ฮัลโหล สวัสดีค่ะทุกคน เราต้องรอด เราต้องรอด หัวข้อนี้นะคะ เคมีของคาร์โบไฮเดรต จออาจารย์ค้างอ่ะ โอเค ไม่เป็นไร เรามาอยู่ที่หน้านี้เลยนะ อาจารย์ชาดามาสนะคะ สกลสินสดิ วันนี้มีสองชั่วโมงนะคะ ไม่ใช่วันนี้ หัวข้อนี้มีสองชั่วโมง วันนี้จะเป็นหนึ่งชั่วโมงนะ ก็จะเป็นครึ่งหนึ่งนะคะ นักศึกษาดาวน์โหลด เอ่อ แฮนด์อัลได้เลยนะคะ ถ้ามีคําถามก็ถาม ได้เลยนะคะ อันแรก แป๊บนะคะ เริ่ม มัน มัน ทําไม่ได้ สวัสดีค่ะ หน้าจออาจารย์ค้างอีกแล้วอ่ะ ทุกคน อันแรกนะคะ อะไรคือคาร์โบไฮเดรตเนี่ย นิยามของคาร์โบไฮเดรตนะครับ ข้อนี้ไม่ค่อยยากมาก ตั้งแต่จะได้เรียนมาแล้วบ้างนะคะ ที่สอง หน้าที่ทางชีวภาพ เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเนี่ย มันมีหน้าที่หลายอย่าง ดังนั้นเขาก็จะมีโครงสร้างหน้าตา หลายชนิด ทำหน้าที่ทางชีวภาพหลายอย่าง ดังนั้นก็ยกตัวอย่างให้ได้ว่าอะไร ทำหน้าที่อะไรบ้าง แล้วก็ในร่างกายมีอะไรบ้าง อันที่ 3 จำแนกชนิดและความหมายของคาร์โบไฮเดรตกลุ่มต่างๆ ได้ เช่น Monosaccharide, Dysaccharide, Oligosaccharide, Polysaccharide อธิบายความสำคัญของ Mono Saccharide Mono ก็คือมาจาก 1 ในสามัชีได้เลย นั่งการชี้ pointer ในห้องนะคะ อธิบายความสำคัญของ Mono-saccharide อานุพันธุ์ของ Mono-saccharide ทำไมต้องมีคำว่าอานุพันธุ์ ภาษาอังกฤษคือ Derivative หน้าตามันจะเปลี่ยนไปนิดนึง โครงสร้างจะเปลี่ยนไปนิดนึง ก็คืออะไรที่มัน Derive มา ก็คือถูกแดดแปลงมานิดหน่อย เราจัดว่าเป็นอานุพันธุ์ เดี๋ยวไปดูก่อนว่า Mono-saccharide Di-saccharide, Oligo-saccharide, Polysaccharide เป็นยังไงบ้าง แล้วก็จะมีเรื่องความสำคัญของตัวอย่างของโมโนซักคลาย แล้วก็อันุพันธุ์ของมัน ความหมายของ Stereoisomer นักศึกษาเค้าเรียนไหมคะ เค้าเรียนไอโซเมอร์ใช่ไหมคะ อันนี้จะเป็น Stereoisomer คือจะเป็นแนว 3 มิติ Surround in Space นั้นจะมีคำว่า Enantiomer Epimer Anomer ในเรื่องเคมีของคาร์โบไฮเดต จะมีคำว่า Enantiomer Epimer แล้วก็ Anomer เดี๋ยวเราจะไปดูว่าเขาดูโครงสร้างในเรื่องของ 3 มิติ ยังไงแล้วเราจัดจำแน่คาร์โบไฮเดตออกเป็น Enantiomer Epimer และ Anomer ได้ยังไง เวลาเราจัดจำแน่ เราจัดจำแน่ตอนที่มันเป็น Monosaccharide Monosaccharide จะเป็นหน่วยย่อยที่สุด ก็คือมี 1 Mono คือ 1 พอเขาสร้างพันธะระหว่างการพันธะนั้นคือ Glycosidic Bond หรือ Glycosidic linkage ในเรื่องของน้ำตาล ถ้ามันมี 2 monosaccharide ลิ้งกันโดย Glycosidic linkage เราก็จะเรียกว่าเป็น Disaccharide Di แปลว่า 2 ที่เรารู้จักกันดีก็จะเป็น Sucrose, Lactose ต่างๆ พวกนี้จัดเป็น Disaccharide ต่อมาถ้ามันเป็นสายยาวขึ้น สายยาวขึ้น ถ้าเป็นสายสั้นๆ เราเรียกเป็นสาย Oligo สั้นๆ Oligo ถ้าเป็นสายที่เป็น Polymer ที่มีขนาดโมลิกูลใหญ่ๆ เราก็จะเรียกว่าเป็น Polysaccharide ซึ่งการจัดจำแน่ก็จะจัดตามประเภทของ Monosaccharide ที่เป็นอมประกอบ ดังนั้นคือหน่วยย่อย คือ subunit ของมัน ดูว่ามีกี่ชนิด ถ้ามีชนิดเดียวทั้งสายเลย สายในที่นี้คือสาย Polysaccharide เราจะเรียกว่าเป็น Homo Polysaccharide ถ้ามีน้ำตาลมากกว่า 1 ชนิด ก็จะเรียกว่าเป็น Heteropolysaccharide เดี๋ยวเราจะไปดูในหัวข้อนี้ทั้งหมด วันนี้ก็จะเรียนครึ่งหนึ่ง อะไรที่เป็นคาร์โบไฮเดรตบ้าง เยอะแยะมากมาย ข้าวแป้ง เผือกมัน อาหารหลัก ข้าวหมู่ ต้องใช้เป็นแหล่งพลังงาน ดังนั้น คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ น้ำตาลหรือกระดาษพวกนี้จะอับ เอามาจาก Cellulose ของพืช ดังนั้น Cell wall ของพืชก็จะมีน้ำตาลมีคาร์โบไฮเดรตอยู่ จริงๆ เป็น Polysaccharide อยู่ ซึ่งเราก็เอามาทำเป็นกระดาษ ปัจจุบันจะใช้เป็น iPad กันไปหมดแล้ว ยังใช้กระดาษอยู่ ดังนั้นมาจากต้นไม้ เปลือกไม้ ซึ่งตรงนี้เราใช้มาเป็นแหล่งพลังงานไม่ได้ เพราะเราไม่มีเอนไซด์ แต่เรามีเอนไซน์ในการย่อยข้าว แป้ง เผือก มัน ตรงนี้นะ พวกนี้เป็นโพลิเมอร์ เราใช้เอนไซน์ในการย่อย แล้วก็นำมาผลิตเป็นพลังงา ซึ่งหัวข้อที่จะเรื่องของเมตาบอลิซึม จะเรียนต่อไปนะ วันนี้จะเรียนเกี่ยวกับเคมี โครงสร้างและหน้าที่ ต้องรู้อันนี้ก่อน นี่ อยู่ที่ไหนอีกคาโบไฮเด อยู่บนผิวเซลล์ ทุก เซลล์ จะมีคาร์โบไฮเดรตเคลือบอยู่นะคะ เป็น Sugar Coat นะ ดังนั้น จริง ถ้าเราถ่าย ถ้าเรามองเข้าไป เราก็จะมี Polysaccharide หรือ Oligosaccharide สายสั้น อยู่บนผิวเซลล์ ยื่อหุ้มเซลล์ ยื่อหุ้มเซลล์นี้นะคะ ก็เรียน Lipid ไปหรือยังนะ หรือเรียน Protein ไปใช่ไหมคะ ก่อนหน้านี้อาจารย์รู้ผล โปรตีนก็จะมีอยู่ทั่วไป อยู่บนผิวเซลล์ก็มีนะคะ นั้นก้อนโปรตีนที่อยู่บนผิวเซลล์เนี่ย ก็อาจจะลิ้งก์อยู่กับ คาร์โบไฮเดรต แล้วก็จะเรียกว่าเป็นกรายโคลโปรตีนนะคะ ถ้าคาร์โบไฮเดรต ลิ้งก์อยู่กับลิปิต ก็เรียกว่า กรายโคลิปิต พวกนี้ทำหน้าที่ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์ สังกีษคือ self to self communication เขาคอมมินิเคตกันได้ยังไง เขาดูรหัส specific บนน้ำตาล ดังนั้นน้ำตาลมีหลายชนิดที่มัน link กันอยู่ ทำหน้าที่เหมือนเป็น sugar code ที่ติดสอสื่อสารระหว่างเซลล์ บางทีก็เป็นเรื่องที่ดี บางทีก็เป็นเรื่องที่เกิดกับโรคเกิดขึ้นได้ อย่างเช่น ไวรัสแบคทีเรียต่างๆ ที่จะมา cell to cell communication หรือ recognize สิ่งที่อยู่บนผิวเซลล์พวกนี้ ดังนั้น ก็จะมีเรื่องของรีเซปเตอร์โปรตีนต่างๆ พวกนี้อยู่บนผิวเซลล์ ทุกเซลล์ของเราก็มีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบ มีอะไรอีกตัวนี้ เปลือกกุ้ง เปลือกกุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์ที่มีเปลือกแข็ง อาร์โทพอต อันนี้ก็มีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบ เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างของเขา คล้ายๆ กับของพืชนะคะ แต่เขาจะ เป็น Polysaccharide อีกแบบนึงนะคะ ก็คือไข่ติด ต่อมา Carbohydrate ที่เราพบได้ในเซลล์นะคะ ก็คือใน DNA ใน RNA นะ กรด Nucleic Acid Dioxiribonucleic Acid นะคะ จัดเป็นนิวคลีอิกอาซิด ชนิดนึงแต่น้ำตาล Dioxiribose นะ ดังนั้นน้ำตาล Dioxiribose ก็ เป็นส่วนของน้ำตาล ซึ่งอันนี้เป็นน้ำตาลที่มี 5 คาร์บอนนะคะ น้ำตาล Henhost จะไปพูดถึงอีกทีเนาะ แล้วก็มีน้ำตาล Ribose ซึ่งอยู่บน RNA Ribonucleic Acid ต่างกันตรงน้ำตาลที่เป็นองค์ประกอบ ถ้าเป็น DNA ก็จะเป็น Double Helix นั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของ Base แต่ว่าก็จะมีส่วนของน้ำตาล ซึ่งเป็นน้ำตาล Ribose จะเป็นน้ำตาล Deoxyribose ซึ่งเจอใน DNA น้ำตาล Ribose เจอใน RNA แต่ต่างกันแค่ Deoxy ก็คือ ดีเอาออก Oxygen เอาออก ออกไปหนึ่งตำแหน่งนะคะ ดังนั้นมีเอนไซน์ในการช่วยนะคะ ในเรื่องของร่างกายของเรานะ ดังนั้น D-Oxylribose กับ Ribose ก็จัดเป็นคาร์โบไฮเดตนะคะ อันนี้หัวข้อของจันคือ มีคาร์โบไฮเดตอะไรบ้าง จริงๆมีอีกเยอะแยะมากมายนะ ตามน้ำเลี้ยงลูกตา พวกนี้ก็เป็นคาร์โบไฮเดตเหมือนกันนะคะ หรือตามข้อต่างๆนะคะ เราใช้เป็นการป้องกันการกระแทก รังกระแทกต่างๆ พวกนั้นก็เป็นคาร์โบไฮเดตนะ ให้ดูตัวยานะคะ ดังนั้นคาร์โบไฮเดรตเนี่ยมาจากไหนนะ เป็นสารชีวะโมเลกุล สารชีวะโมเลกุลในเรื่องของไบโอเค็มนะคะ นักศึกษาได้เรียนอยู่สี่กลุ่มใหญ่ใหญ่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ลิปิดนะคะ พวกนี้จะเป็นฟูเอลคอมพาร์ตนะคะ จะมีกระบวนการเมตรบริซึม แล้วก็เข้าสู่เซลล์ยังไง ผลิตพลังงานยังไงต่างต่างเกี่ยวข้องกันยังไงนะคะ แล้วก็อีกอันหนึ่งเป็นเรื่องของกรดนิวคลีอิก นะ มีสี่กลุ่ม วันนี้เป็นเรื่องของคาร์โบเฮเดตนั้น คาร์โบเฮเดตจัดเป็นสารชีวมโลกุลชนิดหนึ่งนะคะ มาจากคำว่า Hydrate of Carbon ก็คือเมื่อก่อนเขาก็ไม่รู้เนอะ ลองไปเผ่าดูซิ ไปต้มเอาไปเผ่าจนมันไหม้ มันก็ได้ถาดออกมา แล้วก็เลยเรียกว่ามันมีคาร์บอนอยู่นะ แล้วก็ทดสอบดูว่าอะไรที่มันอยู่ข้างบน ดังนั้นบนปลายหลอดตรงเนี้ย ก็คือน้ำนะคะ มีสารที่ใช้ในการทดสอบน้ำ มี Hydrate ก็คือมาจากน้ำ และมีคาร์บอนอยู่นะ เขาบอกว่ามันคือน้ำที่ลอมรอบคาร์บอนอยู่ มันก็เลยเป็นชื่อ Carbohydrate นะคะ แต่จริงๆแล้วเนี่ย มันเป็นสารประกอบ มันเป็นสารประกอบที่ประกอบด้วยคาร์บอน ลิงก์อยู่กับฮาโดเจน อยู่กับออกซิเจนต่างๆ สร้างพันธาระหว่างกันอยู่ ไม่ใช่แค่คาร์บอนอยู่ตรงกลาง แล้วมีน้ำมาลอมรอบอย่างชื่อของมัน ดังนั้นเขาคือสารประกอบ INSEA Organic Compound ที่ประกอบด้วยธาตุ CHO ประกอบ Carbohydrate ประกอบด้วยน้ำตาลมลิกุลเดี่ยว Simple Sugar Monosaccharide มลิกุลเดี่ยวคือเราไม่สามารถไฮโดไลซ์ต่อไปได้แล้ว จึงเรียกว่าเป็น Monosaccharide ซึ่งมีหลายชนิด Monosaccharide เป็นน้ำตาลมลิกุลเดี่ยว Mono คือ 1 และ สายโพลิเมอร์ของโมโนแซคาลายก็คือจะเป็นโอลิโกแซคาลายคือสายสั้นๆนะคะ และโพลีแซคาลายคือสายยาว ดังนั้น Building Block หน่วยการสร้างนะคะ ได้ยินคำว่า Building Block มาก่อนไหมคะ หน่วยการสร้างของคาร์โบไฮเดตคือโมโนแซคาลาย หน่วยการสร้างของโปรตีนคือหน่วยการสร้าง กรดอามิโน หน่วยการสร้างของ เอ่อ คืออะไรค่ะ นั่นมันคือหน่วยที่จะสร้างเป็น ใช่ไหมค่ะ แต่ยังไม่ได้เรียนเนอะ ไม่เป็นไร เรียกว่า นะคะ มาต่อกันเรื่อยเรื่อย เป็น แล้วก็กลายเป็น กด ได้นะคะ งั้น Building Block ง่ายๆ ก็คือเหมือนเราจะสร้างตึกหรือกำแพงมา เราต้องมี it block ที่มันต่อๆ กันนะคะ เพื่อจะสร้างเป็นตึก ดังนั้นหน่วยการสร้างเหมือนกับ Lego เรามีมาวางนะคะ ดังนั้น Building block ของคาร์โบไฮเดตก็คือหน่วยย่อย นั่นคือ Monosaccharide ซึ่งมีหลายชนิดนะคะ ดังนั้น Building block ของคาร์โบไฮเดตไม่ว่าจะเป็น Oligosaccharide, Polysaccharide ก็คือ Monosaccharide นะคะ อันุพานของโมโนซากาไลด์ก็มีอีกเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่ามันเกิดปฏิกิริยาอะไร ดังนั้นเราจะมีอันุพานที่เป็นกลุ่มของ น้ำตาลกรด น้ำตาลแอลกอฮอล์ น้ำตาลฟอสเฟส น้ำตาลดีออกซี่ น้ำตาลอมิโน นั่นคือตามชื่อเลย น้ำตาลกรดก็แสดงว่ามีหมู่กรด น้ำตาลแอลกอฮอล์มีหมู่โอเอ็ด ไฮดอกซิลกรุปนะคะ ดังนั้น โมโนสัตลายจะถูกเปลี่ยนโครงสร้างไป เนื่องจากเกิดปริยา แล้วก็ได้ Product ออกมาที่เราเรียกว่าเป็น Derivative คืออนุพันธุ์ของ Monosaccharide นะคะ น้ำตาลกรด น้ำตาลแอลกอฮอล์ น้ำตาลฟอสเฟท น้ำตาลฟอสเฟทนี่ก็คือน้ำตาลที่ถูกเติมหมู่ฟอสเฟทเข้ามานะคะ Fosfoliated Sugar นะคะ เป็น Derivative ของ Monosaccharide เหมือนกัน เช่น เรามีน้ำตาล Monosaccharide ก็คือ Glucose นั่นคือน้ำตาล Monosaccharide Glucose ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนอะไร ไม่ได้เป็นอนุพันธุ์นะคะ อนุพันธุ์ของ น้ำตาลกลูโคสที่เราเรียกว่าเป็นน้ำตาลฟอสเฟส ก็จะเป็นกลูโคสที่ถูกเติมหมู่ฟอสเฟส ก็จะเป็นอย่างเช่น กลูโคส 6-ฟอสเฟส อันนั้นเป็นอนุพันธุ์ของกลูโคสนะคะ น้ำตาลดีออกซี่ที่เราเห็น ที่เราเจอไปแล้วก็คือ ดีออกซี่ไรโบส เป็นอนุพันธุ์ของไรโบสนะคะ ซึ่งเป็นน้ำตาลดีออกซี่ น้ำตาลอามิโน แปลว่าเขาต้องมีหมู่อะไรคะ หมู่อามินู เอมีน มี NH-NH2 บางทีอาจจะมีหมู่อื่นมาก่อนแล้วก็มี NH2 ต่อ อันนั้นจัดอยู่ในประเภทของน้ำตาลอามินู พวกนี้เป็น Derivative ของ Monosaccharide นิยามของคาร์โบไฮเดรตคือสารประกอบที่ประกอบด้วย CHO เมื่อกี้อาจารย์บอกมาเนอะ ดังนั้นเขาจะมีหมู่ฟังก์ชันแหล่ เราไม่ได้เอาน้ำตาลมาเผาแล้วได้คาร์บอนกับน้ำแค่นั้น ถึงแม้ในการเขียนหมู่สูตรก็อาจจะเป็น C6H2O6 อย่างนั้นคล้ายๆ แต่ว่าจริงๆ แล้วมันคือสารประกอบที่มีหมู่ฟังก์ชัน หมู่ฟังก์ชันที่เป็นหมู่ที่สำคัญของคาร์โบไฮเดรตก็คืออัลดีไฮหรือคีโตน อันใดอันหนึ่งมันจะไม่รวมกัน ก็คือมีคีโตน 1 หมู่ หรืออัลดิไฮน์ 1 หมู่ และก็มีโพลีไฮดอกซี่ อันนี้คือหมู่อะไรคะ โพลีไฮดอกซี่ มันคือหมู่ไฮดอกซี่ที่มีเยอะๆ งั้นเขามีหมู่ O H เยอะๆ และมีหมู่อัลดิไฮน์หรือคีโตนอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเรียกว่าเป็นสายประกอบโพลีไฮดอกซี่อัลดิไฮน์ Polyhydroxyketone อันนี้คือนิยามของคาร์โบไฮเดตนะคะ แล้วก็คือสารประกอบอินซีประเภทอัลดิไฮ หรือคีโตน หรือนะคะ ที่มีหมู่ไฮดรอกซิล หลายหมู่ Polyhydroxyketone หรือ Polyhydroxyaldihide นี่คือนิยามของคาร์โบไฮเดต นี่ก็ทวนให้นี่คือ คีโตนนะคะ คีโตนมีคาร์โบเนิล ที่ต่ออยู่กับอาจจะเป็นหมู่อื่นเช่น หมู่ซี หมู่ อะไรต่างต่างเราก็เรียกว่าต่อกับหมู่อา นะคะ ที่ยักษ์ยักษ์ยึกยึกยักษ์ยักษ์เนี้ย แปลว่าต่อกับอย่างอื่น หมู่อื่น ก็เรียกอา นะคะ าวดิฮาย จะมีไฮโดเจนต่ออยู่หนึ่งตัว แล้วก็อีกข้างหนึ่งเป็นหมู่อา นะคะ ดังนั้น อาวดิฮายมีตัวเอ็ด เนอะ อาจารย์ก็จําเป็น โอเค มีตัวเอ็ด จนกันมีไฮโดเจน อัตอมเกาะอยู่ นั่นคือ หรือสารประกอบประเภท นะคะ ทั้งสองตัวนี้มีหมู่คาร์บอนิลนะคะ C ดับเบิ้ลบอล ออกซิเจน อันนี้คือหมู่คาร์บอนิลทั้งคู่นะคะ แต่อาลดิฮายจะมีไฮโดรเจนต่อ คีโตนจะต่อด้วยแขนอย่างอื่นนะคะ ที่ไม่ใช่ไฮโดรเจนนะคะ แล้วก็จะมีหมู่อัลกอฮอล์ด้วยนะคะ ในคาร์โบไฮเดรต จึงเป็นโพลี่ไฮดอกซีนะคะ นี่หมู่อัลกอฮอล์คือ O H O H เราก็จะมีตามชื่อนาม Methanol อะไรอีกอ่ะที่เรารู้จัก Ethanol ก็จะมี OL ข้างหลัง ดังนั้นจะเป็นแอลกอฮอล์นะคะ หมู่เรียกว่าหมู่ไฮดอกซิลกรุ๊ปนะคะ นั่นค่ะ วอยเดทจะมีไฮดอกซิลกรุ๊ปเยอะๆ Polyhidoxy จุดๆๆ ไม่ว่าจะเป็นอัลดิไฮหรือคีโตนก็ได้นะคะ อันนี้ตัวอย่างให้ดูก็คือ Glucose กับ Mannose เห็นไหมคะว่ามี O-H เยอะๆ บนโครงสร้างนะคะ ดังนั้นคือ Polyhydroxy เป็นคีตนหรือเป็นอาวดิฮายนะคะ ตัวนี้ C-H-O เป็นย่อมาจากหมู่อาวดิฮายนะคะ ดังนั้น Functional Group ตรงนี้คือเป็นอาวดิฮายทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็น Glucose หรือ Mannose นะคะ และก็มี O-H เยอะๆ ตามนิยามที่บอกว่าเป็นสารประกอบ Polyhydroxy-O-D-H หรือ Polyhidoxyketone แต่ที่ให้ดูนี้คือเป็น Polyhidoxyaldehyde ก็จะมีชื่อของเขานะคะ Specific Name ของเขา นักนักศัพท์ไม่ต้องจำนะว่า Google ต้องเขียนยังไง Mannot ต้องเขียนยังไงนะคะ ไม่ต้องจำเนอะ ถ้าอาจารย์จะถามก็เดี๋ยวจะบอกมาเลยว่าเป็นน้ำตาลอะไรนะคะ และอันนี้คือ OS เยอะๆ ที่อยู่บนบนมูลกุลของ Monosaccharide นะคะ เรามีหมู่ฟังก์ชันมันก็จะเกิดปฏิกิริยาได้ มีหมู่โอเอสก็จะเหมือนแอลกอฮอล์ทั่วๆไปเลย มีหมู่คาร์โบเนียล หรือมีหมู่อัลดิฮาย หรือคีโตน มันก็จะเกิดปฏิกิริยาได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นทำให้มันมีอนุพันธ์หลายชนิด แม้แต่การวางตัวของมันเองนะคะ โอเอสที่วางตัวสลับกันคนละที่ ก็ทำให้น้ำตาลมีหลายชนิด อย่างเช่น กลูโคส แมนโนส คาร์บอนเท่ากันหมด แต่การวางตัวของหมู่โอเอชเนี่ยแตกต่างกัน ทำให้เขาเป็นน้ําตาลคนละชนิดกัน แค่การวางตัวสลับที่การ โอเอช เอ็ดเช่น อัตอม โอคซิเจน โอเอชนะคะ สลับกัน ก็ทําให้มีหลายชนิดแล้วนะคะ ดังนั้นหมู่ฟังก์ชัน โอเอช อัลดิไฮ คีโตน นอกจากจะมีหลายชนิดของน้ําตาลแล้วเนี่ย บนตัวเขายังสามารถเกิก เกิดปริยาต่างๆ ได้ ทำให้เขามีอนุพันธ์ อนุพันธ์ที่ฉันพูดถึงอย่างเช่น น้ำตาลกรด น้ำตาลอลกอฮอล์ น้ำตาลอมิโน อะไรอีก ฟอสเฟตต่างๆ นั่นคือเกิดปริกริยาได้ทั้ง อัลดิฮายและมูโอเอสเป็นต้น ทำให้เขาเกิดเป็นอนุพันธ์เกิดขึ้น จะเป็นสารอื่น ที่ไม่ได้ชื่อกลุโคตรเฉยๆ นั่นหน้าที่ทางชีวภาพ เนื่องจากคาร์โบไฮเดท มัน มันมีเยอะ ยกตัวอย่างให้ได้ว่า สารอะไรทำหน้าที่อะไรในธรรมชาติ อย่างเช่นนั้นแรกที่สำคัญเลยคือกลูโคส ตรวจคนไข้ดูว่ามีระดับกลูโคสเยอะหรือน้อย Hyperglycemia Hypoglycemia เขาจะบอกว่าเป็น Blood Sugar ก็คือน้ำตาลกลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงาน แล้วสมองก็ต้องการใช้น้ำตาลกลูโคสตลอดเวลา ดังนั้น กลูโคสจึงเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญนะคะ ทีนี้เรื่องแต่ละเซลล์จะเอากลูโคสเข้าไปยังไง เดี๋ยวนักศึกษาได้เรียนอีกทีเนอะ แต่วันนี้รู้ว่า โอเค กลูโคสเป็นแหล่งพลังงานนะคะ ของเซลล์ที่สำคัญ ดังนั้นอยู่ในเลือดด้วย ต่อมาเป็นสารตัวกลางในกระบวนการเมตตาบอลิซึม อย่างเช่น กลูโคส ซิกซ์ ฟอสเฟส นะคะ ตัวนี้เป็นสารที่จะเกิดขึ้นในกรายโคลาซิสตัวแรก เขาจะเติมหมู่ฟอสเฟส เข้ามาก่อน พอกลูโคสต์อัพเทคเข้ามาในเซลล์แล้ว อันนี้ขึ้นอยู่กับเซลล์อะไรนะ เดี๋ยวมีอาจารย์ อาจารย์จันทร์สลองชัยสอนอีกทีนะคะ เรื่องเมตาบอลิซึม นั้นกลูโคสต์ถูกเติมหมู่ฟอร์สเฟสเข้ามาปุ๊บ เป็นกลูโคสต์ซิคฟอร์สเฟสถูกจับไว้ในเซลล์ เนื่องจากมันมีคั่ว มันออกกลับเข้าไปไม่ได้แหละนะคะ มีคั่วปุ๊บ เปลี่ยนเป็นกลูโคสต์ซิคฟอร์สเฟส อันนี้คือสารตัวกลาง ภาษาอังกฤษคือ Intermediate หรือเราเรียกว่า Metabolite ก็ได้ในกระบวนการ Metalyzm Intermediate ก็คือสารที่เกิดขึ้นแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นสารอื่น เรื่อยๆ ตั้งอยู่ดับไป สาร A เป็นสารตั้งต้น สมมุติเป็น Glucose Glucose เปลี่ยนเป็นสาร B โดย Enzyme Glucose Six-Farfet ตรงนี้ Glucose Six-Farfet เราเรียก Intermediate ในกระบวนการอะไรก็ว่ากันไป สมมุติเป็น Glycolysis ดังนั้น Glucose Six-Farfet จัดเป็น intermediate หรือสารตัวกลางในกระบวนการเมตตาบอลิซึมนะคะ อันนี้ก็เป็นหน้าที่อีกอันนึงของคาร์โบไฮเดส ซึ่งกระบวนการเมตตาบอลิซึมอาจจะมีหลายอย่างนะคะ ไม่ใช่กลูโคซินพอสเฟสอย่างเดียวเนอะ ก็จะถูกเติมหมู่พอสเฟส ถูกเปลี่ยนคงสร้างไปนะคะ แล้วแต่ว่าเมตตาบอลิซึมอะไรที่เราเรียนนะ หน้าที่อันที่สองเป็นสารตัวกลางในกระบวนการเมตตาบอลิซึมนะคะ อันที่สาม อ่า ให้พลังงานสักกลูโคซ อันนี้ อันนี้เป็นโมโนแซคลายถูกไหม นี่ถ้าเราใช้เสร็จแล้วมันเหลือ เราต้องเก็บไว้บ้างนะ เผื่อเอาไว้ใช้นะ มันคือ Energy Storage คือเป็นแหล่งพลังงาน แล้วเราเก็บในรูปของ Polymer แล้วนะคะ แล้วเราค่อยๆ เก็บ Glucose เข้าไป ต่อกรูโค้ดเข้าไปในบริกูล เราเก็บกรูโค้ด ถ้าเป็นในโคน เราจะเก็บในรูปของ Glycogen นะคะ ในสัตว์เป็น Glycogen ในพืชจะเป็นแป้ง เราเรียกว่า Starch แป้งในพืช ซึ่งเป็นโพลิเมอร์เหมือนกัน ดังนั้นในคนเนี่ย เราจะเก็บไว้ที่ไหนบ้างเอ่ย ไกลโคเจน ตับและกล้ามเหนือ แล้วก็จะมีกระบวนการในการเอากลูโค้ดเข้าไปเก็บ และก็จะมีกระบวนการที่ ตัดน้ำตาลออกมาใช้เป็นเฟรี เป็นกลูโคสออกมาใช้ให้กับเซลล์ต่างๆ อันนั้นก็จะเกิดในตับและกล้ามเนื้อนะคะ นี่หน้าที่ที่ 3 เป็นแหล่งพลังงาน อันที่ 4 เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์นั้นคือ ที่จะรู้อย่างที่ดูก็คือบนผิวเซลล์เราจะมี ไกโครโปตีน ไกโครลิปิดต่างๆ ที่ทำหน้าที่ในการจดจำกันได้ อันนี้ภาษาอังกฤษคือ recognition นะคะ หรือการติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์คือ Cell to Cell Communication อย่างเช่น Glycolipid หรือ Glycoprotein บนผิวเซลล์ หรืออาจจะ Excrete ออกไปในเลือดก็ได้ หรือไปติดต่อกับเซลล์อื่นก็ได้ นี่คือหน้าที่อันที่ 4 ต่อมาเป็นองค์ประกอบของเนื้อยื่อเกี่ยวพันธุ์ ซึ่งพวกนี้ก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือน Shock Absorb Band ป้องกันแรงกระแทกนะคะ เข้าไปเลยจะเหมือนเป็นวุ้น เป็นเยลลี่ เขาจะสามารถอุ้มน้ำได้เนื่องจากว่า เขาจะมีขั้ว จะมีหมู่ที่มีขั้วเข้ามา ดังนั้นจึงเป็นสารหล่อลื่นในข้อ และเป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันธุ์ได้ นี่เป็นหน้าที่หนึ่งนะคะ กลุ่มนี้ สารกลุ่มที่ทำหน้าที่เป็น องค์ประกอบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันธุ์ และเป็นสารหล่อลื่นในข้อ เราเรียกว่าเป็น กลายโค สามิโน ไกลแขน มีกลายโค ไกลแขนก็มี พวกนี้จะอยู่กับโปรตีนนะคะ สามิโนก็คือมาจากหมู่อามิโน เขาจะมีประจุที่เป็นประจุบวกนะคะ เข้ามาทำให้ประจุบวกประจุ แล้วเท่าที่ประจุลบนะคะ ทำให้น้ำเข้ามาลอมรอบได้นะ อันนี้เราดูหน้าที่กันไปก่อนนะคะ ต่อมา เป็นโครงสร้างที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต เช่น แบคทีเรียหรือพืช Peptidoglycan อันนี้อยู่บนเซลล์วอลของแบคทีเรีย และ Cellulose บนเซลล์วอลของพืช ซึ่งอันนี้ก็เป็น Polysaccharide เหมือนกัน เป็นเรื่องของโครงสร้าง ต่อมาใน DNA RNA เราก็จะมี Ribose กับเดียวซีรายโบสเหมือนกันอันนี้คือหน้าที่ทั้งหมดที่ลิสต์มาให้นะคะแล้วก็ตัวอย่างเนาะมีหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดหน้าที่นะคะในภาคคาร์โบยเดชมันเยอะนะในธรรมชาติแล้วก็ในร่างกายของเราด้วยดังนั้นเขาก็จะมีหน้าที่หลายอย่างนะคะ ดังนั้นการจัดจำแนกตามหน่วยย่อยเราจะพยายามจัดจำแนกสารต่างๆเป็นกลุ่มๆเขาก็จัดจำแนกอันง่ายๆเลยก็คือตามหน่วยย่อยของน้ำตาล ตามขนาดก็ว่าได้นะคะ โมโนแซคารายก็คือหนึ่ง มีแค่หนึ่งหน่วยย่อยนะ ก็จะมีชื่อแตกต่างกันออกไป Ribose, Glucose, Mannose, Galactose, Fructose ตามโครงสร้างนะคะ แล้วก็การค้นพบ ค้นพบน้ำตาลนี้ให้ฉื่อว่าอย่างนี้นะคะ นี่คือน้ำตาลโมโนแซคาราย นี่ตัวอย่าง มีหนึ่งหน่วย ยังไม่ได้ลิงก์กับไข่นะคะ ตัวดีข้างหน้าตัวเล็กนี้เป็นเรื่องของ Sorioisomer จะพูดถึงอีกทีหนึ่งนะคะ นี่ Monosaccharide ลิ้งก์ต่อกัน 2 ตัว Dysaccharide นะคะ โดยพันธากรายโคซิดิก Linkage นะคะ อย่างเช่น Sucrose Lactose Maltose นะคะ อันนี้เป็นตัวอย่างของ Dysaccharide มี 2 Monosaccharide ลิ้งก์กัน ยังไม่ได้พูดถึงว่า เอมิต Monosaccharide อะไร แค่บอกว่า มี 2 Monosaccharide นะ ลิ้งก์กันโดย Glycosidic Linkage เป็น Dysaccharide ต่อมาสายสั้นๆเป็นหลัก 10 อาจจะเกิน 10 ได้แต่ว่าเป็นหลัก 10 Oligosaccharide Oligosaccharide พอน้ำตาลมันเริ่มเยอะขึ้น ชื่อมันก็จะเริ่มเรียกยากแล้ว จะมีน้ำตาลที่เป็น Oligosaccharide ที่เป็น Trisaccharide Tetrasaccharide ที่สามารถมีชื่อได้บางตัว เป็นคาร์โบเร็ดที่พบในพืช อย่างเช่น Raffinose นี่ก็ให้รู้เฉยๆ ว่ามันมีนะ แต่น้ำตาลที่บอกว่าอยู่บนผิวเซลล์ต่างๆ นะคะ เนื่องจากว่ามันเป็นเหมือน Sugar Code เนาะ เหมือน QR Code ที่จะบอกอะไรกับเซลล์เป็นเหมือน เขาเรียกอะไรเป็นเหมือนภาษาของเขา ดังนั้นน้ำตาลที่ลิงก์กัน แต่ละชนิดจะไม่ซ้ำกันนะ จะ Specific นะคะ ดังนั้นมันก็จะมีชื่อเรียกเท่าไหร่นะ ก็จะเป็น อ่ะ กูโค้ดลิงก์กับแม่โน้ต โต๊ะอะไรก็ว่ากันไปนะคะ ดังนั้นเราจะไม่ค่อยตั้งชื่อสําหรับ Oligosaccharide นะคะ นี่ก็จะเป็นสายสั้นสั้นหลักสิบ อันนี้ถ้าเป็นสายยาวยาว หลักเกินไปเลยเยอะเยอะนะ Molecular weight เยอะเยอะนะคะ เป็น Polysaccharide อย่างเช่น Glycogen ที่บอกว่าเก็บไว้ในตับและกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้น Monosaccharide ก็คือ Glucose Cellulose ก็เป็น Glucose เหมือนกัน แต่ทำหน้าที่แตกต่างกัน อันนี้เราพบในพืช ดังนั้นการลิ้งก์อะไรก็จะต่างกัน แต่นี้ให้ดูก่อนว่า ตามหน่วยย่อยของน้ำตาล ถ้ามีหน่วยย่อยเยอะ มี Polysaccharide มีโมโนแซคาลายเยอะๆ มันก็จะเป็นโพลิเมอร์นะคะ ซึ่งถ้าเป็นคาร์โบเดตก็จะเป็นโพลีแซคาลาย แล้วก็จะมีไกลโคสามิโนไกลแขน นี่จำได้ไหมคะ ว่าเจอในไหน Connective Tissue เมื่อกี้นะคะ ไกลโคสามิโนไกลแขน นี่ก็เป็นมูลกุลใหญ่ๆ นะคะ นั้นโมโน 1 มีตัวเดียว น้ำตาลมูลกุลเดียว ใดมี 2 ตัว ตัวในที่นี่คืออะไร โมโนแซคาลายนะคะ แล้วก็ โอริโกสัคคาลายจะเป็นสายสั้นๆ อาจจะอยู่บนกรายโคลิปิตหรือโปรตีนอีกทีนึง โพลีสัคคาลายอย่างเช่น ไกรโคลเจน เซวโลส กรายโคลสมูริการ ก็จะประกอบด้วยโมโนสัคคาลายลิ้งก์กันยาวๆ เป็นสายโพลิเมอร์ยาวๆ อันนี้จัดจำแนกตามหน่วยย่อย โมโน ไดโอริโก โพลีสัคคาลาย เราจะพูดถึงโมโนสัคคาลายเยอะหน่อย เพราะเขาเป็นหน่วยย่อยของทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเขาก็จะมีอนุพานของเขาด้วย เมื่อกี้เราจัดจำแนกตามขนาดโมโนคือหน่วยย่อยที่สุดแล้ว ขนาดก็คือมันไม่ลิงก์กับอย่างอื่น แต่พวกนี้ก็ยังมีการจัดตามจำนวนคาร์บอนอตอมด้วย ตัวเล็กที่สุดคือ C3 มี 3 C นะ 3 คาร์บอนอตอม ตัวเล็กที่สุดต้องมี 3 คาร์บอนอตอม เช่น Glycerol Dehyde เป็น Triose จัดจำแนกตามจำนวนคาร์บอน Ose ก็คือเป็นภาษาที่บอกว่ามันคือน้ำตาด ก็เลยเรียกว่าเป็น Triose, Thetose, Pentose, Hexose Pentose ที่เรารู้จักก็คือ Ribose Hexose ที่เรารู้จักก็คือ Glucose, Mannose อะไรต่างๆ ทีนี้ อันนี้ตามจำนวนคาร์บอนอัตอม ตามกลุ่ม ที่ให้ดูนี่คือโครงสร้างของน้ำตาลที่เราพบได้ในธรรมชาติเลยนะคะ แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ก็คือตามหมู่ฟังก์ชัน เมื่อกี้จะบอกว่าสารประกอบที่เป็น Organic Compound ที่มีหมู่ฟังก์ชันคือ Aldehyde หรือ Ketone ดังนั้นมันจะจำแน่ออกเป็นตามหมู่ฟังก์ชันด้วยนอกจากจะ จัดจัดแน่ตามจำนวน 4 จำนวนคาร์บอนนะคะ ดังนั้นฝั่งนี้มีอัลดิฮายเป็นหมู่ฟังก์ชัน ถ้าที่ยังจำได้คือมีฮาโดเจนอัตอมเกาะอยู่กับคาร์บอนิวกรุ๊ปแบบนี้นะคะ นี่คือหมู่อัลดิฮาย ดังนั้นน้ำตาลเราจะเรียกว่าน้ำตาลที่อยู่ในกลุ่ม อัลโดส เติม OSE เข้าไปเหมือนกันนะคะ อัลดิฮาย น้ำตาลคืออัลโดสนะคะ น้ำตาลที่มีหมู่ฟังก์ชันคืออัลดิฮาย เราเรียกว่าน้ำตาลที่อยู่ในกลุ่มอัลโดสดังนั้น Al Doze คืออยู่ฝั่งทางซ้ายมือของน้ำตาลทั้งหมดเลย ฝั่งนี้ Ketose มีหมู่ฝังชาติคือ Ketone ก็จะอยู่ฝั่งขวาของน้ำตาลหมดเลย นั่นคือชื่อของน้ำตาลที่แตกต่างกัน Glycerol Rehide เล็กที่สุดเป็น Triose และจัดอยู่ใน Al Doze ดังนั้นตามจำนวนคาร์บอนก็ใจ ได้ต่อ Pen-Hex เห็บก็มีนะ เห็บคือ 7 นะคะ แล้วที่เจอมากที่สุดก็จะอยู่ที่ Hexose นะคะ นี่มันก็จะมีบอกว่า เอ๊ะ แล้วเราบอกได้ไหมว่า น้ำตาลชนิดนี้มีจำนวนคาร์บอนอัตอมเท่ากี่ กี่คาร์บอน และมีหมู่ฟังก์ชันอะไรนะ เขาก็มารวมกันได้นะคะ ก็คือบอกทั้ง 2 อย่างนะ ก็คือ Aldo-Triose, Aldo-Tetose, Aldo-Pentose, Aldo-Hexose นะคะ จัด เป็นกลุ่มนะ ดังนั้น กิโซริไฮ จัดเป็น ชนิดหนึ่งนะคะ ตัวนี้ อ่ะ เอาเลยดี จัดเป็น ชนิดหนึ่ง อย่างงี้นะคะ เป็นกลุ่ม จัดเป็น ชนิดหนึ่ง นะ จัดเป็นกลุ่ม ตามอะไร ทั้งสองอย่าง อาจารย์หมายถึงจํานวน นะ เพราะมันมี ตรงกลาง ชื่อหมู่ฟังก์ชันมันจะมาก่อนนะคะ เป็น Aldo พวกนี้แสดงว่านี่เป็น Aldehyde ทั้งหมดเลย เป็นน้ำตาลที่อยู่ในกลุ่ม Aldose นะคะ ฝั่งนี้บ้าง คีโตน คีโตนจะเป็น ดายไฮดอกซี่อาซิโตนนะคะ อันแรก แล้วก็ลูกศรชี้ลงมา เป็นอีกตัวหนึ่ง อันนี้คือคาร์บอน 4 อัตอม 5 อัตอม 6 อัตอม ที่เรารู้จักก็จะเป็นฟุกโต๊สนะคะ ฟุกโต๊สจะเป็นน้ำตาลที่มีหมู่ คีโต ดังนั้นฟุกโต๊สจัดเป็น คีโต๊สชนิดหนึ่งนะคะ ถ้าจัดตามจำนวน ทั้งจำนวนคาร์บอนและตามหมู่ฟังก์ชันก็จะเป็น Ketotriose, Ketotetose, Ketopentose นะคะ แล้วก็ Ketotrexose ตามกลุ่ม เราพยายามจัดจำแนกตามกลุ่มให้ออกเป็น ตอนนี้เรามีอะไรบ้าง เรามีหมู่ฟังก์ชัน มีจำนวนคาร์บอน และทั้งสองอย่างเลยนะคะ ก็จะบอกได้ว่าน้ำตาลนี้อยู่ในกลุ่มไหน มีหมู่ฟังก์ชันเป็นอะไร การเขียนโครงสร้างเนื่องจากมันเยอะนะคะ การเขียนโครงสร้างทางเคมีของน้ำตาล อันนี้ในกรณีของน้ำตาลกลูโคซ ซึ่งเป็น HECSOS และมีหมู่ฟังก์ชั่นเป็น ALDIHI ดังนั้นเขาคือ ALDOHECSOS นะคะ การเขียนก็จะมีหลายแบบ ตามนักวิทยาศาสตร์ที่เขาตั้งชื่อว่า โอเค ฉันจะเขียนแบบนี้แหละ มันง่ายนะ จะได้เข้าใจตรงกันทั้งโลกเลยนะ คุณ นะคะ นะคะ ก็คือเหมือนเงา เนาะ นะคะ ฉายเข้ามาบนจอ เนาะ ถ้ามี อาจารย์ไป ยืนตรงนี้ก็จะเป็นเงาของอาจารย์ ดังนั้น เราเรียกว่าเป็น นะคะ แล้วก็มีอีกนักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่งคือ คือ น่าจะเป็น เนาะ ได้ ไปด้วยนะคะ อันนี้เขียนในรูปแบบวงนะคะ Future Projection, Harvard Projection แล้วก็มีเขียนเป็น Conformation Conformation นี่คือในธรรมชาติจริงๆ นะคะ จะเขียนเป็นอย่างนี้ อันนี้จริงๆ จำไม่ได้เขียน Hydrogen ไม่งั้นมันจะแยะมากมาย นี่คือ Conformation มันจะพยายามเรียงกลุ่ม เขาเรียกว่าจัดเรียงกลุ่มให้มันแยกกันมากที่สุดเพื่อความเสถียร ก็จะมี Share Form, Vote Form อะไรว่ากันไป อันนี้เขียนแบบ confirmation จะเห็นว่า พันธะมันจะชี้ไปคนละแบบนะคะ แต่คราวนี้ อันนี้ในรูปของวง คุณฮาเวิร์ดก็เลยบอกว่ามันดูยาก ไม่รู้อะไรอยู่ข้างบนหรืออยู่ข้างล่าง จึงเขียนให้เป็น projection เป็นเงา ของโครงสร้างน้ำตาลแบบนี้นะคะ โดยที่เขียนขีดให้มันตรงกันไปเลยได้ไหม อ่ะ เขียน ขีดให้มันตรงกันเป็นจริงๆ ในธรรมชาติก็คือจะอยู่แบบนี้ Equatorial Axial แต่คราวนี้คุณฮาวอร์ดก็เลยเขียนให้ตรงกันแล้วกัน จะได้รู้ว่า OS อยู่ข้างบนหรืออยู่ข้างล่าง ตามอย่างนี้ ตอนน้ำตาลที่มันเป็นอยู่ในวง เขาก็จะเปลี่ยนนามสกุลนิดนึง เป็น Pyranose Alpha D Glucopyranoes จากที่เป็น Glucose ที่เป็น Feature Projection แนวเล็บของอาจารย์คือหมายถึงในธรรมชาติ เราจะมีการวางตัวของหมู่ เนื่องจากคาวอลนาตอมจะมี 4 แขนเป็นเต็ตตะฮีดอน ดังนั้นจะมีการคล้ายๆเหมือนแมว เป็น Dutch and Wade Structure แบบนี้ เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนให้แขน ให้แมวมีแขน ขาของแมว เหมือนเป็นสิ่งที่ออกมาข้างหน้า แล้วก็มีหางกับหัวตรงนี้ เป็นหมู่ฟังก์ชันที่เป็น Algae Hides หรือ Ketones อย่างนั้นก็จะยิ่งน้ำตาลมีคาร์บอนเยอะ Hexose จะเหมือนแมวมีไหล่ขาดนิดนึง ก็จะเหมือนชี้ออกมาข้างหน้าทั้งหมด แล้วคุณฟิตเชอร์ก็ให้ง่ายก็คือเหมือนเอาแมวมาตรึงไว้ นั่งสารแมวเนอะ ก็เป็นอย่างนี้ นี่คือ Feature Projection คือจะบอกได้เลยว่า OS มันอยู่ฝั่งไหน ฝั่งซ้ายหรือขวา นี่คือที่มาของการเขียน Structure แบบ Future Projection นะคะ เขาก็จะเรียกว่าเป็นแบบเปิดกับแบบปิด แบบปิดก็คือเป็นวง แบบเปิดก็จะเป็นเส้นตรง อาจารย์ก็จำเป็นกล้างปลาไหมคุณฟิชเชอร์ ฟิชปลา เขาเขียนประมาณอย่างนี้นะคะ ก็เลยเอารูปนี้มาให้นะคะ นั้นก็จะมีการเขียนให้มันง่าย เรียกว่าเป็นFuture Projection ในรูปแบบของเส้นตรงเป็นเส้นนะคะ Open Form Open Chain Form หรือ Harvard Projection นะคะ เป็นวง ในธรรมชาติจะเป็นแบบนี้ ในธรรมชาติจะเป็นการเขียนแบบ พุ่งเข้าไประนาบก็คือในจอ หรือออกจากระนาบเป็นแบบทึบ ก็จะเป็นแบบนี้ เหมือนขาของแม่ การเขียนโครงสร้างก็จะต่างๆกันออกไป แล้วแต่ นี่เมื่อกี้จัดจำแน่ตามอะไรไปบ้าง ขนาดของมูลกุล โมโน ไดไต โอริโก โพลี อะไรอีกเมื่อกี้ ตามพันธา ไม่ใช่ ยังไม่มีพันธา โทษที ตามหมู่ฟังก์ชั่น Aldoster Ketose ตามจำนวนคาร์บอน นะคะ ก็ Triose, Thetose, Pentose, Hexose รวมกันได้ไหม ก็เอาชื่อมาต่อกันนะคะ แล้วก็อันนี้จันพูดถึงการเขียน โครงสร้างของคาร์โบไฮเดต ว่ามันมีทั้งเส้นตรงแล้วก็เป็นวงนะคะ แบบนี้ นี้ต่อมาจะเป็นเรื่องของ การจัดจำแนกตาม Isomer Isomerism นะคะ เนื่องจากโครงสร้างมันมีเยอะ ดังนั้นก็พยายามจัดจำแนกออกมาให้ได้เป็น structural isomer กับ serial isomer อันนี้ตาม definition ของเรื่องของ isomer นะคะ constitutional หรือ structural เนี่ยก็จะเป็นเรื่องของโครงสร้าง ยังจำได้อยู่ไหมเนอะ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มัธยมน่าจะเรียนไหม C3H7F เขียนย่อออกมา เขียนย่อได้เหมือนกันเลย แต่พอไปเขียนเป็นโครงสร้างว่า คาร์บอนต่อกับอะไรบ้าง จะแตกต่างกัน อันนั้นเราจัดว่าเป็น Structural Isomer หรือ Constitutional Isomer สักท้ายคือ Isomer โครงสร้าง เขียนย่อได้เหมือนกัน ตัวนี้เหมือนกัน C2H6O เขียนย่อได้เหมือนกัน แต่พอมาเป็นสูตรโครงสร้างแล้ว ตัวนึงเป็น Eternal นะ ตัวหนึ่งเป็น ether เป็นสารคนละชนิดกัน ชื่อก็จะแตกต่างกัน อันนี้เป็นเรื่องของ constitutional หรือ structural isomer หรือ isomer โครงสร้าง สูตรมริกุลเหมือนกัน ลำดับการจับกันของพันธาต่างกัน อันนี้จันหมายถึง คาร์บอนต่อกับ F คาร์บอนต่อกับ F อีกฝั่งหนึ่งคนละตัว ลำดับไม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณสมบัติต่างกันอย่างเช่นตัวหนึ่งเป็น อีเธอร์ตัวนึงเป็นเอเทอร์นอลไม่เหมือนกันแล้ว แตกต่างกัน คราวนี้เราจะมาโฟกัสที่ สอริโอไอโซเมอร์ ภาษาอังกฤษ ก็คือบางทีเขาเรียกว่า spatial spatial นี่คือ space in space นะคะ 3 มิติ มีสูตรมลัยกุลเหมือนกัน ลำดับการจับกันของพันธะเหมือนกัน นั่นคือ มันคือสารตัวเดียวกัน ชื่อเดียวกัน แต่ทิศทางการชี้ของพันธะแตกต่างกัน ความสมบัติจึงแตกต่างกัน นั่นคือ เหมือนคาร์บอนที่มี 4 แขน และแขนทั้ง 4 ของเขาวางตัวคนละทิศกันเฉยๆ อันนี้จัดเป็นโซเรโรไอโซเมอร์ เนื่องจาก 3 มิติไม่เหมือนกันแล้วนะคะ แล้วเราจะมีอะไรบ้างที่เป็นโซเรโรไอโซเมอร์ Di-A-sorreoisomer, Enantiomer นะคะ หรือ Cystrani-isomer ก็จัดเป็น Di-A-sorreoisomer ชนิดหนึ่งเหมือนกัน Cystran นี่จะมาจากตอนที่เราเป็น Double Bond SysTran อยู่ฝั่งเดียวกันหรือคนละฝั่ง อันนี้ในเรื่องของคาร์โบไฮเดตยังไม่มี Conformer Rotamer อันนี้ก็อีกชนิดหนึ่ง ในเรื่องของคาร์โบไฮเดตก็จะมี Enantiomer กับ Diasoreoisomer ดูในเรื่องของ 3 มิติ คาร์โบไฮเดตจะมี Enantiomer ก็คือตรงนี้ เป็นภาพในกระจกเหงา ซ้อนทับกันไม่ได้ เขาบอกว่ามันมี Optical Activity คือเชิงแสงนะคะ คาร์โบเดตมีอีกคำนึงขึ้นมาก็คือ Epimer Epimer จัดเป็น Dioxorinoisomer ชนิดหนึ่ง ที่มีการวางตัวกันของ O-H และ H ที่ตำแหน่งเดียวของ Carbon Star เดี๋ยวจันพูดถึงอีกทีนะ อันนี้จันลิสต์ให้เฉยๆนะคะ Carbon Star คือ Carbon Osomate มันไม่เท่ากันแหละ แขนทั้งสี่เขาไม่เหมือนกัน หรือว่าเป็น Carbon Osomate น��คะ ต่อมา Psoriasisomer อันที่ 3 ก็คือ Enantiomer มี Enantiomer, Epimer แล้วก็ Anomer Anomer เราดูตอนเกิดเป็นวง เป็นเขียนโครงสร้างเป็นคุณ Harvard Projection สำหรับ Enantiomer กับ Epimer เราจะดูตอนที่มันเป็นเส้น คุณ Fisher Projection Anomer ดูตอนเป็นวง เขียนโครงสร้างในรูปของ Harvard Projection หรือ Conformation อย่างนั้นจะเป็นวง นะคะ สาม อันนี้ นะ ที่ ฉันจะ พูด ถึง แล้ว เราจะ มาดู การ จัด จํา แนก แบบ แบบ นะคะ คือ เหมือน หลายทิศทาง 3 มิติ เราจะมาดูที่คาร์บอนอสมมาตก่อน คาร์บอนที่ติดดาวที่ฉันพูดถึง เขาจะเรียกว่าเป็น Kyral Carbon หรือ Serial Center หรือ Kyral Center ได้หมด Asemitric Carbon เรียกว่า Kyral Carbon Serial Center Kyral Center Asemitric Carbon ได้หมด ภาษาไทยคือคาร์บอนอสมมาต คือคาร์บอนที่ไม่สมมาตนั่นเอง คาร์บอนที่มีหมู่อตอมที่หรืออตอม หมู่อตอมก็หมายถึงหมู่ฟังก์ชันนะคะ จะเป็น COH พวกนี้ นี่คือหมู่อตอม หรืออตอมก็คือไฮโดรเจนอย่างเดียว ที่แตกต่างกันทั้ง 4 แขนของคาร์บอนนะคะ คาร์บอนก็จะมี 4 แขนนะที่จะต่อกับหมู่ฟังก์ชันหรือหมู่อตอมได้นะคะ แล้วถ้ามันต่างกันทั้ง 4 แขนนะคะ เครื่องหมายนี้คือเท่ากันนะอาจารย์ แค่ย่อ C double bond oxygen นะ double bond พันธาคู่ oxygen ตรงนี้ กับ hydrogen ตรงนี้นั่นคือ aldehyde ก็จะเป็น CHO นะคะ งั้นถ้าเราดูหมู่ฟังก์ชันของคาร์บอนตัวกลาง ถ้าเราวงทั้ง 4 แขนนี้ คาร์บอนตัวกลางจะจัดเป็นคาร์บอนอสมมาตร เนื่องจาก 4 แขนเขาไม่เหมือนกันเลยนะคะ แค่นี้ง่ายๆเลย คาร์บอนอสมมาตรคือ 4 แขนไม่เหมือนกัน ทำให้พอคุณสมบัติต่างๆ มันจะแตกต่างกัน C1 ไม่เป็นคาร์บอนอสมมาตรเพราะอะไรคะ C1 คือตรงอาวดิฮายของอาจารย์ ทำไมถึงไม่ใช่คาร์บอนอสมมาตร อาวดิฮายอยู่กันแบบไหน ถามมาเลย อาวดิฮายจะอยู่กันเป็นระนาบ เพราะคาร์บอนต่ออยู่กับออกซิเจนและไฮโดเจนอยู่กันเป็นระนาบแบบนี้นะคะ ดังนั้นเขาก็จะไม่มีการวางแบบ 3 มิติแล้ว มีแค่ 2 ฝั่งแค่นี้ นั้นจึงมันเป็นพลานะนะคะ เป็นระนาบ จึงไม่จัดเป็นคาร์บอนอสมาส ตัวที่ 2 เป็น จานบอกแล้วเนอะว่าแขนทั้ง 4 มันไม่เหมือนกัน แล้วตัวที่ 3 ล่ะคะ C3 ไม่เป็น เพราะมีตัวที่ซ้ำกันอยู่ถูกไหมคะ ฮาโดเจน 2 ตัว ดังนั้นเขาไม่จัดเป็นคาร์บอนอสมมาตรนะคะ ดังนั้นคาร์โบไฮเดทก็จะมีตัวที่เป็น Cs2Ox ตรงนี้อยู่สุดท้ายข้างล่าง ตรงนั้นจะไม่ใช่คาร์บอนอสมมาตรเสมอนะคะ ตัวที่เป็นอัลดิไฮหรือคีโตนก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นไอ้จ้างเขียนให้ดูเหมือนกันเลยเฉยๆนะคะ ดังนั้น 2 ตัวจะมี มริกุลนี้มีคาร์บอนอสมมาตรแค่ 1 ตัว มีคาร์บอนสตาร์แค่ 1 ที่นะคะ เพราะว่า C1 ไม่ใช่ C3 ไม่ใช่ C2 จัดเป็นคาร์บอนอสมมาตร ซะ Cereo-Isomer จะต้องมีคาร์บอนอสมมาตรอย่างน้อย 1 ตัว และจะมี Cereo-Isomer กี่ตัวก็เอา 2 ยกกำลังจำนวนคาร์บอนอสมมาตรไปเลย อย่างเช่น ถ้ามี 1 ตัวตรงนี้ 2 ยกกำลัง 1 ก็แสดงว่าเขาจะมี 2 Cereo-Isomer ตามนิยามต้องมีอารมณ์ ต้องมีคาร์บอนอสมมาตรหนึ่งที่ก่อน ถึงจะเป็นสอริโอไอโซเมอร์ได้นะคะ ตัวแรกสอริโอไอโซเมอร์ที่จันทร์พูดถึงนะ ก็คือ อีแนนเจโอเมอร์ เป็นภาพในกระจกเงาซึ่งกันและกันนะคะ ภาพในกระจกเงาซึ่งกันและกันอย่างเช่น โมเลกุลนี้ อันนี้คือ กรีซอรอลดีไฮ คือน้ําตาลที่ตัวเล็กที่สุดนะคะ มีคาร์บอนสาม สามอัตรอกรีซอรอลดีไฮ 2 ตัวนี้ไม่เหมือนกัน เป็นภาพในกระจกเงา ซึ่งกันและกัน ถ้าท่านสามารถดูก็คือ OH กับฮาโดเจนนี้สลับที่กัน ก็คือเป็นภาพในกระจกเงาเลยนะคะ 2 ตัว นั่นเขาบอกว่านิยามคือดู OH ถ้าอยู่ฝั่งซ้ายเราจะเรียกว่าเป็น L-Form ถ้าอยู่ขวาจะเป็น D-Form นะคะ ตาม Glycerol ดีหาย ซึ่ง ใช้เกสตอลอลดิฮายเป็นสแตนดาร์สำหรับน้ำตาลตัวอื่น เพราะเกสตอลอลดิฮายมีคาร์บอนอสมมาตรอยู่แค่ 1 ที่ แค่ 1 ตัว ซ้าย L จริงๆ ก็คือ Left เนาะ แต่จริงๆ มันมาจากภาษาละตินนะคะ Decter กับ Lay-Worst อะไรจันก็ไม่น่าใจนะคะ เป็น Left ซ้าย L ก็มี L ข้างหน้านะ L-Gesodihyne กับ D-Gesodihyne นั่นคือที่มาของทำไมเราถึงจะมี D-Glucose D-Galactose นะคะ ก็คือตามการจัดจำแนกที่เป็น Enantiomer นี่แหละนะคะ อันนี้ D หรือ L-Form บริกุลข้างล่าง 2 ตัว ดูตามกิสเตอร์ล ตามนิยาม เพราะเขามีแค่คาร์บอนอสมมาตรตัวเดียว ดังนั้น L ก็คือ Os อยู่ฝั่งซ้าย D Os อยู่ฝั่งขวา นั้นตามนิยามของกิสเตอร์ล เรียนให้ก็บอกได้ว่าตัวนี้เป็นอะไร จริงๆ อาจารย์วงไว้ให้แล้วว่าเป็น Os ตัวนี้ ตามนิยามคือ เอาตัวสุดท้ายเป็นคาร์บอนสตาร์ตัวสุดท้ายที่อยู่ไกลจากหมู่ฟังก์ชัน ไม่ว่าจะเป็น เอล ริ ไฮ หรือ คีโตน มากที่สุด ดังนั้นมันจะไม่ใช่ตัวนี้เนอะ เพราะว่าจันทร์พาดูไปแล้วว่ามันมีแฮโดรเจนซ้ำถูกไหมคะ ดังนั้นเราจะดูตัวสุดท้ายก็คือตัวนี้ กับอีกฝั่งหนึ่ง ดังนั้นตัวแรกซ้ายมือเป็น D หรือ L ฟอร์มคะ อะไรนะ เอลฟอร์มเนอะ ตามกรีซอล ริ ไฮ เลยนะคะ ตัวนี้คือเอลฟอร์ม ยังไม่ได้บอกว่าเป็นน้ําตาลอะไรนะ แค่ดูว่าเอลฟอร์มหรือ D ฟอร์ม ดังนั้น OS ตัวนี้อยู่ฝั่งขวาจึงเป็น Deformed นะคะ อันนี้ก็คือเป็น Enantiomer นะคะ อันนี้คาร์บอนอสมมาตรมาอีกรอบนึงให้นักศึกษาเห็นเนอะ ก็คือเหมือนเดิมเลยนะ สรุปให้ดูว่า โอเค มันมีอตอม 4 แขนที่ต่างกันนะ C1 ไม่เป็น C2 เป็น เป็นอะไร เป็นคาร์บอนอสมมาตร C3 ไม่เป็นนะคะ จะต้องมีอย่างน้อย 1 คาร์บอนอสมมาตร แล้วเราก็จะมี Enantiomer ด้วยนะคะ ถ้าเป็นภาพในกระจกเงา ซึ่งกันละกันนะคะ นี้ถามว่ามีคาร์บอนอสมมาตรกี่อัตอม มูลกุลนี้คืออันเดียวกันนะ มีคาร์บอนอสมมาตรกี่อัตอม จริงๆ คือกล้างปลาตรงกลางนั้นแหละ ข้างบนไม่ใช่ เพราะว่ามันอยู่ในรูปของระนาบนะคะ ข้างล่างมีเซส 2 ซ้ำกัน ถ้าเราลองวงดูนะ นี่คือตัวที่ 2 นะคะ ตัวแรกจ้าไม่พูดถึงแล้วเนอะ นี่คือตัวที่ 2 แขนทั้ง 4 ต่างกันไหมคะ ต่างกัน ตัวที่ 3 แขนทั้ง 4 ก็ต่างกันเหมือนกัน ดังนั้นบริกุณนี้มีคาร์บอนอสมมาสอยู่ 2 นั่นมันเป็นเหมือนทางแยกที่เขาวาดนะคะ อันนี้คือคาร์บอนอสมมาส 2 ดังนั้นมันก็จะมีอินันเชียวเมอร์ที่ต่างกันนะคะ อาจารย์อยู่ตรงนี้ไหม นักศึกษาจะได้ไปทานข้าว สอนทานไหม 48 สไลด์ เราจะจบตรงนี้ก่อนดีไหม แล้วแต่อาจารย์เหรอ Enantiomer หลักการง่ายๆก็คือ เขาเป็นภาพในกระจกเงาซึ่งกันและกัน คุณสมบัติเขาต่างกัน มีอันเดียวคือ Optical Activity ดังนั้น เมื่อกี้ D กับ L Form จัดเป็น Enantiomer กัน เขาวางตัวแตกต่างกันใน 3 มิติ อย่างรูปนี้นะคะ XYZ นี่คือหมู่ใช่ไหมคะ มันต่างกันนะ บางที N ไซน์ หรืออะไร มันจะจับได้แตกต่างกัน ก็เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง เขาก็เลยบอกว่า มันคือคุณสมบัติ Chiroliity อาจารย์น่าจะเล่นวีดีโอไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นไหม ไม่เกิด เดี๋ยวไปแขวนใน Learning จริงๆ มันคือ มันคือรูปนี้แหละ ที่มันจะซ้อนทับกันไม่ได้นะคะ เพราะว่าหมู่ฟังก์ชั่นมันไม่เหมือนกัน เขาบอกว่ามันเหมือนมือซ้ายกับมือขวาที่ซ้อนทับกันไม่ได้ ซ้อนทับได้ไหม ไม่ใช่แบบนี้นะ มือซ้ายกับมือขวาจริงๆ เป็นภาพในกระจกเงาเนาะ ซ้อนทับกันได้เฉยๆ ก็คืออย่างนี้ นิ้วโป้งมันจะไม่อยู่แล้ว ซ้อนทับกันไม่ได้นี่คือเป็น Enantiomer เขาเป็น Chiral Object นะคะ นั่นคือ Enantiomer เป็นภาพในกระจกเงา นั่นเอง แค่นั้นเลย Deformed Alpha เดี๋ยวจันไปแขวนให้ละกัน อืม...เปิดไม่ได้ ดังนั้นเนี่ย Enantiomer นะคะ เขาบอกว่าเป็น Optically Active มีคุณสวัสดิ์เดียวเลย ที่คุณฟิชเชอร์ ประจักษ์ชาติ เป็นคน เอ้ย คุณฟิชเชอร์ ไม่ใช่คุณฟิชเชอร์ ประจักษ์ชาติ คุณฟิชเชอร์ เป็นคน คนพบ โดยอะไร เอา Enantiomer แค่ 1 อัน อาจจะในรูปของ D-Form สมมุติเป็น D-Glucose เอาไปใส่เครื่อง เรียกว่า Polarimeter Polyimeter คือเราจะมี Polaroid ที่เป็นฟิล์ม Polaroid ค่ะ เป็นการตัดแสงเหมือนบางทีแว่น Polaroid เขาจะตัดแสงได้ อันนี้เหมือนกันเป็นฟิล์มที่เป็น Polaroid Film นะคะ จริงๆ แหล่งกำหนดแสงมันจะมีแสงที่ไปหลายทิศทางเนอะ เพราะฉะนั้น Polaroid Film เขาจะแค่กำหนดให้มีแค่ระนาบเดียว เขาจึงเรียกว่าเป็น Polar Light Plane of Polar Light ก็คือระนาบแสง เดียว ตอนแรกมาทุกที่ทาง มีฟิล์มเข้ามาได้แค่ที่ทางเดียว มีแสงลอดเข้าไปได้แค่ที่เดียว คราวนี้ถ้าเอา Enantiomer เพียวๆ เข้าไปในเครื่อง ซึ่งก็คือเป็นสอนละลายอยู่ในนี้ เขาจะสามารถบิดและนาบแสง Polar Light ได้ ไปทางซ้ายหรือทางขวาว่ากันไป เขาเลยเรียกว่าเป็น Optically Active Molecule เท่านี้เลยคุณสมัครที่ต่างกันของ Enantiomer ที่เป็นภาพในกระจกเงาที่ซ้อนทับกันไม่ได้นะคะ นี่จันไปแคปแขวนไว้ใน Learning ก็ได้นะ โอเค สตรายโยไอโซเมอร์เนี่ย นี่ก็สไลด์เดิมนะคะ นี่จันสรุปให้เนาะว่ามันจะไม่เหมือน ไอโซเมอร์โครงสร้างนะ มันจะเป็นสตรายโยไอโซเมอร์ที่แขนทั้ง 4 ของคาร์บอนเนี่ย มันแตกต่างกันนะคะ จึงทำให้มีการวางตัวคนละแบบ บริกุลใดๆ จะมีโซเลโยโซเมอร์ได้จำนวน 2 กลาง N เมื่อ N คือคาร์บอนอสมมาตย์ เมื่อกี้พาดูไปแล้วนะคะ คาร์บอนอสมมาตย์เนี่ยก็จะมีแขนทั้ง 4 ต่างกัน ยกตัวอย่างก็คือ Glycerol D-Hide นะคะ มีคาร์บอนสตาร์ OS อยู่ทางซ้าย L ขวา D ตามนิยามนะคะ ซึ่งอันนี้ในเรื่องของกฎอมิโน นักศึกษาก็เรียน D กับ L ฟอร์มไปแล้วใช่ไหมคะ เหมือนกันไหม ไม่รู้ รู้แต่ว่ามี L กรดอัมโนใช่ไหมคะ ในธรรมชาติ ถ้าเป็นเรื่องของคาร์โบไฮเดรตเนี่ยที่เราเจอเยอะจะเป็น D form นะคะ กรดอัมโนจะเป็น L form นี่จะเป็น D form ที่เจอในธรรมชาติและเอนไซด์สามารถเม็ดตะบอลัยได้นะคะ ก็คือจะเป็นตามนี้นะคะ เป็นภาพในกระจกเงาที่ซ้อนทับกันไม่ได้ นั่นคือ enantiomer นะคะเหมือน left กับ right hand เป็น enantiomer กัน ถ้า stereosomer นั้นไม่ใช่ภาพในกระจกเงาหรอครับ อ่า เขาจะเรียกว่าเป็น diastereomer แค่นี้เลย 2 ตัวนี้เป็น enantiomer 2 ตัวนี้เป็น enantiomer แต่ตัวแรกกับตัวที่ 3 และ 4 จัดเป็น diastereomer กันนะคะ เนื่องจากเขาเป็น stereosomer อยู่ อันนี้ก็เป็น Diasreosomer เหมือนกันนะ นี่คือชีวิตของน้ำตาลที่ฉันให้มานะคะ ตามนี้ แล้วก็เรื่องของ Epimer เดี๋ยวจะลืมไหมนะ เรื่องของ Epimer นะคะ Epimer ก็คือจัดเป็น Diasreomer นั่นแหละ แต่ในของน้ำตาลเนี่ยขอแค่ อันเดียวได้ไหม ขอแรก ขอเรียกว่าเป็น Epimer ได้ไหม เพราะว่ามันจะมี Enzyme ที่สามารถเปลี่ยน Epimer ก็คือ Epimerase ต่างๆ ก็เลยบอกว่า ถ้ามันต่างกันแค่คาร์บอนติดดาว Anomeric Carbon ไม่ใช่ Asymmetric Carbon หนึ่งที่ อันนี้คือตำแหน่งที่ 2 นะ ต่างกันแค่ตำแหน่งเดียว เขาขอเรียกว่าเป็น Epimer นะ แค่นี้เลย เป็น Diasorioisomer ที่มีการวางตัวของ O-H กับ H สลับที่กัน 1 ตำแหน่ง จัดเป็น Epimer จัดเป็น Epimer กันนะคะ และเป็น Diasorioisomer ด้วย กลูโคสกับกาแรกโตสต่างกันตำแหน่งที่สี่ นะ สลับ ตรงนี้ เขาก็เป็น การดังนั้น กาแรกโตสก็จะเปลี่ยนได้นะคะ เปลี่ยนกลับไปกลับมาได้อย่าง เนี้ยนะคะ เป็นตัวอย่างของ ที่เขาเรียกว่า น้ําตาลสองชนิดเนี้ย จัดเป็น แค่นั้นเองนะคะ ไม่มีอะไร โอเค อาจารย์อยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวเขาน่าจะเรื่องของ การที่มันเกิดเปิดหรือปิดวงนะคะ อันนี้เป็นเรื่อง ที่มันจัดสโลยอยโซเมอร์ยังไง ตามนี้นะคะ ถ้ามีคำถามก็ถามได้นะคะ เดี๋ยวจะไปทบทวนมาก่อนก็ได้นะ พรุ่งนี้ก็ยังมีนะคะ ขอบคุณค่า ครับ เอ๊ะ เดี๋ยวนะ สักนึง ค่ะ ใจเย็น ผมสงสัยครับว่า ไตอัสเตอร์โรม มันจำเป็นต้องหมุนไหมครับ หรือว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนข้าง หรือว่าดูจากไหน