ๆแล้วมีความฝันตรงนั้นไประดับ Professional เข้าตลาด ไประดับ Global ผมมองว่า เกมระดับ Global มันใหญ่ซึ่งจริงๆ การที่เราทำพวกนั้น มันทำให้เราได้มีโอกาสมากขึ้นเช่นว่าเราสามารถพัฒนา Product ได้เยอะมากจริงๆ การที่เราไปดึงดูดคนเก่งๆ เข้ามาได้สมมติเราจะไประดับ South East ไปนอกจากประเทศไทยแต่จริงๆ เมื่อกี้ลืมบอกคือ อีก 3-5 ปีผมอยู่ในไทยนะเพราะว่าเราเห็น เขาเรียก Market Cap ของ ของพวกแบรนด์ญี่ปุ่นอย่างนี้ก็ยังเหลือเยอะมากที่เราจะไปแตะและไปแย่งตัวเนี้ยได้ยังมีโอกาสอีกเยอะในไทยแต่ถ้าวันหน้าที่เราจะไปต่างประเทศเนี่ยผมว่ามันก็ Public มันก็ดึงดูดเยอะเหมือนกันครับ ครับ ครับอ่าสุดท้ายจริงๆ แล้วกันถ้ามีโอกาสผมจะใช้คำนี้บ่อยนะ เพราะว่าผมว่าเป็นตัวอย่างที่ดีย้อนกลับไปบอกตัวเองในวันที่เป็นพ่อค้าแม่ขายอยู่ในวันตลาดนัด เอาช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ได้ วันนี้ เราอยากจะบอกอะไรให้เขาถ้ามีโอกาสย้อนกลับไป อาจจะ 10 ปีที่แล้วบอกอะไรได้คือผมคิดว่าคุณคงไม่ฝันอะไร คุณตอมไม่ได้ฝันว่าฉันจะมาถึงวันนี้ได้ใช่แต่ถ้ามีโอกาสย้อนกลับไปบอกได้ อยากบอกอะไรตัวเองเหมือนต้อง move ให้ไวผมว่ามันก็มีช่วงเวลาที่เราเรียนรู้เยอะแต่เราก็เสียเวลาไปค่อนข้างเยอะ เพราะเรายึดติดอยู่ในวิธีการเดิมๆแล้วก็ไม่ได้มีเป้าหมายที่มากพอ ถ้าย้อนออกไปก็อาจจะเป็น เร่งอะไรพวกนี้ แต่ว่าถ้าจะแก้อะไรไหมผมว่าก็คงไม่แก้เพราะว่าหลายๆเรื่องเราได้บทเรียนและวิธีการในอดีตเยอะมากแต่แค่ว่าถ้าเราทำพวกนั้นเราน่าจะไปได้เร็วขึ้นอ.เจมส์ ใช่ครับเพราะฉะนั้นการมีเป้าหมาย ถือเป็นเรื่องสำคัญมากแล้วก็ Move ให้ไวมากขึ้นMove ให้ไวนะครับ วันนี้ขอบคุณมากนะครับ