บทเรียนเกี่ยวกับ Grab
สถานะทางการเงินของ Grab
- Grab ขาดทุนทุกออเดอร์ในช่วงที่ผ่านมา
- ปัจจุบัน Grab เริ่มทำกำไรได้ ซึ่งถือเป็นบริษัทเดียวในวงการที่ทำกำไร
- รายได้ของ Grab อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท และมีการทำกำไร 500 ล้านบาท ในขณะที่คู่แข่งยังขาดทุน
โมเดลธุรกิจของ Grab
กลุ่มที่ Grab ต้องทำให้ Happy
- ลูกค้า (ผู้สั่งซื้อ)
- ร้านอาหาร
- Rider (ผู้ส่งของ)
วิธีการทำเงินของ Grab
- คิดค่าบริการจากลูกค้าและร้านค้า
- เริ่มเก็บค่าบริการที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่ให้บริการฟรี
- ค่าบริการจัดส่งที่เคยต่ำเริ่มสูงขึ้นเนื่องจาก Grab ต้องการทำกำไร
การแข่งขันในตลาด
- คู่แข่งหลายรายเริ่มล้มหายตายจากไปจากการขาดทุน
- Grab สามารถขึ้นราคาบริการได้เพราะไม่มีการแข่งขันจากบริษัทอื่นๆ
- ค่า GP (Gross Profit) ที่ร้านค้าเสียให้ Grab เพิ่มขึ้นเนื่องจากร้านค้ามีความจำเป็นต้องเข้าร่วมแพลตฟอร์ม
สถานการณ์ Rider
- รายได้ของ Rider ลดลงจาก 40 บาทต่อรอบ เหลือ 28 บาท
- มีการประท้วงจาก Rider เนื่องจากค่าจ้างลดลง
- Grab ใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดค่าใช้จ่าย เช่น การทำงานแบบแบตช์ (Batch Jobs) เพื่อให้ Rider สามารถรับออเดอร์หลายๆ งานในครั้งเดียว
แนวโน้มของธุรกิจ Food Delivery
- ธุรกิจ Food Delivery ยังคงอยู่ได้ แต่ราคาต้องปรับขึ้นเพื่อความยั่งยืน
- ค่าบริการในอนาคตอาจอยู่ที่ประมาณ 50-100 บาท
- Grab และบริษัทอื่นๆ จะต้องหาวิธีให้ทุกคนในระบบ Happy เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ
สรุป
- ธุรกิจ Food Delivery กำลังเข้าสู่จุดสมดุลใหม่ โดยมีการปรับราคาที่เหมาะสมขึ้น
- หากบริษัทไม่สามารถทำกำไรได้ อาจต้องออกจากตลาด ส่งผลให้เกิดการผูกขาดในอนาคต
- Rider อาจมีแพ็กเกจเฉพาะสำหรับงานที่มีปริมาณสูงหรือต่ำเพื่อเพิ่มรายได้
หมายเหตุ: ในการตัดสินใจเลือกใช้บริการ แพลตฟอร์มต่างๆ ควรพิจารณาราคาและคุณภาพบริการเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้บริการ.